Taylor Swift - Folklore
จากวิถีพอพสตาร์สู่งานอินดี้ สูงสุดกลับคืนสู่สามัญ และบทพิสูจน์มาสเตอร์พีซของ(อดีต)เจ้าหญิงแห่งวงการคันทรี่พอพ
จากคำโปรยหัวclickbaitที่ยาวเป็นหางว่าวเหล่านี้อาจทำให้กะเทยแอบmehพร้อมเบ้ปากอยู่ในใจกับกระแสอวยไม่แห้งของอัลบั้มนี้ ณ เวลานี้ ทั้งๆที่พึ่งผ่านมาได้ไม่กี่วันนับจากเวลาที่ปล่อยอัลบั้มนี้ออกมา แต่แน่นอนว่าต่อให้เป็นกระแสชื่นชมที่ล้นหลามนี้ (ลามไปจนอวยสาวเทย์จนเปียกไปหมดทั้งตัว) ก็ไม่สามารถสร้างความประหลาดใจไปมากกว่าการตลาดชวนงง ที่สาวเทย์ประกาศว่าจะlaunchลีดซิงเกิ้ลอย่าง"cardigan" พร้อมทั้งอัลบั้มใหม่"folklore"ออกมาในช่วงเช้าของวันที่24ที่ผ่านมา (หลังจากที่พึ่งประกาศวันและเวลาที่จะปล่อยออกมาได้ไม่ถึง24ชั่วโมงด้วยซ้ำ) ทำเอาทั้งบรรดาคอแฟนเพลงสากลทั่วโลกและเหล่าสวิฟตี้แฟนเดนตายของนางตามแทบไม่ทัน
แม้แต่ตัวรีเองก็พึ่งรู้จากซิสในบอร์ดอย่างสาวpussyมาบอกด้วยซ้ำ ตอนแรกยังแอบคิดอยู่เลยว่าเห้ย อีเทย์ไปทำอัลบั้มนี้ตั้งแต่ตอนไหน แล้วที่งงไปกว่านั้นคือนางยุติการโปรโมตอีอัลบั้มloverแล้วเหรอ ซึ่งตอนแรกที่เห็นข่าว ก็แอบปรามาสว่าคงเป็นอัลบั้มขายขำ กะมาเอากระแสจากอีสองผัวเมียเวสท์หรือเปล่านะ แต่พอไล่ดูรายละเอียดไปเรื่อยๆ ก็อ้าวไม่ขำแล้วเน้อะ แลดูทำเป็นเรื่องเป็นราวเลยทีเดียว ยิ่งพอเห็นชื่อโปรดิวเซอร์ที่มาคุมบังเหียนอัลบั้มล่าสุดอย่าง"Aaron Dessner" มือกีต้าร์แห่งวงอินดี้แบนด์"The National"แล้ว ยิ่งรู้สึกhypeขึ้นมาอย่างประหลาด พร้อมมีเซ้นส์บางอย่างมันบอกรีว่า "เห่ย หรือนี่จะเป็นอัลบั้มของอีเทย์ในแบบที่เรารอคอยหรือเปล่านะ"
จะหาว่ารีพูดเอาเครดิทก็ได้นะ แต่ถ้าใครเคยอ่านรีวิวเพลงอีเทย์ของรีมาบ้าง รีมักจะพูดอยู่บ่อยครั้งว่ารีค่อนข้างเสียดายฝีมือการแต่งเพลงของอีเทย์ที่ปัจจุบันก้าวกระโดดไปไกลกว่าบรรดาพอพอสตาร์คนอื่นๆในรุ่นอย่างเห็นได้ชัด และยังคงอยากให้นางกลับมาแก้มือทำอัลบั้มคันทรี่อีกซักครั้ง หลังจากบาดแผลใหญ่สมัยครั้งfearless ที่หลายๆคนมองว่าoverratedเกินไปบ้าง หรือไม่สมมงอัลบั้มแห่งปีบ้าง ซึ่งรีเชื่อว่าถ้าอีเทย์นางเทิร์นแบ็คกลับมาแนวคันทรี่อีกครั้ง ด้วยสกิลและศักยภาพต่างๆของของนาง ณ เวลานี้ ที่พัฒนาไปอยู่ในระดับที่สามารถได้รับการยอมรับจากคนส่วนใหญ่ได้แล้ว อัลบั้มนั้นจะต้องสร้างชื่อและถูกจารึกในฐานะอัลบั้มมาสเตอร์พีซของนางได้อย่างแน่นอน
อีกทั้งทิศทางของอัลบั้มloverเอง ที่รีมองว่าตัวอีเทย์เองได้สร้างปลายเปิดเอาไว้ เหมือนครั้งตอนสมัยอัลบั้มred ที่แม้มันจะทำออกมาได้ไม่สุดซักทางเช่นกัน แต่ก็เป็นอัลบั้มที่ทำให้อีเทย์ได้ทดลองอะไรหลายๆอย่าง แล้วตัดสินใจว่าจะก้าวไปต่อในทิศทางไหน เฉกเช่นเดียวกับอัลบั้ม1989 ผลงานที่ผ่านการใคร่ครวญและต่อยอดแนวทางต่อจากอัลบั้มred อีกทั้งยังเป็นอัลบั้มที่เทิร์นมาแนวพอพเมนสตรีมเต็มสูบเป็นอัลบั้มแรก folkloreก็เป็นการสานต่อเจตนารมณ์ของอัลบั้มlover ด้วยการเปิดศักราชใหม่พร้อมกับการชิมลางแนวอินดี้พอพเป็นครั้งแรกด้วยเช่นกัน
folklore : A-
เข้าสู่บทวิจารณ์อัลบั้มล่าสุดนี้ "folklore" อีเทย์ได้ให้descriptionอัลบั้มนี้ไว้ว่าจะเป็นอัลบั้มที่ให้ความรู้สึกถึงความเศร้า ความคิดคำนึง โหยหาถึงอดีตที่ไม่สามารถเป็นไปได้ ความต้องการที่จะหลีกหนีจากทุกสิ่งทุกอย่าง โดยที่อีเทย์นางจะแสดงสิ่งเหล่านั้นผ่านอารมณ์ในโทนต่างๆ ทั้งความเสียใจ เศร้าโศก รวมถึงความงดงามด้วย เสมือนกับเรื่องราวต่างๆผ่านอัลบั้มภาพถ่ายในจินตนาการ ดังนั้นมูดแอนด์โทนของอัลบั้มนี้ จะออกแนวอึมครึม มีความฟุ้งๆ ปกคลุมไปด้วยหมอกควันที่ล่องลอยไปมา ให้ฟีลลิ่งเหมือนกำลังอยู่ท่ามกลางระหว่างความฝันกับความเป็นจริง
แค่จากคำโปรยนี้ก็คงพอจะเดาทิศทางของเพลงในอัลบั้มนี้ได้แล้วว่าจะออกมาในรูปแบบไหน อีกทั้งอย่างที่รีเคยบอกไปแล้วหลายๆครั้งในรีวิวเก่าๆว่า อีเทย์นางไม่ใช่นักร้องประเภทชอบหักหลังคนฟัง ที่ก่อนจะลั้นช์อัลบั้มก็พูดโม้อีกอย่างนึง พอของจริงกลับตาลปัตรราวฟ้ากับเหว หรือชื่ออัลบั้มไปทาง เพลงในอัลบั้มไปทาง ไม่ได้บ่งบอกถึงidentityหรือessenceที่อยากจะสื่อออกมาแต่อย่างใด ดังนั้นเรื่องความคีพโทน ความเป็นเอกภาพของภาคดนตรีอะไรนี่ เชื่อขนมกินได้เลยว่ามันออกมาดีแน่นอน อยู่ที่ว่าจะทำออกมาได้เนี๊ยบหรือดีกว่าเดิมไหมแค่นั้น
สำหรับจุดเด่นของอัลบั้มนี้ ต้องบอกว่าปกติแล้ว แค่การที่นักร้องระดับอีเทย์คัมแบ็ค(แอนด์คัมแป๊ก)นี่ ก็ถือว่าเป็นข่าวสนั่นทั่วทั้งโลกล่ะ ยิ่งครั้งนี้ยังเป็นการเปลี่ยน"แนวทาง"อีกครั้ง หลังจากครั้งแรกที่เทิร์นจากอีเพิ้งบ้านนอกมาเป็นพอพสตาร์new yorker แล้วจากพอพสตาร์หีไม่แห้งโกทูหนทางแห่งอินดี้เวย์อีก แน่นอนว่าทั้งกระแสตอบรับและกระแสวิพากษ์วิจารณ์เรียกได้ล้นหลามจนอ่านจนถึงเดือนหน้าก็ยังไม่หมด ดังนั้นจุดเด่นข้อแรกและเป็นข้อที่สำคัญที่สุดสำหรับอัลบั้มล่าสุดนี้ก็คงหนีไม่พ้นการก้าวย่างมาสู่หนทางแห่งอินดี้เวย์นี่เอง
แน่นอนว่ายังมีหลายๆคนที่เควสชั่นว่า เอ้ะ อัลบั้มนี้อีเทย์นางได้เทิร์นแบ็คกลับไปเป็นthe old taylorหรือเปล่านะ ถ้าจะให้ตอบจริงๆ มันก็มีส่วนที่ทั้งใช่และไม่ใช่ค่ะ ในส่วนที่ไม่ใช่คือ ต้องแก้misunderstandingก่อนว่าเพลงโฟล์คไม่ใช่เพลงคันทรี่นะคะ ไม่ได้เป็นซับเซ็ตอะไรด้วย แล้วเพลงในอัลบั้มนี้ส่วนใหญ่กระเดียดไปทางดนตรีโฟล์ค ส่วนจะโฟล์คพอพ อัลเทอร์ แชมเบอร์ โฟล์คโทรนิก้า หรืออะไรก็ตามแต่ อันนั้นก็อีกกรณี
แล้วที่สำคัญอีกอย่างคือ ณ ปัจจุบัน จะให้อีเทย์กลับไปกู้คืนภาพลักษณ์อีเพิ้งบ้านนอก ขวัญใจบรรดาลุงๆผิวเผือกดั้งขอเลือกRepublican ก็คงเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว (แล้วตัวอีเทย์เองก็คงไม่ได้ยี่หระกับอะไรพวกนี้อยู่ล่ะ) แถมแต่ละเพลงที่อีนี่แต่ง นับวันยิ่งเหมือนคนไข้จิตเวชเข้าไปทุกวี่ทุกวัน จะมาหาโอลด์เทลงเทเลอร์ หาอีเทย์ตามสถานบำบัดจิตยังง่ายซะกว่า
และส่วนที่ใช่ คือยังมีแทร็คที่เป็นคันทรี่โฟล์คแบบในสมัยอัลบั้มแรกๆในหายคิดถึงกันอยู่ เช่น bettyในแทร็คเกือบท้ายๆของอัลบั้มนี้ ตัวเพลงคันทรี่โฟล์คในแบบที่เราคุ้นเคย และมีเนื้อหาเชื่อมโยงกับแทร็คก่อนหน้านั้นอย่างaugust เป็นต้น
แล้วอีกเหตุผลนึงที่รีคิดว่าน่าจะเป็นสาเหตุสำคัญให้หลายๆคนมองว่านี่คือการกลับมาของโอล์ดเทเลอร์ นั้นก็เพราะความมินิมอล ความเรียบง่าย และดูออกานิคมากขึ้น ของบรรดาองค์ประกอบต่างๆในอัลบั้มนี้ ไล่ตั้งแต่อาร์ตเวิร์ค แนวดนตรี แมกระทั่งภาคเนื้อหาเอง ที่แม้จะดูเป็นคนไข้จิตเวชเกินเยียวยาไปบ้าง แต่ก็ต้องถือว่าเป็นมิตรและซอล์ฟกว่าอัลบั้มก่อนๆมากนัก ดูมีความเพ้อเจ้อคร่ำครวญมากขึ้น เพียงแค่เปลี่ยนจากอีเพิ้งเกากีต้าร์ก๊องแก๊ง ร้องเพลงแฟรี่เทลเป็นชะนีขี้มโน กลายเป็นชะนีที่ทั้งแก่ทั้งอ้วน นั่งหีแห้งเมาเหล้าอยู่ในห้องนอน เหมือนในbridget jones's diary
จุดเด่นข้อต่อมาที่น่าชื่นชมไม่แพ้กัน นอกจากความ"กล้า"ที่จะเปลี่ยนแนว(อีกรอบ)แล้ว คือการลุกขึ้นมาลงมือทำให้เห็นเลยว่า ฉันไม่ใช่นักร้องระดับfollowerที่ต้องตามcatch up with the trendอีกต่อไป และฉันนี่ล่ะ ที่จะเป็นผู้set the trendขึ้นมาเอง
แน่นอนว่า นอกจากประเด็นเรื่องฝีมือที่นางถูกค่อนขอดมาอย่างยาวนาน (จนปัจจุบันนางสามารถพิสูจน์ให้เห็นได้แล้วว่านางคือของจริง) อีกประเด็นที่เป็นcontroversialมานานไม่แพ้กัน อย่าง"ความเป็นtrendsetter"กับ"impactต่อpop culture" ที่ชื่อของอีเทย์มักจะถูกปรามาสมาโดยตลอดว่า นางมีอิมแพ็คอะไรต่ออุตสาหกรรมเพลงพอพอย่างงั้นเหรอ ก็แค่นักร้องcountry-go-popหรือเปล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในท็อปปิคนักร้องที่อยู่ท็อปที่สุดในยุค10's
ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าจากข้อกังขานี้ ทำให้หลายๆคนเควสชั้นว่า เราจะสามารถฝากความหวังไว้ที่อีเทย์ ให้เป็นแกนหลักที่สามารถขับเคลื่อนวงการเพลงพอพเมนสตรีมได้จริงๆหรือ เพราะนอกจากบารมีในฐานะพอพสตาร์เบอร์หนึ่งของยุคในแง่ชื่อเสีย(ง) เราสัมผัสด้านอื่นๆของนางได้จางมากๆ
แต่ในอัลบั้มนี้นี่เอง อีเทย์ได้แสดงให้เราได้เห็นแล้วว่า"โปรดวางใจฉันได้เลย" ด้วยการปาอัลบั้มที่อยู่ในระดับใกล้เคียง"มาสเตอร์พีซ"ที่สุด (และอาจจะเป็นมาสเตอร์พีซที่สุดในcareerของนาง) กระแทกใส่หน้าทุกคนอย่างไม่ทันตั้งตัว พร้อมตรอกกลับบรรดาผู้ที่ค่อนขอดนางว่าเป็นได้แค่country-go-popให้อ้าปากค้าง ด้วยการเทิร์นไปแนวอินดี้พอพแทนซะเลย
และจุดเด่นในข้อสุดท้าย ที่ต้องถือเป็นอีกหนึ่งพรสวรรค์ของอีนี่ไปซะแล้วก็ได้มั้ง นั้นคือเซ้นส์การเลือกเพลงของนาง เหมือนอย่างรีเคยพูดถึงไปเมื่อรีวิวอัลบั้มก่อนๆของนางว่า อีเทย์เป็นนักร้องที่มีเซ้นส์การเลือกเพลงได้ยอดเยี่ยมมากๆ โดยเฉพาะเรื่องความไพเราะและร่วมสมัย เรื่องนี้คือยืนหนึ่งพอๆกับกับฝีมือการเขียนเพลงนางของเลยก็ว่าได้ แต่สิ่งที่แตกต่างไปจากอัลบั้มก่อนๆ คือในอัลบั้มก่อนๆ ยังมีบางแทร็คที่ภาคดนตรีอ่อนจนถึงง่อยให้เห็นกันบ้าง แต่อัลบั้มนี้เหมือนผ่านการคัดแล้วคัดอีก (ทั้งๆที่ความจริงคือนางพึ่งอัดได้ไม่นานด้วยซ้ำ) ไม่มีแทร็คไหนที่ทำให้รีรู้สึกเลยว่า เห่ย นี่ผ่านการกลั่นกรองมาแล้วใช่ไหม คืออาจไม่ได้ยืนstanding ovationปรบมือรัวๆให้ครบทุกเพลงในอัลบั้มก็จริง แต่อย่างน้อยก็ไม่มีแทร็คไหนที่อ่อนด้อยจนเป็นจุดอ่อนให้กับอัลบั้มนี้ได้ซักเพลงเลยจริงๆ ถือว่ารอบนี้หล่อนทำการบ้านมาได้ดีมากจริงๆค่ะ กลบจุดด้อยของอัลบั้มตัวเองได้เกือบหมดเลย
ในส่วนที่เป็นจุดด้อยของอัลบั้มนี้ เอาจริงๆมันก็ไม่เชิงเป็นข้อเสียอะไรมากหรอก อาจจะด้วยความเรื่องมากของตัวรีเอง ที่คิดว่าภาพรวมมันยัง"เบา"ไปหน่อย หรือให้พูดแบบเข้าใจง่ายๆว่า มันยังอินดี้ไม่พอ ด้วยความที่ตัวรีเองอยากเห็นอีเทย์ทำอะไรที่มันก้าวข้ามไปมากกว่างานที่สามารถเห็นได้ทั่วๆไปในตลาดเพลงเมนสตรีม เช่น บลูส์ร็อคหม่นๆเข้มข้น หรือคันทรี่โซล มีกอสเพลอลังการ ไม่ก็อิเล็กโทรโฟล์คเก๋ๆ พอของจริงออกมาเป็นงานอินดี้พอพที่หาฟังได้จากนักร้องอินดี้พอพทั่วๆไป ส่วนตัวก็แอบรู้สึกนอยด์นิดนึง แต่มันก็เป็นความรู้สึกผิดหวังที่ยอมรับได้ คือหนึ่งตัวอีเทย์เองก็ไม่ได้ออกมาโอเวร์เคลมว่าจะต้องเป็นอย่างงู้นอย่างงี้แต่แรก กับสองยังไงนางก็ต้องขายตลาดเมนสตรีมอะนะ ทำเพลงฟังยากเกินไปดี๋ยวก็เจ๊งอีก
แต่อีกเหตุผลนึงที่ส่วนตัวเห็นว่าถ้าอัลบั้มนี้ไม่มีซะจะดีกว่า คืออีแจ็ค แอนโทน็อฟฟ์ คือไม่ปฏิเสธนะว่าอีแจ็คเป็นPDที่เก่งมากและมือทองที่สุดในทศวรรษนี้แล้ว แต่อะไรที่มันไม่ใช่ก็คือไม่ใช่อะค่ะ โดยเฉพาะการมีส่วนร่วมในอัลบั้มนี้ คือทุกครั้งที่แอบรู้สึกขัดใจกับโทนเพลงนี้จัง พอเหลือบไปดูเครดิทแล้วเห็นชื่ออีแจ็ค ก็บั่บ เออ กูว่าล่ะทำไม เพลงกำลังมาแนวโฟล์คฟังสบายๆอยู่ อีนี่เบรคด้วยดรีมพอพ อ่ะยังพอหยวนๆ ผ่านไปซักแปปอีนี่มาซินธ์พอพอีก จนแบบอะไรของมึงคะะะ
คือจะบอกว่าตัวเองถนัดแต่แนวโมเดิร์นพอพก็ไม่ถูกม่ะ ตัวอีแจ็คเองก็แจ้งเกิดจากมือกีตาร์วงfun. สมัยsome nightsหล่อนก็ลอกทั้งควีน สกอร์เปี้ยน หรือวงหินกลิ้งมาซะขนาดนั้น (วรั้ยยย) เพลงโฟล์คก็ไม่น่าจะยากเกินไปนะคะ หรือเซ้นส์ดนตรีร็อคของหล่อนขึ้นสนิมไปหมด
สุดท้าย ถ้าจะให้รีกล่าวถึงอัลบั้มนี้อย่างสรุปอีกครั้ง รีขอพูดแบบไม่กลัวกะเทยหน้าไหนมาแหกเลยนะว่า นี่คือthe greastest comebackของพอพสตาร์ที่สมการรอคอยมากที่สุดอัลบั้มหนึ่งของปี2020เลยก็ว่าได้ ด้วยความที่อัลบั้มนี้มาได้ถูกที่ถูกเวลา ทุกคนกำลังรู้สึกเบื่อ อึดอัดต่อสถานการณ์ของโควิดที่ไม่จบไม่สิ้นซักที โดยเฉพาะในหลายๆประเทศที่อัตราการแพร่ระบาดยังอยู่ในระดับสูงอยู่ อัลบั้มนี้ก็เหมือนอัลบั้มที่ถูกทำขึ้นมาเพื่อserveในสภาวะที่ต้องถูกquarantine เปรียบเสมือนเพื่อนในยามที่รู้สึกเหงาหรือโดดเดี่ยว
อีกทั้งองค์ประกอบทุกอย่างในอัลบั้มนี้เอง ก็ล้วนแล้วแต่ทำได้อย่างพิถีพิถัน สมบูรณ์ และงดงาม ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมใครหลายๆคนถึงยกให้"folklore"เป็นอัลบั้มที่ใกล้เคียงระดับมาสเตอร์พีซมากที่สุดตลอดcareerของอีเทย์ เพราะอัลบั้มนี้ก็ได้พิสูจน์แล้วว่าควรจะdeserveมันจริงๆ
_________________