˹���á Forward Magazine

ตอบ

คนรักขนมหวานห้ามพลาดอยากให้ทุกคนลองชิม
ผู้ตั้ง ข้อความ
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ คนรักขนมหวานห้ามพลาดอยากให้ทุกคนลองชิม 
ความหวาน กับที่มาของขนมแบรนด์ดัง




มาการงหลากรส จากร้าน Pierre Herm? Paris อ่านว่า ?มาการง? ไม่ใช่ ?มาการอง?
ขนมอันขนาดเล็กแต่มูลค่าสูงเพราะมีกรรมวิธีการทำที่ยุ่งยากอยู่พอสมควร กำเนิดมาตั้งแต่สมัย
ปฏิวัติฝรั่งเศสที่ข้าวของรวมทั้งอาหารทุกอย่างมีราคาแพง มิชชั่นนารีชาวอิตาลี 2 คนผู้ต้องดูแลเด็กๆ
ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จึงคิดค้นอาหารที่ผสมมาจากแอลมอนด์ ไข่ขาว และน้ำตาล ซึ่งถือว่ามี
ราคาไม่สูงในตอนนั้น แต่ครบครันทางโภชนาการมาการงในยุคแรกเลยหมายถึงแต่ตัวแป้งเท่านั้น
ต่อมามีพ่อครัวขนมหวานเริ่มคิดค้นการสอดไส้เข้าไปตรงกลาง แล้วประกบบนกับล่างคล้ายแซนด์วิช
จากนั้นทุกคนต่างพัฒนาสูตรกันมาเรื่อยๆ ความยากของขนมชนิดคือส่วนผสมที่ลงตัวและอุณหภูมิ
ที่เหมาะสมทั้งการอบและเก็บรักษา ส่วนเรื่องรสชาตินั้น แล้วแต่รสนิยมของพ่อครัวและ
สูตรลับแต่ละร้าน




Eclairs
เอแคลร์วานิลลาและเอแคลร์คาราเมล จากร้าน Fauchon นี่ก็เป็นขนมหวานที่มีประวัติมา
มากกว่า 100 ปี ทำความเข้าใจกันนิดนึงก่อนว่า ?เอแคลร์? ที่เรากำลังจะเล่าต่อไปนี้นั้น เป็น
ขนมหน้าตาน่ารัก ทรงยาว ไม่ใช่เอแคลร์ก้อนเล็กจิ๋วที่คนไทยนำมาพัฒนาในภายหลัง ว่ากันว่า
ที่ขนมชนิดนี้ชื่อว่าเอแคลร์นั้น เพราะแปลว่าสายฟ้า ซึ่งเป็นคำเปรียบเปรยว่ากินง่ายและอร่อยจน
หมดเร็วดั่งฟ้าแล็บ ไม่มีหลักฐานไหนยืนยันได้ 100% ถึงที่มาของคำนี้ แต่ที่ยืนยันได้ก็คือ สูตร
ขนมชนิดนี้เริ่มมีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 (นานมาก!) โดยพัฒนามาจากชูครีม เพราะใช้แป้ง
ชนิดเดียวกัน แต่บีบเป็นแท่ง เมื่ออบจนได้ที่ แป้งด้านนอกจะขึ้นฟู มีกลิ่นหอม ส่วนด้านในจะกลวง
นั้นนั้นสอดไส้ด้วยคัสตาร์ดหรือช็อกโกแลต แล้วเคลือบด้วยน้ำตาลเหลวอีกที




Cupcake
คัพเค้กรูปกระถางต้นไม้ ซิกเนอเจอร์ของร้าน Audrey Cafe & Bistro ชื่อก็บอกที่มา
จากคำว่า Cup+Cake อยู่แล้ว แต่มีถึง 2 ข้อสันนิษฐานด้วยกัน อย่างแรกคือเพราะเป็น
เค้กที่อยู่ในถ้วย แปลกันตรงตัว ส่วนอย่างที่สองนั้น มาจากการชั่ง-ตวง-วัดอย่างแม่นยำซึ่งต้อง
อาศัย ?ถ้วยตวง? จึงยังคลุมเครืออยู่ว่า ที่มาอันไหนนะคือความตั้งใจของคนทำคนแรกอย่างแท้จริง
คัพเค้กเป็นขนมที่เกิดขึ้นที่ประเทศอเมริกาช่วงศตวรรษที่ 19 เก่าแก่กว่าที่เราคิดมาก
ถูกพบคำนี้ครั้งแรกในหนังสือ Eliza Leslie?s Receipts Cookbook พิมพ์ในปี 1828
สันนิษฐานว่าเริ่มเป็นที่นิยมเพราะการทำคัพเค้กนั้นสะดวกและรวดเร็วกว่าการทำเค้กก่อนใหญ่
โดยใช้ถ้วยกระเบื้องเป็นแม่พิมพ์ในช่วงแรก จากนั้นจึงพัฒนามาเป็นถ้วยอลูมิเนียม และกระดาษ
ไขที่เห็นอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน




Red Velvet
เค้กเรดเวลเว็ท จากร้าน Dean & Deluca เค้กเรด เวลเว็ท คือขนมที่เกิดจากความบังเอิญ
หากอ้างอิงตามหนังสือสอนทำอาหารที่ชื่อ ?American Cookery? (1972) ก็จะรู้ว่าที่มาของขนมสีแดง
ชิ้นนี้นั้น เกิดจากการพ่อครัวขนมหวานอยากทำเค้กช็อกโกแลต แต่เขากับพบว่าน้ำสมสายชูกับผง
โกโก้นั้น สามารถทำปฏิกิริยาให้แป้งเค้กนุ่มฟูและน่ากิน แถมยังเปลี่ยนเป็นสีแดงอีก เขาเลยทดลอง
ทำเค้กชนิดนี้ขึ้นมา แล้วเอารสเปรี้ยวของครีมชีสมาตัดความหวานของเนื้อเค้ก ในช่วงสงครามโลก
ครั้งที่ 2 ผู้ทำขนมสูตรนี้ที่สืบทอดกันมายังมีไอเดียเอาน้้ำบีทรู้ทผสมลงไปเพื่อให้สีของเค้กแดงสด
ดูน่ากินมากยิ่งขึ้น แต่ชื่อ ?เวลเว็ท? ที่แปลว่ากำมะหยี่นั้น ไม่ได้เป็นความบังเอิญ หากคือการเปรียบเทียบ
เนื้อที่บางเบาราวผ้ากำมะหนี่ เพราะเกิดจากการที่กรดไปสร้างฟองอากาศในเนื้อเค้ก เลยทำให้นุ่มลิ้น
ทุกครั้งที่ตักเข้าปาก




Scone
สโคนและชุดอาฟเตอร์นูน ที จากร้าน Harrods Tea Room โอเคๆ ถึงแม้ว่าสโคนจะไม่ถูกจัด
ให้อยู่ในหมวดหมู่ ?ขนมหวาน? เพราะเน้นแป้งและใช้การอบ ซึ่งควรอยู่ในหวมด Boulangerie
หรือขนมปังมากกว่า แต่ว่าเจ้าสโคนลูกกระทัดรัดนี่ก็มักได้รับเกียรติให้อยู่ในเซ็ตน้ำชายามบ่ายเคียง
ข้างขนมหวานชนิดอื่นๆ แถมคนยังนิยมกินคู่กับคอทเทจครีมและแยมรสชาติหวานมันอีก สืบย้อน
ไปพบว่าเป็นอาหารของคนสก็อต กำเนิดมาตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ. 1500 โดยในช่วงแรกนั้น สโคน
มีขนาดใหญ่เท่าจานและแบนกว่าสโคนในปัจจุบันประมาณเท่าตัว ปัจจุบันสโคนถือเป็นขนมอบแบบ
คลาสสิก ที่มีจำหน่ายทั้งในขนมเบเกอรี่ ร้านขายเค้ก รวมทั้งร้านกาแฟ เพราะกินง่าย ขนาดกำลังดี
แต่สามารถเพิ่มส่วนผสมอื่นๆ ลงไปได้ เช่น ผลไม้อบแห้งและช็อกโกแลต




Taiyaki
Croissant Taiyaki ร้านที่นำแป้งครัวซองท์มาทำขนมไทยากิ อร่อยไม่เหมือนใคร มีไส้ให้
เลือกเยอะหนึ่งในขนมประจำชาติของประเทศญี่ปุ่น ?ไทยากิ? ทำมาจากแป้งรูปปลาไทและสอด
ไส้ถั่วแดง ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่ามีต้นกำเนิดมาในช่วงไหน แต่มีมานานมากกว่า 100 ปีอย่างแน่นอน
โดยมีการตั้งข้อสันนิษฐานไว้ว่าราคาปลาในหน้าหนาวนั้นค่อนข้างแพงชาวญี่ปุ่นจึงทำขนมรูปปลา
ขึ้นมาเพื่อเป็นตัวแทน โดยใช้ปลาไทเป็นสัญลักษณ์ ซึ่งพ้องเสียงกับคำว่าโชคดี ส่วนคำว่า ยากิ
แปลว่าย่าง ซึ่งเป็นวิธีที่ทำให้ขนมชนิดนี้สุกนั่นเอง ไทยากิมาบูมเป็นพลุแตกประมาณปี 1976
มีการทำเป็นปลาหลายรูปทรง กำเนิดไทยากิแช่แข็งเพื่อความสะดวกสบายในการรับประทาน
และเริ่มแพร่หลายสู่ต่างประเทศตั้งแต่นั้นมา




Bingsu
บิงซูผลไม้สุดฉ่ำ จากร้าน Hanbingo เชื่อไหมว่า บิงซู หรือน้ำแข็งไสสไตล์เกาหลีก็มีประวัติ
ศาสตร์มามากกว่า 100 ปีหรือมากกว่านั้นอีกนะ คำว่า บิงซู นั้นมาจากคำว่า ?พัทบิงซู? ซึ่งหมาย
ถึงน้ำแข็งไสราดด้วยถั่วแดงเป็นวัฒนธรรมการกินที่ผสมกันระหว่างเกาหลีและญี่ปุ่น แต่เคยมี
บันทึกไว้ว่า ในสมัยโชซอน (ค.ศ. 1392 ? ค.ศ. 1910) ก็พบว่ามีการทำเมนูขนมหวานด้วยน้ำแข็ง
บดหยาบ แล้วท้อปด้วยส่วนผสม 2 ? 3 ชนิด เช่น ผลไม้ เค้กข้าว หรือถั่วบด ซึ่งถือว่าเป็นท้อปปิ้ง
ที่ต้องมีของขนมชนิดนี้ หลังจากยุคสงครมเกาหลีเป็นต้นมา พัฒนาการของบิงซูเริ่มก้าวกระโดด
จากน้ำแข็งใสหน้าถั่วแดงและผลไม้คนเริ่มใส่ไอศกรีม ซีเรียล น้ำเชื่อม และวิปครีมลงไปปัจจุบัน
ความนิยมการกินบิงซูยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ร้านขนมต่างๆ เริ่มใช้วัตถุดิบในเมืองไทย เช่น มะม่วง
ทุเรียน หรือครีเอทหน้าตาบิงซูใหม่ๆ ขึ้นมาเพื่อเรียกร้องความสนใจของคนรักขนมหวาน
แต่ก็อย่างว่าคนเมืองร้อนอย่างเรา ยังไงก็รักขนมเย็นๆ ชามโตนี้ไม่เปลี่ยนแปลงอยู่แล้วสินะ

ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
ลัท ไส้กลับด้าน!!!!


_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ หวานจับใจ 
หน้าร้อนๆ ต้องบิงซู สักถ้วยนะคะ

ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
แบงค์ ไก่คุณไม่สุก!

ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
ตอบ หน้า 1 จาก 1
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
  


copyright : forwardmag.com - contact : forwardmag@yahoo.com, forwardmag@gmail.com