Article

Blog Entry



Lone Survivor ปฎิบัติการสมรภูมิเดือด

Lone Survivor Movie Pictures, Posters, Wallpapers 296998

Lone Survivor

30 มกราคม ในโรงภาพยนตร์

ข้อมูลงานสร้าง

“ไม่ว่าผมจะลุกขึ้น บอกเล่าเรื่องราวนี้ซักกี่ครั้ง

ไม่ว่าคนจะอ่านหนังสือเรื่องนี้มากมายแค่ไหน

แต่มันก็เทียบไม่ได้เลยกับคนจำนวนมหาศาลที่จะดูภาพยนตร์เรื่องนี้

ดังนั้น งานของผมก็ลุล่วงแล้วล่ะ ภารกิจเสร็จสิ้น”

–มาร์คัส ลัทเทรล

Lone Survivor Movie Pictures, Posters, Wallpapers 287538

Lone Survivor ที่สร้างจากหนังสือเบสต์เซลเลอร์ของนิวยอร์ก ไทม์ เกี่ยวกับเรื่องจริงของวีรกรรม ความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวไม่ยอมแพ้ บอกเล่าเรื่องราวที่เหลือเชื่อของสมาชิกสี่คนของหน่วยนาวีซีล ที่ออกปฏิบัติภารกิจในการเด็ดชีพแกนนำระดับสูงของอัลเควดา แต่แล้วพวกเขาก็ถูกซุ่มโจมตีจากศัตรูในเขตภูเขาของอัฟกานิสถาน เมื่อเผชิญหน้ากับการตัดสินทางทางศีลธรรมที่น่าหนักใจ คนกลุ่มนี้ถูกตัดขาดจากความช่วยเหลือและถูกล้อมไปด้วยกองกำลังตาลีบันที่พร้อมจะทำสงคราม ในตอนที่พวกเขาเผชิญหน้ากับอุปสรรคที่ถาโถมเข้ามา ทั้งสี่ก็ค้นพบความเข้มแข็งและความกล้าหาญในตัวเองที่จะยืนหยัดต่อสู้จนถึงที่สุด

มาร์ค วอห์ลเบิร์ก (The Fighter, Contraband) นำทีมนักแสดงในบทมาร์คัส ลัทเทรล ผู้เขียนอนุทิน “Lone Survivor” ผู้ซึ่งหนังสือของเขากลายเป็นสิ่งสร้างแรงจูงใจด้วยบทเรียนที่ว่าพลังของจิตวิญญาณมนุษย์จะถูกทดสอบอย่างไรเมื่อเราถูกผลักดันให้ถึงขีดจำกัดด้านร่างกายและจิตใจ

ผู้ที่แสดงร่วมกับวอห์ลเบิร์กในบทสมาชิกทีมคนอื่นๆ ที่อุทิศทุกสิ่งเพื่อสหายร่วมรบคือเทย์เลอร์ คิทส์ (Savages, Friday Night Lights) ในบทไมเคิล เมอร์ฟีย์, เอมิล เฮิร์สช์ (Into the Wild, ซีรีส์ Bonnie and Clyde) ในบทแดนนี ดิทซ์และเบน ฟอสเตอร์ (3:10 to Yuma, Kill Your Darlings) ในบทแมทธิว “แอ็กซ์” อีริค บานา (Star Trek, Hanna) ร่วมทีมในบทอีริค คริสเตนเซน ผู้บังคับบัญชาของพวกเขาในอัฟกานิสถาน

ผู้ที่แสดงสมทบกับพวกเขาได้แก่อาลี ซูไลมาน (The Kingdom) ในบทโมฮัมมัด กูลับ ชาวอัฟกานิสถาน ผู้คุ้มครองลัทเทรลในตอนที่กลุ่มตาลีบันตั้งใจจะสังหารเขา, อเล็กซานเดอร์ ลุดวิก (The Hunger Games) ในบทเชน แพตตัน หนึ่งในสมาชิกที่อายุน้อยที่สุดของซีลหน่วย 10, ยูซัฟ อาซามี (Brothers) ในบทอาห์มัด ชาห์ ผู้บัญชาการตาลีบันอาวุโส ผู้วางแผนการโจมตีครั้งนี้และแซมมี ชี้ค (Transformers: Dark of the Moon) ในบทมือขวาหัวรุนแรงของชาห์

Lone Survivor เขียนบทและกำกับโดยปีเตอร์ เบิร์ก ผู้สร้างภาพสะท้อนที่โดดเด่นของสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างคนกลุ่มหนึ่ง อย่างที่เขาเคยนำเสนอมาแล้วใน Friday Night Lights ภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่สร้างขึ้นจากหนังสือเรื่อง “Lone Survivor” โดยจ่าเอกมาร์คัส ลัทเทรล ผู้ลาออกจากราชการแล้ว และแพทริค โรบินสัน บอกเล่าเรื่องราวตื่นเต้นของการที่การตัดสินใจเพียงครั้งเดียวส่งผลให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่อาจคาดคิดสำหรับสมาชิกหน่วยซีลและเพื่อนร่วมชาติที่พยายามจะช่วยชีวิตพวกเขา

แม้ว่า Lone Survivor จะมีการเสริมแต่งบางอย่างเข้าไปตามความจำเป็นในการสร้างเรื่องราวนี้เป็นภาพยนตร์ แต่ทีมงานก็มุ่งมั่นที่จะคงไว้ซึ่งประสบการณ์จริงของสิ่งที่คนเหล่านี้ต้องเผชิญระหว่างปฏิบัติภารกิจ มันเป็นภาพสะท้อนที่สมจริง ไร้กาลเวลาและแปลกแยกของการเสียสละของนักรบกลุ่มเล็กๆ นี้…และการที่คนเพียงคนเดียวได้รอดชีวิตมาบอกเล่าเรื่องราวของพวกเขา

ทีมงานเบื้องหลังกล้องที่อุทิศให้กับการยกย่องเรื่องราวของความไม่เห็นแก่ตัวและความกล้าหาญของพวกเขารวมถึงทีมงานหน้าใหม่ที่ประสบความสำเร็จและผู้ที่เคยร่วมงานกับเบิร์กมาแล้วหลายครั้ง พวกเขานำทีมโดยผู้กำกับภาพโทเบียส ชไลส์เลอร์ (Friday Night Lights, Hancock), ผู้ออกแบบงานสร้าง ทอม ดัฟฟิลด์ (The Kingdom, Broken City), มือลำดับภาพ โคลบี้ ปาร์คเกอร์ จูเนียร์ (Hancock, Friday Night Lights), ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย เอมี สตอฟสกี้ (Mulholland Drive, Wild at Heart) และผู้ประพันธ์ดนตรี เอ็กซ์โฟลชันส์ อิน เดอะ สกาย (Friday Night Lights, Prince Avalanche) และสตีฟ จาบลอนสกี้ (Transformers series, Ender’s Game)

แอ็กชันดรามาเรื่องนี้อำนวยการสร้างโดยเบิร์ก, ซาราห์ ออเบรย์ (Lars and the Real Girl, Bad Santa), แรนดัลล์ เอ็มเม็ตต์ (2 Guns, End of Watch), นอร์ตัน เฮอร์ริค (2 Guns, The Devil’s Double), เจ้าของรางวัลอคาเดมี อวอร์ด แบร์รี สไปคิงส์ (The Deer Hunter, Beyond Rangoon), เจ้าของรางวัลอคาเดมี อวอร์ด อากิวา โกลด์สแมน (A Beautiful Mind, Hancock), วอห์ลเบิร์ก, สตีเฟน เลวินสัน (Contraband, Broken City) และวิทาลี กริกอไรแอนท์ (upcoming Spinning Gold)

ผู้ควบคุมงานสร้างได้แก่จอร์จ เฟอร์ลา (2 Guns), ไซมอน ฟอว์เซ็ตต์ (Bronson), เบรเดน อาฟเตอร์กู๊ด (Battleship), หลุยส์ จี. ฟรายด์แมน (American Reunion), เรมิงตัน เชส (2 Guns), สเตฟาน มาร์ติรอสยัน  (End of Watch), อาดี้ แชนคาร์ (Broken City), สเปนเซอร์ ซิลนา (The Grey), มาร์ค เดมอน (2 Guns), แบรนด์ แอนเดอร์สัน (2 Guns) และเจฟฟ์ ไรซ์ (End of Watch)

Lone Survivor Movie Pictures, Posters, Wallpapers 287536

เหตุการณ์ก่อนหน้างานสร้าง

บันทึกจากพยาน:

การมีชีวิตอยู่เพื่อเล่าเรื่องราว

ในวันที่ 28 มิถุนายน ปี 2005 ทีมลาดตระเวนและสังเกตการณ์ได้ขึ้นเฮลิคอปเตอร์เพื่อแฝงตัวเข้าไปในดินแดนภูเขาในจังหวัดคูนาร์ ใกล้กับชายแดนปากีสถาน ภารกิจของพวกเขา ภายใต้รหัส ปฏิบัติการปีกแดง คือการชี้เป้าอาห์มัด ชาห์ ผู้นำตาลีบันคนสำคัญที่เชื่อกันว่าซ่อนตัวอยู่ในภูเขาบริเวณนี้ และเป็นผู้รับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของทหารอเมริกันมากมาย นี่คือส่วนหนึ่งของชีวิตคนทั้งห้าที่เราจะได้ติดตามในภาพยนตร์เรื่องนี้

Lone Survivor Movie Pictures, Posters, Wallpapers 287545

  • อีริค คริสเตนเซน: นาวาตรี อีริค เอส. คริสเตนเซน เป็นผู้บัญชาการของปฏิบัติการปีกแดง และเขาก็รับรู้ดีว่า เมื่อสัปดาห์ก่อน ชาห์ได้สังหารทหารเรือไปแล้ว 20 นายและผู้นำตาลีบันผู้นี้ก็จะไม่ลังเลที่จะสังหารทหารอเมริกันทุกที่และทุกเมื่อที่เขามีโอกาส เมื่อทีมลาดตระเวนสี่นายของคริสเตนเซนขาดการติดต่อไป เขาก็ทำทุกอย่างที่อยู่ภายใต้อำนาจเขาเพื่อตามหาหน่วยซีลของเขาและพาตตัวพวกเขากลับคืนสู่ฐานให้ได้ การปฏิบัติตามหน้าที่ของเขาทำให้เขาได้รับเหรียญบรอนซ์สตาร์ ประดับตัว “V,” เพอร์เพิล ฮาร์ท, คอมแบท แอ็กชัน ริบบอนและอัฟกานิสถาน แคมเปญ มีดัล ที่เขาได้รับหลังจากเสียชีวิตแล้ว
  • ไมเคิล เมอร์ฟีย์: ร้อยโทไมเคิล แพทริค “เมิร์ฟ” เมอร์ฟีย์ เป็นเจ้าหน้าที่ภาคสนาม ที่เป็นหัวหน้าในปฏิบัติการปีกแดง เขารายงานขึ้นตรงกับคริสเตนเซน ในการเป็นแนวหน้าให้กับกองกำลังพิเศษขนาดใหญ่กว่าที่จะกำจัดชาห์ เมอร์ฟีย์ได้รับมอบหมายให้นำทีมสี่คนของเขาลาดตระเวนในบริเวณเทือกเขาฮินดูกูชที่อันตราย การปฏิบัติหน้าที่ของเขาทำให้เมอร์ฟีย์เป็นบุคคลแรกในอัฟกานิสถานที่ได้รับเหรียญมีดัล ออฟ ออเนอร์ ซึ่งเป็นเกียรติยศขั้นสูงสุดทางทหาร หลังจากที่เขาเสียชีวิตแล้ว
  • มาร์คัส ลัทเทรล: จ่าเอกมาร์คัส ลัทเทรลเป็นแพทย์ทหารประจำปฏิบัติการปีกแดง และเป็นสมาชิกซีลหน่วย 10 แห่งแบแกรม แอร์ฟิลด์ในอัฟกานิสถาน ภารกิจของทีม ภายใต้คำสั่งของร้อยโทเมอร์ฟีย์ คือการสืบเรื่องนราวของชาห์ และในฐานะหนึ่งในนักแม่นปืน เขามีบทบาทสำคัญในการยับยั้งการรุกคืบของศัตรู การปฏิบัติหน้าที่ของเขาทำให้เขาได้รับเหรียญตรานาวี ครอส
  • แมทธิว “แอ็กซ์” แอ็กเซลสัน: ช่างเทคนิคโซนาร์ (พื้นผิว) จ่าโทแมทธิว ยีน “แอ็กซ์” แอ็กเซลสัน เป็นคนที่มองการณ์ไกล ก่อนหน้าที่เพื่อนร่วมทีมของเขาจะทิ้งแบแกรม แอร์ฟิลด์ไว้เบื้องหลัง ผู้เชี่ยวชาญด้านเส้นทางผู้นี้ได้ศึกษาแผนการแฝงตัวของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า เขาร่วมกับลัทเทรลวาดแผนที่ แผนภูมิและพิมพ์เขียวของทุกอาคารในหมู่บ้านของชาห์อย่างละเอียดขณะที่พวกเขาออกลาดตระเวน เขารู้จักท้องถิ่นนี้ดีกว่าชาวต่างชาติคนไหนๆ การปฏิบัติหน้าที่ของเขาทำให้เขาได้รับเหรียญตรานาวี ครอส หลังจากที่เขาเสียชีวิตแล้ว
  • แดนนี ดิทซ์: ทหารเหล่าทหารการปืน (ซีล) แดนนี พี. ดิทซ์, จูเนียร์ เป็นเจ้าหน้าที่สื่อสารและผู้ชี้เป้าของซีลหน่วย 10 ภูเขาฮินดูกูชเป็นบริเวณที่ทุรกันดานและยากต่อการส่งสัญญาณสื่อสาร ดิทซ์พยายามดิ้นรนหาสัญญาณวิทยุในตอนที่ต้องแจ้งเตือนทีมอพยพว่าภารกิจล้มเหลวและเพื่อนหน่วยซีลของเขาต้องการความช่วยเหลือ การปฏิบัติหน้าที่ของเขาทำให้เขาได้รับเหรียญตรานาวี ครอส หลังจากที่เขาเสียชีวิต

Lone Survivor Movie Pictures, Posters, Wallpapers 297007

แม้ว่าเมอร์ฟีย์, ดิทซ์, แอ็กซ์และลัทเทรล ภายใต้บัญชาการของคริสเตนเซน จะสามารถแฝงตัวเข้าไปในภูมิภาคนั้นได้สำเร็จ คนเลี้ยงแพะสามคนที่ไล่ต้อนฝูงแพะก็บังเอิญเจอสถานที่ซ่อนตัวของพวกเขาเข้า และทำให้ภารกิจนี้ตกอยู่ในอันตราย สมาชิกหน่วยซีลรู้ดีว่าถึงเวลาต้องถอนตัวแล้ว กฎของพวกเขาระบุให้พวกเขาปล่อยตัวพลเมืองที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสู้รบ แต่หากพวกเขาทำเช่นนั้น พวกเขาก็รู้ว่าหลังจากนั้นเพียงไม่นาน ข่าวของพวกเขาก็จะล่วงรู้ไปถึงหูของนักรบตาลีบันว่ามีชาวอเมริกันอยู่บนภูเขา

หลังจากถกประเด็นกันเรื่องกฎสงคราม พวกเขาก็เห็นว่าพวกเขามีทางเลือกเพียงแค่สามข้อคือสังหารคนทั้งสามเพื่อไม่ให้พวกเขาเผยที่ซ่อนตัวนี้ให้พวกตาลีบันได้รู้ มัดตัวพวกเขาไว้แล้วปล่อยพวกเขาบนภูเขา ซึ่งพวกเขาจะตายอย่างแน่นอนเนื่องด้วยอุณหภูมิที่ลดลง หรือปล่อยพวกเขาไป แล้วมุ่งหน้าไปยังโซนสื่อสารและจุดรับตัว ท้ายที่สุด ชาวบ้านทั้งสามก็ได้รับการปล่อยตัว และหน่วยซีลก็เริ่มต้นปีนเขาอย่างยากลำบากไปสู่บริเวณที่พวกเขาหวังว่าจะปลอดภัย

ไม่นานนัก ห่ากระสุนก็เปิดฉากโจมตีพวกเขา การจู่โจมของตาลีบัน ซึ่งมีทั้งกระสุนจากปืนกล PK, AK-47, RPG-7 และ ปืนครก 82 ม.ม. เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและไร้ปรานี จากทั้งสามด้าน ประสบการณ์ที่ผ่านมาของพวกเขาก็ไม่อาจเตรียมพวกเขาให้พร้อมกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ได้ พวกเขาถูกล้อมไว้ด้วยกองกำลังศัตรูทีเหนือกว่าและถูกต้อนให้จนมุมลึกเข้าไปในบริเวณที่อันตรายมากขึ้นเรื่อยๆ

น่าเศร้าที่เมอร์ฟีย์, ดิทซ์และแอ็กเซลสันต้องสังเวยชีวิตในภูเขาลูกนั้น รวมทั้งผู้ที่ตั้งใจจะมาช่วยเหลือพวกเขา ที่อยู่บนเฮลิคอปเตอร์ชีนุคไนท์ สตอล์คเกอร์ MH-47D ที่พยายามจะช่วยเหลือหน่วยซีลทั้งสี่คน เฮลิคอปเตอร์ลำนั้นถูกกองกำลังตาลีบันใช้ปืนยิงจรวดยิงร่วงลงมา และทุกคนบนเครื่องก็เสียชีวิตทั้งหมด

เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการพิเศษทั้ง 16 นาย ซึ่งรวมถึงนาวีซีล 8 นาย –คริสเตนเซน, จ่าเอกเจฟฟรีย์ เอส. เทย์เลอร์ จ่าโทเจมส์ อี. ซูห์, พันจ่าตรีฌาคส์ เจ. ฟอนแทน, จ่าเอกเจฟฟรีย์ เอ. ลูคัส, พันจ่าโทแดเนียล อาร์. ฮีลลี, ร้อยโทไมเคิล เอ็ม แม็กกรีวี, จูเนียร์, จ่าโทเชน อี. แพตัน และทหารหน่วยไนท์ สตอล์คเกอร์อีก 8 นายได้แก่ นายพลสตีเฟน ซี. รี้ช, จ่าสิบโทไมเคิล แอล. รัสเซล, ทหารสัญญาบัตรพิเศษ คริสโตเฟอร์ เจ. เชอร์เคนบาค, จ่าสิบเอกเจมส์ “เทร” ดับบลิว. พอนเดอร์ เดอะ เธิร์ด, นายสิบคิป เอ. จาโคบี้, จ่าสิบโทมาร์คัส วี. มูแรลเลส, จ่าสิบตรี ชามัส โอ. โกเรและนายทหารสัญญาบัตรพิเศษระดับ 3 โครีย์ เจ. กู๊ดเนเจอร์ ต้องเสียชีวิตไปในวันแห่งชะตากรรมนั้น

เนื่องด้วยการปฏิบัติหน้าที่ของเพื่อนร่วมรบของเขา ลัทเทรลจึงสามารถหลบหนีจากศัตรูและคลานเป็นระยะทางหลายไมล์ไปจนถึงที่ปลอดภัย แม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บสาหัส อย่างไรก็ดี อีกครั้งหนึ่งที่ชาวอัฟกานิสถานบังเอิญเจอที่หลบซ่อนตัวองเขา แต่ครั้งนี้ เขาโชคดีกว่า ชาวพัชตุนชื่อ กูลับ ได้เจอลัทเทรลที่บาดเจ็บหนักใกล้ตาย เขานอนสลบไสลด้วยบาดแผลที่ไหล่ กระดูกหน้าร้าว หลังและกระดูกเชิงกรานหัก และมีรูกระสุนเต็มร่างเขา

กูลับ ผู้ซึ่งเผ่าของเขายึดมั่นหลักธรรมโบราณของพวกพัชตุน ที่มีมาตั้งแต่ก่อนยุคอิสลาม โดยหลักธรรมนี้ระบุว่าเขาจะต้องช่วยเหลือผู้ที่ตกที่นั่งลำบากจากศัตรูของเขา ตัดสินใจพาลัทเทรลกลับบ้านโดยไม่ลังเล แม้ว่าจะต้องเสี่ยงชีวิตตัวเอง ชีวิตของครอบครัวและเพื่อนร่วมหมู่บ้าน กูลับก็ต่อต้านชาห์ ผู้นำกลุ่มตาลีบัน และซ่อนทหารอเมริกันนายนี้ไว้จนกระทั่งสามารถส่งตัวเขากลับสู่ฐานที่มั่นอย่างปลอดภัยได้

ราวปาฏิหาริย์ ในที่สุด ลัทเทรลก็ถูกกองกำลังอเมริกันตามหาตัวจนพบและช่วยเหลืออย่างปลอดภัย ความกล้าหาญ ความเด็ดเดี่ยว ความเมตตาจากคนแปลกหน้าและความเสียสละจากพี่น้องหน่วยซีลภายใต้สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด ทำให้ลัทเทรลยังมีชีวิตอยู่ในทุกวันนี้ โดยมีภารกิจเพียงหนึ่งเดียวนั่นคือการแบ่งปันเรื่องราวของพวกเขา

ลัทเทรลกล่าวว่า “มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเป็นพี่น้อง และเกี่ยวกับการที่ว่าไม่ว่าเหตุการณ์จะเลวร้ายแค่ไหนหรือจะเกิดอะไรขึ้นกับคุณ คุณก็ต้องสู้ต่อไปเพื่อคุ้มครองคนที่อยู่เคียงข้างคนจนกว่าคุณจะตาย คุณจะต้องผ่านเรื่องราวแบบนั้นถึงจะเข้าใจขีดจำกัดของสิ่งที่คนๆ หนึ่งสามารถทำได้เพื่ออุทิศชีวิตให้คนอื่น คนส่วนใหญ่จะไม่ทำเช่นนั้น นั่นเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นครับ มันเปลี่ยนจากการไล่ล่าคนๆ หนึ่งไปสู่การคุ้มครองกันและกันจนกระทั่งตอนสุดท้ายครับ”

สมาชิกหน่วยซีล 11 ชีวิตและทหาร 8 ชีวิตต้องสูญสิ้นลงไปบนภูเขาลูกนั้น วันดังกล่าวได้รับการจารึกในประวัติศาสตร์ของเรา ในฐานะวันที่มีการสูญเสียกองกำลังพิเศษของหน่วยนาวีภายในครั้งเดียวมากที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง จนกระทั่งวันที่ 6 สิงหาคม ปี 2011 เมื่อเฮลิคอปเตอร์ชีนุคโบอิ้ง CH-47 ของสหรัฐฯ ถูกยิงร่วงในอัฟกานิสถาน ทำให้เจ้าหน้าที่ทหารชาวอเมริกัน 30 นายและชาวอัฟกัน 8 คนเสียชีวิต

Lone Survivor Movie Pictures, Posters, Wallpapers 297008

เกี่ยวกับงานสร้าง

จากหน้ากระดาษสู่หน้าจอ:

สานต่อปฏิบัติการปีกแดง

เมื่อหนังสือเรื่อง “Lone Survivor: The Eyewitness Account of Operation Redwing and the Lost Heroes of SEAL Team 10” โดยจ่าเอกมาร์คัส ลัทเทรล ผู้ลาออกจากราชการแล้ว และแพทริค โรบินสัน ตีพิมพ์ในปี 2007 มันก็ติดอันดับเบสต์เซลเลอร์หนังสือนอนฟิคชันของนิวยอร์ก ไทม์อย่างรวดเร็ว

เรื่องจริงของหน้าที่และเกียรติยศเมื่อเผชิญหน้ากับอุปสรรคที่ถาโถมและวีรกรรมของเพื่อนร่วมรบผู้ล่วงลับ กลายเป็นที่สนใจของผู้กำกับปีเตอร์ เบิร์ก ในตอนที่ซาราห์ ออเบรย์ หุ้นส่วนของเขาที่ฟิล์ม 44 ได้ยื่นหนังสือเรื่องนี้ให้เขาและยืนกรานให้เขาอ่านมัน แม้ว่าระหว่างนั้นเขาจะกำลังอยู่ระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์เรื่อง Hancock ของเขา เบิร์กก็เริ่มพลิกหนังสือเล่มนี้ระหว่างพักกลางวัน ภายในเวลาไม่กี่นาที เขาก็ติดใจมัน เขาล็อคประตูเทรลเลอร์และอ่านหนังสือเล่มนี้ตั้งแต่ปกหน้ายันปกหลัง ด้วยความมุ่งมั่นที่จะคว้าสิทธิในการดัดแปลง “Lone Survivor” ให้เป็นภาพยนตร์ เบิร์กก็เริ่มหมกมุ่น

ออเบรย์เล่าว่าทุกอย่างเริ่มต้นได้อย่างไร “ตอนแรก เราได้รับ ‘Lone Survivor’ มาจาก แบร์รี สไปคิงส์ เพื่อนคนหนึ่งของฟิล์ม 44 ผู้ได้รับมันจากทนายของมาร์คัสอีกที พอฉันได้อ่านหนังสือเรื่องนี้ ฉันก็รู้ทันทีว่ามันจะเป็นหนังที่เพอร์เฟ็กต์สำหรับพีท จุดแข็งของเขาในฐานะผู้กำกับคือการนำพาผู้ชมเข้าสู่โลกปิด หนังสือเล่มนี้มีรายละเอียดที่ชัดเจนว่าหน่วยซีลปฏิบัติภารกิจร่วมกันอย่างไรด้วยอารมณ์ที่ท่วมท้น และนั่นคือจุดที่พีทชื่นชอบ เขาชื่นชอบการพาผู้ชมเข้าสู่โลกใบหนึ่ง แล้วเผยรายละเอียดให้ผู้ชมได้รับรู้ ก่อนที่จะพาพวกเขาเข้าสู่ห้วงอารมณ์สะเทือนใจ หนันงสือเรื่องนี้มีเรื่องราวที่สะเทือนอารมณ์อย่างเหลือเชื่อของความเป็นพี่น้องและการเสียสละ และท้ายที่สุด เรื่องราวกับกูลับ แสดงให้เห็นถึงความกรุณาและความเป็นมนุษย์ แม้กระทั่งท่ามกลางสงคราม”

เบิร์กยอมรับว่าการตัดสินใจเลือกเนื้อหาภาพยนตร์ของเขาเกิดจากความสนใจธีมที่เป็นเรื่องปกติสามัญท่ามกลางคนในแวดวงกีฬาและทหาร เขากล่าวว่าเขาสนใจในเหตุผลที่ทำให้คนเหล่านี้ยอมเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงกับอันตราย เบิร์กเล่าว่า “ตอนที่ผมได้อ่านหนังสือของมาร์คัสครั้งแรก สิ่งที่โดนใจผมมากที่สุดคือปัญหาหนักใจที่คนเหล่านี้ต้องเผชิญ การที่ภารกิจตกอยู่ในอันตรายเพราะคนเลี้ยงแพะสามคนและรู้ว่าถ้าพวกเขาปล่อยคนพวกนี้ไป พวกเขาก็อาจจะต้องต่อสู้กับศัตรูจำนวนมหาศาล”

การเดินทางของหน่วยซีลสอดคล้องกับธีมที่ผู้กำกับได้กลับมาหาครั้งแล้วครั้งเล่าในโปรเจ็กต์ของเขา มือเขียนบท/ผู้กำกับผู้นี้กล่าวว่า “เรื่องราวนี้เกี่ยวกับการทำงานร่วมกันเพื่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าอีโก้ของเรา กว่าตัวของเรา มันเป็นเรื่องของการร่วมแรงร่วมใจกันในฐานะทีม ที่คุ้มครองกันและกัน รักกันและกัน คอยดูแลกันและกัน และพบความเข้มแข็งที่ยิ่งใหญ่ในฐานะทีม ซึ่งมากกว่าที่คุณจะหาได้ในฐานะปัจเจก มาร์คัสเขียนหนังสือที่นอกเหนือจากจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับคน 19 คนที่ถูกสังหารในวันที่น่าเศร้าวันนั้นในอัฟกานิสถานแล้ว ก็ยังเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเป็นพี่น้อง ความเสียสละและความมุ่งมั่นของทีมอีกด้วย”

เบิร์กและออเบรย์ได้ติดต่อลัทเทรลเพื่อพูดคุยถึงความเป็นไปได้ในการดัดแปลงเรื่องราวของซีลเรื่องนี้ให้เป็นภาพยนตร์ “ในช่วงเริ่มต้น ฉันกับพีทได้พบกับมาร์คัสในออสติน” ออเบรย์อธิบาย “เขาเดินเข้ามาในห้อง และเขาก็เป็นคนที่ยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามในทุกสถานการณ์ แต่การที่เรารู้ว่าเขาเป็นนาวีซีล ที่รอดชีวิตจากการทดสอบที่เหลือเชื่อ ทำให้คุณให้ความยำเกรงกับเขาในตอนที่เขาพูด เขาพูดอย่างชัดเจนถึงความต้องการของเขาในการยกย่องความทรงจำเกี่ยวกับเพื่อนร่วมรบที่เสียชีวิตของเขา เรารู้ทันทีเลยว่าเราจะต้องนำเสนอมันออกมาอย่างถูกต้อง ไม่อย่างนั้นก็จะเกิดปัญหาแน่นอน เขาจะไม่ปล่อยให้เราสร้างเวอร์ชันที่ครึ่งๆ กลางๆ ขึ้นมาหรอกค่ะ”

ในส่วนของพวกเขา เบิร์กและลัทเทรลได้พูดคุยกันอย่างถูกคอ ในการพบกันครั้งหนึ่งของเขา เบิร์กโชว์เวอร์ชันตัดแบบหยาบๆ ของ The Kingdom ภาพยนตร์ปี 2007 ที่ตอนนั้นกำลังจะเข้าฉายของเขา และลัทเทรลก็ตัดสินใจว่าเขานี่แหละคือผู้กำกับที่สามารถนำเรื่องราวที่ทรงพลังของพี่น้องที่พลีชีพของเขาขึ้นสู่จอเงินได้อย่างสมภาคภูมิ

ลัทเทรลชื่นชมความใส่ใจในรายละเอียดที่เหมือนทหารและสไตล์การถ่ายทำแบบกองโจรของผู้กำกับผู้นี้และยืนกรานกับเบิร์กว่าเขาจะให้สิทธิเรื่องราวนี้กับเขาก็ต่อเมื่อเบิร์กจะเคารพและให้เกียรติการเสียสละของพี่น้องของเขาอย่างแท้จริง เพราะลัทเทรลหวังว่าผู้ชมทั่วโลกจะได้เข้าใจถึงการตัดสินใจที่เกิดขึ้นบนภูเขาลูกนั้น หลังจากประสบการณ์สานสายสัมพันธ์ด้วยเบียร์มากมายและคำขู่กลายๆ ที่ว่าเบิร์กจะต้องเจอกับหน่วยซีลกว่า 1,000 นายหากเขาทำพลาด ลัทเทรลก็ตอบตกลง

การพูดคุยที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องนำไปสู่มิตรภาพที่ฝังลึกและท้ายที่สุด มันก็นำไปสู่การพูดคุยกับผู้ชายและผู้หญิงในเครื่องแบบมากมายที่เกี่ยวข้องกับปฏิบัติการปีกแดงและการช่วยชีวิต ”ผมไม่เพียงแต่ใช้เวลาคุยกับมาร์คัสเท่านั้น แต่ยังได้สัมภาษณ์คนมากมายด้วย” เบิร์กเล่าถึงความพยายามในการนำเสนอเรื่องราวที่ถูกต้อง “ผมรู้สึกเหมือนผมได้ศึกษารายละเอียดทุกอย่างจนครบถ้วนครับ”

อดีตหน่วยซีลผู้นี้ได้เล่าถึงเหตุผลที่เขาเลือกเบิร์ก “มีผู้กำกับและสตูดิโอมากมายที่เข้ามาเสนอตัวว่าอยากจะสร้างหนังเรื่องนี้และผมก็สัมภาษณ์พวกเขาทุกคคน แต่พอผมได้พบพีทและได้คุยกับเขา เขาก็เป็นคนที่ผมรู้สึกมั่นใจ เขาเป็นคนที่ผมคิดว่าสามารถสร้างมันออกมาได้” ลัทเทรลประทับใจกับความมุ่งมั่นของผู้กำกับผู้นี้ “พีททุ่มเทแบบสุดๆ เขาทำการบ้านทุกอย่าง ศึกษามันเป็นปีๆ เพื่อสร้างหนังที่ถูกต้อง และมันก็ส่งผลให้เห็น คุณสามารถบอกได้ว่าใครที่ทุ่มเทหรือไม่ทุ่มเท เขาทุ่มเทจริงๆ และผมก็ชื่นชมเขามาก เขาเป้นคนดี และผมก็รู้สึกเป็นเกียรติจริงๆ ที่ได้พบเขาในชีวิตนี้ครับ”

แม้ว่าหนังสือของลัทเทรลเป็นบันทึกเหตุการณ์มากมาย ซึ่งรวมถึงการเข้าเป็นทหารในปี 1999 ของเขาและการฝึกฝนก่อนหน้าภารกิจในปี 2005 เบิร์กก็ตระหนักว่าตัวภาพยนตร์จะต้องให้น้ำหนักไปที่เรื่องราวดรามาที่เกิดขึ้นหลังจากที่ลัทเทรลถูกส่งตัวไปยังอัฟกานิสถาน โฟกัสของเขาในบทภาพยนตร์เรื่องนี้คือสายสัมพันธ์พี่น้องที่แน่นแฟ้นของสมาชิกทีม ความกล้าหาญของพวกเขายามเผชิญกับอันตรายและเหตุการณ์น่าเศร้าที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของนักแม่นปืน แพทย์สนามและสมาชิกหน่วยซีล ลัทเทรล ไปตลอดกาล

แม้ว่าเบิร์กจะรู้ว่ามันจะต้องมีความกดดันมหาศาลในการนำเสนอเรื่องราวของพวกเขาอย่างเหมาะสม เขาก็คาดไม่ถึงว่าเขาจะรู้สึกผูกพันกับชีวิตของทหารระดับสูงและครอบครัวของพวกเขามากแค่ไหน เขาหยุดไปครู่หนึ่งก่อนกล่าวว่า “มีความกดดันจากครอบครัว ชุมชนซีล และมาร์คัสก็ประกาศว่าเขาจะย้ายมาอยู่บ้านผมหนึ่งเดือน ไม่ว่าผมจะชอบหรือไม่ก็ตาม เขาจะทำให้แน่ใจว่าผมเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นบนภูเขาลูกนั้น”

ยิ่งเขาดำดิ่งลงไปในโปรเจ็กต์นี้มากเท่าไหร่ เบิร์กก็รู้ว่ามันคงเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์มกๆ ถ้าได้นั่งคุยกับคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการสูญเสียคนที่รัก เขาเล่าว่า “การค้นคว้าของผมเริ่มต้นจากการพบครอบครัวของหน่วยซีลที่ถูกสังหาร ผมได้ไปนิวยอร์กและพบกับครอบครัวเมอร์ฟีย์ ผมไปโคโลราโดเพื่อพบกับครอบครัวดิทซ์ ผมไปนอร์ธเธิร์น แคลิฟอร์เนียเพื่อคุยกับครอบครัวแอ็กเซลสัน หลังจากใช้เวลาอยู่กับพวกเขา คุณก็จะรู้ว่าเด็กพวกนี้เป็นคนที่ฉลาดที่สุดและเก่งที่สุด พวกเขาเป็นคนเด่นของครอบครัว ความเศร้าเสียใจและความเจ็บปวดยังคงอยู่ในใจพวกเขา คุณคงจะไม่ใช่มนุษย์หากคุณไม่รู้สึกถึงความรับผิดชอบในตอนที่ความเศร้าเสียใจแบบนั้นถูกแบ่งปันให้คุณได้รับรู้ครับ”

มือเขียนบท/ผู้กำกับเป็นคนแรกที่ยอมรับว่ามีหลายครั้งระหว่างช่วงเตรียมงานสร้างที่เขาตระหนักว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะเป็นงานที่ยากที่สุดของเขาจนถึงปัจจุบัน เขาเล่าว่า “หนึ่งในช่วงเวลาแบนั้นคือตอนที่ผมไปเยี่ยมครอบครัวดิทซ์และคุณดิทซ์พาผมที่ห้องนอนของแดนนี ที่เขายังคงเก็บรักษาไว้ มันเป็นห้องของเด็กวัยรุ่น แต่เขาได้สร้างกล่องกระจกขึ้นเพื่อเก็บชุดเครื่องแบบของแดนนี ที่มีรูกระสุนและรอยเลือด รวมถึงปืน หมวกเกราะและรองเท้าบู๊ทของเขา คุณดิทซ์ได้หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นอ่าน มันเป็นรายงานการชันสูตรศพจากกองทัพ ตอนที่เขาอ่านมัน น้ำตาก็เริ่มร่วงลงกระทบกระดาษแผ่นนั้น พอเขาอ่านจบ เขาก็วางกระดาษลงบนตักผมแล้วบอกว่า “นั่นคือลูกชายของผม นั่นคือความแข็งแกร่งของลูกชายผม คุณต้องทำให้แน่ใจว่าคุณจะถ่ายทอดมันออกมาอย่างถูกต้อง’” เบิร์กเล่า “คุณได้แต่จินตนาการว่ามันจะมีความหมายต่อครอบครัวเหล่านี้มากแค่ไหนที่เรื่องราวลูกชายของพวกเขาจะสานต่อและตำนานของพวกเขาได้รับการรักษาไว้ มันเป็นสิ่งที่ผมภูมิใจมากๆ”

ด้วยสายสัมพันธ์ที่ยาวนานระหว่างเขากับกองทัพ ในช่วงต้นปี 2010 เบิร์กได้เดินทางไปดินแดนตะวันออกกลางและขลุกอยู่กับหน่วยซีลในอิรัก ใกล้กับชายแดนซีเรีย เขาใช้เวลาหนึ่งเดือนอยู่ในฐานทัพเล็กๆ กลางทะเลทราย ด้วยทีมงาน 15 คนขณะที่เขาเริ่มต้นงานหนักของการเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่นั่น เขาได้มีโอกาสสัมผัสโลกของพวกเขาขณะที่เขาร่วมเดินทางไปกับพวกเขาในการลาดตระเวนยามกลางคืนและได้สังเกตการทำงานของพวกเขา “ผมไม่รู้ว่าการอยู่กับหน่วยซีลในปัจจุบันนี้จะเป็นไปได้รึเปล่า” เบิร์กกล่าว “มันเป็นเมื่อหลายปีก่อน และทุกคนก็ให้ความร่วมมืออย่างมาก พวกเขาขอไม่ให้ผมเผยยุทธวิธีบางอย่าง เพื่อเคารพถึงเหตุผลที่ข้อมูลลับยังคงเป็นความลับอยู่ และในหนังเรื่องนี้ เราก็ทำเช่นเดียวกันครับ”

การได้รับสิทธิในการเข้าถึงแบบเดียวกับที่นักข่าวมากประสบการณ์จะได้รับเป็นอภิสิทธิและเกียรติยศที่เบิร์กไม่ได้มองข้าม เขากล่าวปฏิเสธถึงความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้นบ่อยๆ “สิ่งหนึ่งที่ผมชื่นชมเกี่ยวกับพวกนาวีซีลคือพวกเขาไม่ใช่ซูเปอร์แมน พวกเขาไม่ใช่คนที่ตัวใหญ่ที่สุด เร็วที่สุดหรือแข็งแกร่งที่สุด แต่สิ่งที่พวกเขาทุกคนมีเหมือนๆ กันคือบุคลิก พวกเขามีแรงใจที่กล้าแกร่งและมีเกียรติอย่างมากครับ”

เขายังกล่าวแสดงความเคารพต่อชาวพุชตัน ที่ช่วยชีวิตลัทเทรลเอาไว้ด้วย เบิร์กเล่าถึงการช่วยชีวิตลัทเทรลว่า “ทุกสิ่งที่มาร์คัสพูดถึง ทั้งวินัย เกียรติยศ ความมุ่งมั่น และการอุทิศตนเพื่อความเชื่อ กูลับมีคุณสมบัติทั้งหมดนี้ครับ ถ้าจะพูดถึงแรงใจของนักรบ ผู้ชายคนนั้นก็คือนักรบครับ”

ในตอนที่พวกเขากำลังจะคัดเลือกนักแสดงของเรื่องและเริ่มต้นการถ่ายทำ เบิร์กก็ได้รับความกดดันมากกว่าที่เขาคาดคิดเสียอีก ลัทเทรลเล่าว่า “ผมรู้สึกสงสารพีทมากเพราะเขาถูกกดดันจากทุกคนในทีม จากแม่ม่ายทุกคน เราได้แต่พร่ำบอกเขาว่า ‘อย่าทำพังนะ’ แต่ผมคิดว่านั่นก็เป็นสิ่งที่เป็นแรงผลักดันเขาด้วย นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้หนังเรื่องนี้ยิ่งใหญ่และทำให้คนมีปฏิกิริยาตอบสนองกับมันอย่างรุนแรง เพราะเขาทุ่มเทให้กับมัน 110%…อาจจะเป็นเพราะเขารู้ว่าชีวิตเขาตกอยู่ในอันตรายก็เป็นได้นะครับ”

วอห์ลเบิร์กร่วมทีม:

การคัดเลือกนักแสดงเริ่มต้นขึ้น

ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนาแอ็กชันดรามาเรื่องนี้ เบิร์กได้เล่าให้มาร์ค วอห์ลเบิร์กฟังว่า Lone Survivor เป็นภาพยนตร์ที่เขาอยากจะสร้าง แต่ในตอนนั้น ต่างคนต่างก็มีโปรเจ็กต์ที่กำลังอยู่ในขั้นตอนต่างๆ ของการพัฒนาอยู่แล้ว ในตอนที่แรนดัลล์ เอ็มเม็ตต์และจอร์จ เฟอร์ลาจากเอ็มเม็ตต์/เฟอร์ลา แสดงความสนใจในการระดมทุนเพื่อสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ โปรเจ็กต์นี้ก็เริ่มเดินหน้าและอยู่ในอันดับต้นๆ ของภาพยนตร์ที่เบิร์กและวอห์ลเบิร์กต้องการจะร่วมงานด้วย

เอ็มเม็ตต์เล่าว่า “แน่นอนครับ เมื่อไหร่ก็ตามที่เราพิจารณาการเซ็นสัญญาให้ทุนโปรเจ็กต์ไหนซักเรื่อง เราจะต้องเชื่อในเรื่องราวนั้นอย่างสุดใจ ตอนที่ผมอ่าน ‘Lone Survivor’ ผมไม่เพียงแต่ทึ่งกับความกล้าหาญของหน่วยซีลและทหารที่สละทุกอย่างเพื่อพี่น้องของพวกเขาเท่านั้น แต่ผมยังประทับใจกับลักษณะความเป็นภาพยนตร์ในหนังสือของมาร์คัสและแพทริคด้วย พวกเขาพาเราไปสู่ดินแดนไกลโพ้น และทำหน้าที่เป็นไกด์นำทางเราไปสู่สิ่งที่เป็นหนึ่งในเรื่องเล่าที่ทรงพลังและน่าประทับใจที่สุดในประวัติศาสตร์การทหารของเรา เรารู้ว่าในการจะนำเสนอเรื่องราวของพวกเขาอย่างคู่ควร เราจะต้องร่วมมือกับทีมผู้สร้างที่เราไว้ใจ ด้วยความที่เราเคยร่วมมือกับมาร์คมาก่อนใน  Broken City และ 2 Guns และพีทก็เป็นมือเขียนบท/ผู้กำกับที่ประสบความสำเร็จเหลือเกินในแนวนี้ เราก็เลยมั่นใจว่าพวกเขาน่าจะเป็นตัวเลือกที่เพอร์เฟ็กต์ครับ”

พอเบิร์กได้บทภาพยนตร์ที่เขารู้สึกพอใจแล้ว เขาก็ส่งมันไปให้กับวอห์ลเบิร์ก ผู้จงใจไม่อ่านหนังสือของลัทเทรลล่วงหน้า “ปัญหาในการดัดแปลงเรื่องราวแบบนั้น” นักแสดงหนุ่มกล่าว “คือคุณจะรู้สึกเสมอว่ามีบางสิ่งขาดหายไป ผมอยากจะอ่านมันจากมุมมองนี้มากกว่าครับ”

ในฐานะผู้อำนวยการสร้างและนักแสดง ปฏิกิริยาของวอห์ลเบิร์กที่มีต่อบทภาพยนตร์เรื่องนี้คือความกระตือรือร้นและเขาก็ตกลงที่จะรับบท ลัทเทรล แพทย์และหนึ่งในนักแม่นปืนของทีม “ผมประทับใจกับบทภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมก็เลยรู้สึกเหมือนเรามาถูกทางแล้ว ผมชื่นชอบสมดุลระหว่างดรามา แอ็กชัน อารมณ์ขันและอารมณ์ของเรื่องครับ” เขากล่าว “ในองก์แรก คุณจะได้พบกับพวกเขา ได้เห็นว่าพวกเขารักกันและกันมากแค่ไหนและได้เห็นสิ่งที่พวกเขาทำที่นั่น ในตอนที่ปฏิบัติการปีกแดงเริ่มต้นขึ้น คุณจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงจากความขี้เล่นไปเป็นความจริงจังครับ”

วอห์ลเบิร์กยอมรับว่าความไม่เห็นแก่ตัวของทั้งหน่วยซีและชาวอัฟกันสั่นคลอนจิตใจเขาอย่างรุนแรง “สิ่งที่ทำให้เรื่องราวนี้พิเศษสุดคือสายสัมพันธ์และความเป็นพี่น้องของคนกลุ่มนี้ รวมถึงสถานะของพวกเราในโลกปัจจุบันนี้ด้วย วีรกรรมของกูลับและเพื่อนร่วมหมู่บ้านของเขาทำให้ผมประทับใจมากที่สุด ผมพบว่ามันสร้างแรงบันดาลใจอย่างมาก และมันก็ทำให้ผมมีความหวังกับโลกใบนี้ครับ”

แม้ว่านักแสดงผู้นี้จะเคยสวมบทตัวละครที่มีเค้าโครงจากคนจริงๆ มาก่อน ในภาพยนตร์หลายเรื่องเช่น The Fighter และ Invincible เขาก็ยอมรับว่า มันไม่ง่ายเลยที่จะนำเสนอเรื่องราวแบบนี้ออกมาอย่างเหมาะสม “ผมรู้สึกกดดันเสมอในตอนที่รับบทคนที่มีชีวิตอยู่จริง ไม่ว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ตาม ผมอยากจะทำให้มั่นใจว่าผมทำให้พวกเขาและสมาชิกครอบครัวของพวกเขาภูมิใจ” การรู้ว่าลัทเทรลจะสามารถแนะนำเขาได้เป็นโบนัสที่น่ายินดี วอห์ลเบิร์กกล่าวว่า “ผมชอบคุยกับมาร์คัสเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหนุ่มๆ พวกนี้ เพราะมันทำให้เขารู้สึกดีเสมอที่ได้คุยว่าเขารักพวกเขามากแค่ไหน ว่าพวกเขารักเขามากแค่ไหน และพวกเขาสนิทกันมากแค่ไหนครับ”

เมื่อวอห์ลเบิร์กเล่าถึงเวลาที่เขาอยู่กับเพื่อนนักแสดงและทีมงาน เขาก็เล่าว่ากาทำงานใน Lone Survivor ติดอันดับต้นๆ ของความสำเร็จในการทำงานของเขาทั้งในฐานะนักแสดงและผู้อำนวยการสร้าง เขาเล่าว่า “นี่เป็นประสบการณ์การทำงานที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยผ่านมา ภายใต้สถานการณ์ที่โหดที่สุด ผมจำได้ว่าในช่วงเริ่มต้นของการเป็นนักแสดง วันหนึ่งๆ คุณจะต้องทำงานนานและหนัก แต่คุณจะได้ทำในสิ่งที่คุณรู้สึกว่าพิเศษสุด และระหว่างทางกลับบ้าน คุณจะหยุดคิดถึงเรื่องนั้นไม่ได้เลย ผมมีความรู้สึกแบบนั้นทุกวันระหว่างการทำงานในหนังเรื่องนี้ครับ”

เบิร์กเล่าว่าฉากของเรื่องเป็นอะไรที่พื้นฐานมากๆ และวอห์ลเบิร์กก็ต้องทนกับมันเหมือนกับคนอื่นๆ เขากล่าวว่า “คนส่วนใหญ่ชื่นชอบวิธีการถ่ายทำที่ใช้กำลังมากกว่า เราใช้ลิฟท์แบบลิฟท์ลานสกีขึ้นไปถึงกองถ่าย แล้วคุณก็จะได้เห็นมาร์คแบกอุปกรณ์ด้วยตัวเองเพราะมันไม่มีที่ ส่วนอาหารเที่ยงก็จะเป็นแบบ ‘เอ้านี่แซนด์วิช ไปกินใต้ต้นไม้นั้นนะ’ น่ะครับ”

เมื่อพูดถึงความรู้สึกที่ได้เห็นคนอื่นเล่นเป็นเขา ลัทเทรลยอมรับว่ามันเป็นอะไรที่แปลกในตอนแรก เขากล่าวว่า “วอห์ลเบิร์กเป็นมืออาชีพสุดๆ และเขาก็เป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยม มันแปลกนิดๆ ที่ได้เห็นคนอื่นพยายามเล่นเป็นผม แต่เราคุยกันเรื่องนี้แล้วและผมก็รู้ว่ามันจะออกมายอดเยี่ยม ผมกังวลเรื่องคนอื่นๆ มากกว่าเพราะพวกเขาไม่อยู่พูดเพื่อตัวเองน่ะครับ”

Lone Survivor Movie Pictures, Posters, Wallpapers 297014

การรวมตัวของพี่น้อง:

สมาชิกทีม 10 ได้รับเลือก

เช่นเดียวกับที่เขาทำกับวอห์ลเบิร์ก เบิร์กได้คุยถึงโปรเจ็กต์นี้กับเทย์เลอร์ คิทส์, เอมิล เฮิร์สช์และเบน ฟอสเตอร์เมื่อหลายปีก่อนหน้านั้น ซึ่งนักแสดงแต่ละคนก็บอกว่าพวกเขาอยากจะเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้หากมันเกิดขึ้น “เขาคุยถึงหนังสือเรื่องนี้และเรื่องราวนี้มากว่าสามปีแล้วครับ” คิทส์ ผู้ซึ่งได้ร่วมงานกับเบิร์กในซีรีส์และภาพยนตร์หลายเรื่อง เล่า “ผมก็เลยเริ่มอ่านหนังสือเรื่องนี้ และระหว่างนั้น ผมก็บอกกับตัวเองว่า ‘บทนี้จะเข้ามาครั้งหนึ่งในชีวิต’ ผมโทรบอกพีทว่า ‘เมื่อไหร่ที่คุณพร้อม ผมก็พร้อม’ น่ะครับ”

ร้อยโทไมเคิล เมอร์ฟีย์ (หรือ “เมิร์ฟ”) หัวหน้าภาคสนามของปฏิบัติการปีกแดง เป็นนาวีซีลผู้ได้รับความนับถือ เขาเป็นผู้ที่เดินออกไปยังที่โล่ง เป็นเป้าล่อกระสุนเพื่อลูกทีมของเขา คิทส์ก็เหมือนกับนักแสดงคนอื่นๆ ที่รู้สึกถึงความกดดันในการยกย่องเมิร์ฟและเพื่อนร่วมรบผู้ล่วงลับของเขา เขาเล่าว่า “มันเป็นเรื่องราวจริงที่งดงาม ที่จะต้องถูกบอกเล่าออกมาอย่างเหมาะสม มันทั้งตึงเครียด เข้มข้นและแสดงถึงเหตุผลที่พวกเขาทำในสิ่งที่พวกเขาทำ นั่นก็คือเพื่อกันและกัน เป็นอันดับแรกและสิ่งสำคัญที่สุด”

คิทส์รู้ว่าการได้รับเลือกให้รับบทนี้จะเป็นความท้าทายที่เขาจะไม่มองข้ามความสำคัญของมัน เขาเล่าว่า “การกระทำของเมิร์ฟปรากฏชัดกว่าทุกสิ่งที่เขาพูด ซึ่งก็ควรจะเป็นเช่นนั้น ผมคิดว่าเขาเป็นผู้นำแบบที่รักคนของเขา และการได้รับเลือกให้รับบทนี้ก็เป็นอะไรที่พิเศษสุดครับ”

คิทส์ตระหนักดีถึงความยิ่งใหญ่ของการที่เขาได้สวมบทนักรบตัวจริง ผู้แสดงความโดดเด่นในการปฏิบัติหน้าที่ หลังจากเสียชีวิต เมอร์ฟีย์ได้รับเหรียญกล้าหาญมีดัล ออฟ ออเนอร์ ซึ่งเป็นเกียรติยศสูงสุดทางทหาร และเขาก็เป็นคนแรกที่ได้รับเหรียญตราเช่นนั้นจากการสู้รบในสงครามในอัฟกานิสถาน หลังจากนั้น ก็มีการตั้งชื่อเรือรบว่ายูเอสเอส ไมเคิล เมอร์ฟีย์ เพื่อเป็นเกียรติต่อเขา การถ่ายทอดเรื่องราวของชายผู้นี้เป็นภาระที่ใหญ่หลวงสำหรับคิทส์ “มันไม่หายไปไหนครับ” เขาพูดถึงความรู้สึกรับผิดชอบที่มาพร้อมกับโปรเจ็กต์นี้ “และผมก็มั่นใจว่าคนอื่นๆ ก็จะพูดแบบนั้นเหมือนกัน คุณได้แค่พยายามและทำทุกอย่างเท่าที่เป็นไปได้เพื่อทำในสิ่งที่คู่ควรกับมันครับ”

เช่นเดียวกับวอห์ลเบิร์ก คิทส์รู้ว่าการมีลัทเทรลอยู่ในกองถ่ายด้วยจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งระหว่างการถ่ายทำ เขากล่าวว่า “มันน่าทึ่งมากที่ได้ตัวเขาอยู่ที่นั่นด้วย ในตอนที่คุณรับมือกับอะไรแบบนี้ คุณจะคิดว่า ‘ลัทเทรลและครอบครัวของเมิร์ฟจะคิดยังไง’ คุณเล่นเป็นเพื่อนรักเขาและลูกชายของเขา ดังนั้น คนพวกนี้ก็เป็นคนที่คุณอยากให้เดินมาหาคุณแล้วบอกว่า ‘ขอบคุณ’ มากกว่าคนอื่นๆ”

ในตอนที่เฮิร์สช์เจอกับเบิร์กเมื่อเกือบสี่ปีก่อนที่ฟิตเนสในเซาเธิร์น แคลิฟอร์เนีย เบิร์กก็พูดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับแดนนี ดิทซ์ให้เขาฟัง เฮิร์สช์ไม่แน่ใจเรื่องการอ้างอิงถึงทหารหน่วยทหารการปืนนายนี้ แต่ก็สนใจเรื่องราว และเขาก็พบว่าชายผู้นี้เป็นหนึ่งในคนที่ปรากฏอยู่ในหนังสือที่ผู้กำกับผู้นี้อยากจะดัดแปลง หลายปีให้หลัง เฮิร์สช์ก็ได้รับโทรศัพท์จากเบิร์กให้ไปพบเพื่อคุยถึงบทในภาพยนตร์เรื่องนี้ ผลของการพบกันครั้งนั้นยังไม่ได้ข้อสรุปและเฮิร์สช์ก็รู้ว่าเขาจะต้องสู้เพื่อให้ได้บทนี้

นักแสดงหนุ่มได้พูดถึงความสนใจที่เขามีต่อบทเจ้าหน้าที่สื่อสารและคนชี้เป้าของทีมว่า “ผมอยากได้บทนี้มาก มันเป็นส่วนผสมระหว่างความทึ่งที่มีต่อแดนนีและความเคารพต่อความมุ่งมั่นที่เขามีต่อพี่น้อง ประเทศและครอบครัวของเขา ความปราศจากความกลัวแบบนั้นน่ะครับ” เฮิร์สช์รู้ว่าการได้รับเลือกให้รับบทเหล่านี้ไม่ได้เป็นเรื่องง่ายเลยสำหรับนักแสดงแต่ละคน “ผมต้องการความท้าทาย ผมก็เลยเริ่มฝึกและออกกำลังกายเอง ผมไม่รู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้น เวลาหลายเดือนผ่านไปและมันก็มาถึงจุดที่ผมบอกผ่านหนังเรื่องอื่นๆ ไป แต่ผมก็ยังไม่ได้งานนี้ ผมเต็มใจที่จะทำทุกอย่าง ท้ายที่สุด ผมก็ได้ฝึกฝนสัปดาห์ละหกวัน วันละสี่ถึงห้าชั่วโมงครับ”

แม้ว่าเขาจะเคยรับบทตัวละครที่มีชีวิตอยู่จริงมาก่อน แต่โอกาสในการได้แสดงความคารวะต่อทหารหน่วยซีลผู้ล่วงลับผู้นี้ก็เป็นความท้าทายที่ทรงพลังกว่าความเหนื่อยล้าทางร่างกายธรรมดาๆ เฮิร์สช์กล่าวเสริมว่า “ผมรู้ว่ามันสำคัญต่อทุกครอบครัวมากแค่ไหนกับการที่คนที่พวกเขารักได้รับการนำเสนอในหนังเรื่องนี้ ผมรู้สึกถึงความรับผิดชอบในการรับบทแดนนี มากกว่าที่ผมรู้สึกในการเล่นเป็นตัวละครตัวไหนๆ ก็ตาม คุณรู้ว่ามันเป็นหนัง แต่มันก็เป็นเหมือนอนุสาวรีย์สำหรับคนพวกนี้ด้วย เรารู้ว่ามันเป็นหน้าที่ของเราในการนำเสนอภาพของหน่วยซีลในรูปแบบที่เหมาะสม นั่นก็คือการเป็นตัวแทน การแสดงความเคารพและการสะท้อนภาพความเป็นจริงออกมา จิตวิญญาณความเป็นนักรบของพวกเขาเกิดจากคติพจน์ประจำใจของหน่วยซีล พวกเขาเป็นคนธรรมดาที่มีความปรารถนาในการประสบความสำเร็จที่ไม่ธรรมดาครับ”

ฟอสเตอร์ ผู้เคยแสดงในภาพยนตร์ทั้งฟอร์มเล็กและฟอร์มใหญ่ ตอบสนองต่อความกระตือรือร้นที่ผู้กำกับมีต่อเรื่องราวนี้ในทันที “มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่ได้รับผลกระทบจากมัน” ฟอสเตอร์กล่าว “มันเป็นเรื่องราวที่ยากลำบากมากๆ เกี่ยวกับคนที่กล้าหาญมากๆ” เขาถึงการรับบทแมทธิว “แอ็กซ์” แอ็กเซลสัน ช่างเทคนิคโซนาร์ “ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วมและได้ร่วมมือในการบอกเล่าเรื่องราวแบบนี้ พวกมันไม่ได้มาบ่อยนัก คนพวกนี้รับใช้ประเทศของเราและเสียสละชีวิตของตัวเองครับ”

เช่นเดียวกับเพื่อนนักแสดงของเขา ฟอสเตอร์ได้พบกับครอบครัวและเพื่อนๆ ของแอ็กซ์เพื่อทำความรู้จักกับคนชี้เป้าและนักแม่นปืนของทีม ที่เขาจะสวมบท “มันเป็นโอกาสทองในการได้ฟังครอบครัวแอ็กเซลสันพูดถึงลูกชายของพวกเขา” เขากล่าว “ความเอื้อเฟื้อและความสนิทสนมที่พวกเขาหยิบยื่นให้กับผมช่างน่าประทับใจและเปิดเผยเหลือเกิน พวกเขาชื่นชอบการคุยถึงลูกชายของพวกเขาเพราะพวกเขารักเขา และเราเองก็รักเขาด้วย เราไม่อาจคืนชีวิตให้เขาแต่สิ่งที่เราสามารถทำได้คือการตั้งใจทำให้ดีที่สุดเท่าที่เราทำได้เพื่อยกย่องเขา ในทุกวันครับ”

เช่นเดียวกับวอห์ลเบิร์ก ฟอสเตอร์เชื่อว่าสิ่งที่เขาทำในฐานะนักแสดงคือการนำเสนอการตีความแอ็กซ์ของเขาขึ้นสู่หน้าจอและเขาก็ไม่ต้องการจะทำเพียงแค่การเลียนแบบ “คนพวกนี้มีบุคลิกลักษณะที่แตกต่างกัน แต่แก่นแท้ของพวกเขาเหมือนกัน” ฟอสเตอร์เล่า “ในหนังเรื่องนี้ เรายกย่องแก่นแท้ของพวกเขา ซึ่งก็คือ คุณจะไม่ยอมแพ้ คุณเป็นคนไม่เห็นแก่ตัว และคุณสามารถทำทุกอย่างที่คุณตั้งใจไว้ได้”

งานมักจะเหนื่อยแสนสาหัสเสมอ แต่ผู้กำกับก็สามารถรวมทุกคนเป็นหนึ่งเดียวได้ด้วยความรักที่เขามีต่อเรื่องราวนี้และสไตล์การทำงานแบบร่วมมือของเขา ฟอสเตอร์ปรับตัวเข้ากับวิธีการของเบิร์กได้อย่างรวดเร็วและตั้งข้อสังเกตว่า “เขาเต็มไปด้วยพลังงานครับ คุณจะรู้สึกเหมือนว่าคุณมีสมาชิกอีกคนหนึ่งอยู่ในฉากกับคุณด้วย เขาชื่นชอบความประหลาดใจครับ พีทสามารถมองดูสิ่งแวดล้อม ฟังคนพูดคุยกัน ตัดอะไรบางอย่าง เสริมสิ่งอื่นเข้าไป มันเป็นประสบการณ์ที่ลื่นไหลและคุณจะรู้สึกเหมือนว่าคุณมีส่วนร่วมครับ”

ลัทเทรลเล่าถึงการได้เห็นทั้งสามคนรับบทพี่น้องของเขาว่า “เบน, เทย์เลอร์และเอมิลได้รับแรงกดดันมากกว่ามาร์ค พวกเขาจะต้องแสดงให้สมบทบาท เพราะจากนี้ไป ทุกครั้งที่คุณได้ยินชื่อแมทท์ แอ็กเซลสัน คุณจะนึกถึงเบน ฟอสเตอร์ เช่นเดียวกับเอมิล เฮิร์สช์ในบทแดนนี ดิทซ์และเทย์เลอร์ คิทส์ในบทไมค์ เมอร์ฟีย์ครับ”

ในตอนเปิดเรื่อง สมาชิกของพาหนะขนส่งซีลทีม 1 (เอสดีวี) ลัทเทรล, เมอร์ฟีย์และแอ็กเซลสัน และสมาชิกของเอสดีวีทีม 2 ดิทซ์ประจำกันอยู่ที่ฐานของซีลหน่วย 10 ที่แบแกรม แอร์ฟิลด์ในอัฟกานิสถาน มันเป็นที่ที่ผู้บังคับบัญชาของพวกเขา นาวาตรีอีริค คริสเตนเซน สรุปสถานการณ์ให้คนของเขาฟัง ส่งพวกเขาออกไปปฏิบัติภารกิจ และคอยฟังการสื่อสารของพวกเขา ในตอนที่เหตุการณ์เกิดขึ้นในภูเขา ฝ่ายที่อยู่ประจำฐานไม่มีข้อมูลใดๆ เว้นแต่รายงานวิทยุสั้นๆ ถึงการถูกจู่โจม มีการรวมตัวทีมช่วยเหลือและกองทัพก็เริ่มเคลื่อนขบวน

อีริค บานา ผู้เปิดตัวในภาพยนตร์อเมริกัน ด้วยภาพยนตร์สงครามยอดเยี่ยมโดยริดลีย์ สก็อตเรื่อง Black Hawk Down ตอบสนองต่อเรื่องราวนี้ในตอนที่เขาได้อ่านบทและตกรับบทคริสเตนเซน นักแสดงหนุ่มได้บินมาจากออสเตรเลียในช่วงท้ายการถ่ายทำเพื่อถ่ายทำฉากของเขาและเขาก็สามารถตามคนอื่นๆ ได้ทันอย่างรวดเร็ว

บานาคุยถึงการตัดสินใจที่จะเข้าร่วมทีมของเขาว่า “มีสองปัจจัยที่ทำให้เรื่องราวนี้พิเศษสุด และมันก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ผมร่วมเล่นหนังเรื่องนี้ เหตุผลแรกคือตัวเรื่องราวเอง และเหตุผลที่สองคือคนที่เลือกกำกับโปรเจ็กต์แบบนี้ ผมรู้ว่าปีเตอร์จะทุ่มเทให้กับมันมากแค่ไหนและรู้ด้วยว่าเขาจะรู้วิธีในการนำเสนอหน่วยนาวีซีล นั่นเป็นสิ่งที่ผมอยากจะเป็นส่วนหนึ่งของมัน วิธีที่ยอดเยี่ยมที่สุดในการยกย่องคนพวกนี้คือการสร้างหนังเยี่ยมๆ และให้มันผ่านการทดสอบของกาลเวลาครับ”

ยิ่งเขาค้นคว้าชีวิตของคริสเตนเซนมากเท่าไหร่ เขาก็รู้สึกหลงใหลเรื่องราวนี้มากขึ้นเท่านั้น บานาเล่าว่า “เขากลายเป็นแบ็คดร็อปสำหรับผู้ชมขณะที่เราดำเนินเรื่องไปเรื่อยๆ เรากลับไปอยู่ที่ศูนย์บัญชาการและดูความตึงเครียดของภารกิจที่เกิดขึ้น การที่มันค่อยๆ ผิดพลาด และกลายเป็นอะไรที่ตึงเครียดสุดๆ สำหรับนักแสดง นี่เป็นตัวละครที่น่าตื่นเต้น เพราะคุณอยู่บนเส้นทางเดียวกับผู้ชมแง่ของกระแสข้อมูลน่ะครับ”

เมื่อรวมทีมงานหลักเรียบร้อยแล้ว เบิร์กก็พร้อมจะเริ่มต้นทำงานในสิ่งที่เป็นงานสร้างที่ยากที่สุดในชีวิตเขาอย่างไม่มีข้อสงสัย เขาตั้งข้อสังเกตว่าทีมงานทั้งหมดของเขาได้ทุ่มเทสุดตัวและไม่ค่อยปริปากบ่นเท่าใดนัก “ผมไม่เคยทำงานในหนังเรื่องไหนที่มีความสามัคคีแบบนี้มาก่อน ทีมงานจำนวนมากเคยอ่านหนังสือเรื่องนี้แล้ว และอยากให้มาร์คัสเซ็นหนังสือให้กับพวกเขาและคุยว่ามันมีความหมายอย่างไรต่อพวกเขาบ้าง มันเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยสัมผัสในกองถ่ายมาก่อนเลย ผมไม่เคยเกี่ยวข้องกับหนังที่นักแสดงรู้สึกถึงความรับผิดชอบอย่างแรงกล้าที่จะยกย่องตัวละครที่พวกเขาสวมบทขนาดนี้มาก่อน นักแสดงรู้อย่างรวดเร็วว่าพวกเขาแบกรับความรับผิดชอบในการนำเสนอภาพตัวละครและจิตวิญญาณนักรบของคนเหล่านั้น พวกเขาไม่ได้เหยาะแหยะ แต่ทุ่มให้กับมันอย่างสุดตัวครับ”

ยืนหยัดเป็นหนึ่งเดียว:

การฝึกฝนและปฏิบัติการ

ในการทำให้นักแสดงมีสภาพร่างกายที่เข้าที่เข้าทาง ทีมงานได้รวมหน่วยซีลและอดีตสมาชิกหน่วยซีล ซึ่งรวมถึงเพื่อนร่วมงานของลัทเทรล ผู้เข้าใจดีว่าจะทำอย่างไรการแสดงถึงจะดูสมจริง คำว่า “เข้มข้น” ถูกใช้ครั้งแล้วครั้งเล่าโดยนักแสดงเพื่อพูดถึงหลักสูตรการฝึก ไม่เพียงแต่นักแสดงจะต้องผ่านการฝึกฝนร่างกายเท่านั้น แต่พวกเขาต้องฝึกการใช้อาวุธ และเรียนรู้ที่จะปฏิบัติการเป็นทีมกลยุทธทีมเดียวกันด้วย

ลัทเทรลพิสูจน์ว่าเป็นประโยชน์ต่อนักแสดงอย่างยิ่งขณะที่พวกเขารวมตัวกันเพื่อฝึกฝน “รายละเอียดและเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจากเหตุการณ์ที่มาร์คัสสามารถเล่าได้เป็นเรื่องเยี่ยมมาก” เบิร์กให้ความเห็น “แต่ยิ่งไปกว่านั้น แค่มีเขาอยู่ในกองถ่าย…ผมไม่เคยเห็นทีมงานรู้สึกกระตือรือร้นขนาดนี้มาก่อนเลย นี่เป็นมากกว่างานครับ คนทำงานหนักที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทุกคนรู้สึกว่ามาร์คัสแสดงให้พวกเขาเห็นว่าการทำงานหนัก การมีความองอาจและการไม่ยอมแพ้เป็นอย่างไร นักแสดงเหล่านี้และทีมงานของเราทุกคนอยากจะแสดงให้มาร์คัสได้เห็นว่าพวกเขาเองก็มีอะไรจะให้เช่นเดียวกัน”

ลัทเทรลอธิบายถึงการฝึกฝนซีลฉบับย่นย่อสำหรับนักแสดงว่า “เราพาพวกเขาผ่านสังเวียน เราซ้อมพวกเขาอย่างหนัก และพวกเขาก็ยืนหยัดในฐานะทีมเดียวกัน คุณจะเห็นได้ว่าในตอนที่เราจับพวกเขาฝึกฝน พวกเขาก็เริ่มสานสายสัมพันธ์กัน สังเกตได้จากวิธีที่พวกเขาเคลื่อนไหว ยิงและสื่อสารกัน พวกเขาทำได้ยอดเยี่ยมจริงๆ”

วอห์ลเบิร์กเล่าว่านี่เป็นการฝึกฝนที่มากที่สุดเท่าที่เขาเคยต้องทำเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับภาพยนตร์เรื่องหนึ่งๆ “ผมเคยแสดงหนังทหารมาหลายเรื่องในอดีต ผมเคยเล่นเป็นทหารมาแล้ว แต่หนังเรื่องนี้แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง” เขากล่าว “พวกซีลที่ฝึกพวกเราทำให้แน่ใจว่าเราจะดูสมจริงสุดๆ พวกเขาไม่ปล่อยให้ใครลักไก่ และพอคุณฝึกเสร็จเรียบร้อย คุณก็จะรู้สึกเหมือนคุณได้ถ่ายทำส่วนใหญ่ของหนังเรื่องนี้ไปแล้ว ทั้งๆ ที่เรายังไม่เริ่มต้นด้วยซ้ำ”

คิทส์ ผู้อยู่ในนิวฟาวน์แลนด์สองเดือนก่อนหน้าการถ่ายทำ เริ่มต้นออกกำลังกายอย่างหนักหน่วงขณะสวมชุดเกราะและวิ่งระยะทางไกลขณะสวมเกราะกันกระสุนน้ำหนัก 40 ปอนด์ไว้ด้วย “ผมคิดว่าผมฝึกมาพอแล้วซะอีก” นักแสดงหนุ่มกล่าวกลั้วหัวเราะ “แต่พอเรามาถึงที่นี่ในวันแรกกับพวกซีล มันก็เป็นอีกระดับหนึ่งเลยครับ” เขาเล่าถึงทัศนคติไม่ว่ายก็จมที่ครอบงำค่ายฝึกว่า “เรายิงปืนกันในสามวันแรก มันไม่ใช่เรื่องตลกเลยนะครับ เราเต็มที่กันมากและเราก็พยายามเรียนรู้ให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้และให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ด้วย ระดับการเรียนรู้มันเข้มข้นมากครับ”

นักแสดงหนุ่มชื่นชมการได้เห็นหลักปฏิบัติของซีลจริงๆ “คนพวกนี้ไม่เคยหนีจากการต่อสู้ และพวกเขาก็อุทิศตนให้กันและกันครับ” คิทส์กล่าว”พวกเขาทุกคนแสดงถึงทัศนคติที่ไม่เคยยอมแพ้และเมิร์ฟก็เป็นแบบนั้น เขาอุทิศตนเพื่อให้คนพวกนี้สู้ต่อไปเรื่อยๆ ตอนทีเราฝึกฝนกับคนพวกนี้ที่รู้จักเขา ผมได้เรียนรู้อากัปกิริยาของเมิร์ฟ ลักษณะบางอย่างของตัวละครผมจะคล้ายคลึงกับตัวจริงของเขามากๆ”

การฝึกฝนร่างกายเป็นสิ่งที่รับประกันว่านักแสดงจะดูเหมือนหน่วยซีลจริงๆ บนหน้าจอ ด้วยการนำพวกเขาไปอยู่ในสถานการณ์ที่ทำให้พวกเขารู้สึกได้ว่าการอยู่ท่ามกลางห่ากระสุนและการตอบสนองต่อสงครามแบบอัตโนมัติเป็นอย่างไร พวกเขาก็เลยมีอิสระที่จะโฟกัสไปที่แง่มุมอื่นๆ ของตัวละครของพวกเขา การถูกห้อมล้อมด้วยหน่วยซีลในชีวิตประจำวันทำให้พวกเขาตระหนักถึงหลายสิ่งหลายอย่างเกี่ยวกับคนที่พวกเขาจะนำเสนอ…และทัศนคติที่จำเป็นในยามที่คุณต้องต่อสู้เพื่อชีวิตของคุณ

ฟอสเตอร์พูดถึงหลักสูตรการฝึกว่า “เราอยู่ในสนามฝึกปืนเพื่อยิงกระสุนจริง เรียนรู้การปฏิบัติการเป็นทีม ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอาวุธพวกนั้นชื่ออะไรในตอนที่เราเริ่มฝึก แต่พอตอนจบ เราต้องปิดตาใส่กระสุนและยิงกระสุนจริง” สิ่งที่ยากกว่านั้นสำหรับนักแสดงหนุ่มคือการทำความเข้าใจถึงการมีสมาธิยามเผชิญหน้ากับอันตราย”วัฒนธรรมของนักแม่นปืนเป็นอะไรที่ไม่เหมือนใคร” ฟอสเตอร์ตั้งข้อสังเกต “พวกเขานิ่งและอดทนมากๆ ซึ่งมันไม่ใช่นิสัยตามธรรมชาติของผมเลย”

ฟอสเตอร์เล่าถึงสิ่งที่เขาสังเกตเห็นจากการฝึกฝนและลักษณะของหน่วยซีลว่า “มันไม่ได้เกี่ยวกับการเป็นนักรบผู้เก่งกาจซักเท่าไหร่ แต่มันเป็นเรื่องของความอึด ว่าคุณจะไปได้ไกลแค่ไหน แล้วคุณจะโผล่ออกมาที่ปลายอีกด้านหนึ่งรึเปล่า? ทุกชั่วขณะบอกคุณว่าคุณทำไม่ได้หรอก สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าคุณต้องไม่ยอมแพ้ มีเพียงไม่กี่คนที่ทำสเร็จและท้ายที่สุด คนพวกนี้ก็ถูกผลักดันให้ผ่านการทดสอบที่โหดมากๆ มันเป็นนิสัยไม่ยอมแพ้ที่โดดเด่นจริงๆ ครับ”

เฮิร์สช์สรุปถึงสิ่งที่เพื่อนนักแสดงของเขาเห็นพ้องต้องกันว่า แม้ว่าโปรแกรมฝึกฝนนี้จะเป็นสิ่งที่ทรมานร่างกายที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยเจอมา แต่มันก็เทียบไม่ได้เลยกับการฝึกฝนของหน่วยซีลจริงๆ “โดยมากแล้ว เราฝึกกับปืนไรเฟิล M4” เขาเล่า “เราเรียนรู้วิธีการยิงปืนที่สนามฝึกของหน่วยสวาท และฝึกยิงเป้า ที่ขยับเข้าใกล้ ด้วยกระสุนจริง มันเป็นเรื่องอันตราย แต่ก็สนุกด้วย เพียงแต่มันลำบากเข่าเราซักหน่อย เพราะพวกเขาให้เรากลิ้งตัวแล้วยิงบ่อยๆ แต่ผมมีความสุขเวลาได้ร่วมงานกับพวกเขา คุณจะได้เรียนรู้ที่จะไว้ใจเพื่อนนักแสดงของคุณอย่างรวดเร็วครับ” เฮิร์สช์หยุดไปครู่หนึ่ง “แม้ว่าผมจะฝึกสัปดาห์ละเจ็ดวัน วันละ 24 ชั่วโมง มันก็ไม่ได้แม้แต่หนึ่งในร้อยของสิ่งที่นักเรียนต้องผ่านที่หน่วยรบใต้น้ำของซีลต้องเจอ พวกซีลที่ฝึกฝนเราคอยผลักดันเราทุกคนให้พ้นจากสิ่งที่เราคุ้นชินครับ”

ไม่เพียงแต่นักแสดงของ Lone Survivor จะต้องสวมบทสมาชิกหน่วยซีลเท่านั้น แต่พวกเขาจะต้องดูเหมือนหน่วยซีลด้วย ความท้าทายสำหรับแผนกเครื่องแต่งกายของเอมี สตอฟสกี้คือการทำให้แน่ใจว่าชุดเครื่องแบบทหารของพวกเขาจะมีลักษณะเหมือนของปี 2005 เพราะเครื่องแบบที่กองทัพสวมสมัยนั้นถูกยกเลิกไปแล้ว มันหมายถึงการตัดเย็บเครื่องแบบทั้งหมดสำหรับนักแสดงหลักและการตามหาหรือการสร้างบั้งหรือยศที่ถูกต้องตามยุคสมัยนั้นขึ้นมา

เบิร์ก ผู้ใส่ใจในเรื่องรายละเอียด ได้ทำงานร่วมกับลัทเทรลและทีมของสตอฟสกี้ เพื่อทำให้แน่ว่า เสื้อผ้าเหล่านี้จะจำลองบาดแผลที่คนเหล่านี้ได้รับได้สมจริงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เขาได้ขอดูรายงานชันสูตรศพของคนที่ถูกสังหารระหว่างปฏิบัติหน้าที่เพื่อสร้างความสมจริงให้กับเรื่องราวด้วยซ้ำไป ด้วยการร่วมมือกับเจ้าของสี่รางวัลเอ็มมี เกรกอรี นิโคเทโรและเจ้าของรางวัลออสการ์ โฮเวิร์ด เบอร์เกอร์ ในเรื่องสเปเชียล เมคอัพ เอฟเฟ็กต์ เบิร์กก็รู้ว่ามันจะมีความสมจริงมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในกองถ่ายและผู้ชมจะได้เห็นภาพจำลองที่สมจริงของการเสียสละที่กระทำโดยหน่วยซีลพวกนี้

การถ่ายทำในเม็กซิโก:

การออกแบบและโลเกชัน

เบิร์กตระหนักดีถึงความรับผิดชอบที่มาพร้อมกับการบอกเล่าเรื่องราวของลัทเทรลและคอยเตือนให้ทีมงานและนักแสดงรำลึกถึงความจริงข้อนี้เสมอระหว่างการถ่ายทำ ในการร่วมงานกับทีมงานที่รวมถึงผู้กำกับภาพ โทเบียส ชไลส์เลอร์, ผู้ออกแบบงานสร้างทอม ดัฟฟิลด์, ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย เอมี สตอฟสกี้และมือลำดับภาพ โคลบี้ ปาร์คเกอร์, จูเนียร์ เบิร์กได้เริ่มต้นกระบวนการที่เหนื่อยยากแสนสาหัสในการสร้างเรื่องราวของซีลหน่วย 10 ขึ้นมาใหม่

ผู้อำนวยการสร้างเอ็มเม็ตต์ชื่นชมระดับของรายละเอียดที่ทีมงานของเบิร์กสามารถสร้างขึ้นมาใหม่ได้ “คุณไม่สามารถก้าวเข้าไปในฉากโดยไม่รู้สึกเหมือนกับคุณถูกส่งตัวยังอีกดินแดนหนึ่งเลยครับ ผมขอยกย่องทีมงานที่สามารถเนรมิตความสำเร็จแบบนี้ได้ ระดับของรายละเอียดทีพวกเขาสามารถใส่เข้าไปในหนังเรื่องนี้ได้เป็นความสำเร็จสำหรับสายงานต่างๆ แล้วล่ะครับ ผมหวังว่าสิ่งที่พวกเขาทำใน Lone Survivor จะถูกมองว่าเป็นสิ่งเตือนความทรงจำให้กับครอบครัวของวีรบุรุษผู้กล้าเหล่านี้ครับ”

Lone Survivor Movie Pictures, Posters, Wallpapers 297004

ภูเขาแซนเกร เดอ คริสโต

หลังการเตรียมตัวนานหลายปีและการฝึกฝนนานหลายเดือน การถ่ายทำก็เริ่มต้นขึ้นในเดือนตุลาคม ปี 2012 ในภูเขาแซนเกร เดอ คริสโตภายในบริเวณของอุทยานแห่งชาติซานตา เฟ ที่เนินสกีทางตอนเหนือของซานตา เฟ, นิวเม็กซิโก ดัฟฟิลด์กล่าวสรุปว่า “หนังเรื่องนี้ส่วนใหญ่ถ่ายทำตามโลเกชันจริง ทั้งภูเขา หน้าผาและโขดหิน มันกินเวลาเกือบครึ่งหนึ่งของเรื่องเลยครับ”

เวลาแปดวันถูกใช้ไปกับการถ่ายทำในโลเกชันที่สูงเหนือระดับน้ำทะเล 11,000-12,000 ฟุตในภูเขา เช่นแอนเทนนา ริดจ์, ราเวนส์ ริดจ์, เบนนีส์ จัมพ์และล็อกเกอร์ส คลิฟฟ์ ที่นั่น อุณหภูมิจะอยู่ระหว่าง 30 องศาถึง -40 องศา ในการจำลองภูมิประเทศของฮินดูกูชในอัฟกานิสถาน ทีมงานได้ถ่ายทำในโลเกชัน 10 แห่งในอุทยานแห่งชาติ สถานที่บางแห่งที่เข้าถึงได้ด้วยลิฟท์แบบลิฟท์สกี ก่อนที่จะต้องเดินเท้าเข้าไป ไม่มีสรรพเสียงใดๆ เว้นแต่เสียงของลมที่พัดแผ่วพลิ้วผ่านใบสน รวมถึงเสียงนกล่าเหยื่อที่กระพือปีกด้านบนเป็นครั้งคราว

บ่อยครั้งที่จะต้องมีการสื่อสารโดยใช้โทรโข่ง โดยผู้ช่วยผู้กำกับจะอยู่ด้านล่างหน้าผา ส่วนนักแสดงจะอยู่ด้านบน บริเวณที่ขรุขระและสูงชันเกินกว่าจะใช้อุปกรณ์กล้องตามปกติ เช่นเครนหรือดอลลี หมายความว่าฉากพวกนั้นจะต้องถ่ายทำโดยทีมตากล้องของผู้กำกับภาพชไลส์เลอร์ ผู้ถูกผูกติดอยู่กับลิฟท์สกี ที่อยู่เหนือการถ่ายทำพอดี

ไม่ต้องบอกเลยว่านี่เป็นความท้าทายสำหรับทั้งนักแสดงและทีมงาน แต่ด้วยธรรมชาติของโปรเจ็กต์นี้ ทำให้ไม่มีเสียงบ่นมากนักในกองถ่าย “มีหลายวันที่ผมอยากจะยอมแพ้” วอห์ลเบิร์กกล่าวยอมรับ “แต่คุณก็ต้องเตือนตัวเองถึงสิ่งที่พวกเขาเผชิญมา ทั้งมาร์คัส, แอ็กซ์, เมอร์ฟีย์และดิทซ์ รวมถึงคนอื่นๆ ที่อยู่ในเฮลิคอปเตอร์ลำนั้น และคนที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขาและหลังพวกเขา เรารู้ว่าเราจะต้องอดทน ออกไปทำงานและทำให้พวกเขาภูมิใจครับ”

คิทส์พูดถึงอารมณ์โดยรวมว่า “มันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าเราทุกคน และนั่นคือโทนในกองถ่ายครับ” เขากล่าวกลั้วหัวเราะ “ทีมงานของเราบ้าจริงๆ เลยครับ พวกเขาแบกอุปกรณ์ขึ้นไปท่ามกลางสภาพอากาศเลวร้าย ผ่านโขดหิน ขึ้นที่สูงชัน ปีนหน้าผา และคุณก็ไม่ได้ยินเสียงใครปริปากบ่นเลยครับ”

Lone Survivor Movie Pictures, Posters, Wallpapers 297003

ฉากหมู่บ้านในชิลิลี

กองถ่ายได้ย้ายจากภูเขาแซนเกร เดอ คริสโตไปยังชิลิลี, นิวเม็กซิโก ที่เลวร้ายน้อยกว่า มันเป็นผืนดินเม็กซิกันที่อยู่ห่างจากอัลบูเคอร์คีไปทางตะวันออกเฉียงใต้ 45 ไมล์ ที่นั่น ทีมงานและนักแสดงได้ใช้พื้นที่ในป่าของมันถ่ายทำฉากสงครามบางส่วน และแผนกศิลป์ก็ได้สร้างฉากสำหรับหมู่บ้านชาห์และหมู่บ้านพุชตัน ที่กูลับซ่อนตัวลัทเทรลและที่ซึ่งการช่วยเหลือทางเฮลิคอปเตอร์เกิดขึ้น สำหรับการระเบิดด้วยปืนยิงจรวด และห่ากระสุนที่เกิดขึ้นในซีเควนซ์สงครามที่เกิดขึ้นในถนนรอบๆ บ้านของกูลับ ทีมสเปเชียล เอฟเฟ็กต์ของบรูโน แวน ซีโบรเอคได้วางกลไกไว้รอบหมู่บ้าน

ชาวพัชตุน ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีประชากรมากที่สุดในอัฟกานิสถาน ถูกแบ่งหลักๆ ออกเป็นมุสลิมซุนนี และชีอะ และพูดภาษาพัชตูและดารี หลายคนปัจจุบันอาศัยอยู่ในปากีสถาน โดยที่พวกเขาเป็นผู้อพยพจากการต่อสู้ในบ้านเกิดของพวกเขาในอดีต ส่วนเผ่าพันธุ์อื่นๆ ในอัฟกานิสถาน ซึ่งส่วนใหญ่ต่อต้านตาลีบัน รวมถึงทาจิค, ฮาซารา, อุซเบคและนูริสถาน

ในการรักษาความมุ่งมั่นต่อการสร้างความสมจริงของทีมงาน มูฮัมมัด นอว์รอซ ราห์มีและนาวาซ ราห์มี สองพี่น้องชาวอัฟกัน ถูกทาบทามให้มารับหน้าที่ที่ปรึกษาด้านเทคนิคและวัฒนธรรมของทีมงาน พวกเขาทำงานร่วมกับแผนกคัดเลือกนักแสดงและเครื่องแต่งกาย รวมถึงทำงานร่วมกับตัวประกอบที่รับบทชาวบ้านและนักสู้ตาลีบัน เพื่อช่วยเหลือพวกเขาในการทำความเข้าใจกับภาษา ขนบธรรมเนียมและวิธีการต่อสู้ พ่อของพวกเขา ซาริน โมฮัมมัด ราห์มี ผู้อพยพจากภูมิภาคดังกล่าวและพาครอบครัวหนีจากตาลีบันไปใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกา ไม่เพียงแต่ทำหน้าที่ที่ปรึกษาเช่นเดียวกับลูกๆ ของเขา แต่เขายังรับบทคนเลี้ยงแกะอาวุโสในฉากสำคัญที่หน่วยซีลถูกพบตัวอีกด้วย

สตอฟสกี้พูดถึงการรักษาความสมจริงในการจำลองชุดของพวกเขาว่า “มีเผ่าพันธุ์มากมายเหลือเกินในอัฟกานิสถาน และเราก็ต้องศึกษาอย่างมากค่ะ ที่ปรึกษาของเรามีบทบาทสำคัญอย่างมากในการช่วยเหลือเรา”

ฐานทัพอากาศเคิร์คแลนด์และซาวน์สเตจในอัลบูเคอร์คี

เราเริ่มต้น Lone Survivor ด้วยทีมสี่คนของเรา ที่ใช้ชีวิตอยู่ในฐานกับเพื่อนซีลของพวกเขา ซึ่งรวมถึงฟอนแทน, ฮีลลี, คริสเตนเซน, ลูคัส, แม็คกรีวี, จูเนียร์, แพตตัน, ซูห์และเทย์เลอร์ พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังพิเศษ 16 นาย ที่ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ชีนุค MH-47 ลำนั้น ที่รวมเจ้าหน้าที่ไนท์สตอล์คเกอร์ 8 นาย และถูกส่งตัวไปช่วยเหลือหน่วยซีลทั้งสี่คนที่ประสบปัญหาอยู่ภาคพื้นดิน เฮลิคอปเตอร์ลำนั้นถูกยิงร่วงระหว่างความพยายามช่วยเหลือและทั้ง 16 คนก็เสียชีวิตทั้งหมด

แทนที่พวกซีลจะใช้ชีวิตอยู่ในเต็นท์สำหรับทหารในบริเวณแบแกรม แอร์ฟิลด์ พวกเขากลับอาศัยอยู่ในตึกใกล้ๆ ที่เป็นที่นอน ห้องยกน้ำหนัก ห้องดูโทรทัศน์และศูนย์บัญชาการ ที่นี่เองที่พวกเขาได้ทบทวนภารกิจของพวกเขา เตรียมพร้อมอุปกรณ์ และฆ่าเวลาด้วยการแข่งขันฉันท์มิตรและการโชว์ฝีมือ เฝ้ารอคอยให้ปฏิบัติการของพวกเขาได้รับไฟเขียว

เช่นเดียวกับฐานจริงๆ ในอัฟกานิสถาน ฉากสำหรับค่ายโอเล็ตต์ก็เป็นฐานที่ถูกสร้างขึ้นจากตู้คอนเทนเนอร์และแนวป้องกันสำเร็จรูปในฐานทัพอากาศเคิร์คแลนด์ในอัลบูเคอร์คี ด้วยทิวทัศน์ทะเลทราย รันเวย์และพื้นที่สำหรับเฮลิคอปเตอร์และยานพาหนะขนส่งทางทหาร โลเกชันนี้จึงช่วยเสริมสร้างความสมจริงให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้

การถ่ายทำในฐานทัพอากาศที่ใช้งานจริงและการได้รับอนุญาตให้ใช้เครื่องบินและบุคลากรของฐานทัพต้องอาศัยการประสานงานกับหน่วยงานทหารและรัฐบาลมากมาย ที่ปรึกษาทางทหารอาวุโสและที่ปรึกษาด้านการรักษาความปลอดภัย แฮร์รี ฮัมฟรีย์ อดีตซีลผู้เคยร่วมงานกับเบิร์กมาก่อนใน Hancock และ The Kingdom ร่วมงานด้วยในฐานะผู้ช่วยผู้อำนวยการสร้าง เพื่อดูแลเรื่องรายละเอียด ตามที่หลายคนคาดหวัง การขนส่งอุปกรณ์ต่างๆ ต้องอาศัยการประสานงานจากหลายๆ ภาคส่วนของกองทัพ บางวัน มีบุคลากรทางทหารในกองถ่ายมากกว่าทีมงานและนักแสดงด้วยซ้ำไป

ด้วยความที่ซีลเป็นหัวใจสำคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้ พวกนาวีเลยเป็นทีมงานหลักในระหว่างการถ่ายทำ กองทัพอากาศ (หน่วยปฏิบัติการพิเศษที่ 58 แห่งเคิร์คแลนด์) ได้อนุญาตให้ใช้เครื่องเพฟ ฮอว์ค HH60G สองลำสำหรับฉากภารกิจการค้นหาและช่วยเหลือที่หมู่บ้านพัชตุนของกูลับ ลัทเทรลขึ้นเครื่องฮอว์คลำหนึ่งด้วย ในขณะที่อีกลำหนึ่งจะเป็นผู้ให้การสนับสนุนภาคพื้นอากาศ เฮลิคอปเตอร์เหล่านี้ที่ควบคุมโดยทหาร บินจากเคิร์คแลนด์ไปยังฉากหมู่บ้านในชิลิลี ในวันที่ถ่ายทำฉากช่วยเหลือ

กองทัพได้จัดหาเฮลิคอปเตอร์ชีนุค MH-47 สองลำและอาปาเช AH-64 อีกสองลำจากกองพลที่หนึ่ง ท่บินมาจากฟอร์ท ฮู้ด, เท็กซัส เฮลิคอปเตอร์เหล่านี้ถูกใช้สำหรับฉากที่ค่ายโอเล็ตต์ ที่สร้างขึ้นที่เคิร์คแลนด์ พวกทหารเรือได้จัดหายานพาหนะและให้กำลังพลทหารเรือ 30 นายสำหรับฉากแบแกรม แอร์ฟิลด์ และฉากจาลาบัด ที่ถ่ายทำที่เคิร์คแลนด์

หลังจากสองสัปดาห์ที่ชิลิลี และห้าวันที่ฐานทัพอากาศ ทีมงานก็ได้ย้ายไปซาวน์สเตจเพื่อถ่ายทำฉากภายในและงานบลูสกรีน ส่วนใหญ่แล้ว ทีมงานพบว่างานในซาวน์สเตจเป็นงานที่น่าเบื่อนิดๆ แต่สำหรับเรื่องนี้ ทุกคนยิ่งกว่าพร้อมสำหรับงานนี้ วอห์ลเบิร์กกล่าวว่า “ผมตั้งตารอที่จะได้ลงจากเขาทุกวัน ที่จะได้ออกจากชิลิลีและได้ไปทำงานที่ซาวน์สเตจ แม้ว่าพอไปถึงตรงนั้น ทุกอย่างจะเชื่องช้าลงก็ตามครับ”

ที่สตูดิโอ I-25 ในอัลบูเคอร์คี แผนกศิลป์ได้สร้างบ้านของกูลับและภายในห้องนอน ห้องโทรทัศน์ และศูนย์บัญชาการของค่ายโอเล็ตต์ งานบลูสกรีนเกี่ยวข้องกับการใช้ส่วนหนึ่งของส่วนเชื้อเพลิงของเฮลิคอปเตอร์ชีนุค MH-47 บนฐาน และหน้าผาที่แผนกศิลป์สร้างขึ้นบริเวณลานจอดรถของซาวน์สเตจ

****

ในตอนที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ปิดกล้องลงในเดือนพฤศจิกายน ปี 2012 ในอัลบูเคอร์คีหลังจากการถ่ายทำ40 วัน ความรู้สึกของทุกคนก็เป็นความหวานปนขม ลัทเทรลอยู่ในกองถ่ายในวันสุดท้าย เสริมสร้างความสะเทือนอารมณ์ยิ่งขึ้น “มาร์คัสยืนอยู่ข้างผม” วอห์ลเบิร์กเล่า “และผมก็มองไปที่เขา เขาบอกว่า ‘ใช่ มันเกิดขึ้นทำนองนั้นแหละ’ ผมรู้สึกปั่นป่วนในท้องขึ้นมาทันทีเมื่อนึกถึงสิ่งที่เขาได้เผชิญและเมื่อนึกดูว่ามันเป็นเรื่องลำบากใจแค่ไหนที่ได้เห็นสิ่งเหล่านั้นฉายซ้ำอีกครั้งในหนังน่ะครับ”

ประวัติทีมผู้สร้าง

ปีเตอร์ เบิร์ก (เขียนบทโดย/กำกับโดย/อำนวยการสร้างโดย) ประสบความสำเร็จในฐานะมือเขียนบท ผู้กำกับ ผู้อำนวยการสร้างและนักแสดง

เขาเปิดตัวผลงานการกำกับเรื่องแรกด้วยภาพยนตร์คัลท์ปี 1998 เรื่อง Very Bad Things (จากบทภาพยนตร์ดั้งเดิมของเขาเอง) ที่นำแสดงโดยคาเมรอน ดิแอซ, จอน แฟฟโรและคริสเตียน สเลเตอร์ และได้รับเสียงยกย่องจากงานเทศกาลภาพยนตร์โดวิลล์ และซาน เซบาสเตียน หลังจากนั้น เบิร์กก็ได้กำกับภาพยนตร์แอ็กชันฮิตเรื่อง The Rundown ที่นำแสดงโดยดเวย์น จอห์นสันและคริสโตเฟอร์ วอลเคน และเขาก็ได้หวนคืนสู่แนวแอ็กชันด้วยดรามาสงคราม The Kingdom ที่นำแสดงโดยเจมี ฟ็อกซ์, เจนนิเฟอร์ การ์เนอร์และคริส คูเปอร์ ในปี 2008 เขาได้กำกับภาพยนตร์แอ็กชันยอดนิยมเรื่อง Hancock ซึ่งนำแสดงโดยวิล สมิธ เขาเป็นผู้กำกับ Battleship ซึ่งเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ทั่วโลกในปี 2012 ในปี 2007 เขาได้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์อินดีคอเมดีออฟบีทเรื่อง Lars and the Real Girl ที่นำแสดงโดยไรอัน กอสลิง

เบิร์กเป็นที่รู้จักจากการนำเสนอภาพฟุตบอลไฮสคูลที่ดุเดือดในภาพยนตร์ปี 2004 ที่สร้างจากนิยายขายดีโดยเอช. จี. บิสซิงเกอร์เรื่อง “Friday Night Lights” ที่นำแสดงโดยบิลลี บ็อบ ธอร์นตัน ความสำเร็จของภาพยนตร์เรื่องนี้ ทั้งในโรงภาพยนตร์และดีวีดี ได้นำไปสู่ซีรีส์โทรทัศน์ชื่อเดียวกัน ซึ่งแพร่ภาพซีซันที่ห้าและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลและได้รับรางวัลไพรม์ไทม์ เอ็มมี อวอร์ด นอกเหนือจากการทำหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างของซีรีส์นี้แล้ว เขายังได้กำกับหลายเอพิโซดของซีรีส์นี้ ซึ่งรวมถึงตอนไพล็อตปี 2006 ซึ่งเขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมีสาขางานกำกับยอดเยี่ยมสำหรับซีรีส์ดรามา ในฐานะหนึ่งในมือเขียนบทของซีรีส์นี้ เขายังได้ร่วมรับการเสนอชื่อชิงรางวัลสมาพันธ์มือเขียนบทสาขาซีรีส์ใหม่อีกด้วย

เขาเป็นผู้สร้าง/ผู้ควบคุมงานสร้างซีรีส์สารคดีที่โด่งดังทางเอชบีโอเรื่อง On Freddie Roach เขาได้ควบคุมงานสร้างดรามาเกี่ยวกับการทำงานของตำรวจเรื่อง Prime Suspect ที่นำแสดงโดยมาเรีย เบลโล และดรามาการแพทย์เรื่อง Trauma ทั้งสองเรื่องสำหรับเอ็นบีซี ก่อนหน้านี้ เขาได้สร้างและควบคุมงานสร้างซีรีส์ดรามาเอบีซีเรื่อง Wonderland ที่เขาเขียนบทและกำกับหลายเอพิโซดด้วย เขาเริ่มต้นทำงานเป็นมือเขียนบทและผู้กำกับในซีรีส์ดังโดยเดวิด อี. เคลลีย์เรื่อง Chicago Hope ที่เขาร่วมแสดงด้วยสามซีซันในบทศัลยแพทย์เล่นฮ็อกกี้ ดร.บิลลี ครองค์

ในฐานะนักแสดง ผลงานของเขาได้แก่ภาพยนตร์โดยโรเบิร์ต เรดฟอร์ดเรื่อง Lions for Lambs ที่ร่วมแสดงโดยเรดฟอร์ด, เมอริล สตรีพและทอม ครูซ, Smokin’ Aces ให้กับผู้กำกับโจ คาร์นาฮันและภาพยนตร์โดยไมเคิล แมนน์เรื่อง Collateral ที่นำแสดงโดยทอม ครูซและเจมี ฟ็อกซ์ ผลงานการแสดงเรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ Cop Land, The Great White Hype, ภาพยนตร์โดยจอห์น ดัห์ลเรื่อง The Last Seduction, A Midnight Clear และ Late for Dinner

เบิร์ก ชาวนิวยอร์ก (และลูกชายของนักประวัติศาสตร์ทหารเรือ) กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาอีกหลายโปรเจ็กต์ภายใต้แบนเนอร์ฟิล์ม 44 ของเขา ในเดือนธันวาคม เอชบีโอจะแพร่ภาพซีรีส์สารคดีเกี่ยวกับกีฬาของเบิร์กในชื่อ State of Play ที่เขาควบคุมงานสร้างและทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการการพูดคุยกันในแต่ละเอพิโซด หลังจากนี้ เบิร์กจะควบคุมงานสร้างและกำกับตอนไพล็อตของซีรีส์ใหม่ทางเอชบีโอเรื่อง The Leftovers ที่นำแสดงโดยจัสติน เธอโรซ์และลีฟ ไทเลอร์

หนังสือเรื่อง “Lone Survivor” โดยมาร์คัส ลัทเทรล (จากหนังสือโดย) ซึ่งเป็นหนังสือที่ติดอันดับหนึ่งในลิสต์เบสต์เซลเลอร์ของนิวยอร์ก ไทม์ บอกเล่าเรื่องราวสะเทือนใจของหน่วยนาวีซีล ผู้ที่เดินทางเข้าไปในภูเขาที่อยู่ติดพรมแดนอัฟกานิสถานและปากีสถาน เพื่อปฏิบัติภารกิจปีกแดง หนังสือเรื่องนี้ ซึ่งเป็นเรื่องราวสร้างแรงจูงใจที่ไม่อาจเทียบได้ของการมีชีวิตรอด เป็นคำอุทิศที่กินใจที่มีต่อสหายและเพื่อนร่วมทีม ที่ไม่อาจมีชีวิตรอดออกจากภูเขานั้นได้ “Lone Ranger” ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ที่ทรงพลังของความกล้าหาญ เกียรติยศ ความรักชาติและความเป็นหนึ่งเดียว ที่หล่อหลอมวีรบุรุษชาวอเมริกันเหล่านี้ เป็นบันทึกที่เหลือเชื่อของทีมเวิร์ค ความแข็งแกร่งและการทำสงครามสมัยใหม่

ภารกิจปีกแดงเป็นการรวบรวมข่าวสารเกี่ยวกับผู้นำชาวตาลีบันที่มีสายสัมพันธ์กับโอซามา บิน ลาเดน เมื่อทีมเจอกับคนไล่ต้อนฝูงแพะ หน่วยซีลก็ตั้งคำถามกับพวกเขา และหลังจากการถกเถียงกันเรื่องกฎเกณฑ์ หน่วยซีลก็ปล่อยพวกเขาไป ไม่นานหลังจากนั้น กองกำลังตาลีบันก็ดักซุ่มโจมตีหน่วยซีลทั้งสี่คนบนสันเขาที่อยู่ห่างไกล ลัทเทรลและเพื่อนร่วมทีมของเขาต่อสู้อย่างกล้าหาญนานหลายชั่วโมง แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความกล้าหาญ ที่เป็นเอกลักษณ์ของหน่วยซีล พวกเขาปฏิเสธที่จะถอยหนีแม้ว่าจะมีกำลังน้อยกว่าอย่างมากก็ตาม หลายชั่วโมงให้หลัง หลังจากที่ลัทเทรลเฝ้ามองเพื่อนทั้งสามคนตายลงไป และถูกแรงระเบิดยิงจรวดพัดปลิวจากภูเขา เฮลิคอปเตอร์ ที่ถูกส่งมาช่วยเหลือพวกเขา และบรรทุกเจ้าหน้าที่พิเศษ 16 นาย ก็ถูกยิงร่วง ทำให้ทุกคนบนเครื่องเสียชีวิตทั้งหมด

ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยบาดแผล จมูกหัก เอ็นหุ้มข้อไหล่ขาด กระดูกสันหลังหักสามท่อน ร่างกายเขาถูกทิ่มแทงไปด้วยสะเก็ดระเบิด จนไม่อาจยืนไหว ลัทเทรลเริ่มคลานไปตามภูเขาเพื่อหาที่หลบภัย และเขาก็ได้รับความช่วยเหลือจากชาวอัฟกันในหมู่บ้านซาเบรย์ พวกเขาช่วยลัทเทรลไว้ ทำความสะอาดบาดแผลให้เขา พวกเขาทำตามธรรมเนียมของเผ่า ด้วยการคุ้มครองเขาจากพวกตาลีบันแม้ว่าต้องเสี่ยงชีวิตพวกเขาเองก็ตาม ขณะที่พวกตาลีบันล้อมหมู่บ้านเอาไว้ และสถานการณ์ทวีความอันตรายมากขึ้น ผู้อาวุโสของหมู่บ้านได้ขอความช่วยเหลือจากกองกำลังของกองทัพเรือที่ใกล้ที่สุด ห้าคืนหลังจากที่ฝันร้ายเริ่มต้นขึ้น ลัทเทรลก็ได้รับความช่วยเหลือ

ในบันทึกที่บาดลึกกินใจ ลัทเทรลได้ยกย่องความทรงจำที่มีต่อผู้เสียชีวิตทุกคน และแบ่งปันกับเราถึงเรื่องราวความกล้าหาญที่เหลือเชื่อและศักดิ์ศรีของนักรบที่พิเศษสุดเหล่านี้ เขายกย่องชีวิตของคนเหล่านั้นว่าเป็นตัวอย่างของคติพจน์ประจำใจของนาวีซีลที่ว่า “ฉันจะไม่มีวันยอมแพ้ ฉันจะอดทนและแน่วแน่ยามเผชิญอุปสรรค ประเทศชาติคาดหวังให้ฉันมีพลกำลังและจิตใจที่เข้มแข็งกว่าศัตรูของฉัน ถ้าฉันล้ม ฉันก็จะลุกขึ้นยืนใหม่ ทุกครั้งไป”

ในตอนที่พูดคุยกันต่อหน้า ลัทเทรลได้พูดถึงความโหดในการฝึกของหน่วยซีลและคุณสมบัติในการเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังชั้นสูงของอเมริกา ไปจนถึงการต่อสู้บนภูเขา ประสบการณ์ที่ครอบครัวของเขาได้รับแรงสนับสนุนและความเอื้ออาทรจากชุมชน รวมถึงเรื่องราวการรอดชีวิตที่เหลือเชื่อและศักดิ์ศรีของเขาเอง

ในการเล่าเรื่องราวที่ทรงพลัง เขาได้ร้อยเรียงเรื่องของความกล้าหาญและความเสียสละ ศักดิ์ศรีและความรักชาติ ชุมชนและชะตากรรมที่ผู้ชมพบว่าทั้งสะเทือนใจและปลุกปลอบใจ

ใน “Service: A Navy SEAL at War” หนังสือเบสต์เซลเลอร์เล่มใหม่ของเขา ลัทเทรลได้หันหลังให้กับประสบการณ์ของตัวเองในฐานะสมาชิกหน่วยนาวีซีลที่ได้รับการฝึกฝนเพื่อทำสงคราม เพื่อกล่าวถึงการรับใช้ชาติในสมรภูมิของอเมริกา และทหารที่สละชีวิตเพื่อปกป้องประเทศชาติและกันและกัน

ลัทเทรลเข้าร่วมกองทัพเรือสหรัฐฯในเดือนมีนาคม ปี 1999 และกลายเป็นสมาชิกหน่วยซีลในเดือนมกราคม ปี 2002 หลังจากรบในอิรักมาสองปี เขาก็ถูกส่งตัวไปยังอัฟกานิสถานในฤดูใบไม้ร่วงปี 2005 ในฐานะสมาชิกหน่วยซีล ลัทเทรลได้รับการฝึกฝนด้านอาวุธ ระเบิดและการต่อสู้ระยะประชิดตัว นอกจากนี้ เขายังทำหน้าที่เป็นแพทย์สนามอีกด้วย

หลังจากพักฟื้นจากปฏิบัติการปีกแดง เขาก็ถูกส่งตัวไปอิรักอีกครั้งหนึ่ง ประธานาธิบดีจอร์จ ดับบลิว. บุช ได้มอบนาวี ครอส ให้กับเขาจากวีรกรมในการสู้รบของเขาในปี 2006 หลังจากนั้น ในฤดูใบไม้ผลิปี 2007 จ่าเอกลัทเทรลก็ลาออกจากกองทัพ

เพื่อเป็นการยกย่องเพื่อนร่วมรบที่เสียชีวิตจากปฏิบัติการณ์ปีกแดง ลัทเทรลได้ก่อตั้งมูลนิธิ โลน เซอร์ไวเวอร์ ฟาวน์เดชัน ขึ้นในปี 2010 มูลนิธินี้มีวัตถุประสงค์เพื่อยกย่องและจดจำนักรบชาวอเมริกัน ด้วยการให้โอกาสทางด้านการศึกษา การพักฟื้น การฟื้นตัวและความเป็นอยู่กับสมาชิกกองทัพสหรัฐฯและครอบครัวของพวกเขา

นอกเหนือจากการร่วมเขียนหนังสือนอนฟิคชัน เบสต์เซลเลอร์อันดับหนึ่งของนิวยอร์ก ไทม์เรื่อง “Lone Survivor” แล้ว แพทริค โรบินสัน (จากหนังสือโดย) ยังเป็นผู้เขียนนิยายเบสต์เซลเลอร์ระดับโลกหลายเรื่องที่เกี่ยวกับหน่วยนาวีของสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึง “Intercept,” “Diamondhead,” “To the Death” และ “The Delta Solution” และหนังสือเบสต์เซลเลอร์นอนฟิคชันหลายเรื่อง รวมถึงหนังสือเบสต์เซลเลอร์ของนิวยอร์ก ไทม์เรื่อง “A Colossal Failure of Common Sense: The Inside Story of the Collapse of Lehman Brothers” และหนังสือเบสต์เซลเลอร์ระดับโลกเรื่อง “One Hundred Days” อีกด้วย

นอกจากนี้ เขายังเป็นผู้เขียนทริลเลอร์หลายเรื่อง ที่มีนาวีสหรัฐฯเป็นตัวเอก ซึ่งรวมถึง “Nimitz Class,” “Kilo Class,” “Barracuda 945,” “Scimitar SL-2,” “U.S.S. Seawolf” และ “The Shark Mutiny”

โรบินสันใช้ชีวิตอยู่ในไอร์แลนด์ แต่ใช้เวลาช่วงซัมเมอร์อยู่ในเคป ค็อด

ซาราห์ ออเบรย์ (อำนวยการสร้างโดย) เป็นหุ้นส่วนกับเบิร์กในบริษัทโปรดักชัน ฟิล์ม 44 ทั้งคู่ร่วมกันอำนวยการสร้างโปรเจ็กต์จอแก้วและจอเงินมากมาย ซึ่งรวมถึงภาพยนตร์และซีรีส์ดังเรื่อง Friday Night Lights, The Kingdom, Battleship, On Freddie Roach และซีรีส์ใหม่ทางเอชบีโอเรื่อง State of Play และ The Leftovers

อดีตทนายความวงการบันเทิงชาวออสติน (ผู้สำเร็จการศึกษาด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยเท็กซัสหลังจากสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยปรินซ์ตัน) ผู้นี้ ยังได้อำนวยการสร้างคอเมดีฮิตแหวกแนวโดยเทอร์รี ซวิกออฟเรื่อง Bad Santa ที่นำแสดงโดยบิลลี บ็อบ ธอร์นตัน และเป็นผลงานการอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องแรกของเธอ นอกจากนี้ เธอยังได้ทำหน้าที่เดียวกันนี้ในโรแมนติกคอเมดีดรามา Lars and the Real Girl ที่นำแสดงโดยไรอัน กอสลิงและแพทริเซีย คลาร์คสันอีกด้วย

ในฐานะหนึ่งในผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ที่มีงานชุมที่สุดในวงการบันเทิง แรนดัลล์ เอ็มเม็ตต์ (อำนวยการสร้างโดย) ได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์กว่า 50 เรื่อง นับตั้งแต่ที่เขาเริ่มต้นจากการเป็นผู้ช่วยของมาร์ค วอห์ลเบิร์กในยุค 90s เอ็มเม็ตต์ได้ผสมผสานความชำนาญด้านการเงินกับความคิดสร้างสรรค์ที่เฉียบขาด ด้วยการเป็นหุ้นส่วนและผู้ร่วมก่อตั้ง เอ็มเม็ตต์/เฟอร์ลา ฟิล์มส์ บริษัทโปรดักชันที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อพัฒนา ให้เงินทุนและสร้างภาพยนตร์คุณภาพสูงสำหรับตลาดภาพยนตร์ด้วยทุนสร้างของตัวเอง ร่วมกับจอร์จ เฟอร์ลา (ผู้ควบคุมงานสร้าง) นอกจากนี้ เขายังเป็นผู้ก่อตั้งและหุ้นส่วนของชีต้าห์ วิชัน ฟิล์มส์ บริษัทโปรดักชันของเคอร์ติส “ฟิฟตี้ เซนต์” แจ็คสัน

ในทศวรรษที่ผ่านมา ความสามารถของเอ็มเม็ตต์ในการประกบคู่ภาพยนตร์กับนักแสดงและทีมผู้สร้างที่โด่งดังได้ส่งผลให้เกิดความสำเร็จในบ็อกซ์ออฟฟิศ ที่นำไปสู่รายได้กว่า 250 ล้านเหรียญบ็อกซ์ออฟฟิศอเมริกา นอกเหนือจากนั้น เขายังได้สานความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับสตูดิโอยักษ์ใหญ่ในฮอลลีวูด เพื่อให้เงินทุนและจัดจำหน่ายภาพยนตร์พาณิชย์ สำหรับผู้ชมทั้งในและต่างประเทศ นอกเหนือจากภาพยนตร์ไฮคอนเซ็ปต์แล้ว เอ็มเม็ตต์ยังได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์อินดีขนาดเล็ก ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมหลายเรื่องเช่น Narc และ Wonderland ภาพยนตร์เหล่านี้และเรื่องอื่นๆ ได้เข้าฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงซันแดนซ์, โตรอนโต, เบอร์ลิน, เวนิสและเทลลูไรด์ หลายเรื่องได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอินดีเพนเดนท์ สปิริต อวอร์ดและรางวัลลูกโลกทองคำด้วย

ในปีที่ผ่านมา เอ็มเม็ตต์เพิ่งเสร็จสิ้นจากการถ่ายทำภาพยนตร์โดยบัลทาซาร์ คอร์มาคูร์เรื่อง 2 Guns ซึ่งนำแสดงโดยเดนเซล วอชิงตันและมาร์ค วอห์ลเบิร์ก, Empire State ซึ่งเขียนบทโดยอดัม เมเซอร์ กำกับโดยดิโต้ มอนทีลและนำแสดงโดยเลียม เฮมส์เวิร์ธ, ดเวย์น จอห์นสันและเอ็มมา โรเบิร์ตส์, Escape Plan ซึ่งเขียนบทโดยไมลส์ แชปแมน กำกับโดยมิคาเอล ฮาฟสตรอมและนำแสดงโดยอาร์โนลด์ ชวอร์ซเนกเกอร์และซิลเวสเตอร์ สตอลโลนและ The Frozen Ground ซึ่งเขียนบทและกำกับโดยสก็อต วอล์คเกอร์และนำแสดงโดยนิโคลัส เคจ, จอห์น คูแซ็ก, วาเนสซา ฮัดเจนส์และฟิฟตี้ เซนต์

ล่าสุด เขาได้เซ็นสัญญาเพื่อให้เงินทุนและอำนวยการสร้างภาพยนตร์โดยมาร์ติน สกอร์เซซี ที่เป็นที่จับตามองอย่างสูงเรื่อง Silence รวมถึง Expiration ที่นำแสดงโดยบรูซ วิลลิส โปรเจ็กต์อื่นๆ ที่เขาถูกวางตัวเพื่อให้ทุนและอำนวยการสร้างรวมถึง Everest สำหรับยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์สและเวิร์คกิ้ง ไทเทิล ฟิล์มส์และ The Last Witch Hunter สำหรับซัมมิท เอนเตอร์เทนเมนต์และไลออนส์เกท ที่นำแสดงโดยวิน ดีเซล

ผลงานภาพยนตร์ของเอ็มเม็ตต์/เฟอร์ลา ที่เพิ่งเข้าฉายในโรงภาพยนตร์เร็วๆ นี้ รวมถึง End of Watch เขียนบทและกำกับโดยเดวิด เอเยอร์ ซึ่งนำแสดงโดยเจค จิลเลนฮาลและไมเคิล เพนยา, Lay the Favorite ที่กำกับโดยสตีเฟน เฟรียส์ ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงสองรางวัลออสการ์ และนำแสดงโดยบรูซ วิลลิส, แคทเธอรีน ซีต้า-โจนส์, รีเบ็กก้า ฮอลและวินซ์ วอห์นและ Freelancers ที่นำแสดงโดยโรเบิร์ต เดอ นีโร, ฟิฟตี้ เซนต์และฟอเรสต์ วิทเทคเกอร์

ผลงานภาพยนตร์ก่อนหน้านี้ของเอ็มเม็ตต์/เฟอร์ลา รวมถึง Bad Lieutenant: Port of Call New Orleans, Righteous Kill, 88 Minutes, King of California, 16 Blocks และ The Contract

เอ็มเม็ตต์เกิดและเติบโตในไมอามี เขาสำเร็จการศึกษาจากนิว เวิลด์ สคูล ออฟ อาร์ตส์ โรงเรียนไฮสคูลชื่อดังด้านการแสดง สมัยเรียนปริญญาตรี เขาได้เข้าศึกษาที่สคูล ออฟ วิชวล อาร์ตส์ในนิวยอร์ก ซิตี้ ปัจจุบัน เขาได้พูดในงานประชุมต่างๆ ของวงการและได้สอนผู้กำกับรุ่นใหม่ในหลักสูตรการศึกษาต่อเนื่องของยูซีแอลเอ

เขาใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจลิสกับครอบครัวของเขา

อากิวา โกลด์สแมน (อำนวยการสร้างโดย) เติบโตในบรู๊คลิน ไฮท์, นิวยอร์ก เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยเวสเลยัน และศึกษาด้านการเขียนนิยายจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก

ผลงานการเขียนของเขารวมถึง Silent Fall, The Client, Batman Forever, A Time to Kill, Practical Magic, I, Robot, Cinderella Man, The Da Vinci Code, Angels & Demons และ A Beautiful Mind ที่ทำให้เขาได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ด รางวัลลูกโลกทองคำและรางวัลสมาพันธ์นักเขียนแห่งอเมริกา

ภายใต้แบนเนอร์วี้ด โร้ด พิคเจอร์สที่วอร์เนอร์ บรอส. พิคเจอร์สของเขา โกลด์สแมนได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Deep Blue Sea, Lost in Space, Starsky & Hutch, Constantine, Mr. & Mrs. Smith, I Am Legend, Hancock และ Fair Game

เขาได้ทำหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์เรื่อง Paranormal Activity 2, 3 และ 4 และเขาก็ได้ทำงานเป็นผู้อำนวยการสร้างที่ปรึกษาในซีรีส์ Fringe ที่เขากำกับและร่วมเขียนบทด้วย ผลงานของเขาใน Fringe ทำให้เขาได้รับรางวัลแซทเทิร์น อวอร์ดและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลฮิวโก้ อวอร์ด

ปัจจุบัน โกลด์สแมนกำลังอยู่ระหว่างการทำงานขั้นตอนโพสต์โปรดักชันผลงานการกำกับเรื่องแรกของเขา Winter’s Tale ซึ่งถ่ายทำเมื่อฤดูหนาวที่ผ่านมาในนิวยอร์ก ซิตี้ และจะเข้าฉายในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2014 โกลด์สแมนได้เขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้จากนิยายชื่อเดียวกันของมาร์ค เฮลปริน ภาพยนตร์เรื่องนี้นำแสดงโดยโคลิน ฟาร์เรล, เจสสิกา บราวน์ ฟินด์เลย์, เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี, วิลล์ สมิธและรัสเซล โครว์

โทเบียส ชไลส์เลอร์, เอเอสซี (ผู้กำกับภาพ) ได้กลับมาร่วมงานกับผู้กำกับปีเตอร์ เบิร์กอีกครั้งหลังจากได้ร่วมงานกันมาแล้วสี่ครั้ง ได้แก่ภาพยนตร์แอ็กชันฮิต The Rundown, ดรามากีฬาดุเดือด Friday Night Lights, ภาพยนตร์ฮิตในบ็อกซ์ออฟฟิศ Hancock ที่นำแสดงโดยวิล สมิธ และภาพยนตร์ผจญภัยกลางทะเลเรื่อง Battleship
ชไลส์เลอร์ ชาวเยอรมัน ศึกษาด้านการถ่ายทำภาพยนตร์จากมหาวิทยาลัยไซมอน เฟรเซอร์ในบริติช โคลัมเบีย ประเทศแคนาดา เขาเริ่มต้นทำงานจากการถ่ายทำสารคดีหลายเรื่องเช่น Close to Home ก่อนที่จะเข้าทำงานในแวดวงมิวสิค วิดีโอ ภาพยนตร์อินดี ภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์ และโฆษณา เขาย้ายไปลอสแองเจลิสในปี 1997 หลังจากที่เขาได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแวดวงโฆษณาและภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์
ชไลส์เลอร์ได้รับการยกย่องจากสมาพันธ์ผู้อำนวยการสร้างโฆษณาอิสระ (เอไอซีพี) จากการถ่ายทำสปอตโฆษณาสองชิ้น นั่นคือในปี 2001 สำหรับ “Doctor” สปอต 90 วินาทีของลินคอล์น ไฟแนนเชียล และในปี 2000 สำหรับโฆษณา “Wake up” 30 วินาทีให้กับออดี ปัจจุบัน โฆษณาทั้งสองชิ้นได้รับการบรรจุอยู่ในคลังแผนกภาพยนตร์และวิดีโอของพิพิธภัณฑ์ศิลปะยุคใหม่ (โมมา) ในนิวยอร์ก ซิตี เรียบร้อยแล้ว
นอกเหนือจากผลงานโฆษณาของเขา (ให้กับบริษัทดังอย่างเล็กซัส ฟอร์ด เอโอแอลและเอที แอนด์ ที) และการถ่ายทำมิวสิค วิดีโอ (ให้กับศิลปินดังอย่างจัสติน ทิมเบอร์เลคและคริสตินา อากิเลรา), ชไลส์เลอร์ยังรวบรวมผลงานจอแก้วและจอเงินมากมาย ซึ่งรวมถึงรีเมกปี 2009 โดยโทนี สก็อตเรื่อง The Taking of Pelham 1 2 3, มิวสิคัลโดยบิล คอนดอนเรื่อง Dreamgirls ซึ่งได้รับการเสนอชื่อชิงแปดรางวัลอคาเดมี อวอร์ด (ได้รับสองรางวัล) หลังจากที่เข้าฉายในปี 2008 และทริลเลอร์ใหม่เรื่อง The Fifth Estate ที่นำแสดงโดยเบเนดิคท์ คัมเบอร์แบทช์และแดเนียล บรูห์ล
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ Bait, The Guilty, Candyman: Farewell to the Flesh และ Killer ผลงานจอแก้วของเขารวมถึงภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์เรื่อง Legalese, The Long Way Home, Outrage, The Escape, The Limbic Region และ Mandela and de Klerk โดยโจเซฟ ซาร์เจนท์
เอ็กซ์โพลชันส์ อิน เดอะ สกาย (ดนตรีโดย) ก่อตั้งขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1999 ในตอนที่เพื่อนสนิทสามคนจากมิดแลนด์, เท็กซัส อยู่ในร้านขายแผ่นเสียงในออสติน, เท็กซัส และได้เห็นใบปลิวที่ระบุว่า “ตามหา: วงดนตรีร็อคแห่งชัยชนะ” ปรากฏว่านั่นเป็นสิ่งที่สามสหายชาวมิดแลนด์ต้องการพอดี มือกลองจากอิลลินอยส์คนหนึ่งเพิ่งย้ายไปออสตินและติดใบปลิวนี้ ทั้งสี่คนได้พบกันในวันถัดมาและเริ่มเล่นดนตรีด้วยกัน พวกเขาทดลองการร้องเพลงตั้งแต่เริ่มต้น แต่ก็เปลี่ยนใจมาเป็นเพียงแค่วงร็อคธรรมดาๆ ที่มีกีตาร์สองตัว กีตาร์เบสหนึ่งตัวและกลอง หรือบางครั้ง ก็มีกีตาร์สามตัวและกลองหนึ่งตัว
ตลอดหลายเดือนหลังจากนั้น พวกเขาก็ตั้งชื่อวง (เบรคเกอร์ โมแรนท์ ตามชื่อภาพยนตร์) ก่อนจะเลือกชื่อวงที่ดีกว่าเดิม (ตั้งชื่อตามดอกไม้ไฟ) แล้วก็แต่งเพลง บันทึกอัลบัม อัลบัมนั้นมีชื่อว่า “How Strange, Innocence) และพวกเขาก็ปล่อย CD-R หลายร้อยก็อปปี้ออกวางแผงในเดือนมกราคม ปี 2000 แม้ว่าส่วนใหญ่เสียงจะเพี้ยนไป แต่มันก็เป็นตัวกำหนดโทนให้กับสิ่งที่วงจะทำในอีก 14 ปีข้างหน้า กับสมาชิกชุดเดิม พวกเขาพูดถึงบทเพลงบรรเลงที่มักจะยืดยาวของตัวเองว่า “มินิซิมโฟนีที่ปลอบประโลมจิตใจ”

Leave a Reply


You must be logged in to post a comment.