มีกฎเพียงสามข้อเมื่อคุณมาที่บ้านคุณยาย
1) กินมากเท่าไหร่ก็ได้ตามต้องการ
2) เพลิดเพลินกับช่วงเวลาดีๆ
3) ห้ามออกจากห้องหลังสามทุ่มครึ่ง
เข้าฉาย 22 ตุลาคม 2558
มือเขียนบท/ผู้กำกับ/ผู้อำนวยการสร้าง เอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน (The Sixth Sense, Signs, Unbreakable) และผู้อำนวยการสร้างเจสัน บลูม (แฟรนไชส์ Paranormal Activity, The Purge และ Insidious) ขอต้อนรับคุณเข้าสู่โลกของ The Visit ภาพยนตร์โดยยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส
ชยามาลานกลับสู่รากเหง้าของตัวเองอีกครั้งด้วยเรื่องราวน่าสะพรึงกลัวของเบ็กก้า (โอลิเวีย ดีจอนจ์จาก The Sisterhood of Night) และไทเลอร์ น้องชายของเธอ (เอ็ด อ็อกเซนโบลด์จาก Alexander and the Terrible, Horrible, No Good, Very Bad Day) ผู้ถูกส่งตัวไปที่บ้านไร่ที่ห่างไกลในเพนซิลวาเนียของคุณยาย (ดีแอนนา ดูนาแกนจากซีรีส์ Unforgettable) และคุณตาของพวกเขา (ปีเตอร์ แม็คร็อบบี้จาก Lincoln) ในช่วงสัปดาห์วันหยุด
เมื่อเด็กๆ ได้ค้นพบว่า คุณตาคุณยายของพวกเขาเกี่ยวข้องกับบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล พวกเขาก็เห็นว่าโอกาสในการได้กลับบ้านไปหาแม่ของพวกเขา (แคธริน ฮาห์นจาก We’re the Millers) เริ่มเหลือน้อยลงเรื่อยๆ ทุกวันๆ
ทีมงานเบื้องหลังที่ประสบความสำเร็จของ The Visit มีทั้งผู้ร่วมงานกับชยามาลานเป็นประจำและทีมงานหน้าใหม่ ทีมงานเบื้องหลังของเรื่องนี้นำทีมโดยผู้กำกับภาพมาริส อัลเบอร์ตี้ (The Wrestler, Stone), ผู้ออกแบบงานสร้าง นามาน มาร์แชล (After Earth, A Man in the Dark), มือลำดับภาพลุค เชียร็อคคี (The Happening, The Last Airbender), ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย เอมี เวสต์ค็อทท์ (Black Swan, After Earth) และซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายดนตรี ซูซาน จาค็อบส์ (Unbreakable, Silver Linings Playbook)
ชยามาลานได้อำนวยการสร้าง The Visit ผ่านทางบลายดิ้ง เอดจ์ พิคเจอร์สของเขา ในขณะที่บลูมอำนวยการสร้างผ่านบลูมเฮาส์ โปรดักชันส์ของเขาและมาร์ค เบียนสต็อค (Quarantine 2: Terminal) ร่วมงานกับพวกเขาในฐานะผู้อำนวยการสร้าง
สตีเวน ชไนเดอร์ (แฟรนไชส์ Insidious) และอัศวิน ราจัน (Devil) รับหน้าที่ควบคุมงานสร้างทริลเลอร์เรื่องนี้
กลับคืนสู่รากเหง้า:
The Visit เริ่มต้นขึ้น
ในตอนที่ผู้ชมได้ยินชื่อของเอ็ม. ไนท์ ชยามาลานครั้งแรกในปี 1999 การแนะนำนั้นมาพร้อมกับ The Sixth Sense ภาพยนตร์ของเขาที่เป็นปรากฏการณ์ทั่วโลก นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาก็ได้กำกับภาพยนตร์ยอดนิยมหลายเรื่อง ซึ่งรวมถึง Unbreakable และ Signs แต่เขาก็ต้องการจะย้อนกลับไปสู่รากเหง้าความอินดี้ของเขาอีกครั้งและสร้างภาพยนตร์ฟอร์มเล็กกว่าเดิมที่จะนำเสนอความตื่นเต้นตามสัญชาตญาณ และความรู้สึกสะพรึงกลัวในโรงภาพยนตร์
สำหรับมือเขียนบท/ผู้กำกับ ผู้กล่าวถึง The Exorcist, Jaws, Psycho และ Alien ว่าเป็นทริลเลอร์แบบปูพื้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปเรื่องโปรดของเขา การสร้างภาพยนตร์เป็นกระบวนการที่เกิดจากภายในสู่ภายนอก ซึ่งพล็อตของเรื่องราวของเขาจะเกิดขึ้นจากตัวละครเอง ในการนั้น ชยามาลานรู้สึกหลงใหลในดรามาที่ร้อยเรียงอยู่ในชีวิตตัวละครของเขา และเขาก็เชื่อว่าทริลเลอร์ที่ไม่ได้เริ่มต้นด้วยพื้นฐานดรามาที่มั่นคงเป็นภาพยนตร์ที่ไม่คู่ควรกับการสร้างขึ้นมา เขาชื่นชอบภาพยนตร์แนวนี้เพราะเขาชื่นชมที่มันนำไปสู่การเล่าเรื่องที่ดี และเขาก็มองว่าความลุ้นระทึกของมันเป็นเรื่องตามสัญชาตญาณ
เมื่อเร็วๆ นี้ ชยามาลานเริ่มโหยหาความกระชับแบบภาพยนตร์ฟอร์มเล็ก และเขาก็ได้ทำการเขียนบทภาพยนตร์เกี่ยวกับครอบครัวที่แยกจากกันและพยายามหาวิธีกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง เขากล่าวว่า “ผมพยายามนึกถึงเรื่องราวของผมในแง่ของการมีมนุษย์เข้ามาเกี่ยวข้อง ความนัยจากการกระทำของพวกเขาและความสัมพันธ์ของพวกเขาครับ”
ผู้กำกับรู้สึกว่าการตัดสินใจนี้ทำให้เขามีอิสระที่จะโฟกัสพลังงานของเขาไปที่การวางพล็อตเรื่องราวและพัฒนาการตัวละครเป็นหลัก เขาตั้งข้อสังเกตว่า “วันหนึ่ง ผมบอกว่า ‘ตั้งแต่นี้ไป เราจะสร้างหนังฟอร์มเล็กลงแล้วนะ’ มันมีระดับความเร็วที่ความคิดต่างๆ ผุดขึ้นมาสำหรับผม รวมถึงช่วงเวลาที่ไอเดียพวกนั้นมีความหมายต่อผม สำหรับหนังฟอร์มยักษ์ที่ใช้เวลาสร้างสามปี มันเป็นกระบวนการที่นานเกินไป ผมต้องเขียนบท สร้างมันและถ่ายทำมันด้วยพลังแบบเดียวกับที่มาจากไอเดียที่เมคเซนส์สำหรับผมในช่วงขณะนั้นน่ะครับ”
ชยามาลานจินตนาการถึงเรื่องราวของเบ็กก้าและไทเลอร์ เด็กสองคนที่ถูกพ่อทิ้งในตอนที่พ่อแม่ของพวกเขาหย่าร้างกัน เบ็กก้า เด็กหญิงผู้ฉลาดเฉลียวและช่างคิด เป็นผู้กำกับมือสมัครเล่น ผู้ถ่ายทำสารคดีเกี่ยวกับการเดินทางไปเยี่ยมคุณตาคุณยายที่พวกเขาไม่เคยพบมาก่อน เธอและไทเลอร์ น้องชายของเธอ ผู้ใฝ่ฝันจะเป็นแร็ปเปอร์และรับมือกับความวิตกกังวลด้วยการทำอะไรย้ำคิดย้ำทำ ได้กล่าวคำอำลาแม่ของพวกเขาที่สถานีรถไฟและมุ่งหน้าไปยังชนบทของเพนซิลวาเนีย เพื่อสัมผัสกับสิ่งที่พวกเขาขาดหายไปมานาน นั่นคือความรักที่ไร้เงื่อนไขของคุณตาคุณยาย ในที่สุด นี่ก็เป็นโอกาสที่พวกเขาจะได้รับการตามใจและรู้สึกเหมือนกับที่หลานคนอื่นๆ รู้สึก…และพวกเขาก็จะได้รู้เสียทีว่าทำไมแม่ของพวกเขาถึงกีดกันพวกเขาจากคุณตาคุณยายจนกระทั่งตอนนี้
ในตอนที่เขาสร้างเรื่องราวของครอบครัวที่พยายามจะทำใจกับอดีตที่ผ่านมาและก้าวต่อไป ชยามาลานก็ตั้งใจให้สไตล์การถ่ายทำของเขาสะท้อนถึงการเดินทางที่ตรงไปตรงมาของพวกเขา เขาเล่าถึงกลยุทธของเขาว่า “หนังเรื่องนี้มีรูปแบบเป็นสารคดีบุคคลที่หนึ่ง และมันก็มีระดับความตรงไปตรงมาอย่างที่เกิดขึ้นได้ยากในตอนที่คุณเขียนบท กับหนังอย่าง Paranormal Activity หรือ The Blair Witch Project ข้อดีของมันคือพวกเขาบันทึกภาพแบบปัจจุบันทันด่วน จนทำให้เกิดความรู้สึกสมจริงครับ”
ในความเป็นจริงแล้ว แรงบันดาลใจที่ชยามาลานได้รับจากแฟรนไชส์ Paranormal Activity ของผู้อำนวยการสร้างเจสัน บลูม เป็นประโยชน์กับเขาในตอนที่เขาวางโครงสร้าง The Visit เขาอธิบายว่า “กลยุทธของหนังเรื่องนี้คือการทำให้ทุกอย่างดูเหมือนเกิดขึ้นโดยบังเอิญ ซึ่งนั่นเป็นเรื่องท้าทาย ตัวละครสองตัวใน The Visit มีกล้อง มันก็เลยเป็นการถ่ายทำสองสไตล์ที่แตกต่างกันเพื่อสร้างความแตกต่างระหว่างกล้องทั้งสองตัวครับ”
หลังจากที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทำและลำดับภาพแล้ว ชยามาลานก็ทาบทามบลูม ผู้อำนวยการสร้างเบื้องหลังแฟรนไชส์ที่ประสบความสำเร็จอย่าง Sinister, Insidious และ The Purge รวมถึง Paranormal Activity ที่กล่าวถึงไปแล้วก่อนหน้านี้ ผู้อำนวยการสร้างทั้งสองคนติดต่อกันมาได้ซักพักแล้ว โดยบลูมพยายามทาบทามชยามาลานมาหลายปีแล้วเพื่อให้พวกเขาได้ร่วมงานกันในโปรเจ็กต์ซักเรื่อง และชยามาลานก็รู้ว่าบลูมจะให้ความคิดเห็นที่ตรงไปตรงมาเกี่ยวกับภาพยนตร์ที่มีความเป็นส่วนตัวเรื่องนี้ที่เขาได้เขียนบท กำกับและออกเงินทุนในการสร้างเอง
บลูมชื่นชอบดรามา อารมณ์ขันและความน่าสะพรึงกลัวในภาพยนตร์เรื่องนี้ในทันที และรู้สึกว่า The Visit เป็นภาพยนตร์ที่เพอร์เฟ็กต์สำหรับข้อตกลงการจัดจำหน่ายระยะยาวกับยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส เขาเล่าว่าพอเขาได้ดูภาพยนตร์ของชยามาลาน การวางแผนเพื่อนำภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉายก็เป็นขั้นตอนต่อไปทันที “ผมได้ดูหนังน่ากลัวเกือบทุกเรื่องในรอบทศวรรษที่ผ่านมา และการสั่นประสาทผมก็เป็นเรื่องยาก แต่ผมพบว่า The Visit เป็นหนังที่น่าสะพรึงมากๆ แต่มันไม่ใช่แค่น่ากลัวเท่านั้น เวลากลางคืนก็ช่วยทำให้หนังเรื่องนี้สนุกอย่างเหลือเชื่อด้วย มันเป็นสไตล์การถ่ายทำที่ไม่ค่อยปรากฏบ่อยนักและเป็นสิ่งที่ทำได้ยากสำหรับหนังแนวนี้ด้วยครับ”
ตัวผู้อำนวยการสร้างเองชื่นชมพลังความมีชีวิตชีวาที่เพื่อนร่วมงานของเขาได้แสดงให้เห็นและเขาก็เชื่อว่าหน้าที่ของเขาในฐานะผู้รักษาและผู้สนับสนุนภาพยนตร์ฟอร์มเล็กคือการคิดอย่างสม่ำเสมอว่าจะนำเสนอภาพยนตร์แต่ละเรื่องให้แตกต่างกันออกไปอย่างไร บลูมตั้งข้อสังเกตว่า “มีแนวโน้มในฮอลลีวูดที่เชื่อว่า ‘ถ้ามีหนังใหม่ซักเรื่องประสบความสำเร็จ ก็ทำซ้ำสิ’ ผมคิดมานานแล้วว่า คุณควรจะทำในสิ่งตรงข้าม ไนท์นำเสนอหนังสไตล์ล้อเลียนสารคดีที่มีช็อตที่จัดวางองค์ประกอบอย่างประณีตและงดงาม และผมก็ประทับใจที่หนังของเขาได้รับแรงบันดาลใจจากหนังเรื่องโปรดของผมอย่าง The Shining และ Psycho ครับ”
บลูมกล่าวว่าเขาสนใจกับการทำงานร่วมกับผู้กำกับที่ท้าพนันกับตัวเองและแหวกขนบเท่านั้น “ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับผู้กำกับอย่างไนท์ใน The Visit เขาเข้าใจโดยสัญชาตญาณว่าความสะพรึงกลัวอยู่ในสิ่งที่มองไม่เห็นและอยู่เพียงแค่เลยหัวมุมไปหน่อยเท่านั้น ความน่ากลัวที่ไนท์สร้างขึ้นในหนังเรื่องนี้ดูเหมือนเรียบง่าย เขาล่อหลอกเราให้รู้สึกปลอดภัยและมั่นคงด้วยเรื่องราวที่เข้าถึงได้ของเด็กสองคนไปเยี่ยมคุณตาคุณยายที่ไม่เคยพบหน้าเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ ก่อนจะสร้างสิ่งที่แปลกใหม่และน่าสะพรึงกลัวขึ้นมาครับ”
มาร์ค เบียนสต็อค ผู้ที่ตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมาได้ทำงานในฐานะผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์แนวทริลเลอร์ ได้ร่วมงานกับชยามาลานและบลูมเป็นครั้งแรกในภาพยนตร์เรื่องนี้ เขาเล่าว่าพวกเขาตั้งใจให้การถ่ายทำ The Visit กะทัดรัด “เราคุยกันถึงข้อดีของทุนสร้างต่ำ ซึ่งรวมถึงการมีอิสระและการร่วมมือกัน ไนท์เป็นคนเปิดกว้างที่มีวิสัยทัศน์แน่วแน่ เขาก็เลยยอมรับเรื่องนั้น นอกจากนั้น เรายังถ่ายทำหนังเรื่องนี้ตามลำดับเวลาด้วย ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องปกติครับ”
ในตอนที่เขาเตรียมพร้อมที่จะได้เห็นภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ ชยามาลานกล่าวว่า เขาไม่ได้รู้สึกมีชีวิตชีวาอย่างนี้มาหลายปีแล้ว และเขาก็ภูมิใจในงานของเขา “The Visit มีโครงสร้างไม่เหมือนกับหนังเรื่องอื่นๆ และมันก็เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นและอันตรายด้วยครับ ตัวละครเอกของเรื่องเป็นคนทำหนังวัย 15 ปี ที่เชื่อในพลังของหนัง มันเหมือนกับการที่ผมกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งและสงสัยว่าตัวเองเชื่อว่าการสร้างหนังเป็นเวทมนตร์รึเปล่าน่ะครับ”
พบครอบครัว:
การคัดเลือกนักแสดงสำหรับทริลเลอร์
ด้วยทุนสร้างที่ไม่มากนักและทีมนักแสดงหลักที่ส่วนมากแล้วจะมีเพียงห้าคน ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของชยามาลานคล้ายกับละครเวทีขนาดเล็ก…ซึ่งช่วยดึงความตึงเครียดจากทีมนักแสดงและเฝ้ามองขณะที่ความน่าสะพรึงกลัวปรากฏขึ้นบนใบหน้าผู้ชมได้ดียิ่งขึ้น
เมื่อถึงเวลาคัดเลือกนักแสดง เขาและดักกลาส ไอเบล ผู้กำกับฝ่ายคัดเลือกตัวนักแสดง ก็พิถีพิถันกับการคัดเลือกของพวกเขามาก มือเขียนบท/ผู้กำกับอธิบายถึงเหตุผลของเขาในการเลือกนักแสดงว่า “นักแสดงของเรื่องได้รับเลือกจากความบริสุทธิ์และตัวละครก็ถูกเขียนขึ้นจากความบริสุทธิ์ครับ ผมเลือกคนพวกนี้จากทั่วโลกเพื่อมาแสดงในหนังเรื่องนี้ ในตอนที่เราอ่านบท ผมตระหนักได้ว่านี่อาจจะเป็นทีมนักแสดงที่ผมชื่นชอบก็เป็นได้ มันเหมือนกับว่าพวกเขาเป็นคนที่ผมเขียนถึงในบทเลยครับ”
สำหรับบท เบ็กก้า ผู้ใฝ่ฝันจะเป็นผู้กำกับ ชยามาลานเลือกนักแสดงหญิงชาวออสเตรเลีย โอลิเวีย ดีจอนจ์ ผู้สร้างความประทับใจให้กับผู้ชมในประเทศบ้านเกิดของเธอมาหลายปีแล้ว นักแสดงหญิงรุ่นเยาว์เล่าถึงสิ่งที่ทำให้เธอสนใจบทนี้ว่า “The Visit เป็นเรื่องราวเรียบง่ายที่ทำให้คุณนั่งไม่ติดเก้าอี้ ฉันกับแม่อ่านบทเรื่องนี้ แล้วตอนจบเราก็ลุ้นกันมากค่ะ มันเหลือเชื่อและสุดๆ ไปเลยค่ะ”
เหตุผลหนึ่งที่ชยามาลานอยากใหเธอมาแสดงบทนี้คือดีจอนจ์และตัวละครของเธอมีความรักอย่างลึกซึ้งต่อภาพยนตร์เหมือนกัน “ทั้งเบ็กก้าและฉันต่างก็สนใจในการสร้างหนังค่ะ” เธอบอก “ฉันรักการสร้างหนังสั้น ซึ่งฉันทำเป็นประจำตอนอยู่โรงเรียน นอกจากนั้น เธอยังเป็นคนที่ซับซ้อนและเหมือนมนุษย์จริงๆ มากๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากมากๆ ค่ะ เธอมีศีลธรรม มีค่านิยมที่ยึดถือ และฉันก็รู้สึกเข้าใจเธอจริงๆ ค่ะ”
ดีจอนจ์ชื่นชมที่ผู้กำกับของเธอเต็มใจจะให้เธอร่วมสร้างตัวละครที่เขาเขียนขึ้นมาอย่างเต็มที่ “ฉันโชคดีมากที่ได้พัฒนาตัวละครเบ็กก้าร่วมกับไนท์ ไม่เพียงแต่เขาจะมีจินตนาการสุดบรรเจิดเท่านั้น แต่เขายังเป็นคนที่คุยด้วยง่ายและเปิดกว้างมากๆ เขาเป็นเบ็กก้าเลยล่ะค่ะ ดังนั้น ฉันเลยรู้สึกเยี่ยมมากที่ได้คุยเรื่องบทกับเขาในส่วนที่ฉันคิดว่าแสดงยาก เขาช่วยเราในการพัฒนาตัวละครและความสัมพันธ์ขึ้นมา เพื่อทำให้แน่ใจว่าเราจะดึงเอาสิ่งที่ดีที่สุดของเราออกมาเพื่อให้หนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จน่ะค่ะ”
ด้วยความที่แม่ของเธอเป็นคนที่รักอิสระเสรี เบ็กก้าจึงต้องโตเป็นผู้ใหญ่อย่างรวดเร็วและกลายเป็นเหมือนแม่สำหรับไทเลอร์นับตั้งแต่ที่พ่อแม่ของพวกเขาหย่าร้างกัน ดีจอนจ์พูดถึงความสัมพันธ์ของครอบครัวนี้ว่า “เบ็กก้าและไทเลอร์โทษตัวเองว่าทำให้พ่อจากไป พวกเขาคิดว่าพวกเขาทำอะไรผิดหรือไม่ก็พวกเขาไม่ดีพอที่จะทำให้เขาอยู่ต่อได้ พวกเขาไม่เข้าใจว่ามันไม่ใช่ความผิดของพวกเขาค่ะ”
ความเคลือบแคลงในตัวเองทำให้การไปเยี่ยมคุณตาคุณยายของเบ็กก้ายิ่งสำคัญมากขึ้นสำหรับเด็กสาวคนนี้ “เบ็กก้าเป็นเหมือนแม่สำหรับไทเลอร์ แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็ต้องการครอบครัวที่พร้อมสมบูรณ์ด้วยค่ะ” เธอกล่าวต่อ “เธอรักแม่ น้องชายและคุณตาคุณยาย เธออยากให้ทุกคนเป็นครอบครัวใหญ่ที่มีความสุข มันเกิดจากความรู้สึกจริงๆ และนั่นคือสิ่งที่ทำให้เธอเป็นตัวละครที่พิเศษสุดค่ะ”
เอ็ด อ็อกเซนโบลด์ เพื่อนนักแสดงชาวออสเตรเลีย ผู้เป็นที่รู้จักของผู้ชมทั่วโลกจากการแสดงนำในคอเมดีสำหรับครอบครัวเรื่อง Alexander and the Terrible, Horrible, No Good, Very Bad Day ได้ถูกนำตัวมารับบท ไทเลอร์ น้องชายของเบ็กก้า อ็อกเซนโบลด์อธิบายถึงเหตุผลที่เขารู้สึกตื่นเต้นที่ได้เข้าร่วมกับทีมนักแสดงเรื่องนี้ว่า “สิ่งที่ทำให้ผมตื่นเต้นเกี่ยวกับ The Visit คือบทครับ บทหนังเรื่องนี้ทั้งตลก ดรามา ลุ้นระทึกและน่าขนลุก มันเป็นเรื่องราวที่ยอดเยี่ยมและตอนจบก็น่าอัศจรรย์มากครับ”
นอกจากนี้ เขายังชื่นชอบที่ตัวละครของเขาไม่ใช่เด็กชายตามแบบฉบับที่ถูกนำตัวเข้ามาเพื่อสร้างอารมณ์ขันและความกลัวแบบง่ายๆ ตัวน้องชายผู้นี้ต้องรับมือกับอาการย้ำคิดย้ำทำ ซึ่งเลวร้ายลงนับตั้งแต่พ่อทิ้งพวกเขาไป อ็อกเซนโบลด์กล่าวว่า “ไทเลอร์เป็นเด็กน่ารักและอ่อนไหว เขามีปัญหาตั้งแต่พ่อทิ้งไป เขาทำตัวเข้มแข็งและกล้าหาญขึ้นด้วยการแสดงตัวเป็น ‘ที-ไดมอนด์’ ครับ”
แม้จะมีอาการย้ำคิดย้ำทำ ไทเลอร์ หรือ “ที-ไดมอนด์” ก็เป็นเหมือนตัวสร้างอารมณ์ขันของเรื่อง อ็อกเซนโบลด์เล่าว่าผู้กำกับช่วยเขาอย่างมากในตอนที่เขาเตรียมตัว ด้วยการเสนอให้เขาใช้แรงบันดาลใจจากหนึ่งในผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกๆ ของดาราดังในปัจจุบันคนหนึ่ง “ไนท์บอกชื่อหนังบางเรื่องที่มีฉากที่จะช่วยผมได้ ผมได้ดู Empire of the Sun ที่คริสเตียน เบลแสดง เขากล้าแสดงมากๆ ตั้งแต่ยังอายุน้อย ทุกคืนผมจะอ่านบทกับพ่อแม่ผมและวิเคราะห์ทุกอย่างครับ”
แต่มันก็ไม่ใช่วิธีการแสดงแบบเมธ็อดที่ลึกซึ้งไปซะทั้งหมด อ็อกเซนโบลด์เล่าว่า “มีฉากหนึ่งที่ไทเลอร์เปลี่ยนเข้าสู่โหมดที-ไดมอนด์ ผมต้องแร็ปแบบฮาร์ดคอร์และแทบจะกลั้นหัวเราะไม่อยู่ ผมบอกได้ว่าไนท์เองก็หัวเราะคิกคักอยู่หลังจอมอนิเตอร์เหมือนกันครับ”
โชคดีที่การที่อ็อกเซนโบลด์และดีจอนจ์จะทำตัวเป็นเหมือนพี่น้องที่มักจะดูแลเอาใจใส่และเย้าแหย่กันและกันให้รำคาญไม่ใช่เรื่องยาก นักแสดงเด็กคนนี้กล่าวชื่นชมนักแสดงรุ่นพี่ของเขาว่า “โอลิเวียวิเศษสุดครับ เราเข้ากันได้ดีเหมือนพี่น้อง การแสดงของเธอน่าทึ่งมาก เธอเหมือนกับไนท์ในแง่ที่ว่าเธอสามารถทำตัวจริงจังได้ แต่ก็พร้อมที่จะสนุกอยู่เสมอด้วยครับ”
ความรู้สึกสนุกสนานแบบนั้นในกองถ่ายช่วยให้อ็อกเซนโบลด์และดีจอนจ์เกิดความผูกพันกัน…ทันเวลาที่ตัวละครของพวกเขาจะต้องเผชิญกับเรื่องที่มืดหม่น ดีจอนจ์เล่าถึงน้องชายในเรื่องของเธอว่า “ไทเลอร์เป็นตัวละครเพี้ยนๆ ค่ะ และสีหน้ากับคำพูดของเขาทำให้เขาเป็นเด็กตลก ในขณะเดียวกัน เขาก็เป็นคนกลัวเชื้อโรคและทำตัวเหมือนเป็นแร็ปเปอร์ จริงๆ แล้ว เขาก็เหมือนเด็กชายอายุ 12 ปีคนอื่นๆ เขารักแม่และพี่สาว แม้ว่าเขาจะตั้งกำแพงกั้นยังไง ภายในเขาก็เป็นคนอ่อนโยนค่ะ” น
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่นำไปสู่หนึ่งในฉากที่ทรงพลังที่สุดใน The Visit เมื่อไทเลอร์สลับบทบาทเพื่อให้เบ็กก้านั่งสำหรับการสัมภาษณ์ต่อหน้ากล้อง ดีจอนจ์เล่าถึงวันที่ทรงพลังนั้นว่า “ฉากที่ทำอารมณ์ได้ยากที่สุดคือการสัมภาษณ์ครั้งสุดท้ายของเบ็กก้าสำหรับสารคดีของเธอในตอนที่เธออยู่ข้างนอกกับไทเลอร์ เขาทำให้เธอพูดในสิ่งที่เธอไม่เคยบอกใครมาก่อนและมันก็สะเทือนอารมณ์มากๆ มันเป็นหนึ่งในฉากที่แสดงยาก แต่ฉันคิดว่ามันออกมาดีทีเดียวนะคะ”
เมื่อเบ็กก้าและไทเลอร์ใกล้ชิดกันมากขึ้นและความน่าสะพรึงกลัวของเรื่องราวถูกเผยออกมา พวกเขาก็ต้องเจอกับพฤติกรรมที่แปลกขึ้นเรื่อยๆ ของคุณตาคุณยายของพวกเขา ที่แสดงได้อย่างยอดเยี่ยมโดยนักแสดงหญิงรางวัลโทนี อวอร์ด ดีแอนนา ดูนาแกนและนักแสดงสมทบชาวสก็อต ปีเตอร์ แม็คร็อบบี้ อ็อกเซนโบลด์ประทับใจอย่างยิ่งกับนักแสดงมากประสบการณ์ผู้นี้จนเขารับเอาเคล็ดลับในการแสดงที่เขาจะใช้ในอีกหลายปีข้างหน้านับแต่นี้มาจากเขาด้วย เขากล่าวชื่นชมว่า “ดีแอนนาและปีเตอร์แสดงได้อย่างยอดเยี่ยมในทุกฉากของพวกเขา ตัวละครของพวกเขาน่าสยองมากครับ”
แม้จะเป็นนักแสดงหญิงผู้คร่ำหวอดในวงการจอเงินและละครเวที แต่ดูนาแกนก็ยอมรับว่าเธอรู้สึกลังเลก่อนหน้าที่จะตกปากรับคำมาทดสอบบทคุณยาย เธออธิบายว่าเธอมามีส่วนเกี่ยวข้องกับ The Visit ได้อย่างไรว่า “เอเจนท์ของฉันโทรหาฉันบอกว่าฉันมีออดิชันเพื่อรับบทคุณยาย ฉันไม่สนใจที่จะรับบทคุณยายหรอกค่ะ แต่พอเขาบอกฉันว่าเป็นงานของเอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน ฉันก็ตกลงเลย ถ้าคุณดูผลงานที่ผ่านมาของเขา จะเห็นว่าเขามีจินตนาการที่เหลือเชื่อค่ะ”
ในตอนที่เธอได้พบกับผู้กำกับและฟังเขาอธิบายวิสัยทัศน์ที่เขามีต่อภาพยนตร์เรื่องนี้และพัฒนาการตัวละครของเธอ เธอก็รู้ได้ว่าเธอไม่ต้องกังวลเลย “คุณยายมีความลับบางอย่างและไม่ได้เป็นอย่างที่เห็นค่ะ” ดูนาแกนเล่า “เธอไม่ได้เป็นคุณยายใจดีอย่างที่คุณเห็นในตอนเริ่มต้น เธอมีพลกำลังอย่างที่คุณมองไม่เห็นค่ะ”
เช่นเดียวกับเพื่อนนักแสดงคนอื่นๆ เธอชื่นชมที่ชยามาลานเปิดกว้างต่อการรับฟังไอเดียของเธอตลอดระยะเวลาถ่ายทำ “ไนท์เป็นผู้ฟังที่ดีค่ะ” ดูนาแกนตั้งข้อสังเกต “เขาเต็มใจให้ความร่วมมืออย่างมากในเรื่องของสิ่งที่เราเปิดเผยสำหรับตัวละคร นอกจากนั้น เขาก็จะให้เราแสดงฉากต่างๆ ในหลายๆ รูปแบบ ดังนั้น การสร้างตัวละครที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดในบทก็เลยเป็นความท้าทายน่ะค่ะ”
โชคดีสำหรับทีมงานและนักแสดง วันเวลามืดหม่นที่ตัวละครของพวกเขาต้องเผชิญถูกลบล้างไปด้วยบรรยากาศที่สดใสในกองถ่าย ดูนาแกนกล่าวสรุปเกี่ยวกับความคิดที่พวกเขามีต่อการร่วมงานกับผู้กำกับผู้นี้ว่า “การใช้เวลาวันหนึ่งกับเอ็ม. ไนท์ ชยามาลานเหมือนกับวันหนึ่งท่ามกลางแสงอาทิตย์ เขาเต็มไปด้วยความอบอุ่น ทีมงานทุกคนซึมซับความอบอุ่นนั้นและมอบมันกลับออกมาค่ะ ฉันไม่เคยร่วมงานกับคนที่มีความสุขและยินดีกับการทำงานในหนังมากไปกว่านี้อีกแล้ว เขาเป็นคนมีอารมณ์เร่าร้อนและชื่นชมนักแสดงของตัวเองค่ะ”
ในบรรดาหลานสองคนของเธอ คุณยายรู้สึกใกล้ชิดกับเบ็กก้าที่สุดระหว่างหนึ่งสัปดาห์ที่พวกเขาอยู่ร่วมกัน แม้ว่าพวกเขาจะเรี่มต้นสร้างสายสัมพันธ์ในห้องครัว ที่ซึ่งเธอทำอาหารเช้ามื้อใหญ่และคุ้กกี้ที่ดูเหมือนไม่มีวันหมดให้พวกเขา เวลาของพวกเขาก็เริ่มมืดหม่นเมื่อเบ็กก้าขอสัมภาษณ์คุณยายและพยายามจะล้วงความจริงถึงสาเหตุที่แม่ของเธอเลิกคุยกับคุณตาคุณยาย
ดูนาแกนเล่าถึงพัฒนาการและกระบวนการของตัวละครของเธอว่า “ฉากโปรดของฉันที่ยากที่สุดคือฉากการสัมภาษณ์กับเบ็กก้า หลานสาวของตัวละครของฉัน “คุณยายมีความสุขมากและเธอก็รู้สึกแปลกๆ ในการสัมภาษณ์เพราะเธอไม่เคยออกหน้ากล้องมาก่อน แต่คุณยายก็ไม่ได้เผยอะไรออกมาซักเท่าไหร่ระหว่างการสัมภาษณ์ เธอตอบคำถามทำนองว่า ‘คุณยายชอบสีอะไร’ และ ‘คุณยายชอบสัตว์ชนิดไหน’ อย่างสนุกสนาน ด้วยความสุขกับชั่วขณะนั้น แต่เมื่อเบ็กก้าถามเกี่ยวกับแม่ของเธอ การสัมภาษณ์ก็กลายเป็นเรื่องจริงและกระทบจิตใจสำหรับพวกเขาทั้งคู่
การรับบทตัวละครที่สับเปลี่ยนระหว่างความอ่อนโยนสุดซึ้งและอาการทางจิตขั้นรุนแรงเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นสำหรับดูนาแกน เธอเล่าว่ามันเป็นความท้าทายที่น่ายินดีที่เธอได้รับบทคุณยายในแบบต่างๆ ในหลายๆ เทคระหว่างการถ่ายทำ เธอบอกว่า “มันน่าสนใจเพราะแม้ว่าไนท์จะเป็นคนเขียนบท แต่เขาก็เหมือนกับฉันที่เรียนรู้เกี่ยวกับตัวละครระหว่างที่เราทำงานไปเรื่อยๆ เราถ่ายทำแต่ละฉากหลายเทคเพื่อทดลองบุคลิกที่หลากหลายสำหรับคุณยาย มันทำให้ไนท์มีตัวเลือกให้ใช้ระหว่างการประกอบหนังเรื่องนี้เป็นรูปเป็นร่างในตอนสุดท้ายค่ะ”
สามีผู้จงรักภักดีของคุณยาย ที่เบ็กก้าและไทเลอร์รู้จักในฐานะคุณตา แทบจะระงับอาการตื่นเต้นไว้ไม่อยู่ที่ในที่สุดเขาก็ได้กอดหลานรักไว้ในอ้อมแขน ตัวละครตัวนี้ ที่รับบทโดยแม็คร็อบบี้ ผู้ใช้ประสบการณ์นานหลายทศวรรษในฐานะนักแสดงสมทบในการตัดสินใจ เป็นบทที่ตรงกันข้าม เขาอธิบายว่า “คุณตามีความเชื่อบางอย่างเกี่ยวกับโลกใบนี้ ซึ่งอาจจะไม่สอดคล้องกับสิ่งที่คนอื่นๆ มองว่าเป็นความเป็นจริง คนภายนอกอาจพูดถึงพฤติกรรมของเขาว่าพิลึกหรือเพี้ยน แต่ภายในโลกของเขา คุณจะรู้ว่าทุกอย่างที่เขาทำ พูดหรือคิดต่างก็มีเหตุผลรองรับครับ”
แม็คร็อบบี้ชื่นชอบการมีมือเขียนบทของเรื่องอยู่ในกองถ่ายด้วย เขากล่าวชื่นชมสไตล์ของชยามาลานว่า “มันไม่ได้เป็นการเขียนบทแบบกึ่งกลางตามปกติ ตัวละครของผมเป็นคนพิลึก ดังนั้น แรงจูงใจของเขาก็จะต้องชัดเจนและจะต้องมีการใส่ความเป็นมนุษย์ให้กับเขา เขาจะเป็นแค่คนพิลึกไม่ได้ แม้ว่าคุณจะแสดงเป็นสัตว์ประหลาด คุณก็ต้องหาความเป็นมนุษย์ในตัวชายคนนี้ให้เจอครับ” เขาหยุดครู่หนึ่ง “ฉากเด็ดๆ คือฉากที่ผมพบว่าง่ายดายที่สุด ในตอนที่อารมณ์มันลึกซึ้งและเป็นเรื่องของจิตใต้สำนึก คุณจะมีอะไรให้คำนึงถึงมากมาย มันทำให้งานของเราเข้าถึงได้มากขึ้นครับ”
เช่นเดียวกับดูนาแกน แม็คร็อบบี้รู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่ที่ผู้กำกับของพวกเขายอมให้พวกเขามีอิสระมากขนาดนี้ในการตีความถ้อยคำของเขา อิสระนั้นเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในช่วงองก์ที่สามของ The Visit ในตอนที่คุณตาคุณยายเผยธาตุแท้ที่น่ากลัวออกมา แม็คร็อบบี้กล่าวว่า “การร่วมงานกับไนท์เป็นความสุขเสมอเพราะเขามักจะเปิดกว้างต่อการรับฟังสิ่งที่เรานำเสนอ นอกจากนั้น เขายังสร้างความขัดแย้งที่ก่อให้เกิดประกายวูบวาบด้วย มันเป็นกระบวนการที่ผมสนใจและเป็นสิ่งที่ทำให้ผมยังคงทำอาชีพนี้ครับ”
นักแสดงทุกคนตระหนักดีว่าพวกเขาได้รับการนำทางโดยผู้กำกับที่พร้อมจะยอมรับว่าหัวใจเขายังเป็นเด็กอยู่ ชยามาลานชื่นชอบความรู้สึกกลัวพอๆ กับหรือมากกว่าทุกคนในทีมงานถ่ายทำของเขา แม็คร็อบบี้กล่าวชื่นชมว่า “สิ่งที่ดึงดูดผมในฐานะนักแสดงคืออารมณ์ขัน และความรู้สึกอยากเล่นสนุกของเขา เขามีความสุขกับเรื่องแบบนี้ การที่คนที่กำกับคุณมีอารมณ์ขันและความสุขในสิ่งที่เขาทำเป็นของขวัญที่เหลือเชื่อครับ กองถ่ายเราเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ซึ่งมันก็ทำให้ทุกคนรู้สึกผ่อนคลายครับ”
คุณตาเป็นตัวละครที่เก็บความรู้สึกมากกว่าภรรยาผู้ร่าเริงของเขา และแม็คร็อบบี้ก็คิดว่าตัวละครของเขารู้สึกว่ามันเป็นหน้าที่ของเขาในการปรับลดระดับความแรงของพฤติกรรมของเธอและเป็นตัวปรับสมดุลของเธอ
ในตอนที่พวกเขาทั้งคู่จะต้องเจอกับสภาพจิตใจที่มืดหม่นมากๆ ของตัวละคร ดูนาแกนได้รับการสนับสนุนจากแม็คร็อบบี้และเขาเองก็เช่นกัน เธอบอกว่า “คุณตาภักดีกับคุณยายมากๆ เขาคอยดูแลเธอเสมอ เขามักต้องการทำในสิ่งที่จะทำให้เธอมีความสุข เขาเป็นคนที่น่าสนใจและซับซ้อนค่ะ เหมือนกับที่เธอเป็นผู้หญิงที่น่าสนใจและซับซ้อน เขาพยายามที่จะมอบสัปดาห์ที่มีความสุขที่สุดในชีวิตให้กับเธอ นั่นเป็นเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวของเขาค่ะ”
ดีจอนจ์เล่าถึงความสามารถของนักแสดงที่พึ่งพากันและกันระหว่างการถ่ายทำได้ว่า “เบ็กก้ารับมือกับอารมณ์ต่างๆ มากมายในขณะเดียวกับที่ต้องพยายามทำตัวเข้มแข็งสำหรับน้องชายเธอและพยายามรักษาครอบครัวที่เธอต้องการเอาไว้ให้ได้ การพยายามรับมือกับอารมณ์สามหรือสี่อารมณ์ภายในการพูดเพียงไม่กี่ครั้งเป็นเรื่องยากมากๆ แต่การทำงานร่วมกับไนท์, ดีแอนนา, ปีเตอร์และเอ็ดช่วยทำให้การแสดงออกอารมณ์ที่หลากหลายเหล่านั้นเป็นเรื่องง่ายขึ้นค่ะ”
นักแสดงหลักสี่คนมีผู้ร่วมแสดงในฉากสำคัญๆ คือแคธริน ฮาห์น ผู้รับบทแม่ของเบ็กก้าและไทเลอร์ ฮาห์นผู้เป็นที่รู้จักจากการแสดงคอเมดีที่ยอดเยี่ยมของเธอในภาพยนตร์เรื่อง We’re the Millers, Wanderlust และ The Secret Life of Walter Mitty เป็นส่วนหนึ่งของนักแสดงตลกยุคปัจจุบัน ผู้ไม่เกรงกลัวการแสดงอย่างสุดโต่ง เธอพบว่าความไม่เกรงกลัวนี้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งเมื่อต้องรับมือกับฉากที่น่าสะพรึงกลัวบางฉากใน The Visit
การรับบทแม่ผู้เปลี่ยนจากความรู้สึกตื่นเต้นระคนหวาดระแวงที่ในที่สุดลูกๆ ของเธอก็ได้พบกับคุณตาคุณยายเสียที ไปสู่ความรู้สึกกลัวในสิ่งที่เกิดขึ้นในที่ที่ห่างไกลจากการดูแลของเธอเป็นสิ่งที่เหนื่อยอย่างยิ่งสำหรับนักแสดงผู้นี้ อย่างไรก็ดี ฮาห์นต้องเผชิญกับความท้าทายในแบบที่เพื่อนร่วมแสดงของเธอไม่ต้องเจอ เธออธิบายว่า “ฉากของฉันส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในการคุยผ่านทางสไคป์ ที่ถ่ายทำหลังจากเด็กๆ ถ่ายทำเสร็จแล้วหลายวันหรือหลายสัปดาห์ มันเป็นเรื่องยากค่ะ ฉันพยายามจะไปดูการถ่ายทำของพวกเขาเพื่อที่ว่าฉันจะสามารถจำจังหวะของฉากได้ เพราะฉันต้องกะจังหวะให้พอดีในตอนที่ฉันถ่ายทำส่วนของฉัน มันเป็นความท้าทายด้านการแสดงที่งดงาม ที่ฉันจะได้ยินเสียงที่พวกเขาบันทึกไว้ก่อนหน้านี้ผ่านทางหูฟังในหูของฉันและต้องพยายามตอบสนองให้ตรงจังหวะ…แต่ด้วยความมีชีวิตชีวาและความสดใหม่ในทุกครั้ง มันเป็นเรื่องยากแต่ก็น่าตื่นเต้นสุดๆ ด้วยค่ะ”
นักแสดงหญิงกล่าวเห็นพ้องด้วยกับประสบการณ์ของนักแสดงทุกคนที่มีต่อองค์ประกอบที่น่ากลัวที่สุดของการถ่ายทำ นั่นคืออุณหภูมิเย็นจัด เมื่อถามถึงสิ่งที่ท้าทายที่สุด ฮาห์นกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “นอกเหนือจากความหนาวเย็นน่ะเหรอคะ ฉันจำได้ว่าตอนที่ฉันขับรถเช่าท่ามกลางพายุหิมะจากโรงแรมของฉันไปยังออฟฟิศของกองถ่าย ฉันรู้สึกหลงทางและโดดเดี่ยวมาก ฉันอยู่ท่ามกลางคลื่นสีขาว ที่หนาวจัดจนขวดน้ำฉันแข็งเป็นน้ำแข็ง มันทำให้เกิดความรู้สึกเร่งด่วน ความกลัวและความช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ซึ่งมันช่วยเสริมสร้างความรู้สึกได้จริงๆ ค่ะ”
อย่างไรก็ดี เธอยอมรับว่าการฝ่าฟันอากาศที่เย็นยะเยือกเป็นสิ่งที่คุ้มค่า “ฉันชื่นชอบการซ้อมกับไนท์และเด็กๆ ที่เป็นการสร้างประวัติศาสตร์ร่วมกันของทั้งสามคนนี้ นั่นทำให้ฉันในฐานะนักแสดงมีความสุขค่ะ แล้วก็จิตใจที่งดงามของไนท์ด้วย ฉันรักทุกวินาทีของการทำงาน มันให้ความรู้สึกเหมือนการซ้อมละครเวทีเลยค่ะ”
ผู้ที่รับบทสมทบใน The Visit คือซีเลีย คีแนน-โบลเกอร์ ในบท สเตซีย์ เพื่อนที่เป็นกังวลของคุณตาคุณยาย ผู้มาที่บ้านไร่ของพวกเขาเพื่อระบายความหงุดหงิดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น, ซามวล สตริคเลนในบทพนักงานเก็บตั๋วรถไฟ ผู้รับฟังเพลงแร็ปของที-ไดมอนด์อย่างกระตือรือร้นและแพทช์ ดาร์รัฟในบทดร.แซม แพทย์จากบ้านพักคนชราที่ซึ่งคุณตาคุณยายเป็นอาสาสมัคร
บลูมตั้งข้อสังเกตว่า การตัดสินใจด้านการคัดเลือกนักแสดงของมือเขียนบท/ผู้กำกับของเขาเด็ดเดี่ยวและเป็นไปตามกลยุทธแม้กระทั่งบทสมทบ “ไนท์มีสัมผัสที่ละเอียดอ่อนในเรื่องของการคัดเลือกนักแสดงที่สมบูรณ์แบบสำหรับแต่ละบท เขาสามารถเลือกนักแสดงที่มีพรสวรรค์พิเศษสุด ผู้เนรมิตชีวิตให้กับถ้อยคำของเขาและดึงดูดให้ผู้ชมสนใจตัวละครของพวกเขาครับ”
การถ่ายทำความน่าสะพรึงกลัว:
การออกแบบและการถ่ายทำ
เนื่องด้วยชยามาลานเติบโตและมีบ้านอยู่ในชนบทบริเวณนี้ ก็ไม่น่าแปลกใจเลยที่ฉากของ The Visit จะเป็นท้องทุ่งจริงๆ ที่ห่างไกลและน่าขนลุกของเพนซิลวาเนีย ผู้อำนวยการสร้างเบียนต็อคอธิบายถึงเหตุผลว่า “ไนท์เป็นคนรักบ้านเกิดและฟิลาเดลเฟียก็เป็นที่ที่เขาสร้างหนังทุกเรื่องของเขา เขามีความรู้สึกแรงกล้าเกี่ยวกับเรื่องนั้นครับ”
ในฐานะนักเขียนสตอรีบอร์ดผู้ใส่ใจในรายละเอียด ชยามาลานพิถีพิถันในการออกแบบ The Visit จากมุมมองของเบ็กก้า ซึ่งทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เริ่มต้นด้วย “ฉันจะสร้างหนังเกี่ยวกับครอบครัวของฉัน” ก่อนจะคลี่คลายเป็น “ฉันค้นพบอะไรบ้าง” เขาเล่าว่า “เบ็กก้ามีดวงตาและหัวใจที่งดงามและเธอก็มองโลกใบนี้ว่างดงาม การที่เธอเป็นคนทำหนังเป็นแรงจูงใจสำหรับตัวละครของเธอและหนังเรื่องนี้ก็เป็นส่วนต่อขยายของมันครับ”
ดวงตาที่จับจ้องไปที่ความสมบูรณ์แบบเป็นสิ่งล้ำค่า เพราะมันจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับมือเขียนบท/ผู้กำกับที่ฉากเหล่านั้นจะต้องมีการปูพื้นในลักษณะเฉพาะเจาะจงเพื่อสร้างความน่าสะพรึงกลัว นั่นรวมถึงการที่ฉากต่างๆ ถูกถ่ายทำตามลำดับ เพื่อให้นักแสดงได้ค้นพบตัวละครของตัวเองในตอนที่ความน่าสะพรึงกลัวตามบทได้เกิดขึ้น เบียนสต็อคพูดถึงความยึดมั่นต่อความสมจริงว่า “The Visit ถูกถ่ายทำตามรูปแบบของสารคดี ไนท์ยึดมั่นกับลักษณะของสารคดีจริงๆ ก่อนจะเสริมแต่งมันขึ้นอีกนิด จริงๆ แล้ว 99% ของหนังเรื่องนี้คือ ‘สิ่งที่คุณเห็นคือสิ่งที่คุณได้’ มันไม่มีการใช้ CGI หรือวิชวล เอฟเฟ็กต์เลยครับ”
นาแมน มาร์แชล ผู้รับหน้าที่ผู้ควบคุมผู้กำกับศิลป์ในภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์เรื่อง The Dark Night Rises และ Dawn of the Planet of the Apes เปิดตัวผลงานการออกแบบงานสร้างของเขาใน The Visit เขาพูดถึงแรงบันดาลใจของเขาว่า “สีสันเป็นส่วนสำคัญของการเล่าเรื่องราวในหนังเรื่องนี้ ผมกับไนท์มีไอเดียของการทำให้เด็กๆ สวมใส่เสื้อผ้าที่มีสีสันสดใส แล้วทำให้ของอย่างอื่นมีสีที่จืดจางกว่านั้น พวกเด็กๆ เป็นพลังงานในหนังเรื่องนี้ เราสามารถร่วมมือกับผู้ตกแต่งฉากเพื่อทำให้แน่ใจว่าบ้านหลังนี้จะเต็มไปด้วยสีโมโนโทน และร่วมมือกับผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายเพื่อให้มีสีสันในเสื้อผ้าของพวกเขาครับ”
แน่นอน เมื่อถึงเวลาที่คุณยายไล่ตามเด็กๆ ใต้บ้านของพวกเขา มาร์แชลและชยามาลานก็ไม่ได้ให้นักแสดงอยู่ใต้บ้านจริงๆ หรอก ดังนั้น ก็ถึงเวลาที่จะมีการใช้ฉากที่ถูกสร้างขึ้นมาแทนสถานที่พวกนั้น ผู้ออกแบบงานสร้างอธิบายว่า “มีส่วนสำคัญของเรื่องในตอนที่เด็กๆ เริ่มรู้ตัวว่าคุณยายมีบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลมากๆ ซึ่งเกิดขึ้นในพื้นที่คลาน เราต้องการพื้นที่ใต้บ้านที่เชิญชวนพอสำหรับให้เด็กๆ ไว้เล่นกัน แต่ก็เป็นสถานที่ที่คุณจะรู้สึกเหมือนหลงทางได้ด้วยครับ”
ผู้กำกับภาพมาริส อัลเบอร์ตี้ ผู้เป็นตำนานในแวดวงสารคดี และเป็นผู้กำกับภาพเจ้าของผลงานภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลอย่าง The Wrestler ได้ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ในสไตล์สารคดีเพื่อทำให้ผู้ชมเข้าใจถึงความกลัวที่เบ็กก้าและไทเลอร์รู้สึกในตอนที่พวกเขาถ่ายทำภาพยนตร์ของตัวเอง อ็อกเซนโบลด์อธิบายว่า “ทุกอย่างถูกถ่ายทำด้วยกล้องแฮนด์เฮลด์เพราะมันเป็นสารคดี หนังเรื่องนี้ทั้งชาญฉลาดและได้รับการวางแผนอย่างดีครับ”
พื้นที่คับแคบที่ชยามาลาน, อัลเบอร์ตี้และมาร์แชลชื่นชอบได้ยกระดับความกลัวขึ้นมา ดีจอนจ์เล่าให้เราฟังถึงฉากที่มีความท้าทายเป็นพิเศษว่า “ฉากที่ยากที่สุดทั้งทางร่างกายและจิตใจสำหรับฉันคือฉากกับดีแอนนาในห้องนอน มันเป็นเรื่องยากที่ต้องรักษาสมดุลทุกอย่างที่เกิดขึ้นค่ะ”
แม็คร็อบบี้กล่าวชื่นชมการตัดสินใจด้านการออกแบบว่า “หนังเรื่องนี้ถ่ายทำโดยเด็กๆ ที่ถือกล้อง ผมก็เลยนึกถึงการที่พฤติกรรมของคุณจะเปลี่ยนแปลงไปในตอนที่คนถ่ายทำคุณ นั่นเป็นเลเยอร์เล็กๆ ชั้นแรกที่ผมระบายลงบนผืนผ้าใบครับ”
แง่มุมหนึ่งของงานโพสต์โปรดักชันตามปกติที่ The Visit จะไม่มีคือดนตรีประกอบภาพยนตร์ หลายปีแล้วที่ชยามาลานต้องการจะสร้างภาพยนตร์ที่ไม่มีดนตรีประกอบ และเขาก็รู้สึกว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นโอกาสที่ดีที่สุดของเขา ด้วยความที่ทุกกอย่างที่ผู้ชมได้เห็นคือสิ่งที่เบ็กก้าและไทเลอร์บันทึกด้วยตัวเอง การมีดนตรีประกอบคงจะไม่สมเหตุสมผลสำหรับทริลเลอร์เรื่องนี้ “ผมรู้สึกเหมือนความตึงเครียดแบบที่ผมต้องการในหนังเรื่องนี้จะไม่เกิดขึ้นด้วยดนตรีประกอบครับ” ผู้กำกับเล่า “ซาวน์เอฟเฟ็กต์เป็นดนตรีประกอบและถูกออกแบบเพื่อให้คุณไม่ทันตั้งตัวครับ”
มือลำดับภาพลุค เชียร็อคคีเป็นคนแรกที่ยอมรับว่าการขาดดนตรีเป็นความท้าทาย “มันน่าสนใจครับที่ต้องหาวิธีขับเคลื่อนจากฉากหนึ่งไปสู่อีกฉากหนึ่งโดยไม่มีดนตรีประกอบ” เขากล่าว “เราได้เรียนรู้ว่าคุณต้องอาศัยดนตรีอย่างมากในการนำเสนอกับผู้ชมว่าพวกเขาควรจะรู้สึกอย่างไร ตามปกติแล้ว ถ้าการแสดงของคุณดึงดูดผู้ชมไม่ได้ คุณก็สามารถยกระดับมันได้ด้วยดนตรีประกอบ แต่เราไม่สามารถบอกได้ว่า ‘ใส่ดนตรีน่าขนลุกเข้าไปซิ’ น่ะครับ” อย่างไรก็ดี นั่นไม่ได้หมายความว่าเสียงบรรยากาศแวดล้อมจะไม่น่าตื่นตาตื่นใจ
ในการอาศัยทีมงานเสียงชั้นเยี่ยมที่รวมถึงผู้ควบคุมมือลำดับเสียงสคิป ลีฟเซย์, ผู้ผสมเสียงเดวิด เจ. ชวอร์ทซ์, มือลำดับซาวน์เอฟเฟ็กต์ ไวแอทท์ สปรากและแลร์รี ซิป, ผู้ช่วยมือลำดับเสียง คาเล็บ ทาวน์เซนด์และวิศวกรผสมเสียง แดน ทิมมอนส์ ผู้กำกับจึงสามารถถ่ายทอดทุกเสียงเอี๊ยดอ๊าดและค่อยๆ เปิดประตูบ้านของคุณตาคุณยายอย่างช้าๆ ได้ การเพิ่มซาวน์แทร็คที่แปลกพิลึกไม่แพ้กันจากซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายดนตรีมากพรสวรรค์ ซูซาน จาค็อบส์ ช่วยทำให้ทีมงานบรรลุเป้าหมายในการสร้างภาพยนตร์ที่ปราศจากดนตรีประกอบ
สำหรับเรื่องของเครื่องแต่งกาย เอมี เวสต์ค็อทท์ ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายที่เป็นที่รู้จักจากผลงานที่น่าทึ่งและน่าประทับใจในภาพยนตร์เรื่อง Black Swan และซีรีส์เอชบีโอเรื่อง Entourage เป็นผู้ดูแลทีมเครื่องแต่งกาย ชยามาลานต้องการให้การใช้สัญลักษณ์ ซึ่งเป็นจุดเด่นของเขา ครอบคลุมไปถึงเรื่องเครื่องแต่งกายด้วย “พวกเด็กๆ สวมเสื้อผ้าที่ใช้แม่สี เพื่อเป็นตัวแทนของพลังชีวิตของเขาท่ามกลางหิมะในท้องทุ่ง” เขากล่าว “ในขณะที่คุณตาคุณยายจะสวมแต่ชุดสีเทากับน้ำตาล เอมีกับผมอยากแสดงให้เห็นว่าพลังชีวิตของพวกเขากำลังตกอยู่ในอันตรายและทำให้ผู้ชมรู้สึกกลัวพอๆ กับที่เบ็กก้าและไทเลอร์รู้สึกครับ”
****
เมื่อปิดกล้อง ทีมงานและนักแสดงก็นึกถึงประสบการณ์ที่พวกเขามีกับ The Visit แม้ว่าจะต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงในพื้นที่แคบๆ ต้องคลานไปรอบๆ บ้านไร่เก่าๆ ตอนกลางคืน และต้องวิ่งหนีจากสิ่งน่ากลัวในยามค่ำคืน พวกเขาก็จะจดจำได้ถึงความสุขในการถ่ายทำ…และเสียงหัวเราะมากมาย บางทีอาจเป็นเรื่องดีที่สุดถ้านักแสดงผู้รับบทนักถ่ายทำสารคดีของเรื่องจะเป็นผู้กล่าวปิดท้าย ดีจอนจ์กล่าวสรุปว่า “คุณสามารถสัมผัสได้ถึงเสียงหัวเราะของไนท์ในทุกหนทุกแห่ง คุณจะรู้ว่าคุณทำได้ดีแล้วเมื่อคุณได้ยินเสียงหัวเราะของไนท์ค่ะ”
****
ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส ภูมิใจเสนอผลงานสร้างโดยบลายดิ้ง เอดจ์ พิคเจอร์ส/บลูมเฮาส์ ภาพยนตร์โดยเอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน The Visit นำแสดงโดยโอลิเวีย ดีจอนจ์, เอ็ด อ็อกเซนโบลด์, ดีแอนนา ดูนาแกน, ปีเตอร์ แม็คร็อบบี้และแคธริน ฮาห์น คัดเลือกนักแสดงโดยดักกลาส ไอเบลและซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายดนตรีคือซูซาน จาค็อบส์ ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายคือเอมี เวสต์ค็อทท์และภาพยนตร์เรื่องนี้ลำดับภาพโดยลุค เชียร็อคคี ผู้ออกแบบงานสร้างคือนามาน มาร์แชลและผู้กำกับภาพคือมาริส อัลเบอร์ตี้ ผู้ควบคุมงานสร้างของทริลเลอร์เรื่องนี้ได้แก่สตีเวน ชไนเดอร์, อัศวิน ราจัน อำนวยการสร้างโดยเอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน, เจสัน บลูม, มาร์ค เบียนสต็อค The Visit เขียนบทและกำกับโดยเอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน © 2015 Universal Studios. www.stayinyourroom.com
ประวัติทีมนักแสดง
โอลิเวีย ดีจอนจ์ (Olivia Dejonge) รับบท เบ็กก้า
โอกาสในการแสดงครั้งแรกของโอลิเวีย ดีจอนจ์เกิดขึ้นเมื่อเธออายุได้ 8 ขวบ ในรูปแบบของการพากย์เสียงในโฆษณาสำหรับบริษัทอุปกรณ์ชื่อดัง นับตั้งแต่นั้นมา เธอก็กลายเป็นนักพากย์เสียงที่เป็นที่ต้องการตัวอย่างมาก และเธอก็มีผลงานโฆษณาทางวิทยุกว่า 40 ชิ้น
ในปี 2010 ดีจอนจ์ได้รับบทนำในภาพยนตร์ขนาดสั้นโดยมาเซียร์ ลาฮูติเรื่อง Good Pretender และหลังจากนั้น เธอก็ได้รับรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากเวทีดับบลิวเอ สกรีน อวอร์ดครั้งที่ 24 นอกจากนี้ เธอยังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลซัมซุง ออสเตรเลียน อคาเดมี ออฟ ซีเนมา แอนด์ เทเลวิชัน อาร์ตส์ อวอร์ดปี 2011 ในสาขานักแสดงเยาวชนยอดเยี่ยมอีกด้วย
ในปี 2012 เธอได้รับบทนำในภาพยนตร์อเมริกันเรื่อง The Sisterhood of Night ประกบจอร์จี้ เฮนลีย์และลอรา เฟรเซอร์ ในปี 2014 หลังจากที่มีการค้นหานักแสดงทั่วโลก เธอก็ได้รับบทนำใน The Visit
ล่าสุด เธอเพิ่งเสร็จสิ้นจากการถ่ายทำซีรีส์ออสเตรเลียนที่แพร่ภาพทางเอบีซีเรื่อง Hiding ที่กำกับโดยชอว์น ซีทและแสดงประกบเจมส์ สจวร์ตและแจ็คเกอลีน แม็คเคนซีย์
เอ็ด อ็อกเซนโบลด์ (Ed Oxenbould) รับบท ไทเลอร์
เอ็ด อ็อกเซนโบลด์ สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองได้อย่างรวดเร็วในฐานะนักแสดงดาวรุ่ง ด้วยความที่เขาเคยร่วมงานกับผู้กำกับชื่อดังและนักแสดงเจ้าของรางวัลมาแล้วมากมาย นักแสดงชาวออสเตรเลียนผู้นี้ก็เลยสามารถสะสมผลงานที่น่าประทับใจได้ตั้งแต่เริ่มต้นอาชีพนักแสดง
อ็อกเซนโบลด์เริ่มได้รับการจดจำจากผลงานของเขา ในปี 2012 เขาได้แสดงในภาพยนตร์ขนาดสั้นสัญชาติออสเตรเลียนเรื่อง Julian ที่เขารับบทนำ เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสถาบันศิลปะภาพยนตร์และโทรทัศน์สาขานักแสดงรุ่นเยาว์ยอดเยี่ยม ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็ได้รับบทเดวิด วิคเกอร์สในซีรีส์ออสเตรเลียนเรื่อง Puberty Blues และได้ร่วมแสดงกับแซม เวิร์ธติงตันใน Paper Planes ซึ่งเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตรอนโตในปี 2014
ในปี 2013 เขาได้รับบทนำในภาพยนตร์ดิสนีย์ที่ดัดแปลงจาก Alexander and the Terrible, Horrible, No Good, Very Bad Day หนังสือเด็กปี 1972 ที่เป็นที่ชื่นชอบโดยจูดิธ วิออร์สและเรย์ ครูซ เขาได้แสดงประกบสตีฟ คาเรลและเจนนิเฟอร์ การ์เนอร์ในภาพยนตร์ที่กำกับโดยมิเกล อาร์เททา และทำรายได้ไปกว่า 100 ล้านเหรียญทั่วโลก
ในเวลาว่าง อ็อกเซนโบลด์ชื่นชอบการทำขนม เขาใฝ่ฝันที่จะเข้าเรียนโรงเรียนทำอาหาร
ดีแอนนา ดูนาแกน (Deanna Dunagan) รับบท คุณยาย
ดีแอนนา ดูนาแกน เป็นนักแสดงหญิงเจ้าของรางวัลโทนี อวอร์ด ผู้เป็นที่รู้จักดีที่สุดจากบทไวโอเล็ต คุณแม่ของครอบครัวโอกลาโฮมา ผู้กรอกยาเข้าปากเป็นประจำ ในละครรางวัลพูลิทเซอร์เรื่อง August: Osage County โปรดักชันของสเตปเปนวูลฟ์ เธียเตอร์ คัมปะนี ซึ่งเปิดการแสดงที่ชิคาโก้ บรอดเวย์ เนชันแนล เธียเตอร์ในลอนดอนและซิดนีย์ เธียเตอร์ คัมปะนีในออสเตรเลีย การแสดงครั้งนั้นทำให้ดูนาแกนได้รับรางวัลดรามา เดสก์ อวอร์ด, สมาคมนักวิจารณ์นอกเมือง, ดรามา ลีก อวอร์ด, เธียเตอร์ เวิลด์ อวอร์ดและเจฟฟ์ อวอร์ด รวมถึงได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลอนดอน อีฟนิง สแตนดาร์ด และโอลิเวียร์ อวอร์ด นอกจากนั้น เธอยังได้รับรางวัลนักแสดงนำหญิงจากสมาคมซาราห์ ซิดดอนส์อีกด้วย
ผลงานละครของเธอในชิคาโก้ เมืองที่เธออาศัยอยู่ ทำให้เธอได้รับสามรางวัลเจฟฟ์ อวอร์ด, สามรางวัลอาฟเตอร์ ดาร์ค อวอร์ดและรางวัลอาร์ทิซัน อวอร์ดจากบทบาทที่หลากหลายเช่น แคลร์ใน A Delicate Balance, แอ็บบี้ใน Desire Under the Elms, ป้าจูเลียในละครที่สร้างจาก The Dead โดยเจมส์ จอยซ์และมาร์กาเร็ตใน I Never Sang for My Father
ผลงานจอแก้วของดูนาแกนรวมถึงบทรับเชิญในซีรีส์เน็ตฟลิกซ์เรื่อง House of Cards, Private Practice, Law & Order, Cold Case, Ugly Betty, Psych และ Detroit 1-8-7, บทนำในซีรีส์ฮอลมาร์ค ฮอล ออฟ เฟมที่สร้างจากหนังสือเรื่อง “Have a Little Faith” โดยมิทช์ อัลบอม และบทนำในตอนไพล็อตทางซีบีเอสเรื่อง The Big D
ผลงานภาพยนตร์ของเธอรวมถึง Losing Isaiah ประกบเจสสิกา เลนจ์, Running Scared ประกบบิลลี คริสตัล, The Naked Face ประกบโรเจอร์ มัวร์และ The Cherokee Word for Water
ดูนาแกนเป็นชาวเท็กซัส เธอสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาดนตรีจากมหาวิทยาลัยเท็กซัสและปริญญาโทสาขาการละครจากมหาวิทยาลัยทรินิตี้ เธอเดินทางบ่อยๆ และเคยใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเอเวรอ ประเทศฝรั่งเศสและเมืองซานมิเกล เดอ อัลเลนเด ประเทศเม็กซิโก เธอเป็นแฟนกีฬาเบสบอลและอเมริกัน ฟุตบอลตัวยง
ปีเตอร์ แม็คร็อบบี้ (Peter McRobbie) รับบท คุณตา
ปีเตอร์ แม็คร็อบบี้ ได้แสดงละครบรอดเวย์ 12 เรื่องและภาพยนตร์ประมาณ 50 เรื่อง รวมถึงภาพยนตร์เรื่อง Brokeback Mountain, The Hoax, World Trade Center, Lincoln, Inherent Vice และภาพยนตร์ใหม่โดยสตีเวน สปีลเบิร์กเรื่อง Bridge of Spies ด้านจอแก้ว เขาเป็นที่รู้จักดีที่สุดจากบทผู้พิพากษาวอลเตอร์ แบรดลีย์ในซีรีส์ Law & Order: Special Victims Unit ผลงานล่าสุดของเขารวมถึงซีรีส์ Boardwalk Empire, Elementary, Believe, The Good Wife, Daredevil และซีรีส์ใหม่ทางเอชบีโอเรื่อง Confirmation เขาขอบคุณเอ็ม. ไนท์ ชยามาลานอย่างสุดซึ้ง
แคธริน ฮาห์น (Kathryn Hahn) รับบท แม่
แคธริน ฮาห์น กลายเป็นนักแสดงหญิงที่เป็นที่ต้องการตัวสูงสุดคนหนึ่งในฮอลลีวูดด้วยผลงานที่เต็มไปด้วยบทบาทที่น่าจดจำเนื่องด้วยความสามารถของเธอในการแสดงทั้งคอเมดี้และดรามา
เธอได้แสดงประกบอิโมเกน พุ้ทส์, โอเวน วิลสันและเจนนิเฟอร์ อนิสตันในภาพยนตร์โดยปีเตอร์ บ็อกนาโนวิชเรื่อง She’s Funny That Way เมื่อเร็วๆ นี้ เธอเพิ่งปิดกล้องภาพยนตร์โดยแมทท์ รอสเรื่อง Captain Fantastic ประกบวิกโก้ มอร์เตนเซน
ปัจจุบัน เธออยู่ระหว่างการถ่ายทำซีรีส์ออริจินอลทางอเมซอนที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมเรื่อง Transparent ที่สร้างโดยจิล โซโลเวย์ เมื่อเร็วๆ นี้ ซีรีส์นี้เพิ่งได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลไพรม์ไทม์ เอ็มมี อวอร์ดสาขาซีรีส์คอเมดียอดเยี่ยมและได้รับรางวัลลูกโลกทองคำปี 2015 ในสาขาซีรีส์โทรทัศน์ยอดเยี่ยม – คอเมดีหรือมิวสิคัล ซีซันที่สองของ Transparent จะเปิดตัวในวันที่ 4 ธันวาคม ปี 2015
ล่าสุด เธอได้รับบทนางเอกประกบสตีฟ คูแกนในซีซันแรกของซีรีส์ตลกร้ายทางโชว์ไทม์เรื่อง Happyish โดยเธอรับบทภรรยาของตัวละครของคูแกน ผู้ชายที่ต้องเผชิญกับความล้าสมัยของตัวเองหลังจากที่บริษัทโฆษณาของเขาถูกเทคโอเวอร์
เมื่อเร็วๆ นี้ เธอได้แสดงใน The D Train ซึ่งเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์และจัดจำหน่ายโดยไอเอฟซี ฟิล์มส์, ภาพยนตร์ไซไฟลึกลับโดยแบรด เบิร์ดเรื่อง Tomorrowland ประกบจอร์จ คลูนีย์ ที่จัดจำหน่ายโดยดิสนีย์และภาพยนตร์ดราเมดีสำหรับครอบครัวโดยชอว์น เลวีเรื่อง This Is Where I Leave You ที่จัดจำหน่ายโดยวอร์เนอร์ บรอส. และสร้างจากนิยายโดยโจนาธาน ทร็อปเปอร์ ก่อนหน้านี้ ฮาห์นได้แสดงประกบเจสัน เบทแมนในผลงานการกำกับเรื่องแรกของเขา Bad Words ซึ่งจัดจำหน่ายโดยโฟกัส ฟีเจอร์ส, The Secret Life of Walter Mitty ซึ่งนำแสดงและกำกับโดยเบน สติลเลอร์และคอเมดียอดนิยมเรื่อง We’re the Millers ประกบอนิสตันและเจสัน ซูเดคิส นอกจากนี้ เธอยังได้แสดงในภาพยนตร์โดยโซโลเวย์เรื่อง Afternoon Delight ซึ่งเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ปี 2013 และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลก็อทแธม อวอร์ดปี 2013 สาขานักแสดงแจ้งเกิดยอดเยี่ยม
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ รวมถึงบทเด่นในภาพยนตร์เรื่อง Step Brothers ซึ่งเธอรับบทคนรักที่ตลกและสุดโต่งของจอห์น ซี. ไรลีย์และ Revolutionary Road ซึ่งเธอรับบทเพื่อนบ้านของเคท วินสเล็ตและลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเธอรวมถึง Wanderlust, Our Idiot Brother, How Do You Know, The Goods: Live Hard. Sell Hard., The Last Mimzy, The Holiday, Around the Bend และ Anchorman: The Legend of Ron
ผลงานจอแก้วเมื่อเร็วๆ นี้ของฮาห์นรวมถึงบทรับเชิญในซีรีส์ยอดนิยมทางเอ็นบีซีเรื่อง Parks and Recreation และซีรีส์เอชบีโอเรื่อง The Newsroom และ Girls ผลงานก่อนหน้านี้ของเธอรวมถึงซีรีส์เอ็นบีซีเรื่อง Crossing Jordan, Four Kings, Hung และ Free Agents นอกจากนี้ เธอยังได้พากย์เสียงซีรีส์อนิเมชันทางเอฟเอ็กซ์เรื่อง Chozen, ซีรีส์ฟ็อกซ์เรื่อง Bob’s Burgers และ American Dad!
ฮาห์นเปิดตัวบนเวทีบรอดเวย์ในละครรางวัลโทนีเรื่อง Boeing-Boeing ประกบแบรดลีย์ วิทฟอร์ด, จีนา เกอร์ชอน, แมรี แม็คคอร์แม็ค, คริสติน บาแรนสกี้และมารร์ค ไรแลนซ์ ละครเรื่องนี้ได้รับรางวัลโทนีในปี 2008 จากสาขาละครเวทีที่นำกลับมาสร้างใหม่ยอดเยี่ยม
ฮาห์นไม่ใช่นักแสดงหน้าใหม่สำหรับแวดวงละครเวที ผลงานของเธอรวมถึง Dead End ที่อาห์แทนสัน เธียเตอร์และฮันติงตัน เธียเตอร์ คัมปะนี, Ten Unknowns ที่ฮันติงตัน เธียเตอร์ คัมปะนี, A Midsummer Night’s Dream, Chaucer in Rome และ Camino Real ที่วิลเลียมส์ทาวน์ เมน สเตจและ Hedda Gabler ที่วิลเลียมส์ทาวน์ เธียเตอร์ เฟสติวัลและเบย์ สตรีท เธียเตอร์
เธอสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทิร์นและปริญญาโทสาขาวิจิตรศิลป์จากเยล สคูล ออฟ ดรามา ที่ซึ่งเธอได้แสดงละครเวทีเรื่อง Othello และ The Birds
ประวัติทีมผู้สร้าง
เอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน (M. Night Shyamalan)—เขียนบทและกำกับโดย/อำนวยการสร้างโดย
มือเขียนบท ผู้กำกับและผู้อำนวยการสร้างเอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน เป็นที่สนใจของผู้ชมทั่วโลกมาเกือบสองทศวรรษ ด้วยการสร้างภาพยนตร์ที่ทำรายได้รวมกันกว่าสองพันล้านเหรียญทั่วโลก
ชยามาลานก้าวสู่แวดวงจอแก้วเป็นครั้งแรกเมื่อเขาควบคุมงานสร้างและกำกับตอนไพล็อตของซีรีส์ Wayward Pines ซึ่งออกอากาศในเดือนพฤษภาคม ปี 2015 ซีรีส์ดัง 10 เอพิโซดที่เป็นที่รอคอยเรื่องนี้ สร้างขึ้นจากนิยายเบสต์เซลเลอร์และได้รับการเนรมิตชีวิตโดยชยามาลาน ซีรีส์เรื่องนี้เปิดตัวทางฟ็อกซ์ และก็มีการเปิดตัวพร้อมกันในกว่า 125 ประเทศ การเปิดตัวซีรีส์เรื่องนี้ทั่วโลกเป็นการเปิดตัวซีรีส์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของฟ็อกซ์จนถึงปัจจุบัน (เข้าฉายในโรงภาพยนตร์วันเดียวกับการแพร่ภาพบรอดคาสต์) ซีรีส์เรื่องนี้นำแสดงโดยแมทท์ ดิลลอน ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดในบทสายลับที่ออกปฏิบัติภารกิจในการตามหาเจ้าหน้าที่ส่วนกลางสองคนที่หายตัวไปในเมืองเวย์เวิร์ด ไพน์ รัฐไอดาโฮ นอกเหนือจากดิลลอนแล้ว ทีมนักแสดงชั้นนำของเรื่องยังรวมถึงเจ้าของรางวัลอคาเดมี อวอร์ดและไพรม์ไทม์ เอ็มมี อวอร์ด เมลิสซา ลีโอ, ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ด เทอร์เรนซ์ โฮเวิร์ด, ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดและไพรม์ไทม์ เอ็มมี จูเลียต ลูอิส, คาร์ลา กูจิโนและโทบี้ โจนส์
ชยามาลานเริ่มต้นสร้างภาพยนตร์ตั้งแต่ยังเด็กในบ้านเกิดของเขาใกล้ๆ กับฟิลาเดลเฟีย และพออายุได้สิบหกปี เขาก็ได้สร้างภาพยนตร์ขนาดสั้นไปแล้วสี่สิบห้าเรื่อง หลังจากจบไฮสคูล เขาก็ศึกษาด้านภาพยนตร์ที่ทิสช์ สคูล ออฟ ดิ อาร์ตส์แห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ระหว่างปีสุดท้ายของเขาที่เอ็นวายยู ชยามาลานได้เขียนบท Praying With Anger ซึ่งเป็นบทภาพยนตร์กึ่งอัตชีวประวัติเกี่ยวกับนักศึกษาจากอเมริกา ผู้เดินทางไปอินเดียและค้นพบว่าตัวเองกลายเป็นคนแปลกหน้าในบ้านเกิดตัวเอง ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เข้าฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตรอนโต พร้อมกับ Reservoir Dogs และ Strictly Ballroom หลังจากนั้น ชยามลานก็ได้เขียนบทเรื่อง Stuart Little สำหรับโคลัมเบีย พิคเจอร์สและได้ถ่ายทำภาพยนตร์เมนสตรีมเรื่องแรกของเขา Wide Awake ที่เล่าถึงการค้นหาศรัทธาของเด็กชายคนหนึ่ง
ในปี 1999 The Sixth Sense ที่นำแสดงโดยบรูซ วิลลิส ได้ส่งให้ชยามาลานดังเป็นพลุแตกและเขาก็กลายเป็นหนึ่งในผู้กำกับรุ่นใหม่ที่เป็นที่ต้องการตัวสูงสุดในฮอลลีวูด The Sixth Sense ซึ่งเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาล ได้รับการเสนอชื่อชิงหกรางวัลอคาเดมี อวอร์ด ซึ่งรวมถึงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ผู้กำกับยอดเยี่ยมและบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม
เขาได้ร่วมงานกับวิลลิสอีกครั้งในปี 2000 ใน Unbreakable ที่ร่วมแสดงโดยซามวล แอล. แจ็คสัน ภาพยนตร์ล้ำยุคเรื่องนี้ได้รับความนิยมเฉพาะกลุ่มในช่วงเวลาหลายปีหลังจากที่มันเข้าฉาย เขาได้สำรวจไอเดียของชายผู้ตั้งคำถามกับศรัทธาของตัวเองอีกครั้งในภาพยนตร์ฮิตในบ็อกซ์ออฟฟิศปี 2002 เรื่อง Signs ที่นำแสดงโดยเมล กิ๊บสันและวาคิน ฟินิกซ์
ในปี 2004 ชยามาลานได้มีผลงานเรื่อง The Village ที่นำแสดงโดยไบรซ์ ดัลลัส โฮเวิร์ดและวาคิน ฟินิกซ์ ภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าเรื่องราวของชุมชนที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวและสัญญาที่พวกเขาทำกับสิ่งมีชีวิตลึกลับในป่า ใน Lady in the Water ภาพยนตร์เรื่องถัดมาของเขา เขาได้สำรวจโลกเหนือธรรมชาติของนิทานก่อนนอนที่มืดหม่น ในปี 2008 เขาได้เขียนบท กำกับและอำนวยการสร้าง The Happening ภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องราวของชายคนหนึ่งและครอบครัวของเขาที่พยายามหนีจากภัยธรรมชาติที่ไม่อาจหาคำอธิบายได้ ผลงานภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของเขาคือ The Last Airbender งานแรกที่ชยามาลานชิมลางงานบันเทิงสำหรับครอบครัว และ After Earth เรื่องราวไซไฟเกี่ยวกับพ่อและลูกชาย ซึ่งนำแสดงโดยวิล สมิธและจาเดน สมิธ
ปัจจุบัน ชยามาลานกำลังอยู่ระหว่างการเขียนบททริลเลอร์ออริจินอลเรื่องถัดไปของเขา เขาใช้ชีวิตอยู่ในเพนซิลวาเนีย
เจสัน บลูม (Jason Blum)—อำนวยการสร้างโดย
เจสัน บลูม ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดและได้รับรางวัลไพรม์ไทม์ เอ็มมี อวอร์ด เป็นผู้ก่อตั้งและซีอีโอของบลูมเฮาส์ โปรดักชันส์ บริษัทมัลติมีเดีย ที่บุกเบิกโมเดลใหม่ของการสร้างภาพยนตร์สตูดิโอด้วยการผลิตภาพยนตร์คุณภาพสูงแต่ทุนย่อมเยา บลูมเฮาส์ได้ทำสัญญาเสนองานกับยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์สเป็นที่แรก และได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ที่ทำกำไรงามมากมายอย่างแฟรนไชส์ Paranormal Activity, The Purge, Insidious, Sinister และ Ouija ซึ่งทำรายได้ไปกว่า 1.4 พันล้านเหรียญทั่วโลก โมเดลของเขาเริ่มต้นด้วย Paranormal Activity ภาคแรก ที่ใช้ทุนสร้าง 15,000 เหรียญ และทำรายได้ไปเกือบ 200 ล้านเหรียญทั่วโลก ทำให้มันเป็นภาพยนตร์ที่ทำกำไรสูงสุดในประวัติศาสตร์ฮอลลีวูด
โปรเจ็กต์ที่ได้รับรางวัลต่างๆ ของบลูมเฮาส์รวมถึง Whiplash และ The Normal Heart
บีเอช ทิลท์เป็นแบรนด์ใหม่ของบริษัท ที่ดูแลภาพยนตร์จากบลูมเฮาส์และผู้สร้างคนอื่นๆ ที่จะจัดจำหน่ายในหลายๆ แพลทฟอร์ม และใช้ประโยชน์จากกลยุทธการจัดจำหน่ายแบบใหม่ ผลงานถัดไปคือ The Green Inferno โดยอีไล ร็อธ ที่เข้าฉายทั่วประเทศในวันที่ 25 กันยายน
โปรเจ็กต์จอแก้วของบลูมเฮาส์รวมถึง The Jinx: The Life and Death of Robert Durst (เอชบีโอ), Ascension (ไซไฟ), Eye Candy (เอ็มทีวี) และ South of Hell (วีทีวี) ก่อนหน้านี้ บลูมเฮาส์ได้ควบคุมงานสร้างซีรีส์ Stranded สำหรับไซไฟและ The River สำหรับเอบีซี
นอกจากนี้ เขายังได้อำนวยการสร้างไลฟ์อีเวนต์ที่หลากหลายรวมถึง The Blumhouse of Horrors ประสบการณ์บ้านผีสิงใจกลางเมืองลอสแองเจลิส, The Purge: Fear the Night ไลฟ์อีเวนต์ที่ได้แรงบันดาลใจจากเรื่องราวเบื้องหลังภาพยนตร์เรื่องนี้และ The Purge: Breakout ประสบการณ์เกมที่ลุ้นระทึก
ก่อนหน้าบลูมเฮาส์ เขาได้ทำหน้าที่หัวหน้าร่วมฝ่ายจัดซื้อและโปรดักชันที่มิราแมกซ์ ฟิล์มส์ในนิวยอร์ก ที่มิราแมกซ์ เขามีบทบาทสำคัญในการซื้อภาพยนตร์กว่า 50 เรื่อง ซึ่งรวมถึง The Others, Smoke Signals, A Walk on the Moon และ The House of Yes
ผลงานของเขารวมถึง The Reader ที่ทำให้เคท วินสเล็ตได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ด, Hysterical Blindness ที่ออกอากาศทางเอชบีโอและทำให้อูมา เธอร์แมนได้รับรางวัลลูกโลกทองคำและ Hamlet ที่นำแสดงโดยอีธาน ฮอว์ค, บิล เมอร์เรย์, แซม เชพเพิร์ดและไคล์ แม็คลัคแลน
เขาเริ่มต้นจากการเป็นผู้อำนวยการของมาลาพาร์ท เธียเตอร์ คัมปะนี ซึ่งก่อตั้งโดยฮอว์ค
มาร์ค เบียนสต็อค (Marc Bienstock)—อำนวยการสร้างโดย
ด้วยประสบการณ์กว่า 20 ปีด้านภาพยนตร์และสื่อ มาร์ค เบียนสต็อค จะกลับมาร่วมงานกับเอ็ม. ไนท์ ชยามาลานอีกครั้งเพื่ออำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Split เมื่อเร็วๆ นี้ เบียนสต็อคได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์โดยซาชา เกอร์วาซีเรื่อง November Criminals สำหรับโซนี พิคเจอร์สและโลตัส เอนเตอร์เทนเมนต์ ที่นำแสดงโดยโคลอี้ เกรซ มอเรทซ์และแอนเซล เอลกอร์ท
นอกจากนี้ เขายังรับหน้าที่ผู้บริหารที่ปรึกษางานสร้างของบลูมเฮาส์ เทเลวิชัน รวมถึงดับบลิวดับบลิวอี ฟิล์มส์อีกด้วย เขาเป็นผู้จัดการงานสร้างของโปรเจ็กต์จอแก้วและจอเงินบางส่วนที่บริษัททั้งสองแห่ง
ระหว่างปี 2010 – 2013 เบียนสต็อคยังรับหน้าที่ผู้บริหารที่ปรึกษางานสร้างให้กับไลออนส์เกท ฟิล์มส์อีกด้วย ที่ไลออนส์เกท เขามีบทบาทสำคัญในการก่อตั้งเกอริลลา ฟิล์มส์ แผนกทุนสร้างขนาดจิ๋วของไลออนส์เกท ที่อำนวยการสร้างและจัดจำหน่ายภาพยนตร์หกเรื่องภายในเวลาอันสั้นนั้น
ก่อนหน้านั้น เขาดำรงตำแหน่งรองประธานอาวุโสฝ่ายงานสร้างสำหรับบริษัทโปรดักชันอิสระและจัดจำหน่ายต่างประเทศ ไลท์เทนนิง เอนเตอร์เทนเมนต์ เขาทำหน้าที่ดูแลกิจกรรมงานสร้างและงานสร้างสรรค์ทั้งหมดสำหรับแผนกภาพยนตร์และโทรทัศน์ของบริษัท ระหว่างสิบปีที่อยู่ที่ไลท์เทนนิง เขาได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์และซีรีส์โทรทัศน์ในเม็กซิโก แคนาดาเอเชีย ยุโรปและทั่วทั้งอเมริกา
ผลงานการอำนวยการสร้างเรื่องอื่นๆ รวมถึง The Remaining (โซนี/แอฟเฟิร์ม), Trials of Cate McCall (ซันไรส์) ซึ่งนำแสดงโดยเคท เบคคินเซลและนิค โนลเต้, Nurse 3D (ไลออนส์เกท), School Dance (ไลออนส์เกท) ซึ่งนำแสดงโดยไมค์ เอส์และเควิน ฮาร์ท, Quarantine 2: Terminal (โซนี), Preachers Kid (วอร์เนอร์ บรอส.), Pathology (เอ็มจีเอ็ม/เลคชอร์) และแฟรนไชส์ Wild Things (สกรีนเจมส์)
เบียนสต็อคเริ่มต้นจากการกำกับมิวสิค วิดีโอและโฆษณาหลังจากสำเร็จการศึกษาจากทิสช์ สคูล ออฟ ดิ อาร์ตส์แห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์กในปี 1987 นอกจากนี้ เขายังได้กำกับภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์สองเรื่อง ได้แก่ The Beneficiary และ Indiscreet ก่อนที่เขาจะหันมาสนใจงานอำนวยการสร้างในปี 1998
สตีเวน ชไนเดอร์ (Steven Schneider)—ผู้ควบคุมงานสร้าง
สตีเวน ชไนเดอร์ อดีตนักวิจารณ์ภาพยนตร์ ผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทสาขาปรัชญาและการศึกษาภาพยนตร์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มหาวิทยาลัยนิวยอร์กและมหาวิทยาลัยลอนดอน เขาได้ไต่เต้าในฮอลลีวูดได้อย่างรวดเร็วจนกลายเป็นหนึ่งในผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์แนวสยองที่ร้อนแรงที่สุดและเป็นที่ต้องการตัวสูงสุดในวงการ
หลังจากตีพิมพ์หนังสือหลายเล่มเกี่ยวกับความสยองขวัญและโลกภาพยนตร์ รวมถึงหนังสือเบสต์เซลเลอร์ระดับโลก “1,001 Movies You Must See Before You Die” (ปัจจุบัน ตีพิมพ์เป็นครั้งที่เก้า และได้รับการแปลเป็นกว่า 20 ภาษา) ชไนเดอร์ก็ย้ายไปลอสแองเจลิสในปี 2003 เพื่อชิมลางงานอำนวยการสร้าง หลังจากภาพยนตร์ที่ทำลายสถิติในปี 2009 เรื่อง Paranormal Activity ที่เขาค้นพบและช่วยผลักดันจนขึ้นจอเงินได้สำเร็จ ชไนเดอร์ก็ได้สร้างผลงานภาพยนตร์และโทรทัศน์ที่น่าประทับใจร่วมกับผู้กำกับระดับแนวหน้า ผลงานการอำนวยการสร้างของเขารวมถึง Insidious (2010), The Devil Inside (2012) และภาคที่สอง สามและสี่ของแฟรนไชส์ Paranormal Activity (2010–2012) ซึ่งทุกเรื่องเป็นภาพยนตร์สยองขวัญทุนต่ำที่ทำลายสถิติในบ็อกซ์ออฟฟิศทั้งในอเมริกาและทั่วโลก นอกจากนี้ เขายังรับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์โดยแบร์รี เลวินสันเรื่อง The Bay, ภาพยนตร์โดยร็อบ ซอมบี้เรื่อง The Lords of Salem, ภาพยนตร์โดยเจมส์ วันเรื่อง Insidious: Chapter 2, ภาพยนตร์โดยปาสคัล ลอเกียร์เรื่อง The Tall Man และภาพยนตร์โดยคริสโตเฟอร์ แลนดอนเรื่อง Paranormal Activity: The Marked Ones
ในปี 2013 ชไนเดอร์ได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์โดยเบอร์นาร์ด โรสเรื่อง Sex Tape นอกเหนือจากนั้น เขายังได้พัฒนาโปรเจ็กต์ที่โด่งดังหลายเรื่องเช่น Pet Sematary (พาราเมาท์), Sympathy for Mr. Vengeance (วอร์เนอร์ บรอส.), Firestarter (ยูนิเวอร์แซล) และ Amped (ซัมมิท)
ผลงานสิ่งพิมพ์เกี่ยวกับภาพยนตร์อื่นๆ ของเขารวมถึง“Horror Film and Psychoanalysis: Freud’s Worst Nightmare” (สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์), “Horror International” (สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเวย์น), “100 European Horror Films” (สถาบันภาพยนตร์อังกฤษ), “New Hollywood Violence” (สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์), “Dark Thoughts: Philosophic Reflections on Cinematic Horror” (สำนักพิมพ์สแกร์โครว์) และ “Underground U.S.A.: Filmmaking Beyond the Hollywood Canon” (สำนักพิมพ์วอลล์ฟลาวเวอร์)
อัศวิน ราจัน (Ashwin Rajan)—ผู้ควบคุมงานสร้าง
นับตั้งแต่ปี 2008 อัศวิน ราจัน ได้ดำรงตำแหน่งประธานฝ่ายโปรดักชันของบลายดิ้ง เอดจ์ พิคเจอร์ส บริษัทโปรดักชันของมือเขียนบท/ผู้กำกับเอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน
เมื่อปีที่ผ่านมา ราจันได้ควบคุมงานสร้างซีรีส์โทรทัศน์ยอดนิยมเรื่อง Wayward Pines ซึ่งเปิดตัวทางฟ็อกซ์ในวันที่ 14 พฤษภาคม ซีรีส์เรื่องนี้สร้างขึ้นจาก “Pines” นิยายเบสต์เซลเลอร์ที่เขียนโดยเบลค เคราช์ ซีรีส์ 10 เอพิโซดที่เป็นที่จับตามองอย่างสูงเรื่องนี้เปิดตัวพร้อมกันในกว่า 125 ประเทศ การเปิดตัวของ Wayward Pines เป็นการเปิดตัวของซีรีส์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจนถึงปัจจุบันของฟ็อกซ์ และเป็นซีรีส์ที่มีผู้ชมสูงสุดประจำซัมเมอร์นั้น ซีรีส์ดังกล่าวนำแสดงโดยแมทท์ ดิลลอน นักแสดงผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดในบทสายลับผู้มีภารกิจในการตามหาเจ้าหน้าที่ส่วนกลางสองคนที่หายตัวไปในเมืองเวย์เวิร์ด ไพน์ รัฐไอดาโฮ นอกเหนือจากดิลลอนแล้ว ทีมนักแสดงชั้นนำของเรื่องยังรวมถึงเจ้าของรางวัลอคาเดมี อวอร์ดและไพรม์ไทม์ เอ็มมี อวอร์ด เมลิสซา ลีโอ, ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงอคาเดมี อวอร์ด เทอร์เรนซ์ โฮเวิร์ด, ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดและรางวัลไพรม์ไทม์ เอ็มมี อวอร์ด จูเลียต ลูอิส, คาร์ลา กูจิโนและโทบี้ โจนส์
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขารวมถึงการร่วมอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง After Earth เรื่องราวไซไฟเกี่ยวกับพ่อ-ลูก ที่กำกับโดยชยามาลาน และนำแสดงโดยวิล และจาเดน สมิธ นอกจากนี้ เขายังได้ร่วมอำนวยการสร้าง Devil ทริลเลอร์สยองขวัญที่จัดจำหน่ายโดยยูนิเวอร์แซลในปี 2010 Devil สร้างขึ้นจากเรื่องราวออริจินอลโดยชยามาลาน เขียนบทโดยไบรอัน เนลสันและกำกับโดยจอห์น อีริค ดูว์เดิล
ราจันเติบโตขึ้นในเมืองมาโฮแพ็ค รัฐนิวยอร์ก และเข้าศึกษาสาขาเศรษฐศาสตร์และการจัดการธุรกิจที่มหาวิทยาลัยจอห์น ฮ็อปกินส์ ก่อนหน้าที่จะเข้าทำงานที่บลายดิ้ง เอดจ์ พิคเจอร์ส เขาเป็นเอเจนท์ที่ยูไนเต็ด ทาเลนท์ เอเจนซี ที่ซึ่งเขาเป็นตัวแทนของผู้กำกับ นักแสดงและศิลปิน ปัจจุบัน เขาใช้ชีวิตอยู่ในย่านฟิลาเดลเฟีย
มาริส อัลเบอร์ตี้ (Maryse Alberti)—ผู้กำกับภาพ
มาริส อัลเบอร์ตี้ เป็นผู้กำกับภาพและช่างภาพเจ้าของรางวัล ผู้ทำงานในโปรเจ็กต์ที่โด่งดังมากมาย
ผลงานภาพยนตร์สองเรื่องที่อัลเบอร์ตี้เพิ่งทำเสร็จสมบูรณ์เปิดตัวในฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ รวมถึงภาพยนตร์ไลออนส์เกทเรื่อง Freeheld ที่นำแสดงโดยจูลีแอนน์ มัวร์, เอลเลน เพจและสตีฟ คาเรล ที่เปิดตัวในวันที่ 2 ตุลาคมและภาพยนตร์โดยไรอัน คูเกลอร์เรื่อง Rocky reboot Creed ที่นำแสดงโดยซิลเวสเตอร์ สตอลโลนและไมเคิล บี. จอร์แดน ที่เปิดตัวในวันที่ 25 พฤศจิกายน
ด้วยความชำนาญทั้งด้านการถ่ายภาพนิ่งและการถ่ายทำภาพยนตร์ อัลเบอร์ตี้ได้ถ่ายทำ Bending the Light สารคดีโดยไมเคิล แอ็พเท็ดเกี่ยวกับหัวข้อดังกล่าว ซึ่งเข้าฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติคาเมริเมจปี 2014
ผลงานอื่นๆ ของเธอรวมถึง West of Memphis ภาพยนตร์ที่ได้รับการชื่นชมอย่างมากของผู้กำกับเอมี เบิร์ก เกี่ยวกับเรื่องราวของเวสต์ เมมฟิส ธรีที่โด่งดัง ซึ่งเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ปี 2012 และภาพยนตร์ปี 2010 เรื่อง Stone ที่นำแสดงโดยโรเบิร์ต เดอ นีโรและเอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน
ในปี 2008 อัลเบอร์ตี้ได้รับรางวัลอินดีเพนเดนท์ สปิริต อวอร์ดสาขากำกับภาพยอดเยี่ยมจากผลงานของเธอในภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์โดยดาร์เรน อาโรนอฟสกี้เรื่อง The Wrestler เธอได้รับเสียงชื่นชมจากการกำกับภาพที่โดดเด่นของเธอในภาพยนตร์โดยท็อดด์ เฮย์เนสเรื่อง Poison และ Velvet Goldmine และในดรามาบาดหัวใจเรื่อง Happiness สำหรับผู้กำกับอินดี้ ท็อดด์ โซลอนด์ ภาพยนตร์เรื่อง Velvet Goldmine ทำให้เธอได้รับรางวัลอินดีเพนเดนท์ สปิริต อวอร์ดครั้งแรกในสาขากำกับภาพยอดเยี่ยม
เธอได้ถ่ายทำสารคดีชื่อดังหลายเรื่องกับผู้อำนวยการสร้าง/ผู้กำกับอเล็กซ์ กิบนีย์ ผู้ร่วมงานกับเธอมานาน รวมถึง We Steal Secrets: The Story of WikiLeaks, The Armstrong Lie ซึ่งได้รับเลือกให้เข้าฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตรอนโตปี 2013และ Casino Jack and the United States of Money ผลงานสารคดีเรื่องอื่นๆ ที่อัลเบอร์ตี้ร่วมงานกับกิบนีย์รวมถึงภาพยนตร์เรื่อง History of the Eagles Part One, Client 9: The Rise and Fall of Eliot Spitzer, Gonzo: The Life and Work of Dr. Hunter S. Thompson และ Taxi to the Dark Side ซึ่งได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดปี 2008 ในสาขาภาพยนตร์สารคดียอดเยี่ยม
ในปี 2006 Enron: The Smartest Guys in the Room ผลงานเริ่มแรกที่อัลเบอร์ตี้ได้ร่วมงานกับกิบนีย์ ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขาภาพยนตร์สารคดียอดเยี่ยม ปลายปีนั้น เธอได้รับรางวัลโกดัก วิชัน อวอร์ดและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลไพรม์ไทม์ เอ็มมีสาขากำกับภาพยอดเยี่ยมสำหรับรายการนอนฟิคชันจาก All Aboard! Rosie’s Family Cruise ทางเอชบีโอ ในปี 2004 อัลเบอร์ตี้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอินดีเพนเดนท์ สปิริต สาขากำกับภาพยอดเยี่ยมจากผลงานของเธอในภาพยนตร์เรื่อง We Don’t Live Here Anymore ที่กำกับโดยจอห์น เคอร์แรน
ผลงานของเธอได้รับรางวัลกำกับภาพสารคดียอดเยี่ยมในเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์จากเรื่อง Crumb ในปี 1995 และ H-2 Worker ในปี 1990
เธอเดินทางมาถึงนิวยอร์กในช่วงกลางทศวรรษที่ 70 และเธอก็ได้โบกรถเดินทางทั่วอเมริกานานหลายปี เธอเริ่มต้นถ่ายภาพเมื่อเธอกลับไปยังนิวอยอร์ก ซิตี้ ไม่นานนัก เธอก็ได้ทำงานให้กับนิตยสารนิวยอร์ก ร็อคเกอร์ และได้ถ่ายภาพศิลปินมากมายเช่น โล รี้ด, อิกกี้ ป็อปและแฟรงค์ แซปปา ในช่วงกลางยุค 80s เธอเริ่มทำงานในกองถ่ายภาพยนตร์ เริ่มจากการเป็นช่างถ่ายภาพนิ่ง ขยับไปเป็นผู้กำกับภาพ ทั้งสำหรับภาพยนตร์และสารคดี
อัลเบอร์ตี้ยังคงเดินหน้าสร้างศิลปะที่มีความเป็นส่วนตัวสูงในรูปแบบของภาพถ่ายและวิดีโอ เธอได้จัดแสดงงานของเธอในแกลเลอรีที่นิวยอร์กและลอสแองเจลิส ในข่วงหลายปีที่ผ่านมา เธอได้ร่วมงานกับศิลปินมากมายเช่นลอรี แอนเดอร์สันและปิแอร์ ฮิฮี เธอใช้ชีวิตอยู่ในนิวยอร์ก ซิตี้กับสามีและลูกชาย และมีตัวแทนคือแดทเนอร์ ดิสโปโท แอนด์ แอสโซซิเอทส์ (ดีดีเอ)
นามาน มาร์แชล (Naaman Marshall)—ผู้ออกแบบงานสร้าง
ในฐานะหลานชายของผู้ออกแบบงานสร้างผู้คร่ำหวอดในวงการ โธมัส อี. แซนเดอร์ส นามาน มาร์แชลได้รู้จักกับการออกแบบภาพยนตร์ตั้งแต่อายุยังน้อย เขาเริ่มต้นจากการฝึกฝนฝีมือในฐานะช่างทำโมเดลในภาพยนตร์ดังอย่าง Pirates of the Caribbean: Dead Man’s Chest, Serenity, Batman Begins และ Collateral โดยหลังจากนั้น เขาก็ไต่เต้าขึ้นมาเรื่อยๆ ในแผนกศิลป์ หลังจากรับหน้าที่ผู้กำกับศิลป์ผู้ควบคุมในภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ฮอลลีวูดหลายเรื่องรวมถึง Dawn of the Planet of the Apes และ The Dark Knight Rises และภาพยนตร์อินดี้ที่โดดเด่นอย่างทริลเลอร์อาชญากรรมนีโอนัวร์เรื่อง Nightcrawler มาร์แชลก็หันมาจับงานออกแบบงานสร้างในภาพยนตร์เรื่อง The Visit ปัจจุบัน เขาอยู่ระหว่างการถ่ายทำทริลเลอร์เรื่องใหม่โดยผู้กำกับเฟ็ด อัลวาเรซเรื่อง A Man in the Dark ที่อำนวยการสร้างโดยแซม ไรมีและร็อบ ทาเพิร์ต
การกำกับศิลป์ของมาร์แชลสำหรับผู้ออกแบบงานสร้างนาธาน โครว์ลีย์ทำให้เขาได้รับรางวัลสมาพันธ์ผู้กำกับศิลป์จาก The Dark Knight และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลจาก The Dark Knight rises และ The Prestige นับตั้งแต่นั้นมา เขาก็ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสมาพันธ์ผู้กำกับศิลป์อีกสองครั้ง ครั้งหนึ่งจากการร่วมงานกับเจมส์ ชินลันด์ใน Dawn of the Planet of the Apes และอีกครั้งหนึ่งจากการร่วมงานกับเควิน คาวานัฟใน Nightcrawler
นอกเหนือจากงานภาพยนตร์แล้ว เมื่อเร็วๆ นี้ เขายังได้กำกับศิลป์ซีรีส์ไซไฟใหม่ทางเอชบีโอเรื่อง Westworld อีกด้วย ซีรีส์นี้ที่กำกับโดยโจนาธาน โนแลนและนำแสดงโดยแอนโธนี ฮ็อปกินส์และเอ็ด แฮร์ริส ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในซีรีส์ที่มีผู้คนรอคอยมากที่สุดของปี 2016
มาร์แชลเกิดในลองบีช รัฐแคลิฟอร์เนีย เขาเติบโตในซานหลุยส์ โอบิสโป ที่ซึ่งปัจจุบันเขาใช้ชีวิตอยู่กับภรรยาและลูกสาวสองคน
ลุค เชียร็อคคี (Luke Ciarrocchi)—ลำดับภาพโดย
The Visit เป็นผลงานภาพยนตร์เรื่องที่สี่ที่ลุค เชียร็อคคีได้ทำงานในแผนกลำดับภาพให้กับผู้กำกับเอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน เชียร็อคคีเติบโตขึ้นในย่านชานเมืองฟิลาเดลเฟีย ความรักที่เขามีต่อศิลปะวิชวลทำให้เขาเข้าเรียนหลักสูตรพื้นฐานวิจิตรศิลป์ที่มหาวิทยาลัยเทมเปิล ก่อนที่เขาจะสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านภาพยนตร์ในปี 2007 หลังจากได้รับตำแหน่งระดับล่างในห้องลำดับภาพในภาพยนตร์โดยชยามาลานเรื่อง The Happening เขาก็ได้เป็นมือลำดับภาพฝึกหัดในภาพยนตร์เรื่อง The Last Airbender ในปี 2009 หลังจากนั้น เขาก็ได้ทำหน้าที่ผู้ช่วยลำดับภาพในภาพยนตร์ปี 2013 เรื่อง After Earth โดยเขาได้ดูแลงานสร้างอนิเมติกและเอฟเฟ็กต์ไกด์ชั่วคราวที่มีส่วนช่วยในการลำดับภาพของภาพยนตร์ที่หนักวิชวล เอฟเฟ็กต์เรื่องนี้ ความสัมพันธ์ในการทำงานระหว่างเชียร็อคคีและชยามาลานได้ดำเนินต่อเนื่องในภาพยนตร์เหล่านี้ และ The Visit ก็เป็นผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกที่เขาทำหน้าที่มือลำดับภาพหลัก
เอมี เวสต์ค็อทท์ (Amy Westcott)—ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย
ในปี 2010 เอมี เวสต์ค็อทท์ ได้ออกแบบในภาพยนตร์ชื่อดังเรื่อง Black Swan ที่กำกับโดยดาร์เรน อาโรนอฟสกี้ และทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟตา ออวร์ดและได้รับรางวัลสมาพันธ์นักออกแบบเครื่องแต่งกาย (ซีดีจี)
ในปี 2008 เวสต์ค็อท์ได้ร่วมงานกับมิคกี้ โร้คในภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์เรื่อง The Wrestler ที่กำกับโดยอาโรนอฟสกี้ และทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงอีกห้ารางวัลซีดีจี อวอร์ด
ผลงานเรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจของเธอรวมถึงภาพยนตร์โดยเอ็ม. ไนท์ ชยามาลานเรื่อง After Earth (2013), ภาพยนตร์โดยโนมเมอร์โรเรื่อง Smart People (2008), ภาพยนตร์โดยโนอาห์ บอมบัคเรื่อง The Squid and the Whale (2005), ภาพยนตร์โดยแดน กิลรอยเรื่อง Nightcrawler (2014) และภาพยนตร์โดยเจสัน เบทแมนเรื่อง The Family Fang ซึ่งเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตรอนโตในปีนี้