˹���á Forward Magazine

ตอบ

[18+] NuRii3_Review : The 50 Most Played Songs of 2015
ผู้ตั้ง ข้อความ
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ [18+] NuRii3_Review : The 50 Most Played Songs of 2015 
The 50 Most Frequently Played Songs of 2015



รีวิวคั่นเวลา(แต่เวลาที่ใช้เขียนไม่ได้คั่นนะจ้ะ กว่าจะเขียนจบนี้ปาเข้าไปเกือบอาทิตย์)ก่อนจะเริ่มซีรี่ย์ส์ทีนดิว่าชุดต่อไป(เขียนเสร็จได้50%แล้ว) ใครยังไม่ได้อ่านรีวิวซีรีย์สฺแรกอย่าลืมไปอ่านนะคะ—อย่าลืมclickอ่านที่ลิงค์นี้กันนะจ้ะ: 4 Teen Divas of 2000's: The First Series – Britney Spears—เดี๋ยวจะคุยกับเค้าไม่รู้เรื่องนะ บอกไว้ก่อน อิอิ โดยรีวิวชุดนี้เป็นการเขียนถึงเพลงสากลที่ตัวรีเองอยากแนะนำ(รวมทั้งอยากด่าให้ฟัง) โดยมีเงื่อนไขว่าเพลงที่เลือกมานั้นล้วนแล้วแต่เป็นเพลงสากลที่เปิดฟังบ่อยที่สุดในปีนี้ ซึ่งจะคละกันไปไม่จำกัดช่วงเวลาที่ปล่อยเพลงนั้นๆออกมา คือจะมีตั้งแต่เพลงยุค80sจนถึงปีล่าสุดกันเลยทีเดียว ซึ่งรีจะคัดมาแค่50เพลงเท่านั้น(แต่เขียนจบทั้งหมด51เพลง) ซึ่งรีจะไม่จัดอันดับนะว่าเพลงไหนเปิดบ่อยที่สุด แต่จะเรียงจากชื่อของศิลปินแทน(จะมีบางเพลงที่ตัวอักษรชื่อของศิลปินไม่ได้เรียงต่อกัน แต่จับมารีวิวรวมกันเพราะมีบางประเด็นที่รีต้องการจะพูดถึงร่วมกันทีเดียวไปเลย) เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเรามาเริ่มที่เพลงแรกกันเลย



Arty – Up All Night ft. Angel Taylor: (2/5)
Released: 2014
ด้วยความที่เป็นงานสไตล์ดีเจคัลเชอร์จ๋ามาก พูดง่ายๆก็คือพวกงานดั๊บสเตป คลับแบงเกอร์หรือEDMร่วมสมัยนั้นแหล่ะ บอกตรงๆว่ารีเองก็คิดว่าฟังค่อนข้างยาก แต่ยากในที่นี้ไม่ได้หมายถึงยากแบบที่ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับตัวเพลงนั้นๆหรือจำเป็นต้องมีชั่วโมงบินในการฟังสากลสูงหรอกนะ แต่มันยากตรงที่งานเพลงสไตล์ดีเจคัลเชอร์เนี่ย ถ้าไม่มีจริตชอบงานอิเล็กโทรนิก หรือเป็นสาวปาร์ตี้ชอบแฮงเอาท์เป็นทุนเดิมแล้วละก็ จะไม่มีทางฟังได้เกิน3รอบในโมเม้นท์ปกติหรือทำประจำวันของฉันหรอก เพราะมันค่อนข้างหนักเกินไป โดยเฉพาะเพลงนี้ที่มาสายคลับแดนซ์มิกซ์เต็มพิกัด คือจะพูดยังไงดีหล่ะ เอาง่ายๆ ลองนึกถึงงานของพวกAvicii ไม่ก็Zedd หรือCalvin Harris พวกนี้จะมีความแมสและเป็นงานเมนสตรีมรีมิกซ์มากกว่า หรือพูดง่ายๆในความเป็นงานเต้นรำเองนั้นพวกงานเมนสตรีมรีมิกซ์ก็ยังมีstory กะเทยพอเห็นภาพไหม? แต่ที่พูดมาทั้งหมดฉันก็ให้คะแนนเพลงนี้แค่นี้แหล่ะ เหตุผลคือ กะเทยเข้าผับก็หาฟังแนวนี้ได้เต็มไปหมด หรืองานตามงานคลับแดนซ์มิกซ์ในยูทูบก็ได้ ดีกว่าเพลงนี้อีก ที่สำคัญรีว่านะ คือรีว่าเพลงนี้ทำแบบกล้าๆกลัวๆ คือจะอัพบีทก้าวไปEDMบีทก็ต่อเมื่อหมดท่อนร้องธรรมดา ผลก็ออกมาครึ่งๆกลางๆและจืดชืดเกินไป



Ashlee Simpson - Outta My Head (Ay Ya Ya): (3/5)
Released: 2007
ส่วนตัวแล้วชื่นชอบงานอีเจสซิมพ์มากกว่าอีแอชพอสมควร แต่เพลงนี้ต้องยอมนะ เพราะหลอกหลอนกูมาจะสิบปีแหล่ะ ออกจากหัวกูไปได้แล้ว อีเหี้ย คือเท่าที่เห็นอีแอชให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเพลงนี้ นางก็พูดถึงประเด็นเสียงในหัวที่คอยบอกให้ทำนู้นสิ่ทำนี้สิ่ แต่ก็ช่างเถอะไม่ใช่พ้อยท์ที่ฉันจะสนใจอยู่แล้ว แต่สิ่งที่รีรู้สึกตะขิดตะขวงใจเล็กน้อย พอฟังเพื่อจะรีวิวแบบจริงจัง เซ้นส์แรกเลยคือเพลงนี้แม่งห่วยว่ะ (นี้ฉันฟังเพลงง่อยขนาดนี้มาเป็นเกือบสิบปีเลยหรือเนี่ย) นี้ถ้าฉันให้คะแนนอีเพลงอัปรีย์อย่างI Kissed A Girlได้คะแนนง่อยๆ แล้วเสือกให้เพลงที่ความอัปรีย์ไม่ต่างกันอย่างเพลงนี้คะแนนสูงกว่า กะเทยคงว่าฉันไบแอสแน่นอน แต่พอฟังไปเรื่อยๆก็สรุปว่าขาดชั้นเชิงจริงๆนั้นแหล่ะ คือเพลงนี้แทบจะยกงานนิวเวฟในยุค80sมาก็อปวางแล้วจบ แต่เสือกรีลีสปี2007ไง เพลงก็ออกมาแบนๆเพลนๆ คือถ้าจะทำแบบนี้กูกลับไปงานยุค80sก็ได้ จะมาฟังมึงทำไม อีดอก แต่ก็ต้องยอมรับว่าพอจังหวะดนตรีมันรวมกับเนื้อหาและเนื้อเสียงของอีแอชแล้วกลับเท่ห์และchicอยู่นะ (เคสนี้คล้ายกับกรณีของเพลงAcceptable in the 80'sของอีแคลวิน แฮร์ริสที่ลอกงานดิสโก้มาหมด แต่เสือกรีลีสปี2007เหมือนกัน) นี้ถ้าฉันเป็นเลสเบี้ยนคงไปขออีแอชเย็ดแล้วหล่ะ แต่พอดีเป็นกุลสตรีพออะค่ะ ส่วนคะแนนก็ตามเนื้อผ้าแล้วกัน



Bob Sinclar – Feel the Vibe ft. Dawn Tallman: (3/5)
Released: 2015
Bob Sinclar เป็นใคร? ก็เป็นดีเจฝรั่งเศสอะค่ะ จริงๆนางก็active careerในสายดีเจมายาวนานแล้วหล่ะ (แต่ฉันก็พึ่งรู้เหมือนกัน) มีเพลงดังๆอย่างLove Generation (เรียกว่าดังได้แล้วหรือ?) ส่วนสำหรับเพลงนี้ก็ยังเป็นงานEDMอีกเพลงหนึ่ง ที่รีตั้งใจนำมาแนะนำและเปรียบเทียบให้เห็นภาพไปเลยว่าเมนสตรีมรีมิกซ์มีหน้าตาประมาณไหน จะเห็นได้ว่าเพลงนี้ดูยังขายstoryบ้าง แม้ว่าstoryของงานเต้นรำตามคลับเนื้อหามันก็กลวงๆง่อยๆแบบนี้แหล่ะ ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมถึงชอบเพลงนี้ เอาจริงๆงานEDMนี้ซ้ำซากนะ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาหรือชั้นเชิงในการนำเสนอ เปิดผ่านๆก็แบบ อ้าว ตกลงนี้มันคนละเพลงกันหรือ? เพราะแยกความแตกต่างไม่ค่อยเจอ แต่สำหรับเพลงนี้รีว่าทำได้สมูธดี อาจเพราะเอะอะก็ไม่ได้มิกซ์เลอะเทอะ อยากจะมิกซ์ตรงไหนก็มิกซ์ จนลงเหวไปในที่สุด ภาพรวมทั้งซาวด์และวอคัลยังเดินไปในทางเดียวกันอยู่ พูดง่ายๆคือดนตรียังมีทิศทางของมันอยู่ ทำให้สามารถฟังได้ในหลายๆโอกาสมากกว่า ไม่จำเป็นต้องอยู่ในมูดที่อยากแรดอยากร่านอย่างเดียว จะกวาดบ้านถูบ้านไปก็ยังแดนซ์เพลงนี้ไปได้อยู่ ที่สำคัญคือฟังแล้วดูกะเท้ยกะเทย คิดว่ากะเทยน่าจะชอบกัน



Carly Rae Jepsen – I Really Like You: (3/5)
Released: 2015
จากเพลงอีแอชที่รีบอกว่าทำได้เพลนๆแบนๆไร้ซึ่งชั้นเชิง มาดูงานนิวเวฟ80sที่นำเสนอได้เข้าท่าดีกว่าว่าเป็นอย่างไร สำหรับเพลงนี้ภาพรวมก็เป็นงานเต้นรำสไตล์80sอย่างดิสโก้และฟั้งก์ที่นำเสนอผ่านความเป็นแดนซ์พ็อพสมัยนิยม ส่วนภาคเนื้อหาก็ไม่มีอะไรเลย ก็กิ๊กก๊อกตามสไตล์งานเมนสตรีมเต้นรำไร้สมองทั่วไป แต่ถ้าถามว่าประทับใจตรงไหนกับเพลงแบบนี้ทั้งที่งานแบบนี้แทบจะผลิตออกมาล้นแข่งกับขยะ (คุณภาพก็ไม่ต่างจากขยะเช่นกัน) อันนี้คงเป็นไบแอสส่วนตัวกับอีตัวนักร้องมากกว่า รีว่าอย่างน้อยในความเป็นเมนสตรีมพ็อพ เพลงนี้ก็ไม่ใช่งานกะโหลกกะลาขนาดนั้น ซึ่งก็ต้องทำใจอะค่ะ ว่างานแบบนี้มันเป็นกลไกหนึ่งในpop cultureไปเสียแล้ว จะมาแบบ อี๋ งานพ็อพขยะไม่ฟังอะไรแบบนี้ก็ยาก เพราะมันก็โคลนกันออกมาไม่ต่างจากแมลงสาบ ถ้าหล่อนจะหาฟังงานดีๆหล่อนก็เลือกผิดตั้งแต่ฟังเพลงพ็อพแล้วหล่ะ



Carly Rae Jepsen – Tonight I'm Getting Over You: (4.5/5)
Released: 2013
มาถึงอีกเพลงที่เลือกมาของอีคาร์ลี ซึ่งส่วนตัวรู้สึกเสียดายหลายๆอย่างในเพลงนี้ แม้ในตลาดเมนสตรีมพ็อพเองก็ตาม เพลงนี้ไม่ใช่เพลงที่เข้าใกล้คำว่างานขยะเลยแม้แต่น้อย แต่เพราะอีตัวนักร้องกับผลงานเก่าๆอย่างเช่นCall Me Maybe ทำให้เพลงในระดับนี้ถูกunderratedว่าเป็นแค่เพียงงานพ็อพดาดๆจากนักร้องกระจอก ซึ่งก็ถูกส่วนหนึ่ง เพราะจากการถ่ายทอดและนำเสนอออกมานั้นก็ไม่ได้สร้างimpactอะไรมากมายนัก แม้กระทั่งเนื้องานดนตรีเองก็เรียกได้ว่างานแดนซ์พ็อพที่copy&pasteหาได้ทั่วไปด้วยซ้ำ แต่เชื่อไหมว่าพอฟังจบแล้วก็แอบทึ่งในงานเพลงนี้เหมือนกัน เพราะอะไรนะเหรอ? เพราะว่าในยุคที่เต็มไปด้วยเพลงพ็อพดาดๆที่ดูเหมือนกันไปหมด แต่อีเพลงนี้กลับoutstanding shineออกมา คงเรียกได้ว่าชั้นเชิงมันต่างกันก็ได้ละมั้ง แล้วกะเทยหรือชะนีนางไหนกล้าด่าเพลงนี้ง่อยแล้วกลับไปอวยงานอย่างWhere Have You Beenว่าเก๋ เริ่ด แซ่บกว่าแล้วละก็นะ รบกวนไปหาหมอให้เช็คหูมึงด่วนเลยค่ะ




Christina Perri – A Thousand Years: (3.5/5)
Released: 2011
Glen Hansard, Marketa Irglova – Falling Slowly: (3.5/5)
Released: 2006
ทั้ง2เพลงเป็นงานอคูสติกบัลลาดทำนองสวยๆแต่เนื้อหาเสือกโลกสวยกว่าเหมือนกัน อีกทั้งยังเสือกเป็นOSTประกอบภาพยนตร์ทั้งคู่เหมือนกันอีกต่างหาก ก็เป็นอีกสองเพลงที่รีค่อนข้างฟังบ่อยๆ ทั้งด้วยความตั้งใจและไม่ตั้งใจ เพราะอะไรนะเหรอ? เพราะต้องมีอีผู้เข้าประกวดหน้าโง่ๆเอาอีเพลงนี้ไปร้องหาแดกตามอีเวทีรายการประกวดหานักร้องซักซีซั่นใดซีซั่นนึงไงหล่ะ ยังไม่พอแม้กระทั่งอีนักร้องตามผับตามบาร์ก็ต้องหยิบมาร้องร้องด้วยสำเนียงภาษาอังกฤษพิลึกกึกกือให้คนฟังได้ปวดกะบาลเพราะนึกว่ากำลังฟังภาษาฮีรีโมตูอยู่ ก็นะ ถึงเพลงมันจะเพราะขนาดไหนเจอบ่อยๆก็คงเอียนจนจะอ้วกได้เหมือน (แถมเนื้อหาก็เลี่ยนได้อีก ฟังทีแทบไม่ต้องแดกน้ำตาลซัก10วัน)



Elle King – Ex's & Oh's: (3.5/5)
Released: 2014
ตอนแกรมมี่ประกาศผู้เข้าชิงในสาขาBest Rock PerformanceและBest Rock Song ฉันก็ได้กรอกตาไปมาว่า ห้ะ อีเพลงนี้เนี่ยนะ ได้เข้าชิง ต้ายยยย มาตรฐานแกรมมี่แม้จะกะโหลกกะลาขนาดไหน แต่ช่วงหลังๆนี้ห่วยแตกจนฉันได้แต่ถอนหายใจรัวๆ คือยอมรับว่าอีเพลงนี้ทำได้เผ็ดและแซ่บอยู่พอตัว แม้กระทั่งเสียงวอคัลของอีนี้เองก็เท่ห์เหมาะกับงานประเภทบลูส์ร็อกอยู่ บวกกับเนื้อหาทั้งในส่วนเนื้อหาของเพลงเองและเนื้อหาในMVที่ทำออกมาได้ค่อนข้างมั่นหน้าและแซ่บสุดๆ แม้จะตลกกับสารร่างของอีนักร้องที่บวมจนตุ่มแตกแต่มาแหกปากบอกกูแซ่บนะกูเด็ดนะ แถมจิกผู้ชายกล้ามเน้นๆเหลือแค่underwearมาชูควยขึ้นฟ้า ยังไม่พออีช้างน้ำElle Kingยังมาทำท่าสะดีดสะดิ้งชวนผู้มาร่านสวาทorgasmกันในMVอีก (อีดอก กะหรี่เกิ้นนน แต่อีผู้ทั้งหลายนี้ไม่เก้งใช่แม่ะ?) ทำให้ได้ใจดิฉันไปเลยค่า มาที่ตัวเพลงกันบ้าง เพลงนี้เป็นงานอัพบีทบลูส์ร็อกผสมเซาเธิร์นร็อกที่เป็นgenreหนึ่งของงานคันทรี่มิวสิค ซึ่งก็ทำออกมาได้โจ๊ะๆเหมาะกับพวกกะเทยแบกข้าวสารตามภูธรในวงเหล้าดี แต่กระนั้นมาตรฐานงานมันก็ไม่ได้สูงขนาดนั้นเลย ยิ่งในสาขาร็อกเองก็เป็นอีกสาขาที่งานระดับดีจนถึงมาสเตอร์พีซขับเคี่ยวกันรุนแรงมากๆ ที่สำคัญเพลงแบบนี้ค่อนข้างดาดเดื่อนเต็มไปหมดทั้งในวงการเพลงร็อคและคันทรี่เอง คือแกรมมี่พิจารณาจากตรงไหนคะ จากควยผู้ชายในMVหรืออันดับในบิลบอร์ด???



Enrique Iglesias – Bailando ft. Mickael Carreira, Descemer Bueno, Gente De Zona: (3/5)
Released: 2014
กรี๊ดดด มาถึงเพลงพี่เก้ผัวคนแรกของดิฉันกันดีกว่า แม้เพลงนี้พี่เก้จะไม่ค่อยโชว์กล้ามและorgasmกับอีพวกชะนีร่านควย แต่เสต็บละตินแดนซ์ของพี่เก้ได้ใจดิฉันไปเต็มๆอีกแล้ว แม้พี่เก้จะไปก็อปเพลงชาวบ้านเค้ามาจนขึ้นโรงขึ้นศาลก็ตาม เพลงนี้ก็โจ๊ะๆตามสไตล์ละตินแดนซ์ฮอลที่ทำออกมาได้ร่วมสมัยและดึงความเป็นSpanish traditionalออกมาได้มากอยู่เหมือนกัน ถ้ากะเทยอยากได้เพลงเต้นรำฟีลhispanic and latin americanจริงๆ ไม่ใช่เพลงเต้นรำดาดเดื่อนแล้วมาร้องภาษาสเปนทับทีหลังและยังถูกขับร้องจากนักร้องที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว อีกทั้งสำเนียงพี่เก้ก็สแปนนิชแท้นะจ้ะ ไม่ใช่พวกนักร้องประเทศทาสสำเนียงเซินเจิ้นแบบที่เห็นๆกัน รีก็ขอแนะนำเพลงนี้ของผัวฝากไว้ในอ้อมใจตุ๊ดกะเทยละกัน (จริงๆงานสไตล์ละตินแดนซ์ฮอลแบบนี้มีเยอะมาก แต่ก็เป็นของนักร้องสเปนและพวกละตินอเมริกาซะส่วนใหญ่หล่ะนะ)



Gareth Gates – Walk On By (Britney Spears Cover): (4/5)
Released: 2014
เพลงแอบรักเนื้อหาน่ารักๆของGareth Gates ที่อยู่ในอัลบั้มWhat My Heart Wants to Say จริงๆแล้วเพลงนี้แต่เดิมเป็นB-sideของเพลงStrongerของหอกนั้นเอง แต่ที่เลือกเวอร์ชั่นของGareth Gatesมาเพราะว่าเวอร์ชั่นนี้ให้อารมณ์แอบรักแบบเหงาๆเหมาะกับเนื้อหามากกว่า แต่ของหอกจะแบบสดใจเหมือนSometimes version 2แทน แต่ก็ถือว่าเป็นเพลงที่ทำได้ดีและเพราะทั้ง2เวอร์ชั่น แต่แอบเสียดายของเวอร์ชั่นหอกที่เพลงเพราะขนาดนี้แต่มีปัญญาเป็นได้แค่B-side แถมไม่ถูกยัดลงแทร็คลิสต์ในอัลบั้มอีกด้วย (ได้แต่เพลียกับรสนิยมเลือกเพลงของหอก) ก็ไม่รู้ว่าเพราะค่ายกลัวจะถูกกล่าวหาว่าไม่มีปัญญาทำเพลงใหม่ จนต้องไปก็อปSometimesมารีไซเคิลหรือไม่อยากให้อัลบั้มOops!... I Did It Againโดนครหาว่าเป็น...Baby One More Time Part 2กันแน่ (แต่สรุปก็ไม่รอดอยู่ดี) ก็นะ สำหรับฉันนะ ฉันว่าเพลงนี้เพราะกว่าSometimesอีก



_________________

ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ส่ง Email
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  


Hurts – Wonderful Life: (5/5)
Released: 2010
อัพเทมโพซินธ์พ็อพที่ได้อิทธิพลจากซาวด์นิวเวฟยุค80sของนักร้องดูโอ้แนวซินธ์พ็อพวงHurts สำหรับตัวรีเองคิดว่าเพลงนี้เป็นอีกหนึ่งเพลงเต้นรำที่ถ่ายทอดออกมาได้ทรงพลังมากในระดับมาสเตอร์พีซเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นทั้งภาคเนื้อหาและภาคดนตรี ใครจะไปนึกว่าจะทำเพลงรักที่สามารถบรรยายความงดงามของความรักผ่านคนที่กำลังจะกระโดดน้ำตายได้ แม้ว่าในปัจจุบัน ตลาดเพลงพ็อพจะเต็มไปด้วยงานอิเล็กโทรแดนซ์พ็อพมากมาย อีกทั้งตัวเพลงนี้เองจะผ่านเวลามาถึง6ปีก็ตาม แต่ทุกครั้งที่หยิบมาฟัง กลับไม่old-fashionedเลยแม้แต่น้อย



Israel Kamakawiwo'ole – Somewhere Over the Rainbow: (4.5/5)
Released: 1993
เป็นอีกเพลงหนึ่งที่ถูกคัฟเวอร์จนเกลื่อนไปหมด แถมยังเอาไปใช้ตามเวทีประกวดร้องเพลงต่างๆจนโหล โดยเวอร์ชั่นแรกน่าจะเป็นของJudy Garlandที่ประกอบภาพยนตร์เรื่องThe Wizard of Oz ที่กะเทยต้องย้อนไปถึงยุคแจ๊สเอจอะค่ะ ซึ่งดิฉันเกิดไม่ทันแน่นอน ต้องอัญเชิญถามบรรดากะเทยลายครามในบอร์ดนี้แทนแล้วกัน จริงๆแล้วเวอร์ชั่นแรกที่ดิฉันได้ฟังนั้นเป็นของบ็อบ มาร์เลย์นั้นเอง (ว้ายยย ตายแล้ว นี้ฉันมาฟังเพลงของไอดอลพวกขี้ยา ไม่ก็เด็กแว้นซ์หรือเนี่ย?) แต่ดิฉันหาข้อมูลไม่ได้เลยมาจบที่เวอร์ชั่นของอิสราเอล คามาคาวิโวโอเล (ชื่อมึงจะยาวไปไหม?) ที่เป็นโฟล์คเรกเก้เหมือนกัน ส่วนเพลงนี้เป็นยังไง เพลงก็ให้อารมณ์กำลังพี้ยาอะค่ะ แค่ชื่อเพลงSomewhere Over the Rainbow กะเทยก็ต้องคิดได้แล้วนะคะว่าคนธรรมดาที่ไหนเค้าจะนึกได้ ถ้าไม่ใช่พวกขี้ยากับคนบ้า แต่ก็ต้องยอมรับนะว่าศิลปินอย่างบ็อบ มาร์เลย์เนี่ย เป็นอีกหนึ่งศิลปินที่มีพรสวรรค์ในระดับlegendaryเลยทีเดียว กะเทยนางไหนอยากฟังเรกเก้แต่ดันไปจิกเอาเพลงอย่างRudeของอีวงMagic!มาฟัง แล้วบอกว่านี้คือเรกเก้ บอกได้คำเดียวว่าtasteหล่อนต่ำมาก



James Morrison – Broken Strings ft. Nelly Furtado: (3.5/5)
Released: 2008
ตอนที่พี่เจมส์ มอร์ริสันออกเพลงนี้ใหม่ๆนี้หล่อน่าแดกมากกก แถมเสียงขุ่นพี่ก็เท่ห์จนอยากชวนมาเล่นจ้ำจี้บนจิ๋มของน้องเหลือเกิน แต่ปัจจุบันสภาพพี่เจมส์ก็แก่เกินจะมาเป็นผัวของน้องเสียแล้ว ก็ได้แต่แอบเสียดาย เห้อออ เวลาช่างเปลี่ยนคนยิ่งนัก กลับมาที่เพลงนี้ ก็ไม่รู้พี่เจมส์ไปทำอีท่าไหนถึงโดนคุณไสยผีเขมรเข้า ถึงได้จิกอีโหนกเสี่ยวแดกหน้าภูธรอย่างอีเนลลี เฟอร์ทาโดมาร่วมฟีทเจอริ่งด้วย ซึ่งดิฉันก็ทำได้แค่เบ้ปากสมเพชในหนังหน้าสลัมภูธรของอีนี้เท่านั้น เพราะว่าที่อดีตผัวของดิฉันก็โดนมนต์ผีอีเป๋อเล่นเข้าให้แล้ว ส่วนตัวเพลงนี้นะหรือ? ก็เป็นพ็อพร็อคดาดๆที่หาได้ตามศิลปินชายเดี่ยวหรือวงแบนด์กิ๊กก๊อกที่อาศัยผู้หน้าตาพอดูเป็นคนหน่อยเอาไว้หลอกแดกบรรดาพวกชะนีหน้าเหี้ยหรือตุ๊ดหัวโปกร่านควย แต่พี่เจมส์เป็นข้อยกเว้นนะจ้ะ เพราะนางหล่อจริง แต่สิ่งที่ทำให้เพลงนี้เหนือกว่าเพลงพ็อพร็อกกระโปกที่ดาดเดื่อนทั่วไปจนสามารถติดลิสต์ของดิฉันมาได้อย่างยาวนาน คงเป็นเสน่ห์ของเสียงพี่เจมส์ที่ทำให้ทุกครั้งที่ฟังเหมือนดั่งต้องมนต์อยู่ในห้วงรักของฉันกับพี่เจมส์ ยิ่งมาเจอเนื้อหาอกหักสไตล์เพลงบ่าววีอย่างเพลงนี้ด้วยแล้วหล่ะก็ ทำเอาดิฉันเคลิ้มฝันหวานไปกับเสียงของพี่เค้าเลยทีเดียว เวลาพี่เจมส์กรีดร้องแต่ละท่อนนี้เหมือนมีเข็มมาเสียดแทงครั้งแล้วครั้งเล่า ยิ่งได้เสียงผีลืมหลุมแบบอีเนลลีมาช่วยเห่าหอนให้อีกเนี่ย ดิฉันร้องกรี๊ดตามเพลงเลย ก็ไม่รู้ว่าเพราะอินกับเพลงหรือกลัวอีเนลลีกันแน่ แต่ต้องยอมรับอยู่อย่างนะว่าอีเนลลีเหมาะกับเพลงที่บรรเลงจากวงดนตรีที่ใช้เครื่องดนตรีจริง มากกว่าพวกงานดนตรีสังเคราะห์แบบในอัลบั้มLoose ก็ไม่รู้ไปติดใจรสควยอะไรของอีทิมบาแลนด์ถึงได้ทำอัลบั้มผีเข้าเด้งหีไปมาอ่อยผู้ชาย แต่โทษทีนะ สารร่างแบบมึงเนี่ยคงมีปัญญาอ่อยได้เฉพาะพวกแรงงานต่างด้าวเท่านั้นแหล่ะ อีลาว



Jason Derulo – Want To Want Me: (2.5/5)
Released: 2015
ถ้าไม่ติดว่าหน้าของอีตัวนักร้องเหมือนปลาดุกโดนไม้ทุบหัวจนหน้าบู้บี้แบบนี้ ก็ถือว่าเป็นเพลงที่พอฟังได้เพลินๆในระดับกำลังกวาดบ้านล้างจานหรือทำงานบ้านอื่นๆ (คือคุณภาพเพลงนี้ก็ได้แค่ระดับนี้จริงๆ) ยิ่งเจอเนื้อหาจรรโลงใจกะหรี่แบบนี้อีก ก็ได้แต่เห้อออ ยังไม่พอลองตัดสลับไปที่หน้าอีเจสันกำลังร้องท่อน“You open the door. There ain’t nothing but a smile drawn to the floor.” ต้ายยย ช่างเหมาะเหลือเกินกับพวกชะนีใฝ่ต่ำอยากมีผัวเป็นวินมอเตอร์ไซค์ ไม่ก็แรงงานก่อสร้าง ตุ๊ดนางไหนอดอยากปากแห้งกลัดมันอยากโดนรุมโทรม ลองไปเปิดเพลงนี้ตามแถวใต้สะพานลอยดูนะคะ เผื่อจะได้ผู้แถมติดจั่วมากับเค้าบ้าง /เปิดเพลงนี้สดุดีให้คลิปตบอีแพทฟังรัวๆ



Jay Sean – Down ft. Lil Wayne: (1.5/5)
Released: 2009
แม้ปัจจุบันอีเจย์ ฌอนจะกลายสภาพไม่ต่างกับกะเทยแขกกล้ามปูขายถั่วขายผ้าตามพาหุรัดไปเสียแล้ว แต่ดิฉันก็ขอเลือกจดจำอดีตดีๆกับเพลงแดนซ์พ็อพเสี่ยวๆ ที่ขนาดผัวจัสตินสมัยยังโดนวิญญาณตุ๊ดเด็กเข้าสิงไปก็อปมาทำใหม่กลายเป็นเพลงbaby, baby, baby oooh จริงๆคุณค่าของอีเพลงนี้จะดูเป็นผู้เป็นคนกว่านี้ ถ้าไม่เอาอีสัตว์นรกชิงเหี้ยมาเกิดแบบอีลิลเวรมาร่วมฟีทเจอร์ริ่งกับเค้าด้วย จากเพลงที่คนยังพอจะฟังได้ กลายเป็นเพลงสวดศพแผ่เมตตาให้ผีเปรตผีนรกแทน /ไว้อาลัยให้เพลงนี้แทน




Jesse McCartney – Beautiful Soul: (3.5/5)
Released: 2004
Jesse McCartney – She's No You: (3/5)
Released: 2005
โอ้ยยย ฉันรักเค้า เจสซี แม็กคาร์ตนีย์ ผู้เป็นlove at first sightของฉันเอง แม้ปัจจุบันจะบวมไปบ้าง แต่ฉันก็ยังรักเค้าอยู่เหมือนเดิม โดยทั้ง2เพลงเป็นซิงเกิ้ลแรกและซิงเกิ้ลที่2จากอัลบั้มเดบิ้วBeautiful Soul จริงๆทั้ง2เพลงก็ไม่ใช่งานเพลงเลิศเลออะไร นอกจากเป็นงานทีนพ็อพที่ขับร้องโดยผัวเก่าดิฉันเท่านั้น ฟังแล้วนึกถึงเมื่อครั้งยังใสๆที่ร่วมรักกับพี่เค้าครั้งแรก รู้สึกเขินจังเลยที่ต้องมาพูดอะไรแบบนี้ แอร๊ยยย



Jordan Knight – Give It to You: (3.5/5)
Released: 1999
จากนักร้องนำวงบอยแบนด์New Kids on the Blockมาสู่โซโล่เดี่ยวซิงเกิ้ลแรกGive It to Youที่ถือว่าเป็นเพลงที่ดังที่สุดในการโซโล่เดี่ยวของนาง ที่พีคถึงที่10บนชาร์ตบิลบอร์ดได้ แต่รู้สึกว่าหลังจากนั้นพี่จอร์แดนก็ไม่มีเพลงไหนติดชาร์ตบิลบอร์ดฮอต100อีกเลย (น่าสงสารเน้อะ) สำหรับความพิเศษของเพลงนี้แม้ภาพรวมจะได้อิทธิจากงานในยุคบับเบิ้ลกัมพ็อพมาเต็มๆ แต่ในขณะเดียวกันก็ถือว่าเป็นงานพ็อพที่มีเสน่ห์น่าดึงดูดในระดับนึงเลยทีเดียว แม้ภาคเนื้อหาจะดูสำส่อนตามสไตล์เพลงผู้หน้าหม้อ แต่ภาคดนตรีเองก็จัดว่าทำได้น่าสนใจ ตัวเพลงเล่นผ่านอาร์แอนด์บีซาวด์ที่ให้อารมณ์ประมาณดั๊บสเตปในปัจจุบัน เสริมด้วยโพรแกรมมิ่งเกมส์กดเฟี้ยวฟ้าวตามสไตล์งานเต้นรำในยุคนั้น บวกกับจังหวะวอลซ์ที่เข้ามาแทรกในท่อนแรก ท่อนเบรกแดนซ์และท่อนจบของเพลง แต่ก็ทำได้ลงตัวไม่น่าเกียจหรือรู้สึกสะดุดใดๆ ก็เหมาะสมแล้วที่จะเข้ามาอยู่ในลิสต์เพลงที่ฟังบ่อยในปีนี้



Jordan Smith – Mary, Did You Know: (3/5)
Released: 2015
เพลงศาสนาประจำเทศกาลคริสต์มาส โดยเนื้อหาก็สรรเสริญจีซัสรัวๆ ว่าแมรี่ (ไม่ใช่อีกะเทยแก่แมรียาในบอร์ดเรานะ) รู้ไหมลูกของเธอนั้นบลาๆๆ ซึ่งเวอร์ชั่นล่าสุดที่ดิฉันภูมิใจนำเสนอนั้นก็คือเวอร์ชั่นที่ขับร้องผ่านแชมป์รายการประกวดร้องเพลงThe Voice US Season 9 จอร์แดน สมิธ ส่วนตัวแล้วก็ไม่ได้อินกับพวกเพลงที่มีเนื้อหาทางศาสนาอะไรอยู่แล้ว รวมทั้งเพลงนี้ก็ด้วย แต่ต้องยอมนะ เพราะหมูจอร์แดนก็ร้องเพลงนี้ได้เพราะจับใจจริงๆ จนเป็นม้ามืดแรงแหกโค้งเข้าลิสต์ของฉันในปีนี้ได้




Justin Bieber - Love Yourself: (2.5/5)
Released: 2015
Justin Bieber – What Do You Mean?: (3.5/5)
Released: 2015
สำหรับทั้ง2เพลงที่เลือกมาของผัวดิฉันคือWhat Do You Mean?และLove Yourselfนั้น ทั้งคู่ล้วนเป็นเพลงในอัลบั้มPurpose โดยเพลงแรกLove Yourselfที่พึ่งโปรโมตเป็นซิงเกิ้ลลำดับที่3สดๆร้อนๆเมื่อต้นเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ซึ่งเพลงนี้เป็นเพลงที่ผัวบีเบอร์ได้ร่วมแต่งเนื้อเพลงกับอีเอ็ด ชีแรน อีฝรั่งหน้าหมาพันธุ์ปั๊ก สำหรับความรู้สึกของฉันนะ เพลงนี้ส่วนตัวแล้วค่อนข้างเฉยๆกับตัวซาวด์เพราะทำได้จืดชืดมาก คือตัวภาคดนตรีเนี่ยก็เป็นงานอคูสติกพ็อพที่ได้อิทธิพลจากงานสไตล์โอลด์สคูลและสโลว์แจมอาร์แอนด์บี แต่เท่าที่สังเกตจากซาวด์และทีมโปรดิวซ์อย่างทีมอีเอ็ดหน้าหมาพันธุ์ปั๊กแล้ว ภาพรวมเพลงนี้จงใจเน้นเสียงวอคัลเป็นหลักแล้วลดความสำคัญของภาคดนตรีลงมาเป็นแค่แบ็กกราวด์ซาวด์แทน เพื่อที่จะชูภาคเนื้อหาที่เป็นหัวใจสำคัญของเพลงนี้ให้โดดเด่นที่สุด ดังนั้นทั้งเพลงนี้เราจะรู้สึกว่าผัวบีเบอร์ของฉันเนี่ยเป็นอะไร ถึงได้มานั่งบ่นพร่ำเพ้อไปเรื่อยเปื่อยแบบนี้ คือพึ่งหายมึนจากปาร์ตี้กัญชาหรือไงคะ? แต่ว่าไม่ได้นะจ้ะ เสียงพี่บีเบอร์นี้ดูเท่ห์ตามวิถีthug lifeมากๆ ฉันฟังไปกรี๊ดตามไปจนเสียงแทบแหบเลยทีเดียว เสียงริฟท์กีตาร์เดินบีทดาวน์เทมโพเนิบนาบเนี่ยถ้าไม่ใช่เพลงของผัวนะ ฉันคงจะด่าไปสามบ้านแปดบ้านแล้วว่ามึงเอาเสียงยุงที่ไหนมาร้องหวี่ๆๆอยู่ข้างหูอยู่ได้ นี้ยังไม่รวมเนื้อหาที่แมนมากๆ นึกว่าร่วมแต่งเพลงกับอีเทย์แทน แหม จิกซ่ะชะนียังอาย สงสัยก่อนร้องเพลงนี้ผัวบีเบอร์คงเชิญคนทรงมาเรียกวิญญาณตุ๊ดเด็กหัวโปกสมัยเบบี้ให้มาเข้าสิง ถึงได้แซ่บทะลวงติ่งแตดดิฉันได้ขนาดนี้ ชะนีนางไหนโดนด่าด้วยเพลงนี้ ถ้ายังมีชีวิตอยู่นี้คือหน้าด้านมากๆ ที่บ้านใช้ปูนซีเมนต์แทนรองพื้นหรือไงจ้ะ แต่พูดก็พูดเถอะอีท่อน“You should go and love yourself.”นี้ฉันได้ยินว่า“Go fuck yourself.”ตลอดเลยอ่ะ ฮาๆๆ
เพลงต่อมาเป็นลีดซิงเกิ้ลของอัลบั้มนี้ เอาจริงๆรู้สึกแปลกๆกับการวางซิงเกิ้ลของนางมากเหมือนกัน คือฉันค่อนข้างconfuseกับเนื้อหาทั้ง3ซิงเกิ้ลของนางมาก อีตอนแรกฉันก็คิดว่าคงมาแบบซีรี่ย์สฺต่อกัน แต่นี้เหมือนซีรี่ย์สฺหนังผีชะนีหมดเมนส์อะค่ะ แบบเพลงแรกยังงงๆอยู่ เพลงต่อมาอ่ะยอมแล้วขอโทษก็ได้ แต่เพลงล่าสุดคือไล่ด่าอีดอกทองช้างเย็ดแล้ววิ่งไปตบอีชะนีคู่กรณีเหมือนหลานอีแพทเลย (คือมีดคงแทงกันไส้ทะลักแล้วหล่ะ) ฉันก็แบบบบ อะไรของผัวคะ? พี้ยาเกินขนาดอีกแล้วใช่แม่ะ? ไม่ดีเลย /ลงโทษด้วยการโม้กแรงๆ3ที พูดถึงซาวด์กันบ้าง เพลงนี้ก็ยังคงconceptเป็นงานเต้นรำสมัยนิยมอย่างเมนสตรีมพ็อพ EDM แต่สิ่งที่รู้สึกแปลกนิดหน่อยคือปกติลีดซิงเกิ้ลน่าจะเป็นเพลงแดนซ์ซ่องแตกเรียกขวัญกำลังใจกว่านี้ แต่นี้มาซะอย่างกับเพลงcool downในผับ คือเป็นซาวด์ทรอพพิเคิลเฮาส์ที่กำลังเป็นที่นิยมในหมู่งานเพลงอิเล็กโทรพ็อพที่เดินจังหวะในลักษณะดาวน์เทมโพบีท ภาพรวมก็ถือว่าทำได้ดีค่ะ ฉันก็รู้สึกconfuseตามเพลง โดยเฉพาะอีเสียงสังเคราะห์ติ๊กต๊อกๆ (จริงๆแอบรำคาญมากกว่า)



_________________

ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ส่ง Email
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  



Kylie Minogue – All I See: (2/5)
Released: 2008
Kylie Minogue – On A Night Like This: (4/5)
Released: 2000
ปกติจะชอบงานเฮาส์สวยๆของน้าไข่ แต่รอบนี้กลับตาลปัตรกลายเป็นมาชอบงานที่เคยออกปากว่าทำได้เสี่ยวแดกทั้งคู่ โดยเพลงแรกมาจากอัลบั้มXที่ฟังกี่ทีก็เหมือนคัฟเวอร์เพลงอีนีโยมากกว่า ที่แม้จะออกปากว่าชอบเพลงนี้ แต่ก็ยอมรับว่าคุณภาพเนี่ย เรียกว่าห่วยและดาดเดื่อนเหมือนเดิม แต่ก็ชอบอ่ะเน้อะ ทำไงได้หล่ะ
ส่วนอีกเพลงมาจากLight Years ที่เมื่อก่อนบอกเลยว่าเกลียดเข้าไส้มาก แต่สุภาษิตที่ว่ายิ่งเกลียดอะไรยิ่งได้อย่างนั้นนี้สงสัยมันจะจริงแห่ะ เมื่อก่อนนี้แบบบบ ใครจะฟังว่ะ เพลงดิสโก้เชยๆแบบนี้ แต่ในรอบ3-4ปีที่ผ่านมานี้ เพลงนี้กลายเป็นเพลงต้นๆของป้าไข่เลือกกดฟังเลย นอกจากCan't Get You Out of My Headที่ทำให้ป้ากลับมาทวงบัลลังก์ราชินีเพลงเต้นรำในยุคมิลเลนเนียมแล้วเนี่ย เพลงนี้ก็ถือเป็นอีกหัวหอกสำคัญในการกรุยทางก่อนส่งมอบมงกุฎต่อให้Can't Get You Out of My Headก็ว่าได้ สำหรับความเห็นต่อเพลงนี้ ณ ปัจจุบัน ส่วนตัวมองว่าทำได้เปรี้ยวตามมาตรฐานเพลงเต้นรำในยุคนั้น การผสมผสารระหว่างงาน80sและ90sก็ทำได้ลงตัว เป็นงานอัพบีทนูดิสโก้ที่งดงามและทรงพลังอีกเพลงหนึ่งในเส้นทางอาชีพนักร้องของป้าก็ว่าได้




Madonna – La Isla Bonita: (4/5)
Released: 1987
Madonna – Material Girl: (3.5/5)
Released: 1984
แม้ส่วนตัวจะค่อนข้างเกลียดน้ำหน้าของอีเหี่ยวฟ้าในระดับเดียวกับอีดอกบีหน้าหีที่มีสารร่างไม่ต่างจากคิงคองใส่วิกเมียอีกอลิล่าหน้าเหี้ยเจย์ซีและอีเอเลี่ยนในคราบมนุษย์ที่วันๆคิดแต่จะคอยไล่ก็อปปี้ใครดี แถมชอบทำตัวเป็นกาฝากเกราะชาวบ้านชาวช่องเค้าดัง ที่หน้าด้านสุดๆคือก็อปปี้ได้แม้กระทั้งราคาข้าวมันไก่ อีกากก้า แต่ทั้งนี้ก็ต้องยอมรับนะว่าเรื่องเพลงเนี่ย ดิฉันก็ยังชื่นชมในสติปัญญาของป้าแกอยู่เหมือนกัน ก็ชื่นชมในระดับสิ่งมีชีวิตใกล้จะสูญพันธุ์ควรอนุรักษ์เอาไว้อะค่ะ คิคิ โดยเฉพาะ2เพลงที่เลือกมาเนี่ย เข้าconceptป้าแกมากๆ ก็คือconceptกะหรี่แก่นั้นเอง อีเพลงแรกที่ดิฉันภูมิใจนำเสนอLa Isla Bonitaที่มาจากอัลบั้มTrue Blueก็เป็นเพลงพ็อพยุค80sที่ละเลงไปด้วยกลิ่นละตินแดนซ์ฮอลจนคละคลุ้งมากพอที่จะให้ป้าแก่ๆตัวหนึ่งนั้งเพ้อเจ้อถึงผัวเก่าตอนละเลิงรักร่านสวาทบนเกาะในSan Pedroได้อะเน้อะ
ส่วนเพลงต่อมาคือMaterial Girl ที่ต่อมากลายเป็นอีกหนึ่งฉายาติดตัวป้าแกไปตลอดว่า“อี(แก่)บ้าวัตถุ” ทำให้ตอนหลัง(ตั้งแต่ช่วงอัลบั้ม Musicขึ้นมามั้ง? ฉันก็จำปีของบทสัมภาษณ์นี้ไม่ได้แล้ว) ป้าแกต้องเดือดร้อนออกมาแก้ตัว อุ้ย แก้ข่าวบอกว่าฉันไม่ชอบเพลงนี้เลยจริงๆนะ เพราะอะไรนะเหรอ? ก็เพราะว่าฉันไม่ใช่พวกบ้าวัตถุนะสิ่ (โถววว์ อีกะหรี่แก่) ซึ่งเพลงนี้มาจากอัลบั้มLike a Virgin (อัลบั้มนี้เพลงที่ตัดซิงเกิ้ลเนี่ยดังหมดเลยแห่ะ) ตัวเพลงก็พ็อพ80sสไตล์เป็นงานดิสโก้เต้นรำที่หาได้ทั่วไปจริงๆ ณ ยุคนั้น แต่สิ่งที่ทำให้เพลงนี้โดดเด่นและส่วนตัวรู้สึกชอบมากๆ (และก็เกลียดมากๆเช่นเดียวกัน) ก็คือป้าครางได้เสียงกระเส่ามากกก ดูร่านควยและตอแหลสุดๆ สมแล้วที่เป็นถึงกะหรี่เก่า /ปรบมือให้อีกะหรี่แก่



Mary Lambert – Secrets: (4.5/5)
Released: 2014
เป็นเพลงที่ฉันชอบมากกกระดับต้นๆในปีนี้เลยสำหรับเพลงSecretsของแมรี แลมเบิร์ต เพราะทำให้ฉันremindถึงอีลิลี อัลเลนตอนสมัยยังร้องเพลงอินดี้ เรกเก้ สกา ทำตัวดัดจริตปากหีดอกทองไปมาเหมือนในอัลบั้มแรกๆ ก่อนที่จะตกม้าตายทำเพลงโง่ๆเสร่อๆอย่างในอัลบั้มล่าสุดSheezus แต่ถ้าถามว่าคุณภาพเพลงนี้ถึงขนาดเทียบกับอีลิลียุตสไมล์ได้ไหม ก็ต้องเรียนตามตรงว่ายังไม่ถึงระดับนั้น แต่ในยุคที่เต็มไปด้วยเพลงEDMน่าเบื่อเช่นนี้ เพลงพ็อพเนื้อหาดีๆโลกสวยแถมไม่เปิดบ่อยเกินไปจนเฝืออย่างเพลงนี้ก็เป็นตัวเลือกที่ดีเพลงหนึ่งที่รีขอแนะนำ สำหรับภาคดนตรีก็ยืนพื้นด้วยงานพ็อพที่ได้อิทธิพลจากงานสตรีทอาร์แอนด์เดินบีทมิดเทมโพ อีกทั้งเสริมด้วยลูกเล่นด้วยซาวด์แจ๊สและเวิร์ลดฺมิวสิค แต่สิ่งที่ฉันชอบที่สุดกลับเป็นภาคเนื้อหาและอินเนอร์ของนางในเพลงนี้ คือฟังแล้วฉันก็สัมผัสได้จริงๆว่านางเป็นชะนีอ้วนคิดบวกและยอมรับตัวตนจริงๆของตัวเอง แม้จะอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความเฟคโกหกตอแหลใส่กันก็ตาม



Matt McAndrew – Wasted Love: (3.5/5)
Released: 2014
มาที่รองแชมป์The Voice US Season 7 อย่างพี่แมตกันบ้าง แม้ซีซั่นนี้ดิฉันจะเชียร์พี่เทย์เลอร์จอห์นจนเกือบจะเลิกดูตั้งแต่รอบเซมิไฟนัลเพราะอีกฎหีอะไรก็ไม่รู้ให้พี่เทย์เลอร์จอห์นของกูไปคัดชิงwild card ทั้งที่ไอจูนอยู่ตั้งที่3หรือ4นี้แหล่ะ แถมพอไปแข่งใหม่เป็นไงหล่ะ อีดำแดเมี่ยนเสือกเข้ารอบแทนจ้า ก็ได้แต่ไว้อาลัยให้พี่เทย์เลอร์จอห์นแทน กูหล่ะเกลียดอีPublic's voteรายการนี้จริงๆ โดยเฉพาะแฟนทีมอีเบลคกับอีอดัมนี้คือหนังหีหมามากๆ จบการอาลัยรักพี่เทย์เลอร์จอห์น แล้วกลับมาดูเพลงพี่แมตกันบ้างดีกว่า สำหรับข้อมูลทั่วๆไปของเพลงนี้คือเป็นเพลงที่มีคะแนนสูงที่สุด (คิดว่าหมายถึงยอดโหลดไอจูนอ่ะนะ) ของรายการThe Voiceตั้งแต่มีการบันทึกมาจนถึงปัจจุบัน (คือไม่รู้เหมือนกันว่าเริ่มบันทึกเกี่ยวกับยอดตั้งแต่ซีซั่นไหน อีกทั้งตัวข้อมูลอ้างอิงที่หามาก็สิ้นสุดที่ปี2014ก็ไม่รู้อีก2ซีซั่นที่ผ่านมาแซงไปแล้วหรือยัง) จบจากการให้ข้อมูลจิปาถะแล้วก็มาที่ส่วนรีวิวกันต่อ เพลงนี้เป็นแนวพ็อพร็อกธรรมดานี้แหล่ะ แต่จะมีความเป็นพาวเวอร์บัลลาดแบบอารีน่าร็อกในยุค70sเบาๆ คือลอกกลิ่นไอมานิดหน่อยนั้นเอง ถ้ากะเทยจินตนาการไม่ออก ลองนึกถึงเพลงวงQueenอะค่ะ ส่วนภาคเนื้อหาก็เป็นเพลงอกหักรักคุดโดนกะเทยหลอกไปเย็ดอะไรประมาณนั้น คือดูเพ้อหน่อยๆ (แต่ฉันว่าไม่หน่อยแล้วหล่ะ ยิ่งอีท่อนวิ่งถามทุกคน แถมไล่เคาะหาตามประตูทุกบ้านนี้เข้าขั้นโรคจิตเมากาวไปแล้ว) แม้ภาพรวมแล้ว อินเนอร์เพลงนี้จะไม่ได้พาวเวอร์ฟูล จนรู้สึกขนลุกเทียบเท่างานอารีน่าร็อกจริงๆ แต่พี่แมตเองก็ทำออกมาได้ในระดับที่ดีมากเลยทีเดียว คือสื่ออารมณ์ออกมาได้ทั้งโซลและกินใจมากๆเช่นกัน



MØ – Kamikaze: (3.5/5)
Released: 2015
ถ้าSecretsทำให้ฉันremindถึงอีลิลี อัลเลนตอนสมัยยังปากหีได้แล้วหล่ะก็ เพลงนี้ก็ทำให้ฉันนึกถึงPaper PlanesของอีM.I.A.เช่นกัน ซึ่งจุดเด่นและความน่าสนใจของเพลงนี้คงหนีไม่พ้นความเป็นดนตรีประเภททดลองและฟิวชั่น ที่ยืนพื้นด้วยงานอัลเทอเนทีฟแดนซ์หรืออันเดอร์กราวด์แดนซ์—พูดง่ายๆคือเป็นงานฟิวชั่นจำพวกอิเล็คโทรแดนซ์ ที่หยิบซาวด์เต้นรำต่างๆมารวมกันทั้งอิเล็กโทรนิก ซินธ์สฺ และนิวเวฟ—แล้วเอามาปะทะกับซาวด์จำพวกอัลเทอเนทีฟฮิพฮอพและเวิร์ลดฺกับเทรดดิชั่นนัลมิวสิค จริงอยู่ที่ว่าภาคดนตรีของเพลงนี้ทำได้น่าสนใจ แต่ทว่าไอ้จุดเด่นที่ว่านั้นก็กลายเป็นดาบสองคม เป็นข้อเสียของเพลงนี้อย่างช่วยไม่ได้ เนื่องจากความซ้ำซากของดนตรีสไตล์ดิโพล—หนึ่งในหัวหอกของวงดนตรีแนวEDMอย่างMajor Lazer—ที่แปะหรากลัวใครผ่านไปผ่านมาแล้วจะไม่รู้ว่าเพลงนี้กูเป็นคนทำ (นี้ถ้าแปะบนหนังหัวอีMØได้คงทำไปแล้ว) แถมหลังๆมาเนี่ยรู้สึกจะเริ่มหมดมุกตามรอยอีพวกดีเจที่หันมาเอาดีบนตลาดเมนสตรีมแทน แต่ถ้าไม่คิดอะไรมากนัก ก็ถือว่าเป็นงานเต้นรำโจ๊ะๆสนุกสนานไร้แก่นสารเพลงหนึ่ง ที่เปิดแล้วไม่โดนด่าว่ารสนิยมการฟังเพลงต่ำแน่นอน






Ne-Yo – Go On Girl: (2/5)
Released: 2007
Ne-Yo – Mad: (2/5)
Released: 2008
Ne-yo – So Sick: (2/5)
Released: 2006
Rihanna – Hate That I Love You ft. Ne-Yo: (2.5/5)
Released: 2007
สำหรับรีวิวต่อไปนี้ รีขออุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวรและบรรดาผีเปรตสัมภเวสี ก็จะใครซะอีกหล่ะ ถ้าไม่ใช่อีนีโยปากเบิน อีผีเด็กลูกกรอกลืมกลับเข้าขวด ที่แม้ในปัจจุบันอีบรรดานักร้องผีเปรตสัมภเวสีเพื่อนของมันทั้งหลายที่มีสติปัญญาระดับกิ้งกือไส้เดือนทำได้แค่เพลงพ็อพอาร์แอนด์บีเสี่ยวแดกไม่แพ้เพลงรสนิยมรากหญ้าของอีบี้เดอะสตาร์ก็พากันตายโหงตายห่ากลับนรกไปกันหมดแล้ว แต่อีนีโยก็ยังยืนหยัดอยู่รอดด้วยเซลล์สมองแมลงสาบ ขยันออกเพลงรัวๆเหมือนวัวเหมือนควายเวลาออกลูก แถมยังชอบโชว์หน้าผีๆกับปากเบินๆหลอกหลอนคนฟังโดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน นี้เทศกาลวันปล่อยผีHalloweenไม่ได้มีปีละ300วันนะคะ คือมึงไม่คิดบ้างหรือว่าคนอื่นเค้าจะกลัวหน้ามึงคะ กรี๊ดดด /กรวดน้ำพร้อมสวดแผ่เมตตาให้อีนีโยรัวๆ ไหนๆก็กรวดน้ำไปให้แล้ว ก็ขอทำบุญด้วยการเขียนรีวิวอุทิศส่วนกุศลให้ด้วยไปเลยก็แล้วกัน จะได้ตัดเวรตัดกรรมไม่ต้องพบเจอกันอีกในชาติหน้า ซึ่งรีก็ขอยก3เพลงจาก3อัลบั้มติดกันและอีกหนึ่งเพลงที่ไปฟีทกับคนอื่นชาวบ้านชาวช่องเค้า ก็ขอเขียนรวมๆไปเลยก็แล้วกัน เพราะแต่ละเพลงไม่ได้มีคุณค่าขนาดต้องเขียนแยกออกเป็นtrack by track คืออีทั้ง4เพลงนี้ ได้แก่So Sickจากอัลบั้มIn My Own Words, Go On Girlจากอัลบั้มBecause of You, Madจากอัลบั้มYear of the Gentleman และHate That I Love Youที่ฟีทกับอีห่านในอัลบั้มอีลาวริอ่านจะเป็นกะหรี่ ล้วนแล้วแต่ถูกตัดโปรโมตเป็นซิงเกิ้ลทั้งสิ้น ไล่กันตามเวลาตั้งแต่ปี2006-2008 นอกจากอี4เพลงที่กล่าวไปแล้วนั้น ภายในระยะเวลาแค่4ปีตั้งแต่ปี2005-2009 อีนีโยปากเบินแม่งตัดซิงเกิ้ลรวมกันถึง13เพลงจากทั้ง3อัลบั้ม (ยังไม่รวมเพลงจากอัลบั้มผีเปรตBeautiful Monsterในปี2010ที่รอจ่อเตรียมเผาไปด้วยกันอีกอัลบั้ม) ยังค่ะ ยังไม่หมด ไหนจะบรรดาเพลงที่ไปไล่ฟีทกับชาวบ้านเค้าอีก ซึ่งดิฉันได้มัดตราสังแล้วเผารวมกันทั้งหมดไปเลย แต่เอาเข้าจริงๆมันก็ไม่ได้เรื่องน่าsurpriseประหลาดใจอะไรมากมายนักหรอกในการโปรโมตเพลงถี่ๆแบบที่อีนีโยทำ (แม้ว่าฉันจะรู้สึกผวาทุกๆครั้งที่เห็นหน้ามันก็ตาม) แต่ที่มันเหี้ยคือทุกๆเพลงที่อีนีโยทำไม่ว่าจะเป็นของตัวมันเองหรือไปทำให้คนอื่นเค้าก็ตาม อีนี้ก็มีปัญญาแค่ระดับสมองแมลงสาบที่วันๆคอยcopy&pasteลอกซาวด์อาร์แอนด์บีง่อยๆเห่ยๆกระชึกกระชักเหมือนสภาพหน้ามันตอนโดนแม่ค้าเขียงหมูในตลาดเค้าเอาไม้ทุบหัวเพราะโครโมโซมปลาดุกบนหนังหน้ามัน แล้วเอาไปพ่นต่อเป็นวิญญาณตะขาบทายาทอสูรใส่เพลงต่อๆไปเท่านั้น ถ้าไม่เชื่อนะ กะเทยลองไล่เปิดเพลงอีเหี้ยนี้ตั้งแต่อัลบั้มแรกยันอัลบั้ม4รัวๆดูสิ่ แล้วจะซึ้งในสัจธรรมที่ว่าพระเจ้าไม่ได้สร้างสมองให้คนทุกคนหรอกนะจ้ะ (อย่างน้อยก็มีอีเหี้ยนี้แหล่ะ ที่พระเจ้าลืมให้สมองคนมาเกิดด้วย)



_________________

ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ส่ง Email
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  



★NSYNC – Thinking of You (I Drive Myself Crazy): (3/5)
Released: 1998
★NSYNC – Bye Bye Bye: (2.5/5)
Released: 2000
ต่อมาเป็น2เพลงของหนึ่งในบอยแบนด์ระดับตำนาน★NSYNCวงของพี่หยอยนั้นเอง แม้ว่าเวลาจะผ่านมานานจนกะเทยบางนางตายแล้วเกิดใหม่เป็นกะเทยอีกรอบ พี่หยอยก็คงรักษาความหล่อน่ากินให้ทั้งบรรดาลิงค่างบ่างชะนี รวมทั้งกะเทยเก้งกวางต้องกลืนน้ำลายกันเอื๊อกๆ เตรียมพร้อมที่จะสู้รบตบมือแย่งชิงควยพี่หยอยมาครอบครองกันให้ได้อยู่เหมือนเดิม แม้เวลานี้พี่จะทิ้งบรรดาชะนีและกะเทยหิวควยไปซบนมเหี่ยวๆของอีเจสสิกา บีลจนมีลูกมีเต้าแล้วก็ตาม แต่น้องผู้เป็นหัวหน้าองค์กรชะนีร่านควยยังพร้อมตบตีแย่งชิงดุ้นอุ่นๆของขุ่นพี่อยู่นะคะ แอร๊ยยย เขิน สำหรับรีวิวนี้ รีเลือกมาtributeความหล่อของพี่หยอยโดยเฉพาะ แต่ถึงจะบอกว่าเป็นรีวิวเพื่อพี่หยอยก็ตาม แต่งานเพลงโซโล่ของขุ่นพี่ น้องก็แทบไม่ได้หยิบมาฟังเลยในปีนี้ ก็เลยเลือกสมัยตอนยังใสๆมาก็แล้วกัน เพื่อรำลึกถึงรังรักเก่าของเรา2คน สำหรับทั้ง2เพลงที่ยกมานั้นก็เป็นงานในยุคบับเบิ้ลกัมพ็อพทั้งคู่ แต่จะแตกต่างกันตรงที่เพลงแรกI Drive Myself Crazyจะเป็นแนวพ็อพอาร์แอนด์บี ที่แม้ว่าภาพรวมจะมีความเป็นทีนพ็อพสูงโด่งคุมทิศทางทั้งหมด แต่จะมีความโดดเด่นจากพวกลูกเล่นการร้องที่เป็นโซลและบีทสโลแจมอาร์แอนด์บีอันเป็นลักษณะพิมพ์นิยมของงานพ็อพอาร์แอนด์บีในยุค90sและยุคมิลเลเนียม ส่วนเพลงต่อมาBye Bye Byeเรียกได้ว่าเป็นแดนซ์พ็อพสำเร็จรูปของยุคนั้นเลยก็ได้ก็ว่า ขนาดที่ไม่ว่าจะเป็นศิลปินในgenreทีนพ็อพคนไหนก็ตาม ณ ขณะนั้น ล้วนแล้วแต่ลอกโครงสร้างของซาวด์แบบแดนซ์พ็อพอาร์แอนด์บีเฉกเช่นเพลงนี้ แล้วผลิตซ้ำขึ้นมาใหม่ แต่ละเพลงต่างกันแค่เนื้อร้องเท่านั้นเพราะมันมีแค่ทำนองเดียวกันหมดเป็นโคลนนิ่งครองโลก จนนักฟังหลายๆคนต่างขยาดเพลงในยุคนี้และให้สมญานามเพลงพ็อพในยุคนี้ว่า“เพลงขยะ” แต่ก็ไม่รู้สิ่นะ สำหรับความคิดของฉันมองว่าการจะพูดว่าเพลงในยุคบับเบิ้ลกัมพ็อพมีแต่เพลงขยะเนี่ย ก็ไม่ถูกซักเท่าไหร่ เพราะวงจรอุบาทแบบงานโคลนนิ่งร้อยเนื้อทำนองเดียวเนี่ยมันก็มีมาตั้งแต่60s-70sร็อกแอนด์โรลแล้ว ไม่ใช่พึ่งมาเกิดยุคนี้ที่ไหนใช่ป่ะ? ที่สำคัญที่สุดนะ เห็นเป็นงานพ็อพดาดๆอย่างนี้ แต่ได้เข้าชิงGrammyสาขาRecord of the Yearในปี2001ด้วยนะจ้ะ ธรรมดาซะที่ไหนหล่ะ เพลงของวงพี่หยอย หนึ่งในบรรดาคอลเลกชันผัวเก่าของฉัน หึหึ



O-CE – Der letzte Tag: (4.5/5)
Released: 2010
ไหนๆก็มีเพลงภาษาสเปนในลิสต์กันไปแล้ว ก็ขอเพิ่มเพลงภาษาเยอรมันไปเป็นเพื่อนด้วยอีกเพลงละกัน สำหรับเพลงนี้ตัวภาษาเองค่อนข้างเป็นอุปสรรคสำหรับฉันอยู่เหมือนกัน เพราะฉันไม่มีความรู้ภาษานี้เลยแม้แต่น้อย ทำให้หาข้อมูลอะไรเพิ่มเติมไม่ได้เลย และข้อมูลเพียงอย่างเดียวที่ฉันรู้ก็คือเพลงนี้แปลว่า“วันสุดท้าย”ในภาษาเยอรมันแค่นั้น ดังนั้นสำหรับเพลงนี้จะถือเป็นกรณีพิเศษที่ฉันจะตัดในส่วนวิเคราะห์ของภาคเนื้อหาออกไป แล้วจะพิจารณาเฉพาะที่ภาคดนตรีกันเพียวๆ ซึ่งภาคดนตรีในเพลงนี้เองเป็นแนวดนตรีผสมระหว่างอิเล็กโทรนิกกับเออเบิน โดยยืนพื้นด้วยงานประเภททริพฮอพที่เอามาชนกับอัลเทอร์เนทีฟอาร์แอนด์บีและดาร์คเวฟ ถือเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่ได้ฟังเพลงเออเบินภาษาเยอรมันเพียวๆแบบนี้ ซึ่งฉันรู้สึกชอบการออกเสียงและสำเนียงภาษาเยอรมันของนักร้องในเพลงนี้มากๆ คือรู้สึกเลยว่ามันทั้งเท่ห์ powerful หยาบคายเล็กน้อย แลดูเป็นวิถีthug lifeมากๆ



Passenger – Let Her Go: (3.5/5)
Released: 2012
เพลงโฟล์คพ็อพ (หรือโฟล์คร็อก) ติดสำเนียงบลูส์เท่ห์ๆที่ข้ามมาดังถึงในตลาดเมนสตรีมพ็อพ ถ้าถามฉันว่าสำหรับเพลงนี้ถือว่าดังระดับในปรากฏการณ์ได้ไหม ความเห็นส่วนตัวนะ ก็คิดว่าก็เป็นอีกเพลงหนึ่งที่ดังในระดับปรากฏการณ์ของวงการโฟล์คมิวสิค ไม่ว่าจะพิจารณาจากอันดับเพลงบนชาร์ตทั้งในอเมริกาและยุโรป โดยเฉพาะชาร์ตบนเกาะอังกฤษที่พีคถึงที่2ในUK Singles Chartและที่4ในชาร์ตประจำปี ส่งผลให้เข้าชิงรางวัลBrit Awardในสาขาใหญ่ที่สุดBritish Single of the Yearในปี2014และยังสามารถคว้ารางวัลIvor Novello AwardsสาขาMost Performed Workในปีเดียวกันได้ หรือลองพิจารณาจากกระแสของpublicเองก็ตาม จะเห็นได้ว่าไม่ว่าจะเป็นทั้งวิดีโอคัฟเวอร์หรือตามรายการประกวดร้องเพลงต่างๆ ก็เริ่มมีคนใช้เพลงนี้ในการสร้างกระแสให้ตัวเองขึ้นมามากมาย แต่สำนวนที่ว่าเหรียญนั้นมี2ด้าน ก็ยังคงเป็นสำนวนคลาสสิกที่ใช้ได้ตลอดกาลเสมอ เพราะหลังจากเพลงนี้แล้ว กลับไม่มีเพลงไหนของPassengerที่สามารถประสบความสำเร็จบนชาร์ตทั้งฝั่งอเมริกาและเกาะอังกฤษได้อีกเลย แบบนี้ก็เข้าอีหรอบone-hit wonderไปอีกหนึ่งราย



R. City – Locked Away ft. Adam Levine: (2/5)
Released: 2015
แค่เห็นชื่ออีอดัมแปะหราเป็นยันต์บนหัวผีกองกอย ฉันก็รู้สึกคลื่นไส้จนอยากจะอ้วก ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมฉันถึงรำอีอดัมได้มากมายขนาดนี้ คือปกติแล้วเนี่ยฉันจะเป็นประเภทแพ้คนหล่อนะ แต่แบบบบ พอเห็นงานอีอดัมแต่ละอย่างทั้งในฐานะวอคัลของวงMaroon 5หรือออกโซโล่เดี่ยวก็ตามแต่ แล้วก็ได้แต่เบ้ปากรัวๆกับคุณภาพงานที่แทบไม่ต่างจากพวกงานสั่วๆของนักร้องเกรดBเกรดC นี้นะเหรอนักร้องที่เคยได้Grammy Awardมาแล้ว เหอะๆ ท้ายที่สุดเวลาก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าอีอดัมกับวงก็เป็นได้แค่นักร้องดาดๆแค่นั้น ขอโควทคำพูดอีคริสมาหน่อยละกัน หล่ออย่างเดียวไม่พอต้องเอาสมองมาด้วยนะจ้ะ แต่สิ่งที่ทำให้ฉันสมเพชเวทนามากที่สุดกลับไม่ใช่งานของอีอดัม แต่เป็นบรรดาติ่งหน้าโง่ที่ยังคงพรํ่าเพ้อเจ้อว่างานพี่อดัมสุดยอดเหมือนเกิดมาพึ่งเคยฟังเพลงภาษาอังกฤษเป็นครั้งแรก จะบอกให้นะ ว่างานอีอดัมเนี่ย เทียบกับพวกวงพ็อพร็อคใหม่ๆดีๆที่พอทำเพลงเข้าขั้นหน่อยยังไม่ได้เลย ก็คิดดูเอาเองแล้วกันว่าแค่วงพ็อพร็อคที่ถือว่าเกรดกระจอกที่สุดในจักรวาลร็อคมิวสิคยังเทียบไม่ได้ คงไม่ต้องให้บอกหรอกนะว่ายังจะเทียบกับพวกร็อกแบนด์จริงๆได้ไหม กลับมาที่เพลงนี้ที่อีอดัมไปฟีทให้บ้างดีกว่า สำหรับLocked Awayที่แค่ภาคเนื้อหาก็ทำเอาดิฉันอ้าปากค้างแล้ว แต่ที่ค้างนี้ไม่ใช่อึ้งเพราะประทับใจจนพูดไม่ออกหรอกนะ แต่ตกใจที่ตอนแต่งเนื้อเพลงกันเนี่ย อี2พี่น้องR. Cityมึงกำลังพี้ยากันอยู่หรือเปล่า? หรือจริงๆแล้วมึงเอาประสบการณ์ตอนพวกมึงติดคุกแล้วโดนเมียทิ้งมาแต่งเป็นเพลงนี้? ก็ไม่รู้หรอกนะว่าตอนทำคิดอะไรกันอยู่ แต่รู้สึกสงสารอีอดัมนิดหน่อยที่ต้องมาล่มหัวจมท้ายกับเพลงหีแตดแบบนี้ ติดคุกแล้วจะรักกูไหม? คือแบบบบ ตกลงนี้เอาหัวหน่าวคิดกันใช่แม่ะ? ต้องการปลูกจิตสำนึกให้ชะนีรุ่นใหม่ทำตัวใฝ่ต่ำมีผัวเป็นคนคุกหรือไง แต่ก็ว่าไม่ได้นะ ขนาดเป็นถึงดารายังใฝ่ต่ำเอาเด็กแว้นซ์เป็นผัวถึง2คนให้ชาวบ้านเค้าสมเพชกันทั่วประเทศ ก็เลยไม่แปลกใจนัก ถ้ายังจะมีคนอินกับเพลงเนื้อหาแบบนี้ ก็ดีใจกับพี่อดัมด้วยนะคะที่เดี๋ยวจะได้กลุ่มแฟนคลับtargetใหม่เป็นพวกบรรดาสก๊อยหน้าเหี้ยร่านควยไร้สมอง แล้วอีส่วนภาคดนตรีนะเหรอ? ก็ไพร่ เสร่อและเสี่ยวแดกสมกับเป็นเพลงคนคุกมากๆ แดนซ์ฮอลผสมสตรีทเออเบินจำพวกฮิพฮอพและอาร์แอนด์บีเสร่อๆติดสำเนียงเรกเก้ ที่ทำมาเป็นชาติเศษแล้วตั้งแต่สมัยอีอดัมยังแหกปากร้องเพลงตามผับตามบาร์อยู่เลยมั้ง แต่ก็ดีค่ะ เหมาะสมแล้วกับtargetจำพวกเด็กแว้นซ์ สก๊อย ไม่ก็กะเทยหัวโปก ส่วนถ้าใครถามดิฉันว่าทำไมถึงเปิดเพลงนี้บ่อย ก็ไม่ใช่อะไรนะ แต่เพราะคนงานพม่าที่บ้านบอกว่าชอบเพลงนี้มากๆ เหมาะแก่การเปิดไปล้างส้วมไปให้อารมณ์สุนทรีย์ดีค่ะ



Rixton – Me and My Broken Heart: (3/5)
Released: 2014
ถ้าถามว่าแล้ววงนี้หล่ะเป็นวงที่สามารถเรียกว่าดีได้ไหม? อืมมม ถ้าให้ตอบจริงๆก็ดีกว่าระดับไฮสคูลแบนด์นิดหน่อยอะค่ะ ซึ่งฉันจะไม่แปลกใจเลยนะถ้าในอนาคตอีวงจะโดนเกลียดไม่ต่างจากอีMaroon 5 เพราะแค่เริ่มต้นก็โคลนกันมาเหมือนกันหมดตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้ว แต่ก็นั้นแหล่ะ มันยิ่งตอกย้ำให้รู้สึกทุเรศมากยิ่งขึ้นที่วงหน้าใหม่ทำเพลงได้เทียบเท่ากับอีพ็อพแบนด์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก ซึ่งเมื่อมันเป็นแบบนั้นแล้วละก็ ฉันขอเลือกฟังเพลงจากวงหน้าใหม่แทนดีกว่า เพราะอย่างน้อยก็ไม่เป็นการดูถูกสติปัญญาตัวเองว่าฟังเพลงที่ชื่อเสียงศิลปิน ส่วนเพลงนี้ส่วนตัวชอบนะ เพราะก่อนที่ฉันจะฟังเพลงนี้ ฉันเคยเห็นพวกนางอัดคลิปเล่นในห้องซ้อมกัน แล้วรู้สึกว่าวอคัลวงนี้มีเสน่ห์ดึงดูดใช่ได้เลย คือดูเป็นเอนเตอร์เทนเนอร์ที่ดี แต่เนื้อหาก็ดูconfuseไปหน่อย เหมือนเพลงเด็กใจแตกอะไรแบบนั้น ถ้าให้ชะนีร้องคงฟีลประมาณกะหรี่เด็กบ้านแตกแทน ส่วนภาคดนตรีก็พ็อพร็อกติดบีทเรกเก้เบาๆ (คือเบามากกกกกกกจริงๆ) ที่โคลนวงอีอดัมมาเต็มขั้นชนิดที่ว่าสลับวอคัลร้องแทนกันได้เลยทีเดียว



Robin Thicke – Lost Without U: (4/5)
Released: 2007
นอกจากเสียงพี่โรบิน ธิกจะเหมือนพี่หยอยยังกับฝาแฝดแล้ว ความหล่อของพี่เนี่ยดิฉันก็ยกให้อยู่ในระดับเดียวกับพี่หยอยเลยค่ะ คือเกรดพรีเมียมน่าแดกเหมือนกัน แค่จินตนาการว่าพี่โรบินมาเล่นปูไต่บนเนินจิ๋มดิฉันพร้อมเปิดเพลงนี้คลอไปด้วย ก็รู้สึกน้ำเดินอยากให้พี่มาล้างหน้าไก่ให้ทุกวันจังเลยค่ะ แอร๊ยยย แค่คิดน้ำที่ซอกจิ๋มก็ไหลรัวๆไม่หยุดแล้ว มาที่เพลงนี้กันบ้างดีกว่า ภาคเนื้อหาจะว่าเซ็กซี่ก็เซ็กซี่อยู่นะ แต่ฉันกลับรู้สึกสยิวมากกว่า ด้วยตัวเนื้อหามันคือเพลงเล้าโลมตอนเย็ดกันดีๆนี้เอง ยังไม่รวมเสียงพี่โรบินเองที่ช่างกระเส่าเหลือเกิน ทุกครั้งที่ฟังเพลงนี้เนี่ยฉันอยากจิกผู้หล่อๆมาเลียหัวนมเล้าโลมให้แทน ยังไม่รวมภาคดนตรีที่ทำได้ร่านรักละเลิงสวาทสมกับเป็นงานประเภทเล้าจน์จริงๆ โดยตัวเพลงเป็นงานลูกผสมระหว่างเล้าจน์และโซลที่ผสมกับสโลว์แจมอาร์แอนด์บีติดลูกเล่นเรกเก้อ่อนๆ เดินจังหวะแบบดาวน์เทมโพบีทเนิบนาบช้าๆดูเบาหวิวชวนล่องลอยไปหมด ยิ่งฟังยิ่งรู้สึกจั๊กจี้นะเพลงนี้



Rock Mafia – The Big Bang ft. Miley Cyrus: (2/5)
Released: 2010
กลับมาที่รีวิวมารูนไฟฟ์อีกครั้ง อ้าว ไม่ใช่หรอกเหรอ? สำหรับเพลงนี้เอาจริงๆแล้วฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าติดอันดับมากับเค้าได้ยังไง คือตอนเลือกก็เลือกมาแบบงงๆเหมือนกัน เพราะแม้กระทั่งชื่อเสียงของอีตัวนักร้องเองฉันก็ไม่รู้จัก แถมหาข้อมูลอะไรเพิ่มเติมไม่ค่อยได้อีก ส่วนตัวเพลงนะเหรอ? ก็ดีกว่างานเด็กม.ปลายหน่อยนึง พ็อพร็อกที่อัพเลเวลเอาซาวด์นิวเวฟมาประดับให้ดูมีอะไรมากขึ้น แต่โทษทีเถอะ ทำออกมาห่วยกว่าตอนมารูนไฟฟ์ทำฟั้งก์ร็อกอีก (แต่ว่าไม่ได้นะจ้ะ อย่างน้อยในระดับเมนสตรีมพ็อพแล้วเนี่ยงานในอัลบั้มแรกๆของอีมารูนไฟฟ์ก็ถือว่าทำออกมาได้ดีสมราคาคุยรางวัลแกรมมี่สาขาศิลปินหน้าใหม่อยู่บ้าง) ส่วนเนื้อหาเนี่ยถ้าฉันเข้าใจไม่ผิดคือมึงกำลังเปรียบเทียบว่าเย็ดกันเหมือนบิกแบงใช่ป่ะ? เพราะเนื้อเพลงเท่าที่มีอยู่ก็ตีความอะไรไปในทิศทางอื่นไม่ได้จริงๆ แต่ฉันสงสัยอะไรอยู่อย่างหนึ่งมานานแล้วคือทำไมอีจอบถึงได้เครดิทฟีทเจอริ่งในเพลงนี้ ทั้งที่มันไม่ได้ร้องแม้แต่ท่อนเดียว หรือแค่เล่นMVก็ได้เครดิทแล้ว??? (นี้อาจเป็นสาเหตุที่ฉันเปิดเพลงนี้ฟังบ่อยๆก็ได้มั้ง?)




Secret Sun – Cold Coast: (4.5/5)
Secret Sun – Don't Behave: (5/5)
Released: 2014
หลังจากพิจารณาจากลิสต์เพลงทั้งหมดที่ฉันนำมารีวิวนั้น ต้องบอกว่าทั้ง2เพลงนี้แหล่ะที่เป็นเพลงที่ฉันภูมิใจนำเสนอมากที่สุดจากทั้งหมด50ที่เลือกมา โดยทั้งคู่เป็นผลงานแนวอิเล็กโทรนิก้าของวงดูโอ้อิเล็กโทรนิกจากมอนทรีออลประเทศแคนาดา—Simon LandryและAnne-Marie Campbell—และทั้ง2เพลงก็ยังมาจากอัลบั้มCold Coastที่เป็นอัลบั้มเดบิ้วของวงนี้อีกด้วย จุดเด่นของ2เพลงนี้อยู่ที่ซาวด์ดนตรีประเภทแอมเบียนต์ที่ถือว่าหัวใจหลักของงานเพลงอัลบั้มนี้เลยก็ว่าได้ อีกทั้งน้ำเสียงอันเยือกเย็นนุ่มลึกของAnne-Marie Campbellเองก็ช่วยเพิ่มอรรถรสให้เพลงในอัลบั้มดูมีเสน่ห์ยิ่งขึ้น นอกจากนี้ภาคเนื้อหาเองก็มีความซับซ้อนในแง่ของการตีความเนื้อหา ซึ่งตัวเนื้อเพลงจะมีลักษณะเปรียบเทียบในเชิงอุปมาอุปไมย เริ่มที่เพลงแรกกันก่อนCold Coastไตเติ้ลแทร็คที่มีชื่อเดียวกับอัลบั้ม ที่(น่าจะ)พูดถึงคนที่เป็นloserไม่ได้รับการยอมรับในสังคม ซึ่งจริงๆแล้วนั้นพวกเค้าแค่ต้องการ“ความหวัง”ที่จะสามารถใช้ชีวิตในสังคมได้เฉกเช่นเดียวกันกับคนอื่นทั่วไปเท่านั้น ภาพรวมเป็นดนตรีอิเล็คโทรนิคที่นำแอมเบียนต์มาปะทะกับเทคโนอาร์แอนด์บีติดบีทเรกเก้อ่อนๆกับดีพเฮาส์และนิวเวฟ ที่ถ่ายถอดอารมณ์ของเพลงออกมาได้เยือกเย็นและลึกลับสอดคล้องรับกับเนื้อหาพอดิบพอดี มาที่เพลงที่2 Don't Behaveซึ่งเป็นแทร็คที่ฉันชอบมากที่สุดและขอยกให้เป็นไฮไลท์ประจำอัลบั้มนี้เลย งานฟิวชั่นแนวอิเล็กโทรนิกทั้งดาร์คเวฟ ดรัมแอนด์เบส และแอมเบียนต์ จนทำให้นึกถึงพวกลูกเล่นในงานสไตล์โพรเกรสซิฟร็อก เพียงแต่เพลงนี้จะมีความเป็นดนตรีเต้นรำมากกว่า แต่เมื่อคำนึงในแง่ความเป็นเอกภาพของอัลบั้มดูแล้ว Cold Coastดูจะตอบโจทย์ในแง่ของ“สาส์น”และครอบคลุมภาพรวมได้ครบกว่า อีกทั้งDon't Behaveก็ไม่ใช่แทร็คที่ฉันจะเปิดบ่อยนักเมื่อเทียบกับCold Coast ท้ายที่สุดคงไม่เกินไปนัก ถ้าจะบอกว่า2เพลงนี้เป็นงานที่โดดเด่นที่สุดในรีวิวครั้งนี้



_________________

ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ส่ง Email
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  



Selena Gomez & The Scene – A Year Without Rain: (2.5/5)
Released: 2010
Selena Gomez & The Scene – Love You Like A Love Song: (3/5)
Released: 2011
ไม่ต้องทำหน้าแปลกใจกันที่เห็นเพลงของอีนี้อยู่ในลิสต์กับเค้าด้วย เพราะตัวฉันเองยังงงๆอยู่เลยว่าฟังเพลงอีดอกนี้ลงไปได้ยังไง แต่ก็นะ ช่างมันเถอะ ไหนๆก็เลือกมาแล้วไม่อยากด่าอะไรมาก โดยทั้ง2เพลงเป็นงานสมัยอีเซลยังทำเพลงกับThe Scene ก็.....ว่าจะไม่ด่าแล้วนะ แต่คือเสียงอีนี้เข้าขั้นเหี้ยบัดซบที่สุดอีกตัวหนึ่งในประวัติศาสตร์นักร้องเสียงเหี้ยในpop cultureเลยทีเดียว ขนาดออโต้จูนแล้วก็ยังเอาไม่อยู่ โดยเฉพาะอีเพลงA Year Without Rainที่ย้อนกลับไปสมัยได้ฟังใหม่ๆนี้ถึงกับขําก๊ากในความอัปรีย์ของเสียงอีนี้มากๆ คือมึงไปเอาควายออกลูกที่ไหนมาหอนในเพลงนี้คะ? แล้วแบบบบ นี้ขนาดสตูดิโอเวอร์ชั่นที่ผ่านการมิกซ์เสียงมาเป็นร้อยรอบได้แล้วนะ ไม่ต้องฟังอีนี้ร้องสดก็ทำนายได้เลยว่าต้องเป็นไลฟ์ที่พังพินาศอย่างแน่นอน แถมเนื้อเพลงก็เอาใจพวกกะหรี่เด็กใจแตก ต่ำตมไม่แพ้หนังหน้าของอีตัวนักร้องเลย ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชาติที่แล้วอีนี้ไปทำเวรกรรมอะไรไว้ ถึงได้หน้าเหี้ยเข้าไปถึงระดับโครโมโซม เกิดมาหน้าเหมือนหมาจูได้ขนาดนี้ แต่เกิดมาหน้าเหี้ยอาจจะไม่ใช่เรื่องบาปหนามากมายอะไรนัก แต่ถ้าหน้าเหี้ยแล้วดันเสือกสันดานกะหรี่มั่นเซลล์หนังกำพร้าลิงบนหน้าตัวเองอีกนี้แบบบบ โดยเฉพาะในMVตอนอีดอกนี้ร่อนหีไปมากลางทะเลทรายนี้กูอยากให้งูหางกระดิ่งรุมกัดหีเผื่อพิษมันจะไปกระตุ้นจิตสำนึกความเป็นคนของอีนี้ขึ้นมาบ้าง ส่วนLove You Like A Love Songนี้ ส่วนตัวเห็นว่าเนื้อเพลงดูโรแมนติกดีและตัวเพลงก็ติดหูใช้ได้ แต่พออีเซลร้องแล้วก็แบบบบ อะนะเป็นที่รู้ๆกัน



Skrillex & Diplo – To Ü ft. AlunaGeorge: (5/5)
Released: 2015
หลังจากพึ่งด่าอีดิโพลในเพลงอีMØ คราวนี้นางก็จิกคู่หูคนใหม่SkrillexมาเปิดตัวกันในนามJack Ü พูดตรงๆเลยนะว่าปีนี้เบื่อขี้หน้าอีดิโพลมากๆ ไม่ว่าจะเป็นในฐานะMajor Lazerหรือในฐานะไปเป็นโปรดิวเซอร์ให้ชาวบ้านเค้าก็แล้วแต่ ก็คิดดูแล้วกันว่าขนาดลิสต์เพลงที่ฟังบ่อยที่สุดในปีนี้ของฉันยังมีเพลงที่ผ่านมือของอีนี้ถึง2เพลง โดยเฉพาะTo Üที่แม้จะตัดเป็นซิงเกิ้ลมาได้ไม่นานนัก แต่ก็กลายเป็นเพลงที่ฉันเลือกฟังบ่อยที่สุดในปีนี้ไปเสียแล้ว เหอะๆ สงสัยฉันจะโดนมนต์เสน่ห์ของอีนี้เข้าให้แล้วหล่ะสินะ แต่ไหนๆก็เขียนถึงJack Üแล้ว ก็ขอพูดถึง2ซิงเกิ้ลก่อนหน้านี้หน่อยก็แล้วกัน ก็คือTake Ü ThereและWhere Are Ü Now สำหรับซิงเกิ้ลแรกTake Ü Thereเนี่ย เท่าที่ฉันสัมผัสได้จากคนรอบๆข้างเนี่ย ฉันคิดว่าคนทั่วๆไปน่าจะชอบเพลงนี้เยอะที่สุดในทั้ง3ซิงเกิ้ลที่ตัดโปรโมตมา (แต่ฉันกลับชอบTo Üมากที่สุด) อาจเพราะด้วยความต้องการเข้าถึงตลาดเมนสตรีมด้วยหรือเปล่า คือดูเป็นงานเต้นรำคลับแดนซ์ที่เอามามิกซ์กับซาวด์สูตรสำเร็จของดิโพลมากกว่าจะทำให้รู้สึกว้าววว นี้ไงฉันฟอร์มวงใหม่แล้วนะ อะไรแบบนั้น คือไม่อยากใช้คำนี้เท่าไหร่ แต่ทำออกมาได้ตลาดเกินไปหน่อยสำหรับชื่อชั้นของนางอ่ะนะ ส่วนซิงเกิ้ลต่อมาWhere Are Ü Nowที่ฉันว่าแย่ที่สุดในบรรดาทั้ง3ซิงเกิ้ลที่ตัดมา (รวมทั้งแย่ที่สุดในอัลบั้มด้วย) ก็ไม่รู้ว่าเกิดการเกรงใจกันขึ้นหรือเปล่า เพราะได้นักร้องที่มีชื่อเสียงมากๆในกระแสหลักมาฟีทให้ เลยให้ซีนผัวบีเบอร์ของฉันเยอะขนาดนี้ คือฉันว่าภาพรวมมันดูกระโดดไปมาไร้ทิศทางมั่วซั่วเกินไป เหมือนเอาแต่ละท่อนมาแปะต่อกันอะไรแบบนั้น แต่ก็นะ แม้หลังๆจะรู้สึกเริ่มเอียนกับดนตรีดิโพลสไตล์แล้วก็ตาม แต่ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าปีนี้เพลงของนางต่างก็พากันสร้างปรากฏการณ์ติดต่อกันรัวๆเลย ก็นะ จากแคลวิน แฮร์ริส อาวีชี่ มาจนถึงเซดด์ ปีนี้ก็ถึงตาปีทองของอีดิโพลกันบ้างแล้วแหล่ะ



Sugababes – Too Lost In You: (3/5)
Released: 2003
ส่วนตัวเป็นคนไม่ชอบฟังเพลงจากเกิร์ลกรุ๊พฝั่งตะวันตกเท่าไหร่นัก แม้กระทั่งเพลงของวงหมูหวานเองที่ฉันเลือกมารีวิวในครั้งนี้ก็ตาม แต่สำหรับเพลงนี้ค่อนข้างจะพิเศษแตกต่างจากเพลงอื่นๆนิดหน่อย เพราะเป็นถึงเพลงประกอบภาพยนตร์คริสต์มาสเรื่องโปรดที่สุดของฉัน“Love Actually” อีกทั้งฉันยังโดนอีMTVเปิดกรอกหูpropagandaมาร่วมสิบปี ทำให้เพลงนี้พ่วงตำแหน่งเพลงที่ฉันฟังบ่อยที่สุดของวงนี้ไปอีกด้วย



Taio Cruz – Break Your Heart ft. Ludacris: (1.5/5)
Released: 2009
เพียงเพราะฉันต้องทำหน้าที่ภรรยาที่ดีในการรักษาสิทธิ์ให้ผัวของฉัน—จะผัวคนไหนซะอีกหล่ะถ้าไม่ใช่ยามะพี ผู้เกิดมาเป็นsoulmateของฉัน—ว่าเพลงนี้ไปก็อปปี้เพลงใครเค้ามาหรือเปล่า แต่สิ่งที่ฉันคาดไม่ถึงก็คือผัวของฉันดันเกิดใฝ่ต่ำไปลอกเพลงจากไอมืดไทโอ ครูซ และนั้นก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นความหายนะที่เปลี่ยนชีวิตของฉันไปตลอดกาล อีเพลงนี้ถ้าจะให้บรรยายก็คงไม่ต่างอะไรจากสัมพเวสีผีเปรตที่คอยหลอกหลอนฉันตลอด6-7ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าฉันจะพยายามทำให้มันหายไปจากชีวิตด้วยวิธีไหนก็ตาม ทั้งทำบุญ กรวดน้ำ หรือเรียกหมอผีมาจัดการ ก็ล้วนแล้วแต่ไม่เกิดผลทั้งสิ้น กลายเป็นราคีให้กับชีวิตของฉันที่ต้องฟังเพลงอัพบีทแดนซ์พ็อพ อิเล็กโทรอาร์แอนด์บีเสี่ยวแดกที่มีคุณค่าแค่เปิดตามซ่องป่ามาเลย์ กับเสียงออโต้จูนเสนียดรูหูแบบนี้



Taylor Swift – Blank Space: (3/5)
Released: 2014
อีนี้ถือว่าเป็นนักร้องที่เก่งมากคนนึงที่ทำให้อดีตแฟนคลับเดนตายอย่างฉันหันหลังให้กับผลงานของนางได้ นี้ซูฮกเลย เพราะอัลบั้มปีเกิดของมึงเนี่ย กูฟังครบ3รอบแล้วก็ลบทิ้งจากคอมพิวเตอร์ทันที พร้อมสวดอาราธนาเพื่อผลบุญที่ทำจะไปบังเกิดในสมองมึงบ้าง ถ้าจะลงมาสู้ในตลาดเมนสตรีมแล้วเป็นได้แค่เงาอีลอร์ดกับหุ่นเชิดให้อีแมกซ์ มาร์ตินจูงจมูกแบบนี้ ฉันว่าหล่อนกลับไปซบคันทรี่เหมือนเดิมเถอะ เพราะอย่างน้อยมันก็ผ่าน2มือของหล่อนจริงๆ ไม่ใช่มีปัญญาทำได้แค่เขียนเพลงจากประสบการณ์เย็ดกับผู้ชายกับตบตีกับชาวบ้านเค้าแค่นี้ เรื่องคุณภาพงานดีหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่จิตวิญญาณของหล่อนในงานเพลงที่หล่อนทำหน่ะมันไม่เหลือแล้ว จากคนที่นักวิจารณ์เคยเรียกว่าเป็นสาวน้อยที่มีพรสวรรค์ กลายเป็นคนที่ทำทุกอย่างไม่แคร์ว่าจะต้องขายวิญญาณให้อะไรขอแค่ให้มีกระแสในสื่อ อัลบั้มที่มีแต่เงานักร้องคนนู้นคนนี้เต็มไปหมดแบบนี้ ก็ขอให้หล่อนภูมิใจกับมันไปตลอดรอดฝั่งก็แล้วกัน ฉันก็ได้แต่ภาวนาว่าคงไม่เจอบทสัมภาษณ์ว่าหนูคิดผิดไปแล้วในอนาคตหรอกนะ หึหึ เห็นนางภูมิใจที่กลายเป็นพ็อพสตาร์ขายข่าวฉาวแบบทุกวันนี้ ก็ไม่แปลกใจเลยที่แฟนคันทรี่ที่เคยประคบประหงมหล่อนมาตั้งแต่อัลบั้มแรกพากันทอดทิ้งไปหมดตั้งแต่อัลบั้มที่แล้ว คงมีแต่ฉันที่ยังโง่ตามหล่อนมาถึงตอนนี้ ก็ดีค่ะ ขอให้มีความสุขกับการเป็นไอดอลสก๊อยติ่งหูกับตุ๊ดหัวโปกแล้วกันนะคะ ขอให้รักกับแฟนกลุ่มนี้ไปนานๆ เพราะหล่อนได้เลือกทางนี้แล้ว ส่วนฉันก็ขอsay goodbyeแล้วกัน
PS. จริงๆรีวิวนี้ไม่ใช่จะมาตัดพ้ออะไรอีเทย์หรอกนะ เพราะในความเป็นจริงอีBlank Spaceก็เป็นเพลงที่ฉันฟังบ่อยจริงๆ แหมมม ก็จะไม่ให้ฟังบ่อยได้ยังไง กระแสอีเทย์ซินโดรมหนักขนาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนรอบตัวหรือตามpublicที่ประโคมเพลงอีนี้รัวๆ ต่อให้ไม่อยากเปิดฟังก็ต้องได้ยินเพลงอีนี้อยู่ดี อ้อ อีกเรื่องนึงที่อยากฟาก ติ่งอีเทย์ตัวไหนรับไม่ได้ก็เรื่องของมึงค่ะ จะดิ้นตายโหงตายห่าที่แม่มึงโดนด่าก็เรื่องของมึง แต่อีคนที่ด่ามันแบบกูนี้แหล่ะค่ะที่ซื้ออัลบั้มมันตั้งแต่ยังไม่มีแฟนคลับหน่อแตดแบบในสมัยนี้ แถมยังแหกหีแย่งชิงซื้อบัตรคอนเสิร์ตที่สุดท้ายก็โดนแคนเซิล ที่สำคัญยังเป็นคนแรกๆในบอร์ดนี้ที่แปลและเอาข่าวอีนี้มาลงตั้งแต่มันยังไม่มีแกรมมี่ซักตัว ไม่ใช่อีพวกปากเรียกแม่แต่มีปัญญาแค่โหลดเพลงตามอินเตอร์เน็ต อีควาย



The Veronicas – Heavily Broken: (4/5)
Released: 2005
เป็นเพลงที่ชอบที่สุดจากอัลบั้มที่ชอบที่สุดของอีแฝดนรกเจสซิกาและลิลิซา โอริเกลียสโซ ที่ภาพรวมของเพลงในอัลบั้มนี้ทำให้ฉันนึกถึงงานของอีวีนกับอีหมูเคลลี่ในช่วงที่ยังเป็นรุกกี้ที่มีความเผ็ดและสดใหม่อยู่ในตัว ตัวเพลงนี้เองก็เป็นแนวพ็อพร็อกที่ลอกซาวด์อัลเทอเนทีฟร็อกช่วง90sกับเนื้อหาอกหักน้ำเน่าสไตล์บ่าววี แต่ว่าไม่ได้นะ เพราะอีพวกนี้ก็ถ่ายทอดออกมาได้เท่ห์ ทรงพลัง และร้าวราน สมกับเป็นชะนีบ้าเพลงร็อกอยู่เหมือนกัน




Years & Years – Shine: (5/5)
Released: 2015
Kygo – Firestone ft. Conrad Sewell: (4/5)
Released: 2014
จริงๆแล้วยังเหลือเพลงสากลอีกจำนวนเยอะมากที่ฟังบ่อยๆในระดับเดียวหรือบางเพลงอาจจะมากกว่าในลิสต์นี้ด้วยซ้ำ—แต่อาจไม่น่าสนใจเท่าหรือเขียนด่าไม่มันส์เท่า—แต่คิดว่าถ้าให้เขียนจนหมดจริงๆคงไม่ไหวอยู่ดี และสำหรับเพลงสุดท้ายของรีวิวชุดนี้นั้น เป็นสิ่งที่ค่อนข้างลำบากใจรีเหมือนกันที่ต้องเลือกตัดนักร้องคนไหนออกดี สุดท้ายเหลือ2เพลงจาก2ศิลปิน ดังนั้นรีเลยเลือกเขียนถึงงานของทั้งคู่เลยแล้วกัน โดยรีวิวชุดสุดท้ายนี้ขอtributeให้แก่บรรดาขาแดนซ์ทั้งหลาย โดยรีวิวแรกเป็นของวงทรีโอ้ซินธ์พ็อพจากเกาะอังกฤษที่กำลังโด่งดังในตลาดยุโรปอยู่ ณ ขณะนี้Years & YearsกับเพลงShine เพลงรักเนื้องานซินธ์พ็อพติดสำเนียงยูโรแดนซ์80sเจือซาวด์อัลเทอร์เนทีพอาร์แอนด์บีบางๆ ที่มาพร้อมกับเนื้อหาน่ารักเหมาะแก่การคัฟเวอร์เป็นอคูสติกแอ่วผู้มากๆ ส่วนอีกหนึ่งรีวิวที่เหลือเป็นรีวิวของKygoดีเจชาวนอร์เวย์กับเพลงFirestoneที่พีคถึงอันดับที่8บนUK Singles Chartเกาะอังกฤษ โดยตัวเพลงเป็นงานสไตล์EDMคูลดาวน์เอาไว้เต้นสีข้างๆผู้ชายเวลาพร้อมใกล้จะเสียตัว ตัวซาวด์เป็นดนตรีดาวน์เทมโพเนิบนาบมิกซ์เข้ากับทรอพพิเคิลเฮาส์และดั๊บสเตปที่ให้ฟีลระเริงรักร่านสวาท ส่วนภาคเนื้อหาเองก็เด็ดดวงใช่ย่อย โดยเนื้อหาเพลงนี้ก็เอาใจบรรดาผู้หน้าหม้อชะนีร่านควยและกะเทยติดจั่วแบบสีกันเสร็จก็เย็ดกันตรงนั้นต่อเลยไม่ต้องออกไปหาห้องน้ำหรือโรงแรมให้เสียเงินเสียเวลา

สุดท้ายและท้ายสุด แอบตกใจนิดหน่อยเหมือนกันที่ปีนี้ลิสต์ของฉันเต็มไปด้วยเพลงเต้นรำเยอะขนาดนี้ (แสดงว่าแม้แต่ตัวฉันเองก็ตกเป็นทาสตลาดเมนสตรีมพ็อพด้วยอีกคนสิ่นะ) ทั้งที่ตอนแรกก็ว่าตัวเองตัดเพลงเต้นรำที่จะเอามาเขียนออกไปเยอะมากแล้วนะ สำหรับการรีวิวในครั้งนี้เองก็ขอจบเพียงแค่นี้ค่ะ แล้วพบกันใหม่รีวิวหน้ากับภาคต่อซีรี่ย์สฺทีนดิว่าลำดับที่2: แมนดี มัวร์ สวัสดีค่ะ



_________________

ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ส่ง Email
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
ชอบ want to want me อ่ะข่ะ ดูกวนๆแต้ไม่ถึงกับไพร่แบบ wickle
ชอบแอลบึ้มของบีเบ้อดั้วะ

จะว่าไป พ๊อพ junk music ฟังแล้วก็มีความสุขดีไปอีกแบบ แต้ไพร่ๆแบบพวกแทร่ปไอ้มืดนี่ขอไม่ทนนะคะ

ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
ขึ้นหน้าแรกให้แล้วน๊า


_________________

Like กดที่รูป
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
กลับมาอ่านอีกรอบ ฮามากกก โอยอีนีโญ่

ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
ตอบ หน้า 1 จาก 1
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
  


copyright : forwardmag.com - contact : forwardmag@yahoo.com, forwardmag@gmail.com