เป็นกระแสที่โหมกระพือตลอดอาทิตย์กับข่าวการตกรอบแบบช็อคมหาชน
ของสาวไฮโซ ลูกครึ่งอิตาลีนามว่า Pia Toscano ซึ่งผู้ที่ติดตามรายการ American Idol
ทุกคนรู้ดีว่าเธอมีเสียงร้องที่มหัศจรรย์ และการperform ที่ perfect แค่ไหน
สื่อทุกแขนงต่างมุ่งไปหวังจะได้ตัวเธอมาสัมภาษณ์ แน่นอนว่าต้องมีรายการที่มี
เรตติ้งสูงอย่างรายการ Today Show , Jay Leno , Ellen
รวมไปถึงค่ายเพลงต่างๆก็แห่กันเข้ามาติดต่อขอให้เธอไปเซ็นสัญญา
หลังเธอออกจากบ้านได้ไม่ครบ 24 ชม.ดีด้วยซ้ำ
แม้แต่ผู้คนที่ไม่ได้ดูรายการอเมริกันไอดอล ยังรู้จักเธอเลย
ด้านยอดวิวใน youtubeของเธอพุ่งอย่างต่อเนื่องเป็นหลักล้าน
ชื่อของเธอถูกเสิร์ชค้นหาใน Yahoo มากที่สุดในสัปดาห์
และเธอก็กลายเป็ย Celebrity ไปโดยปริยายเนื่องจาก Celeb ระดับโลกหลายคน
ต่างขึ้นทวิตเตอร์แสดงความไม่พอใจหลังจากเธอถูกประกาศชื่อว่าตกรอบเพียงไม่กี่นาที
เช่น Ashton Kutcher ทวีตว่า
" ใครเป็นพวกบ้าที่โหวตให้อเมริกันไอดอลสัปดาห์นี้เนี่ย Pia เธอทำผมคลั่งมาก"
Allysa Milano ดาราซีรี่ยส์ชื่อดัง ทวีตว่า
" ฉันสับสนมาก Pia ออกได้ไง " และเข้าไปทวีตให้กำลังใจในทวิตเตอร์ Pia ว่า
"อย่าเสียใจไป สาวน้อย คุณมีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม"
๋ำJennifer Hudson ทวีตว่า
" เสียงเธอขนาดนั้น เธอสมควรที่จะอยู่ต่ออีกนานๆ เกลียดจังที่ต้องเห็นคนเก่งๆตกรอบ"
๋ำJessica Alba ทวีตว่า
" ใครทำบ้าอะไรกับ Pia เนี้ย ฉันว่าเธอต้องมีอนาคตที่ดีในวงการแน่นอน
สาวคนนี้ร้องเพลงดีมาก และเธอช่างสวยดึงดูดจริงๆ "
และที่สำคัญ ดาราระดับโลกรุ่นใหญ่อย่าง Tom Hanks ทวีตว่า
" ผมก็ไม่ได้ติดตามรายการนี้ตลอดนะ แต่เมื่อ Pia ตกรอบ ผมขอเลิกดูซีซั่นนี้แล้ว"
ซึ่งเป็นคำพูดที่แรงมากๆ จนสื่อเอาไปตีประเด็นกันใหญ่
ด้านRegis and Kellyพิธีกร talk show ชื่อดังบอกว่า
"รายการนี้งี่เง่ามาก จะเรียกว่าอเมริกันไอดอลได้ไง
ในเมื่อผู้ชมหนึ่งคน จะโหวตกี่ครั้งก็ได้ มันควรจะเปลี่ยนระบบโหวตได้แล้ว "
ทางด้าน Ellen กล่าว่า " ฉันโกรธมาก และช็อคพอๆกับคนดูทั้งประเทศ "
นี่ยังไม่รวมถึงทวีตจากพวกอเมริกันไอดอลรุ่นก่อนๆ อย่าง Kathereen McPhee
Chris Daughtry , David Cook และอื่นๆอีกมากมาย
ตอนนี้เวลา Pia ขึ้นเครื่องบินก็จะมีแฟนๆเช็คตารางงานเพื่อมารอรับเธอที่สนามบิน
อีกทั้งยังมีแฟนๆจากทั่วโลกตามทวีตเชียร์เธอ เช่น แฟนคลับที่
ประเทศฟิลิปปินส์และมาเลเซีย เป็นต้น
และทั้งหมดนี้คือจุดเริ่มต้นของความโด่งดังของเธอ ซึ่งตอนนี้คงไม่มีใครค้านว่า
เธอดังที่สุดในซีซั่น 10 แล้ว
(ถึงแม้อเมริกันไอดอลปีนี้จะหมดสิทธิ์ได้แชมป์หญิง และปล่อยให้ผู้ชายได้
แชมป์ 4 ซีซั่นต่อเนื่องไปแล้วก็ตาม)
เพื่อให้พวกเราได้รู้จักเธอมากขึ้น เดี๊ยนจึงไปขุดประวัติจุดเริ่มต้นของความฝัน
ของเธอมาให้พวกเราได้รับทราบกันค่ะ ว่ากว่าจะถึงจุดนี้ สาวอายุ 22 ต้องฝึกฝน
พยายาม และ รอคอย มานานขนาดไหน
Pia Toscano เริ่มต้นร้องเพลงเมื่ออายุ 4 ขวบ โดยครอบครัวของเธอรู้ว่าเธอมีพรสวรรค์
ครั้งแรกเมื่อก็เมื่อตอนคืนหนึ่งที่เธออายุ 4 ขวบ ครอบครัวของเธอได้ออกไปเที่ยว
ข้างนอกโดยที่ไม่บอกเธอก่อน ทิ้งเธอให้อยู่กับพี่เลี้ยง เธอจึงหยิบไมโครโฟนจากเครื่อง
คาราโอเกะเด็กมา แล้วเปิดเพลง I will always love you ของป้าวิทนี่ย์ เพื่อร้องระบาย
อารมณ์โกรธไม่พอใจ ซึ่งในขณะนั้นพี่เลี้ยงได้อัดวีดีโอไว้ และเมื่อครอบครัวเธอกลับมาดู
ก็ต้องทึ่งแบบนี้....
ในวัยเด็ก เธอเริ่มต้นเรียนร้องเพลง เต้น และการแสดง เธอเรียนมาตลอด
ตามประสาลูกสาวไฮโซ คนมีอันจะกินมากๆ
(สังเกตุได้จากบ้านเธออยู่ในนิวยอร์ค ที่ซึ่งแออัดและที่ดินแพงมากๆ แค่ห้องเช่า
คอนโดธรรมดาๆก็แพงเหลือจะสู้ราคา แต่ Pia เธออยู่บ้านเดี่ยวอย่างหรูนะคะ คิดดู)
ต่อมา Pia เริ่มต้นการศึกษาร้องเพลงอย่างจริงจังในวิทยาลัยดุริยางค์ศิลป์ชื่อดัง
กลางกรุงนิวยอร์คนามว่า LaGuardia High School of the Performing Arts
ที่เปิดสอนทุกอย่างเกี่ยวกับศิลปกรรมศาสตร์ ทั้งการร้องเพลง เต้น เล่นละคร
รวมไปถึงอตสาหกรรมดนตรีแทบทุกแขนง
วิทยาลัยแห่งนี้มีนักเรียนทั้งสิ้นเพียง 2500 คนเท่านั้น
(เพราะบ้านเขามีค่านิยมไม่ส่งเสริมให้ลูกไปเรียนร้องเพลงหรือการแสดงเหมือน
บ้านเราค่ะ เขาเห็นว่าไร้สาระ จะทำเป็นอาชีพก็ไม่รุ่ง ไม่มั่นคง
ดังนั้นคิดดูว่าพวกที่เรียนดุริยางค์เนี่ยต้องเป็นลูกคนมั่งคั่งจริงๆเท่านั้น
ไม่ก็นักเรียนทุนที่มีพรสวรรค์มากๆ ยิ่งโรงเรียนตั้งอยู่กลางนิวยอร์คด้วยแล้ว
ไม่รวยแล้วมาเรียนได้ก็แทบจะไม่มีเลยค่ะ)
โดยที่ Pia เป็นนักกิจกรรมตัวยง เธอมีส่วนร่วมในแทบทุกกิจกรรมและโชว์ต่างๆ
ของวิทยาลัยตลอด เธอมักได้รับเลือกให้โชว์ร้องเพลงในงานใหญ่ๆของวิทยาลัย
จนไม่มีใครบอกว่าเธอร้องไม่ดี ด้วยความสามารถ+ใจดีน่ารัก
เธอจึงเป็นที่รู้จักและเป็นที่รักของทุกๆคน
หลังจบการศึกษาที่วิทยาลัย Piaก็ตัดสินใจไม่เข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา
ด้วยเหตุผลว่าเธออยากจะเริ่มต้นกับอาชีพร้องเพลงในวงการอย่างจริงจัง
เธอเริ่มตั้งวงกับเพื่อนๆ ร้องเพลงตามงานเลี้ยงต่างๆ ไปจนถึงได้ร้องเพลงชาติในงาน
แข่งขันกีฬาของท้องถิ่น ระหว่างนั้น เธอก็ได้ไปออดิชั่นตามรายการต่างๆอย่างต่อเนื่อง
โดยรายการที่เธอไปออดิชั่นบ่อยที่สุดคือ American Idol ซึ่งเธอออดิชั่นมาแล้ว
ทั้งหมด 5 ครั้ง เริ่มตั้งแต่ปี 2006 (ซีซั่น 5) ซึ่งเธอก็ยังไม่ผ่านมาเรื่อยๆ
จนบางครั้งเธออยากแสดงความสามารถให้คนทั้งโลกได้รู้
youtube จึงเป็นทางออกของเธอ
แบบนี้....
เธอไม่เคยย้อท้อ เธอเฝ้ารอ ฝึกฝน และอดทนโดยตั้งใจเสมอว่าตนเอง
มีความสามารถ ตนเองรู้ตัวว่าจะเป็นอะไร จะทำอาชีพอะไร และมั่นใจที่จะทำ
ไปเรื่อยๆ แม้จะท้อแท้หลายหน แต่เธอก็ยังทุ่มเทอย่างต่อเนื่อง โดยการฝึกฝนของเธอ
ส่วนหนึ่งก็ได้รับประสบการณ์มาจาก การรับจ้างร้องเพลงตามงานต่างๆดังเช่น
ทุกครั้งที่ออดิชั่นอเมริกันไอดอล เธอไม่เคยได้เข้าถึงรอบ Fianlist เลย
จนมาซีซั่นที่ 9 เธอได้เข้ารอบลึกสุดคือรอบ Hollywood week
แต่ก็ต้องผิดหวังกลับมา โดยปีนั้นกรรมการคือไซม่อน,เอลเลน,แคร่าและแรนดี้
ตัดสินใจไม่เลือกเธอ (แต่ไปเลือกพวกห่วยแตกแทน ใครที่ดูซีซั่นที่แล้วจะรู้ว่าง่อยแค่ไหน)
กรรมการให้เหตุผลว่า "ไม่ใช่เธอไม่เก่ง แต่แค่เธอไม่เหมาะสมพอ"
ในที่สุด เมื่อการออดิชั่นในครั้งที่ 5 เริ่มขึ้น ความฝันของเธอก็เป็นจริง
เธอเข้ารอบTop 24 สำเร็จ
โดยในการออดิชั่นปีนี้ Pia ได้พบกับ Karen รุ่นน้องที่วิทยาลัย
ซึ่งบังเอิญมาออดิชั่นเหมือนกัน ทั้งสองจึงจับกลุ่มร้องเพลงด้วยกันตลอด
ระหว่างการออดิชั่นกลุ่ม รอบ Final 40 Beatles week
จนทั้งคู่ผ่านเข้ามาถึงรอบ Finalist Live show ด้วยกัน
และการออดิชั่นกับกรรมการครั้งสุดท้าย ในรอบ Top 40 เธอทำให้กรรมการเลือกเธอ
ไปให้มหาชนโหวต ด้วยการร้องเพลง Doesn't mean anything ของ Alicia Keys
ใครที่ติดตามดูตั้งแต่ต้น จะรู้ว่า Pia ได้แอร์ไทม์ในการออกทีวีตอนออดิชั่นทั้งหมดน้อยมาก
เพราะชีวิตเธอไม่ได้มีจุดขายดราม่าแบบคนอื่นๆ กระแสของเธอไม่ได้แรงเปรี้ยง
ตั้งแต่ก่อนรอบไลฟ์โชว์ Top 24 บางคนเพิ่งเห็นเธอครั้งแรกในรอบ Top 24 ด้วยซ้ำ
แต่เธอก็แจ้งเกิดได้อย่างสวยงาม และทำให้ทุกคนจดจำเธอได้ ไม่ใช่เพราะความดราม่า
แต่เป็นเพราะความสามารถของเธอล้วนๆ
เธอเปิดตัวในเพลง I'll stand by you ซึ่งทำให้กรรมการทั้งสามลุกขึ้นยืนปรบมือ
standing ovation เป็นครั้งแรกสำหรับผู้หญิงของซีซั่นนี้
และนั่นได้กำหนดแนวเพลงของเธออันชัดเจน แนวเพลงดีว่าส์บัลลาดซึ่งห่างหาย
ไปจากการประกวดอเมริกันไอดอลนานหลายปีแล้ว
หลังจากคืนโชว์ในรอบ Top 24 เธอลอยลำเข้ารอบ Top 13
(ซึ่งถือเป็นการเปิดซีซั่นแข่งขันอย่างแท้จริง) ได้อย่างไม่มีข้อสงสัย
ในรอบนี้จะเป็นรอบที่ทุกคนต้องร้องเพลงของศิลปินในดวงใจ ซึ่ง Pia
กล่าวว่าไอดอลของเธอมีมากมายดังต่อไปนี้
Whitney Houston, Celine Dion, Mariah Carey, Christina Aguilera,
Beyonce, Etta James, Aretha Franklin, Alicia Keys, Ella Fitzgerald,
Brian Mcknight, Stevie Wonder, Luther Vandross, Barry White,
Brian Adams, Andrea Boccelli
(สังเกตุได้ว่ามีแต่ดีว่าและดีโว่เต็มไปหมด)
แต่ที่เธอยกให้เป็นไอดอลที่ชื่นชอบที่สุดคือ Celine Dion
วีคนั้นเธอจึงเลือกร้องเพลง All by myself ซึ่งเป็นเพลงที่ไม่มีผู้เข้าประกวดคนไหน
กล้าหยิบมาร้อง ตั้งแต่อเมริกันไอดอลซีซั่น 3 ปิดฉากลง
(ซีซั่น 3 คนที่ร้องเพลงนี้ไว้ดีมากๆคือตัวเต็งแชมป์อย่าง Latoya London
แต่ก็ไม่ได้ไปต่อ น่าเสียดาย ฃที่เธอตกรอบไป ทั้งที่มาถึง Top 4 )
เพราะเป็นที่รู้ๆกันว่าท่อนพีคของเพลงนี้อันตรายมาก มีการเปลี่ยนคียส์โหนกะทันหัน
มากถึง 3 คียส์ ใครที่ไม่แน่จริง เป็นต้องหลุดแป้กทุกราย แต่เพลงนี้กลับกลายเป็น
เพลงชิวๆสำหรับ Pia เพราะดูเหมือนเธอจะฝึกร้องเพลงนี้มาทั้งชีวิตแล้ว.....
หลังการโชว์เพลงนี้ ชาวอเมริกันแน่ใจว่าเธอคือตัวเก็งแชมป์ของซีซั่นนี้
หลายๆคนคาดหวังว่าผู้หญิงจะได้เป็นเป็นแชมป์ปีนี้ โดย Pia จะต้องเป็นแชมป์
หญิงแนวดีว่าส์บัลลาดเริ่ดๆแบบ Real Diva
หลังจากที่ไม่ได้มีแชมป์แนวนี้มานาน
โจทย์ในรอบ Top 12 วีคถัดมาคือเพลงดังในปีเกิด
Pia หยิบเพลงบัลลาดทรงพลังที่ขึ้นอันดับ 1 อย่างเพลง
Where do broken hearts go ( ปี 1988 ) ของดีว่าส์ตลอดกาล
ไอดอลอีกคนของเธอ Whitney Houston เพื่อมาแสดงสด
โปรดิวเซอร์ช่วยกันรีแอแรจน์เร่งจัวหวะเพลงนี้ให้กลายเป็นเพลงเร็ว
ซึ่งในเพลงนี้ เธอก็ตอกย้ำความเป็นดีว่าส์และสร้างความประทับใจอีกเช่นเคย....
มาถึงรอบ Top 11 เธอได้รับโจทย์เป็นเพลงโบราณยุค Motown
ซึ่งเธอก็เลือกหยิบเพลงจากตำนานอมตะของ Motown อย่าง Stevie wonder มาร้อง
คือเพลง All in love is fair โดยเวอร์ชั่นที่เธอโชว์เป็นเวอร์ชั่นของดีว่านาม
Dionne Warwick ( น้าสาวแท้ๆของ Whitney Houston )
และแน่นอนว่าพลังเสียงของเธอ สะกดคนอเมริกาได้อีกครั้ง
รอบ Top 10 เธอได้รับโจทย์เป็นเพลง Elton John
หลายๆคนเก็งไว้ไม่ผิดว่าในที่สุด เธอจะเลือกเพลง Don't let the sun go down on me
ซึ่งเป็นเพลงที่เสียงทรงพลังที่สุดของป้าเอลตัน และเป็นเพลงประกวดซึ่งใช้
กันมาแล้วหลายคนบนเวทีนี้ แต่ Pia ก็พิสูจน์แล้วว่าเธอฆ่าผู้เข้าประกวดที่เคยร้องเพลงนี้
ในซีซั่นอื่นๆได้ตายสนิท......
แต่ใครจะรู้ว่ารอบ Top 9 จะเป็นรอบสุดท้ายของเธอ เมื่อเธอเลือกต้องเลือกเพลง
ในโจทย์ Rock and Roll เป็นเพลง River Deep Moutain High
ของ Tina Turner ( ใครที่ติดตามรายการนี้ จะรู้ตลอดว่าเพลงของเจ้าป้า Tina
เป็นเพลงอาถรรพ์ ใครร้องไม่ว่าจะดีแค่ไหน เป็นต้องตกรอบทุกราย)
โดยเธอเลือกเวอร์ชั่นของ Celine Dion มาร้อง นับเป็นการฉีกแนวจากดีว่าส์บัลลาด
มาเป็นร็อคดีว่าครั้งแรก แล้วเธอก็ทำได้ดีมากเสียด้วย
คืนก่อนประกาศผล Pia มีลางสังหรณ์ว่าเธอจะตกรอบ เธอจึงโทรศัพท์ไปหาพ่อแม่
ในคืนนั้นและกล่าวขอโทษหากพรุ่งนี้เธอต้องทำให้ท่านผิดหวังและเสียใจ
โดยพ่อแม่ของเธอกล่าวว่าจะไม่มีทางผิดหวังและเสียใจกับลูกสาวคนนี้แน่นอน
เมื่อถึงวันประกาศผล Pia ได้ร้องเพลงอำลาเวทีเพลงสุดท้าย
ซึ่งเธอกล่าวว่า เป็นการแสดงสดที่ยากที่สุดตั้งแต่เธอเกิดมา เพราะต้องแบกรับ
ความรู้สึกเศร้าเสียใจไปในขณะร้องเพลงด้วย เธอพยายามเต็มที่แล้ว
ถึงมันจะไม่เพอร์เฟกต์เหมือนครั้งก่อนๆ
แต่ก็สร้างความประทับใจให้อเมริกาและเรียกน้ำตาคนดูได้ทั่วประเทศ
แม้ว่าตอนนี้ การเดินทางตามหาความฝันของ Pia จะสิ้นสุดลง
แต่มันกลับกลายเป็นการจุดเริ่มต้นของความดัง จุดเริ่มต้นของเส้นทางอันรุ่งโรจน์
ในอาชีพของเธอ
ไม่เคยมีการตกรอบอเมริกันไอดอลครั้งไหนที่เป็นกระแสถึงขั้น
Celeb ระดับโลกออกมาเป็นเดือดเป็นร้อนขนาดนี้
ไม่เคยมีการตกรอบที่คนทั่วประเทศโมโหกับการจากเวทีของผู้เข้าประกวดที่สมควร
จะได้เป็น The Winner ขนาดนี้
นี่คงวัดได้แล้วว่ามีคนเชียร์และสนับสนุนเธอขนาดไหน
วันนี้การแข่งเพื่อค้นหา American Idol ยังคงดำเนินต่อไป
ถึงแม้เธอจะไม่ได้เป็น The Winner Of The American Idol แต่ตอนนี้ก็คงไม่มีใคร
ปฎิเสธได้ว่า ในโลกแห่งความเป็นจริงของอาชีพนักร้องนามสกุล American Idol แล้ว
Pia Toscano คือ The Winner ตัวจริงของซีซั่นนี้ค่ะ
ขออุทิศรีวิวชิ้นนี้ ให้เป็นแรงบันดาลใจแก่ทุกๆคนที่มีความฝันจะทำในสิ่งที่ตนรัก
แม้คุณจะเก่งสุดๆ หรือจะเพอร์เฟกต์แค่ไหน หากคุณปราศจากโอกาส
คุณก็อาจรู้สึกว่าสิ่งเหล่านั้นแทบไร้ความหมาย
แต่จริงๆแล้ว คุณต้องสร้างความหมายให้คุณค่าของตัวคุณเองก่อน
คุณต้องตระหนักเสมอว่าตัวเองมีดีที่จุดไหน จากนั้นคุณก็ต้องพยายามฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง
อีกทั้งต้องมีความเชื่อมั่น และอดทนในการเฝ้ารอ
เดี๊ยนเชื่อว่าสักวัน "โลกจะต้องเหลียวมามองคุณ" แม้ว่าจะเป็นเพียงเสี้ยวินาทีหนึ่ง
ก็ยังถือว่า"โลกได้หันมาสนใจ"คุณอยู่ดี
เป็นกำลังใจให้ทุกท่านนะคะ
_________________
