˹���á Forward Magazine

ตอบ

15 นี้ เตรียมพบกับ มิชชั่น:อิมพอสซิเบิ้ล ปฏิบัติการไร้เงา
ผู้ตั้ง ข้อความ
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ 15 นี้ เตรียมพบกับ มิชชั่น:อิมพอสซิเบิ้ล ปฏิบัติการไร้เงา 



เมื่อถูกกล่าวโทษว่าเป็นผู้ก่อการร้ายที่วางระเบิดนครเครมลิน เจ้าหน้าที่ IMF อีธาน ฮันท์และเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ขององค์กรถูกตัดหางปล่อยวัด ขณะที่ประธานาธิบดีสั่งปฏิบัติการ “ปฏิบัติการไร้เงา” อีธานที่ตกอยู่ในสภาพไร้ทางออกหรือผู้สนับสนุน ต้องหาหนทางล้างมลทินให้กับหน่วยงานของเขา และปกป้องการโดนโจมตีอีกครั้ง แต่ที่ทำให้ทุกอย่างยุ่งยากซับซ้อนขึ้น อีธานถูกบีบให้ต้องรับภารกิจนี้ร่วมกับเพื่อนๆ ร่วมหน่วย IMF ซึ่งต่างต้องหลบหนีความผิด และแต่ละคนต่างมีแรงจูงใจส่วนตัวที่อีธานไม่อาจล่วงรู้ได้

ทอม ครูซ กลับมารับบท อีธาน ฮันท์ สมทบความมันส์ด้วยทีมนักแสดงที่ดังระดับโลก อย่าง เจเรมี่ เรนเนอร์, ไซม่อน เพ็กก์, พอลล่า แพ็ตตัน, ไมเคิล นีกวิสท์, วลาเดเมียร์ แมชคอฟ, จอช ฮัลโลเวย์, อานีล คาพัวร์ และลีอา ซีโดซ

พาราเม้าต์ พิคเจอร์ส และสกายแดนซ์ โปรดักชั่นส์ ภูมิใจเสนอผลงานการสร้างของ ทอม ครูซ/ แบ็ด โรบ็อท เรื่อง MISSION: IMPOSSIBLE – GHOST PROTOCOL ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดย แบร็ด เบิร์ด และทีมผู้อำนวยการสร้างบริหาร ได้แก่ เจฟฟรีย์ เชอร์นอฟ, เดวิด เอลลิสัน, พอล ชเวก และเดน่า โกลด์เบิร์ก ภาพยนตร์เรื่องนี้อำนวยการสร้างโดย ทอม ครูซ, เจเจ อับรามส์ และไบรอัน เบิร์ก โดยสร้างจากซีรีส์ที่ฉายทางทีวี ผลงานการสร้างของบรูซ เกลเลอร์ บทภาพยนตร์เรื่องนี้เขียนบทโดย จอช แอ๊พเพลบาว์ม และอังเดร นีเม็ค ทีมงานหลังกล้องที่ล้วนแต่เป็นสุดยอดฝีมือ ได้แก่ ผู้กำกับภาพ โรเบิร์ต เอลสวิท, โปรดักชั่น ดีไซเนอร์ จิม บิสเซลล์, ผู้ลำดับภาพ พอล เฮิร์สช์ และวิชวล เอฟเฟ็กต์ ซูเปอร์ไวเซอร์ จอห์น โนลล์ ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ได้แก่ ไมเคิล แค๊ปแลน ส่วนซาวน์ที่ได้ยินกันในภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นผลงานการออกแบบของ แกรี่ ริดสตรอม และดนตรีประกอบเป็นฝีมือของ ไมเคิล จิแอ็คชิโน่



ทีมปฏิบัติการไร้เงา
อีธาน ฮันท์ (ทอม ครูซ) ต้องเปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปในฐานะของเจ้าหน้าที่ จากที่เคยเป็นเหมือนหมาป่าที่ทำงานแบบตัวคนเดียว กลายมาเป็นผู้นำทีมตัวจริง “ในภาพยนตร์สามภาคก่อน อีธานต้องพึ่งพิงตัวเองเท่านั้น แต่ในภาพยนตร์เรื่องนี้เขาต้องอาศัยพึ่งพิงคนอื่นๆ สำหรับเขามันคือความท้าทายครั้งใหญ่ เพราะเขาเคยโดนสมาชิกในทีมและองค์กรของเขาเอง ทรยศมาหลายครั้งแล้ว บัดนี้ เขาไม่มีทางเลือก นอกจากต้องไว้ใจคนสามคนที่เขาแทบไม่รู้จักเลย”

สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ แอ๊พเพลบาว์มและนีเม็ค ชื่นชอบไอเดียที่ให้มีเจ้าหน้าที่หญิงที่มีความแข็งแกร่ง ตามที่ผู้กำกับ แบร็ด เบิร์ด ได้บรรยายถึงเจ้าหน้าที่เจน คาร์เตอร์ (พอลล่า แพ็ตตัน) “เธอคือสุดแสบ” ถึงแม้เธอจะมีประสบการณ์ภาคสนามมากมาย แต่เธอยังมีแรงผลักดันอื่นที่นอกเหนือจากความต้องการที่จะทำภารกิจให้สำเร็จ แรงผลักดันนั้นก็คือความแค้น “เธอเป็นคนมีความสามารถสูงมาก เก่งกาจ และมีร่างกายทรหดอดทนในแบบที่บทนี้ต้องการ” ครูซกล่าวไว้ ขณะที่แพ็ตตันพูดถึง เจน ว่า “ถ้าไม่ดุเดือดกว่า เธอก็ดุพอๆ กับพวกหนุ่มๆ เธอเป็นคนที่เท่าทันกันจริงๆ”

ที่กลับมาจาก MISSION: IMPOSSIBLE III ก็คือช่างเทคนิคสุดแจ่ม เบนจี้ ดันน์ (ไซม่อน เพ็กก์) ที่กลายเป็นเจ้าหน้าที่ภาคสนามไปแล้ว เพ็กก์พูดถึงตัวละครตัวนี้ว่า “เขาเป็นสุดยอดไอทีจริงๆ เขาเป็นมนุษย์คอมพิวเตอร์ที่รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับทุกเรื่อง” จอช แอ๊พเพลบาว์มเล่า “เจเจเคยพูดว่า ‘ฉันอยากเห็นเบนจี้ลุกมาจากโต๊ะ และออกมาลุยกับเขาเสียที’ เราก็เลยได้สนุกกับไอเดียนี้ เพราะเราเคยเห็นแต่พวกเจ้าหน้าที่หัวแข็งที่ออกมาลุยกันภารกิจแล้วภารกิจเล่า แต่เที่ยวนี้เราจะได้เห็นอีธานออกมาลุยกับชายคนนี้ที่ไม่เคยลุยของจริงมาก่อน นี่เป็นเรื่องใหม่ป้ายแดงสำหรับเขาเลย” เพ็กก์ได้นำความเฉลียวฉลาดและอารมณ์ขันมาสู่ตัวละครตัวนี้ ซึ่งถือว่าสร้างความโดดเด่นให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ในฐานะส่วนหนึ่งของภาพยนตร์แฟรนไชส์ที่มีชื่อเสียงในเรื่องของฉากที่อัดแน่นไปด้วยแอ็คชั่นที่แสนจริงจัง

สำหรับเจ้าหน้าที่วิลเลี่ยม แบรนท์ (เจเรมี่ เรนเนอร์) “เราชอบไอเดียที่ให้ตัวละครตัวนี้เป็นเหมือนพวกเจ้าหน้าที่นั่งโต๊ะ เป็นพวกใส่สูทมากกว่า” แอ๊พเพลบาว์มอธิบาย “ต่อมา เรารู้ว่าเขามีความสามารถหลายอย่าง ตลอดเรื่องราวในภาพยนตร์เรื่องนี้ แบรนท์กลายเป็นเจ้าหน้าที่อีกคนที่มีความเก่งสูสีกับอีธาน นั่นเป็นสิ่งที่ยังไม่เคยถูกนำเสนอมาก่อน”

ตัวละครตัวนี้สามารถดึงดูดความสนใจจากเรนเนอร์ได้ทันที “แบรนท์เป็นนักวิเคราะห์ เป็นคนทำงานนั่งโต๊ะที่ฉลาดเป็นกรด เขาไม่ใช่คนที่ใช้อารมณ์กับเรื่องต่างๆ จากนั้นคุณจะค่อยๆ ได้เห็นว่าจริงๆ แล้วเขาเป็นใคร โดยเฉพาะเมื่อมองผ่านทักษะฝีมือของเขาในแบบที่คุณคงไม่คาดว่าจะได้เห็นจากนักวิเคราะห์ที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีฟ้ารัดรูป ที่จริงเขาไม่อยากเป็นส่วนหนึ่งของทีมนี้เลย แต่สภาพแวดล้อมบีบให้เขาต้องเข้าร่วมกลุ่ม” เรนเนอร์บอก

เรนเนอร์เข้ามาทำงานกับโปรเจ็กต์นี้ในแบบที่เกือบจะเป็นเรื่องบังเอิญ หลังจากที่เขาได้พบพูดคุยกับอับรามส์เพื่อพูดคุยถึงอีกโปรเจ็กต์หนึ่ง ในวันที่ครูซบังเอิญแวะไปเพื่อเข้าประชุมงานพอดี “จากการประชุมครั้งนั้น ผมไปที่พาราเม้าต์ และได้นั่งคุยกับ แบร็ด เบิร์ด, ไบรอัน เบิร์ก และทอม พวกเขาเล่าเรื่องให้ผมฟัง ซึ่งในเวลานั้นยังไม่มีบทภาพยนตร์ด้วยซ้ำ พวกเขาอธิบายเรื่องตัวละครตัวนี้ให้ผมฟัง และดูเหมือนมันน่าสนใจอย่างมาก จนผมปฏิเสธไม่ลงเลย”

เบิร์ดพอใจอย่างที่สุดกับทีมนักแสดงชุดนี้ “คนเหล่านี้ทุกคนล้วนแต่มีบุคลิกบนจอที่ยอดเยี่ยมที่สุด และเมื่อพวกเขามาอยู่ด้วยกัน พวกเขาดูเหมือนจังหวะ โทนเสียง และทำนองที่ต่างกันสี่แบบ ซึ่งกลับประสานกลมกลืนเข้าด้วยกันอย่างดีเมื่ออยู่บนจอ” ครูซเห็นด้วย “ผมเป็นแฟนผลงานของพวกเขาอยู่แล้ว และคุณก็ได้เห็นตัวละครที่พวกเขาสร้างขึ้นมา สมาชิกแต่ละคนต่างเป็นชิ้นส่วนที่มีความโดดเด่นที่สร้างความเคลื่อนไหวที่แสนวิเศษให้กับทีมนี้”

ภาพยนตร์ภาคที่สี่นี้ยังเต็มไปด้วยนักแสดงและตัวละครหลากหลายชาติ ทั้งจากรัสเซีย, อินเดีย, สวีเดน และฝรั่งเศส

“เคิร์ต เฮนดริคส์ (ไมเคิล นีกวิสท์) เหมือนย้อนกลับไปสู่การเป็นตัวผู้ร้ายแบบยุคสงครามเย็น เขามีแผนการทำลายล้างสุดบรรเจิด และเขาก็พร้อมทำได้ทุกอย่าง” อังเดร นีเม็คบอก “เขาเป็นพวกหัวโบราณ” ไมเคิล นีกวิสท์ นักแสดงชาวสวีเดน เห็นด้วย ไอเดียที่ให้ผู้ร้ายโรคจิตมีแผนการทำลายล้างโลกนี้ เกิดมาจากการพูดคุยกันระหว่างเบิร์ด, ครูซ และอับรามส์ “เราไม่อยากทำให้แผนการร้ายของเขามีความซับซ้อนมากเกินไปหรือดูเป็นไอเดียที่เว่อร์จนจับต้องไม่ได้” แอ๊พเพลบาว์มอธิบาย “มันเป็นแผนการของผู้ร้ายตามแบบสูตรโบราณ สิ่งที่เป็นความแปลกใหม่ก็คือรูปแบบที่เราไล่ล่าเขา และรูปแบบที่เขาพยายามหลบหนีเรา สิ่งที่แปลกประหลาดจริงๆ ก็คือ เขาเชื่อว่าเขาทำสิ่งที่ถูกต้อง นั่นคือศัตรูที่ถือว่ามีอันตรายอย่างมาก เพราะพวกเขาเชื่อว่าพวกเขามีเหตุผลที่ถูกต้องในสิ่งที่พวกเขาทำอยู่ เท่าที่เขาคิด เขากำลังต่อสู้เพื่อสิ่งที่ดี” ไซม่อน เพ็กก์บอก

ซาไบน์ มอโรว์ ซึ่งรับบทโดยลีอา ซีโดซ เหมือนหลุดออกมาจากภาพยนตร์สายลับสุดคลาสสิกก็ไม่ปาน “เธอเป็นมือสังหาร เธอฆ่าเพื่อเงิน หรือในกรณีของ GHOST PROTOCOL ได้เพชรก็พอหยวนๆ” นักแสดงสาวชาวฝรั่งเศสพูดถึงตัวละครของเธอ “เธอโหด แต่เมื่อใส่ความอ่อนโยนลงไปสักนิด กลับยิ่งทำให้ดูชั่วร้ายมากขึ้น” จอช ฮัลโลเวย์ ผู้รับบท เทรเวอร์ ฮานาเวย์ เจ้าหน้าที่ IMF ที่ต้องเผชิญหน้ากับมอโรว์ บอก

ที่ร่วมแสดงอยู่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย ก็คือนักแสดงชาวอินเดีย อานีล คาพัวร์ ซึ่งเป็นที่รู้จักจากบทบาทการแสดงในภาพยนตร์รางวัลออสการ์เรื่อง “Slumdog Millionaire” ในบทชาวอินเดียที่เป็นใหญ่เป็นโตในวงการสื่อสาร และนักแสดงชายชาวรัสเซีย วลาดิเมียร์ แมชคอฟในบทสายลับรัสเซีย อานาโทลี่ ซีดิรอฟ ทีมตัวละครนานาชาติกลุ่มนี้ต่างช่วยกันสร้างความสนุกสนานให้กับคนดูทั่วโลกที่ให้การสนับสนุนภาพยนตร์ชุด MISSION: IMPOSSIBLE มายาวนาน



MISSION: IMPOSSIBLE – ภารกิจที่โดนตัดหางปล่อยวัด
เจ้าหน้าที่หน่วย IMPOSSIBLE MISSIONS FORCE (IMF) เจน คาร์เตอร์ (พอลล่า แพ็ตตัน) และเทรเวอร์ ฮานาเวย์ (จอช ฮัลโลเวย์) และช่างเทคนิคสมองใสระดับอัจฉริยะ เบนจี้ ดันน์ (ไซม่อน เพ็กก์) ได้รับมอบหมายให้ค้นหาคนกลางที่เป็นผู้ถือรหัสปล่อยจรวดนิวเคลียร์ แต่โชคร้ายที่ภารกิจของพวกเขาเกิดผิดพลาด จนรหัสตกไปอยู่ในมือของมือสังหาร ซาไบน์ มอโรว์ (ลีอา ซีโดซ)

ขณะเดียวกันนั้น หัวหน้าทีมอย่างอีธาน ฮันท์ (ทอม ครูซ) ถูกดึงตัวออกมาจากคุกในมอสโคว์ และพวกเขาได้รับมอบหมายให้แอบเดินทางไปยังกรุงเครมลินเพื่อกู้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ได้รับรหัส เป็นชายที่มีชื่อรหัสว่า โคบอลท์ หลังจากนั้นไม่นาน โคบอลท์ได้เปิดโปงพวกเขา และก่อนที่อีธานและเบนจี้จะหนีออกมาได้ทัน เกิดระเบิดขึ้นที่จัตุรัสแดง อีธานพบว่าทั้งตัวเขาและทีม IMF ทั้งหมดถูกกล่าวโทษ จนถึงจุดที่ประธานาธิบดีต้องสั่ง “ปฏิบัติการไร้เงา”

เมื่อต้องมีสมาชิกร่วมทีมคนใหม่ วิลเลี่ยม แบรนท์ (เจเรมี่ เรนเนอร์) ฮันท์พบว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาต้องทำงานกับทีมที่เขาไม่ได้เลือก เห็นจากภายนอก แบรนท์เป็นนักวิเคราะห์ที่นั่งทำงานอยู่กับโต๊ะ แต่เขากลับมีอดีตที่ซับซ้อนมาก อีธานกับทีมใหม่นี้ต้องทำงานเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยไม่ได้รับการช่วยเหลือหรือสนับสนุนจาก IMF เลย ถ้าพวกเขาต้องการล้างมลทินให้กับชื่อเสียงของตนเอง พวกเขาต้องทำภารกิจให้สำเร็จและปกป้องการทำลายล้างด้วยนิวเคลียร์

ในการพัฒนาพลอตเรื่อง แอ๊พเพลบาว์มเล่าว่า “เจเจโทรหาพวกเราและถามว่าเราพอจะคิดสร้างเรื่องที่จะแสดงให้เห็นด้านที่แตกต่างของอีธานจากภาพยนตร์ภาคก่อนๆ ได้ไหม อีธาน ฮันท์คือหัวใจของภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่องนี้ แต่พวกเขากำลังมองหาทางที่จะเล่าเรื่องที่พูดถึงตัวเขาที่พยายามจะนำทีม และทำให้ทุกคนปลอดภัย ทั้งๆ ที่ต้องเจออุปสรรคมากมาย” และนั่นก่อให้เกิดคอนเซ็ปต์เรื่องของปฏิบัติการไร้เงา ซึ่งหน่วย IMF โดนตัดหางปล่อยวัด “เราคิดกันว่าถ้าไม่มีแหล่งช่วยเหลือ มันคงเป็นวิธีที่ดีทีเดียวที่จะทำให้อีธานเกิดความผูกพันกับทีมของเขาในทันที และช่วยให้เราตกหลุมรักตัวละครเหล่านี้ด้วย เราต้องการท้าทายอีธานทั้งในฐานะผู้เล่นและโค้ช เป็นชายที่ไม่เพียงแต่เล่นตามเกมส์ แต่ยังอยู่ในเกมส์กับทีมที่ไม่ได้สมบูรณ์พร้อมทั้งหมด ดังนั้น เขาจึงพยายามที่จะดึงทุกคนให้เข้ามาอยู่ด้วยกัน ขณะที่ต้องทำงานแข่งกับเวลาด้วย”

คุณลักษณะเด่นอีกประการหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็คือ พวกเขาต้องปราศจากความช่วยเหลือปกติ ไม่มีทั้งแหล่งสนับสนุน ไม่มีกองหนุน “ในโลกของเทคโนโลยีและข้อมูลข่าวสารที่เราทุกคนอาศัยอยู่ เราอยากจะถอดเขี้ยวเล็บความสามารถของเหล่าเจ้าหน้าที่ เราอยากให้เครื่องไม้เครื่องมือที่พวกเขาใช้ อาจจะไม่ได้ทำงานอย่างเหมาะสมไปเสียทุกครั้ง เพื่อจะทำให้งานของพวกเขาทำงานได้ยากขึ้น” นีเม็คบอก ถุงมือตุ๊กแกของอีธาน ซึ่งเขาใช้เพื่อป่ายปีนภายนอกอาคารสูง และเครื่องมือที่ใช้ในการทำหน้ากาก ทำงานผิดพลาดไปในเวลาที่พวกเขาต้องการใช้มันที่สุด แอ๊พเพลบาว์มกล่าวเสริมว่า “มันคือไอเดียที่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตใช่ว่าจะเป็นไปตามแผนทุกอย่าง และเราก็ต้องการให้มันเป็นเช่นนั้นกับเจ้าหน้าที่ของเรา พวกเขาไม่สามารถพึ่งพิงหน่วยงานได้แล้ว พวกเขาไม่สามารถพึ่งพิงเครื่องมือและอุปกรณ์และกลเม็ดที่พวกเขาเคยใช้ได้ พวกเขาต้องพึ่งพาตัวเองเท่านั้น ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับกระสุนที่มีให้ใช้อย่างไม่จำกัด คนเหล่านี้เป็นคนฉลาดในเรื่องของการใช้สัญชาตญาณและการฝึกฝน ด้วยวิธีการสุดแสนฉลาดและสร้างสรรค์”

ทีมผู้อำนวยการสร้างสนับสนุนให้เบิร์ดคิดหาไอเดียขึ้นมาเองในการทำให้ภาพยนตร์ที่ว่าด้วยเรื่องราวของสายลับออกมาดูเจ๋งที่สุด “ตอนที่ผมเข้ามาทำงานด้วยครั้งแรก พวกเขาบอกว่า ‘เรามีโครงเรื่องแบบนี้นะ แต่นอกเหนือจากนั้นแล้ว พวกคุณมีอะไรเจ๋งๆ ที่อยากจะเห็นในภาพยนตร์สายลับบ้างไหม’ มันเหมือนการนั่งดูภาพยนตร์เรื่องนี้จากมุมมองของคนดู ในแง่ที่ว่าอะไรที่คุณอยากดูถ้าคุณนั่งอยู่ในกลุ่มคนดู และนั่งดูภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่” สิ่งเหล่านั้นได้กลายมาเป็นเลนแบบอายแคมของแบรนท์ (เป็นคอนแท็คเลนส์ที่ทำหน้าที่เสมือนจอวิดีโอ) การเผชิญหน้ากับมอโรว์ การไล่ล่ากลางพายุทะเลทราย และหลังจากที่อีธานได้รับมอบหมายงานจากตู้โทรศัพท์ ซึ่ง “จะทำลายตัวเองภายในห้าวินาที” แต่มันดันไม่ระเบิด ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะโดนมิสเตอร์ฮันท์เตะเข้าสักเปรี้ยง เป็นไอเดียมาจากเบิร์ดทั้งสิ้น “เขานำเอาความรู้สึกจี๊ดๆ ที่บ่งบอกว่าแผนงานภารกิจนี้คงได้ผลไม่เต็ม 100% ใส่เข้ามา” นีเม็คบอก “แบร็ดสามารถที่จะมองดูสิ่งต่างๆ ด้วยเลน ‘แสนสนุก’ ซึ่งพวกเราชอบมาก”

ที่ทำให้เหตุการณ์ซับซ้อนยุ่งยากมากขึ้น ก็คือ การที่ทีมสมาชิกรู้จักชื่อเสียงอันโด่งดังของอีธานในหน่วยงานนี้ดี “ส่วนหนึ่งที่เราเริ่มต้นเรื่องด้วยการให้เขาอยู่ในคุก ก็คือ เราต้องการเล่นกับตัวละครที่ไม่ใช่ว่ามีแต่เหรียญกล้าหาญห้อยอยู่ที่หน้าอก ลูกทีมของเขาคงจะไม่คิดว่า ‘แน่นอน ฉันจะยอมติดสอยห้อยตามผู้ชายคนนี้เข้าสู่สมรภูมิรบ!’ แต่กลับเป็นว่า ‘ผู้ชายคนนั้นได้ทำสิ่งที่สมควรส่งเขาไปอยู่ในคุกแล้ว’ ดังนั้น พวกเขาจึงสงสัยตลอดเวลาว่าชายคนนี้สั่งการได้ถูกต้องหรือไม่”

ทีมผู้อำนวยการสร้างยังต้องการสร้างภาพยนตร์ที่แม้จะเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์แฟรนไชส์ แต่ถึงกระนั้นมันก็สามารถหยัดยืนเพียงลำพัง มีเรื่องที่เฉลียวฉลาด เพื่อให้คนดูไม่จำเป็นต้องคุ้นเคยกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับภาพยนตร์ MISSION: IMPOSSIBLE ภาคก่อนๆ เพื่อจะสามารถสนุกหรือติดตามเรื่องราวใน GHOST PROTOCOL ได้ “เราพยายามสร้างมันออกมาให้ดีที่สุด ดังนั้นถึงแม้คุณจะไม่เคยดูภาพยนตร์ภาคก่อนๆ ก็ไม่สำคัญ” เบิร์กอธิบาย “คุณสามารถดูภาพยนตร์เรื่องนี้และติดตามเรื่องราวได้อย่างง่ายดาย และเข้าใจถึงความเป็นมาของอีธาน และจุดที่เขายืนอยู่ในปัจจุบัน เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้มีเนื้อหาสมบูรณ์ในตัวเอง และถ้าคุณเคยดูภาพยนตร์ภาคก่อนๆ มาแล้ว คุณก็จะยิ่งได้อะไรจากภาพยนตร์เรื่องนี้มากขึ้น”



การสร้างทีม
“ผมเคยชอบซีรีส์เรื่องนี้มากตอนที่ผมยังเด็ก” ครูซบอก “ผมรู้สึกว่าถ้าเป็นภาพยนตร์ มันสามารถพาเราไปยังโลเกชั่นที่แตกต่างกันไปได้ มีฉากแอ็กชั่นที่ทำให้ลุ้นจนใจเต้นแรง ฉลาด และมีเทคโนโลยีที่สุดสร้างสรรค์ มันคือภาพยนตร์เรื่องแรกที่ผมอำนวยการสร้าง และในฐานะผู้สร้างภาพยนตร์และนักแสดง ผมจะคอยคิดถึงคนดูเสมอ ผมอยากสร้างความบันเทิงให้กับพวกเขา และทำให้พวกเขาได้พบกับการผจญภัยใหม่ในทุกๆ ครั้ง”

ภาพยนตร์ภาคที่แล้ว MISSION: IMPOSSIBLE III กำกับโดย เจเจ อับรามส์ ซึ่งกลับมาทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างให้กับ MISSION: IMPOSSIBLE – GHOST PROTOCOL “ผมอยากทำงานกับคนที่ผมชื่นชม อย่างเช่นเจเจ ซึ่งเป็นคนที่ฉลาดและมีความสามารถจริงๆ ผมชอบผลงานทางทีวีที่เขาได้สร้างเอาไว้มาก โดยเฉพาะกับเรื่อง ‘Alias’ ผมอยากให้เขาสร้างภาพยนตร์เรื่องแรกของเขากับผม เรามีเวลาที่น่าทึ่งมากกับ M:I 3 และผมก็ชอบเจเจ ดังนั้นการได้มาทำงานกับเขาอีกครั้งในภาพยนตร์เรื่องนี้ จึงหมายความว่าเราได้สนุกด้วยกันและได้สร้างภาพยนตร์ที่น่าทึ่งขึ้นมาอีกเรื่อง”

เพื่อเขียนเรื่องให้กับภาพยนตร์เรื่องใหม่นี้ อับรามส์ได้นำคนสองคนที่เคยร่วมงานกับเขาในซีรีส์ยอดนิยมอย่าง “Alias” อันได้แก่ จอช แอ๊พเพลบาว์ม และอังเดร่ นีเม็ค ซึ่งเคยทำงานกับซีรีส์เรื่องนั้นมานานสามปี ให้เข้ามาทำงานด้วยกัน “ตอนที่ทอมทาบทามเราให้มาสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ ชื่อของพวกเขาก็ผุดขึ้นมาในหัวทันที” ไบรอัน เบิร์ก หุ้นส่วนอำนวยการสร้างของอับรามส์ กล่าว “เรารู้ดีถึงความสามารถของพวกเขาในการทำงานกับภาพยนตร์แนวนี้ เพื่อสร้างเรื่องราวที่น่าสนใจและมีความโดดเด่นในโลกของงานจารกรรม และเพื่อสร้างส่วนประกอบอันแสนยิ่งใหญ่ พวกเขารู้ดีว่าจะทำให้ตัวละครมีชีวิตขึ้นมาได้อย่างไร จะทำให้พวกเขาเต็มไปด้วยรายละเอียดได้อย่างไร”

“นี่คือภาพยนตร์แนวที่สร้างยากที่สุด” ครูซบอก “มันมักจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการคิดหาเรื่องที่มีความแปลกใหม่ เราจะทำอย่างไรเพื่อทำให้มันน่าสนใจและสร้างความตื่นเต้นให้ได้” ภาพยนตร์สามภาคแรกนั้นประสบความสำเร็จถล่มทลาย โดยทำรายได้จากทั่วโลกไปมากกว่า $2 พันล้าน และภาพยนตร์แต่ละภาคก็กำกับโดยผู้กำกับคนละคน ทำให้ภาพยนตร์ Mission แต่ละภาคมีภาพลักษณ์และอารมณ์ที่โดดเด่น

แบร็ด เบิร์ด ผู้กำกับภาพยนตร์แอนนิเมชั่น อาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่โดดเด่นที่สุดสำหรับงานสร้างภาพยนตร์แอ็กชั่นฟอร์มยักษ์ แต่เขากลับลงเอยด้วยการเป็นตัวเลือกที่ง่ายที่สุด แม้จะเคยมีผลงานภาพยนตร์แค่สามเรื่อง โดยทั้งสามเรื่องเป็นการ์ตูนทั้งสิ้น แต่เขาก็เคยได้รับรางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์การ์ตูนยอดเยี่ยมจากผลงานสองเรื่อง ได้แก่ “The Incredible” และ “Ratatouille” ดังนั้นจึงถือว่าเขามีประวัติผลงานที่สุดยอดจริงๆ

ความจริงที่ว่าผู้กำกับผู้นี้มาจากแวดวงงานแอนนิเมชั่น ไม่ได้ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกของทีมผู้อำนวยการสร้างเลย แต่ทักษะฝีมือของเขาในฐานะผู้สร้างภาพยนตร์ต่างหากที่สำคัญ “เราเป็นแฟนผลงานของเบิร์ดมานานแล้ว เหลือก็แค่เวลาที่เหมาะเจาะเท่านั้นก่อนที่เขาจะกระโดดมาสร้างภาพยนตร์ที่ใช้คนแสดง ต้องขอบคุณมากที่เขาเลือกมาทำงานกับเรา” ไบรอัน เบิร์กบอก

ครูซเกิดความชื่นชมผลงานของแบร็ดมาตั้งแต่ได้ดูผลงานการ์ตูนของเขาเช่นกัน เบิร์ดเล่าว่า “ทอมเคยได้ดูเรื่อง ‘Incredibles’ และชอบมันมาก และเขาอยากพบผม ผมก็เลยไปที่บ้านของเขา และเราก็ได้พูดคุยกันเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องต่างๆ เราเข้ากันได้ดีแทบจะในทันที และเราก็สบายใจกับทัศนคติที่พวกเรามีต่อสื่อภาพยนตร์”

ครูซกล่าวเสริมว่า “ผมโทรหาเขาและพูดว่า ‘ฟังนะ คุณอยากแวะมาหาผมไหม ผมอยากพบคุณนะ’ และมันก็เหมือนเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ได้มาคุยกันเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องโปรดของพวกเรา เมื่อเราพูดคุยกันอยู่ เราพูดขึ้นว่า ‘ถ้าคุณอยากกำกับภาพยนตร์ที่ใช้คนแสดงละก็ ขอให้กำกับผมนะ’ แม้เมื่อตอนที่กำกับภาพยนตร์การ์ตูน เขายังถ่ายทำเหมือนกับกำลังกำกับภาพยนตร์ที่ใช้คนแสดง ฉากที่เขาสร้างขึ้นมาดูน่าทึ่ง เช่นเดียวกับตัวละครที่เขาสร้างขึ้น เขามีความฉลาดเฉลียวและมีเซนต์ในเรื่องขององค์ประกอบ เขารู้ดีว่าจะรักษาความตึงเครียดและความตื่นเต้นเอาไว้ในเรื่องที่เขาเล่าได้ยังไง”

เบิร์ดเล่าว่า “ผมรู้จักเจเจมาหลายปีแล้ว และเราก็พยายามจะหางานที่เราจะทำงานด้วยกันได้ แต่ดูเหมือนจังหวะเวลาไม่เคยลงตัวเลย ผมเดินเข้าไปหาเจเจและบอกเขาว่า ‘ผมได้รับโปรเจ็กต์นี้มา มีอะไรจ๊าบๆ บ้างไหม’ แล้วเขาก็พูดขึ้นว่า ‘Mission: Impossible เหรอ?’ เขาบอกเล่าไอเดียให้ผมฟัง แล้วผมก็ปิ๊งส์ทันที จู่ๆ มันก็ทะยานขึ้นจากจุดนั้น” เบิร์ดยังพูดถึงวิธีที่ทอมตัดสินใจที่จะให้อำนาจผู้กำกับแต่ละคนสร้างภาพยนตร์ออกมาอย่างเป็นตัวของตัวเองเต็มที่ว่า “พวกเขาไม่ได้พยายามจะบีบให้ผู้กำกับเดินตามแนวทางสไตล์ของภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่องนี้ ซึ่งอาจหมายความว่าคุณจะต้องเสียบปลั๊กทำงานและกลายร่างเป็นหุ่นยนต์” เขาอธิบาย “ภาพยนตร์ทุกภาคมีองค์ประกอบคล้ายๆ กัน โดยมี อีธาน ฮันท์ ต้องเผชิญกับปัญหาที่ยังไม่ถูกไข แต่ภาพยนตร์แต่ละภาคก็จะมีรสชาติและสไตล์ที่โดดเด่นเป็นของตนเอง” มันคือโอกาสที่เบิร์ดไม่สามารถบอกผ่านได้ “มันคือโอกาสที่จะได้ทำงานกับเจเจและทอม ทุกอย่างมาพร้อมกันวูบเดียวเลย”



การเดินทางไปทั่วโลก
MISSION: IMPOSSIBLE – GHOST PROTOCOL คือภาพยนตร์สุดตื่นเต้นที่อัดแน่นไปด้วยฉากแอ็กชั่น แน่นไปด้วยงานสตั๊นต์ที่ทำให้อ้าปากค้าง ตัวละครที่เต็มไปด้วยรายละเอียด เครื่องมือเจ๋งๆ จ๊าบๆ และโลเกชั่นที่เห็นแล้วตื่นตา ภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทำกันเป็นระยะเวลาห้าเดือนตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 2010 ถึงมีนาคม 2011 โดยทีมงานปักหลักถ่ายทำกันตั้งแต่ลอสแองเจลิส จนถึงมอสโคว์, กรุงปร้าก, ดูไบ, มุมไบ และแวนคูเวอร์

“นี่คือภาพยนตร์ที่ต้องเดินทางไปทั่วโลก” แบร็ด เบิร์ดกำลังพูดถึงซีรีส์ MISSION: IMPOSSIBLE “นั่นคือส่วนหนึ่งของเสน่ห์ของมัน” ผู้อำนวยการสร้างบริหาร เจฟฟรีย์ เชอร์นอฟ กล่าวเสริมว่า “การหาโลเกชั่นให้กับ GHOST PROTOCOL ก็คือการค้นหาสถานที่ที่ดูน่าตื่นตา เร้าใจที่สุด นั่นคือสิ่งสำคัญสำหรับทอม สิ่งที่เราทำก็คือ การให้ความบันเทิงในสถานที่ที่งดงามตื่นตาที่สุด”

การถ่ายทำเริ่มต้นขึ้นในกรุงปร้ากในเดือนตุลาคม ปี 2010 “ผมว่ากรุงปร้ากเป็นหนึ่งในเมืองที่งดงามที่สุดในโลก” เบิร์ดบอก คุกที่พวกเขาถ่ายทำก็คือเรือนจำ Mladá Boleslav Prison ซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงปร้าก และได้ปิดตัวไปนานแล้ว “มันทำให้ขนลุกซู่เมื่อต้องเดินตระเวนดูโลเกชั่นในทีแรก โดยคิดอยู่ว่ามันคือคุกจริงๆ ที่ผู้คนแม้จะเป็นพวกอาชญากร แต่พวกเขาก็เคยโดนขังอยู่ที่นี่” อังเดร นีเม็คเล่า เรือนจำแห่งนี้ได้รับการตกแต่งโดยโปรดักชั่น ดีไซเนอร์ จิม บิสเซลล์เพื่อการถ่ายทำนานสามวัน “มันเป็นอาคารเก่ามาก แต่เราต้องเดินเข้าไปและทำให้มันดูเหมือนเป็นเรือนจำไฮเทค ซึ่งเป็นงานที่จิมผสมผสานเข้ากันได้อย่างดีมากทีเดียว” เบิร์ดให้ความเห็นไว้

ฉากระเบิดอันสุดอลังการซึ่งเกิดขึ้นที่จัตุรัสแดงในมอสโคว์ และเป็นส่วนหนึ่งของกรุงเครมลิน ถูกสร้างขึ้นมาโดยใช้ภาพถ่ายแบ็คกราวน์ของจัตุรัสแดงจริงๆ ซึ่งถ่ายโดย จอห์น โนลล์ (“Star Wars,” “Avatar”) วิชวลเอฟเฟ็กต์ ซูเปอร์ไวเซอร์ที่เคยคว้ารางวัลออสการ์มาแล้ว “เราวางแพลนเลยว่าทุกคนจะต้องอยู่ตรงไหนและเมื่อไหร่ จากนั้นเราก็ถ่ายภาพพาโนราม่าความละเอียดสูง และใช้ชอตภาพจากจัตุรัสแห่งนั้น” โนลล์อธิบาย ชอตภาพเหล่านั้นได้ถูกนำมาผสมผสานเข้ากับภาพฟุตเตทที่เป็นภาพครูซและนักแสดงคนอื่นๆ ลอยกระเด็นไป โดยพวกเขาถ่ายทำกันในแวนคูเวอร์ ที่แคนาเดี้ยน โมชั่น พิคเจอร์ พาร์ค ที่ซึ่งการถ่ายทำเกิดขึ้นในโรงถ่ายถึง 6 แห่ง และที่นี่ยังเป็นฐานการถ่ายทำของภาพยนตร์เรื่องนี้ในอเมริกาเหนือด้วย
หนึ่งในโลเกชั่นที่งดงามที่สุดที่ถูกใช้ในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือนครดูไบ ซึ่งตั้งอยู่ในสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรทส์ โดยทีมงานไม่เพียงแต่เลือกถ่ายทำที่นี่เพราะความงดงามเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะมันเป็นฉากหลังให้กับหนึ่งในฉากที่จะอยู่ในความทรงจำและน่าจดจำที่สุดของภาพยนตร์ MISSION: IMPOSSIBLE – GHOST PROTOCOL นี้ด้วย

“เมื่อคุณมาถึงดูไบ มันน่าตื่นตาอย่างมาก มันคือนครแห่งศตวรรษที่ 21 ที่สุดมหัศจรรย์ที่ผุดขึ้นกลางทะเลทราย” ผู้อำนวยการสร้าง ไบรอัน เบิร์ก กล่าว “นครแห่งนี้ไม่เคยถูกใช้ถ่ายทำในฐานะที่เป็นเมืองดูไบมาก่อน” แบร็ด เบิร์ดเล่า ทางทีมผู้สร้างไม่เพียงแต่ใช้ประโยชน์จากภาพอันตระการตาในแนวระนาบของเมืองแห่งนี้เท่านั้น “มันเหมาะกับการถ่ายทำภาพยนตร์อย่างมาก” เบิร์ดบอก “สถาปัตยกรรมต่างๆ เต็มไปด้วยจินตนาการ และดูเหมือนโลกอนาคต ความจริงที่ว่ามันรายล้อมด้วยทะเลทราย ทำให้ได้ภาพที่เหมือนความฝัน เพราะมันมีแต่เนินทรายกับความราบเรียบ ที่นี่ก็คือนครที่เหมือนโผล่ขึ้นมาเหมือนอ๊อซ ก็พอจะเป็นที่เข้าใจได้หรอกว่าทำไมผู้สร้างภาพยนตร์คนอื่นๆ ถึงได้สนใจที่จะใช้ดูไบเป็นภาพแบ็คกราวน์”

ในปี 2009 ขณะที่เบิร์กและอับรามส์กำลังเดินทางไปทั่วโลกเพื่อโปรโมทภาพยนตร์เรื่อง “Star Trek” พวกเขาได้หยุดแวะพักคืนหนึ่งที่ดูไบ ระหว่างที่พวกเขาเดินทางเพื่อจะนำภาพยนตร์เรื่องนั้นไปฉายให้เหล่าทหารดูในคูเวต “เราได้เดินทางเที่ยวดูเมืองแห่งนี้ และเจเจก็หันมาหาผมและพูดว่า ‘เราต้องกลับมาที่นี่อีก และถ่ายหนังกันสักเรื่องที่นี่’” หนึ่งปีต่อมา เมื่อการสนทนาเกี่ยวกับภาพยนตร์ MISSION: IMPOSSIBLE ตอนใหม่มีขึ้น เบิร์กเล่าว่า “

พวกเราเริ่มถามตัวเองว่า ‘ที่ไหนถึงจะเหมาะกับเรื่องนี้นะ’ แล้วเจเจก็พูดขึ้นว่า ‘ไปถ่ายกันที่ดูไบมั้ย เราวางฉากหนึ่งให้เกิดขึ้นที่ หอคอยคาลิฟา ได้นะ’”



หอคอยคาลิฟา
ดูไบที่ตั้งอยู่ในสาธารณรัฐอาหรับ เอมิเรทส์ มีภาพวิวทิวทัศน์ที่น่าตื่นตามาก “มันเหมาะกับภาพยนตร์มาตั้งแต่แรกแล้ว” เบิร์ดบอก “สถาปัตยกรรมต่างๆ เต็มไปด้วยจินตนาการ และดูเหมือนโลกอนาคต ความจริงที่ว่ามันรายล้อมด้วยทะเลทราย ทำให้ได้ภาพที่เหมือนความฝัน เพราะมันมีแต่เนินทรายกับความราบเรียบ ที่นี่ก็คือนครที่เหมือนโผล่ขึ้นมาเหมือนอ๊อซ” นครแห่งนี้ไม่เคยถูกใช้ถ่ายทำในฐานะที่เป็นเมืองดูไบมาก่อน ทางผู้สร้างภาพยนตร์ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์จากภาพอันตระการตาของดูไบจนกระทั่ง GHOST PROTOCOL

ทีมผู้อำนวยการสร้างแนะนำให้จอช แอ๊พเพลบาว์ม และอังเดร นีเม็ค ทีมผู้เขียนบทใช้หอคอยคาลิฟาเป็นฉาก “มันคือหนึ่งในสิ่งแรกๆ ที่คุณมอง” เบิร์ดกล่าว “มันเป็นอาคารที่งดงามจริงๆ ดูคล้ายเข็มพุ่งสัมผัสอากาศ” หอคอยแห่งนี้ไม่อาจรอดสายตาของ ทอม ครูซ ที่เคยเห็นอาคารแห่งนี้ขณะกำลังก่อสร้าง “ผมมักจะมองดูอาคารที่มีลักษณะแตกต่างกัน และคิดว่า ‘ฉันจะปีนมันได้ยังไงกัน หรือจะโดดออกจากตึกนั่นยังไงดี’” เขาบอก

นีเม็คเล่า “เรากำลังพูดถึงฉากที่อาคารแห่งนี้ และเราก็คิดกันว่า ‘อะไรคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด เฮี้ยวที่สุดเท่าที่เราจินตนาการได้’ คำตอบก็คือ ‘ให้เขาออกไปปีนอยู่นอกตึกนี่ซิ เพื่อทำให้ภารกิจดำเนินต่อไปได้’ ทอมชอบไอเดียนี้มาก” ในภาพยนตร์เรื่องนี้ อีธานต้องปีนภายนอกหอคอยคาลิฟา ตึกที่สูงที่สุดในโลก ที่ความสูง 2,716.5 ฟุต (828 เมตร) เพื่อไปให้ถึงพื้นที่ควบคุมความปลอดภัยที่อยู่สูงขึ้นไป โดยจะต้องไม่ให้มีใครจับได้

อาคารแห่งนี้ที่ประกอบไปด้วยสามส่วน ได้แก่ ส่วนของโรงแรม ห้องสูทที่เปิดเป็นสำนักงาน และคอนโดมิเนี่ยมที่พักอาศัย ได้รับการลาดตระเวนโดยเกร็กก์ สมีร์ซ ผู้ประสานงานสตั๊นต์ และทีมงานของเขา หลายรอบด้วยกัน โดยพวกเขาได้ออกไปทดสอบภายนอกของอาคารแห่งนี้ด้วยตนเองเพื่อหาวิธี ที่จะทำให้ครูซออกไปอยู่นอกอาคารแห่งนี้อย่างปลอดภัยในฉากสตั๊นต์ตามที่ปรากฏในบทภาพยนตร์ ทีมงานเริ่มวางแผนวิธีการที่จะสร้างฉากนี้ ด้วยการสร้างฉากที่เป็นตัวแทนส่วนหนึ่งของตัวอาคาร และให้ครูซปีนฉากนั้น ภายใต้สภาพแวดล้อมที่มีการควบคุม “เราต้องสร้างฉากนี้ขึ้นมา โดยเป็นฉากที่อีธานจะต้องปีนตึก จากนั้นเราก็ใช้ระบบดิจิตอลเพื่อขยายภาพชอตนั้นออกไปเพื่อแสดงส่วนที่เหลือของตัวอาคาร” ทอม ซี พีทซ์แมน วิชวล เอฟเฟ็กต์ โปรดิวเซอร์อธิบาย “เรานั่งล้อมวงในการประชุม แล้วก็ดูภาพจากเทคนิคพรีวิซและภาพสตอรี่บอร์ด และเรายังใช้เวลามากมายในการออกแบบชอตต่างๆ จากนั้นเราก็นั่งลงพูดคุยกับทอม แน่นอน เขาอยากปีนตึกจริงๆ นั่นคือตัวเปลี่ยนแปลงทุกอย่างไปจนหมด”

การซักซ้อมและการฝึกกินเวลานานหลายเดือน โดยมีครูซคอยฝึกท่วงท่าการเคลื่อนไหว จนถึงเวลาที่เขาจะต้องไปปีนตึกจริงๆ นั่งร้านถูกต่อขึ้นรอบๆฉากที่ใช้ซ้อม มีการติดตั้งไฟเพื่อสร้างความร้อนให้เหมือนอุณหภูมิที่ครูซจะต้องเจอเมื่อเขาปีนหอคอยคาลิฟาจริงๆ ในดูไบ “เราต้องสร้างมาตรฐานของอุณหภูมิของตึกแห่งนั้น” สมีร์ซบอก “ทอมยืนกรานเช่นนั้น เราจึงเพิ่มความร้อนให้กับกระจกจนกระทั่งมันสูงถึง 100 องศา”

ทีมงานได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปถึงชั้นที่ 123 ซึ่งยังคงสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์ เพื่อติดตั้งสลิงกล้อง เครน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่จำเป็นในการใช้ถ่ายทำฉากการเคลื่อนไหวของครูซนอกตัวตึก เพื่อให้สามารถออกไปด้านนอกตึกได้ มีการถอดหน้าต่างออก 15 -20 บาน เพื่อให้แขนกล้องและอุปกรณ์อื่นๆ ถูกยื่นออกไปถ่ายทำด้านนอกได้ ในช่วงกลางวัน ด้านนอกของกระจกของตัวอาคารจะร้อนมาก จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำงานกันกลางแสงแดดเปรี้ยงๆ “คุณไม่สามารถแตะต้องกระจกพวกนั้นได้เลย” สมีร์ซเล่า ทีมงานได้พบพื้นที่แห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่เหนือดาดฟ้าชมวิวแห่งหนึ่งในหลายๆ แห่งของตัวอาคาร ซึ่งไม่ถูกแสงส่องโดยตรง ทำให้สมีร์ซสามารถติดตั้งลวดสลิง และทำให้ผู้กำกับภาพ โรเบิร์ต เอลสวิท สามารถจัดแสงในการถ่ายทำได้ “เมื่อเรามาถึงกองถ่าย เราต้องซ้อมกันเยอะมาก จนรู้สึกเหมือนเราเคยทำงานนี้มาแล้วร้อยหน” สมีร์ซอธิบาย “เราแค่เดินเข้าไป แล้วก็ปีนตึก เหมือนมันเป็นภารกิจของกองทัพเลย”

ตัวครูซเองต้องใส่เครื่องควบคุมที่สร้างความเจ็บปวดให้เขาไม่น้อย โดยมันได้ถูกเชื่อมต่อไว้กับระบบเคเบิ้ล เคเบิลขนาดเท่าสายเปียโน จะถูกโยงพาดผ่านผิวหน้าของตึก ซึ่งเชื่อมต่อกับอุปกรณ์สลิงรักษาความปลอดภัยบนตัวครูซผ่านรอกขนาดเล็ก เพื่อควบคุมความรุนแรงที่เขาจะกระแทกตัวใส่ผนังตึก สายเคเบิ้ลนี้จะถูกเชื่อมติดไว้กับโครงสร้างอาคารในหลายจุดด้วยกันตลอดความยาวของลวดสลิง ในจุดที่หน้าต่างบานเล็กๆ ถูกถอดออกไป “นั่นคือสิ่งที่กดเขาเอาไว้กับตัวตึก” สมีร์ซอธิบาย “ตัวดึงจะขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวของทอม เราพยายามที่จะควบคุมเขา แต่สิ่งที่ดีที่สุดกลับกลายเป็นการผสมผสานระหว่างพลังของเขากับตัวเราที่คอยช่วยเขาอยู่” เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างจะผ่านพ้นไปอย่างราบรื่น สมีร์ซได้นำ เดฟ ชูลท์ซ นักปีนเขาผู้มีประสบการณ์ ซึ่งมีชื่อเสียงจากภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้องกับการปีนที่สูงหลายต่อหลายเรื่อง อย่างเช่น “Cliffhanger” และ “Vertical Limit” ให้เข้ามาทำงานด้วย “เดฟได้ทำงานกับทอมเพื่อให้แน่ใจว่าการปีนตึกนั้นจะต้องออกมาดูเหมาะสมที่สุด” แบร็ด เบิร์ดอธิบาย

สำหรับชอต “ตกตึก” ของครูซ หลังจากที่เขาทำอุปกรณ์หลุดไป และมือหลุดจากการเกาะ ทำให้เขาตกลงไปไกลถึง 30 ฟุตก่อนจะคว้าเกาะไว้ได้อีก แม้แต่นักปีนเขาที่มีประสบการณ์ก็ยังถึงกับอึ้ง “เราทำให้เขาตกตึกไปหลายชั้น เขาเต็มใจที่จะแสดงฉากนั้นหลายครั้งเสียด้วย” เบิร์ดเล่า “ตอนที่เขาปล่อยตัวตกลงมาถึงสี่ชั้น” จิม บิสเซลล์ โปรดักชั่นดีไซเนอร์เล่า “มันน่าทึ่งมากที่ได้มาเห็นเขาแสดงฉากนั้น”

อีกชอตหนึ่งที่ครูซทำได้สำเร็จ เกี่ยวพันกับการเคลื่อนไหวที่เรียกกันว่า ออสเตรเลียน แร๊พเพล (หรือเรียกสั้นๆ ว่า ออสซี่ แร็พเพล) เมื่ออีธานที่ไม่สามารถกลับไปยังชั้นที่เพื่อนๆ ร่วมทีมของเขาอยู่ตามแผน ถูกบีบให้ต้องวิ่งตัดไปบนด้านนอกของตึกเพื่อส่งตัวเขาเองกลับเข้าไปทางหน้าต่างที่เปิดเอาไว้ “คุณต้องวิ่งลงไปตามผิวกระจกของตึก โดยวิ่งลงไปหาพื้น” สมีร์ซอธิบาย “มันไม่เหมือนใครและน่ากลัวมากด้วย”

งานที่แต่เริ่มเดิมทีวางแผนเอาไว้ให้เป็นการถ่ายทำที่ด้านนอกของตึกนานแค่สองวัน ติดตามมาด้วยการถ่ายทำอีกแปดวันที่ฉากที่สร้างขึ้นมาเลียนแบบ กลับกลายเป็นการถ่ายทำนานสี่วันด้านนอกของตึกแห่งนั้น เจฟฟรีย์ เชอร์นอฟเล่าว่า “เมื่อเราชักเริ่มชินกับตึกแห่งนั้น และเริ่มซ้อมกัน บ็อบ เอลวิทซ์, เกร็กก์ สมีร์ซ และทอมเดินเข้ามาหาผม และพูดว่า ‘เจฟฟรีย์ เรายังถ่ายทำได้อีกนะ เราอยากถ่ายทำที่นี่เพิ่มอีกหลายวันหน่อย’ เราลงเอยด้วยการถ่ายทำ 13 ชอตที่ควรจะไปถ่ายทำกันที่ฉาก และมาถ่ายทำกันที่หอคอยจริงๆ เราสามารถเล่าเรื่องที่น่าทึ่ง แถมยังได้ภาพโคลสอัพบนตัวตึกแห่งนี้ด้วย”

การถ่ายทำครั้งนี้สร้างความประทับใจให้กับพอลล่า แพ็ตตันอย่างมาก “เรากำลังถ่ายทำฉากที่แบรนท์จับขาอีธานได้ จากนั้นฉันก็จับแบรนท์ เราดึงเขากลับเข้ามาผ่านทางหน้าต่าง ฉันเห็นทอมห้อยโหนอยู่ตรงนั้น นอกหอคอยคาลิฟา แล้วเขาก็มองมาที่ฉันและพูดอย่างใจเย็นว่า ‘ไง พอลล่า’ แล้วฉันก็ตอบไปว่า ‘ไง’ ฉันมองลงไปและรู้สึกว่าฉันอยู่ห่างจากนอกหน้าต่างนั้นไม่กี่นิ้วเอง มันน่าทึ่งมากที่ได้มองออกไปนอกตึกนั่น ในหลายๆ ทาง คุณถูกความงามของนครแห่งนี้ทำให้สยบราบคาบ ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าฉันทำอะไรแบบนั้นอยู่”

ครูซยังได้พิสูจน์การไม่กลัวความสูงของเขาอีกครั้งในระหว่างการถ่ายทำ เมื่อครูซ, สมีร์ซ และตากล้องคนหนึ่งเดินทางไปยังชั้นบนสุดของหอคอยคาลิฟาเพื่อถ่ายทำภาพนิ่ง “คุณต้องขึ้นลิฟท์หลายตัว และต้องขึ้นบันไดไปอีกหลายชั้นก่อนจะไปถึงชั้นบนสุดได้” ไบรอัน เบิร์กอธิบาย “จากนั้นคุณก็ต้องเข้าไปในท่อ และปีนขึ้นบันไดลิงไป ทอมต้องใช้เวลาถึง 20 นาทีในการปีน ซึ่งหมายความว่าผมต้องใช้เวลาถึง 45 นาที”

ที่จุดสูงสุดนั้นก็คือช่องที่ดูคล้ายเรือดำน้ำ ทั้งนี้เพื่อป้องกันลมผ่านเข้ามาในตัวอาคาร เมื่อถึงจุดสูงสุดแล้ว ครูซไม่อาจอดใจได้ เขาต้องขอให้สมีร์ซใช้เชือกหย่อนตัวเขาลงไป 15 ฟุตจากขอบตึก เพื่อถ่ายภาพตัวตึกแห่งนั้น “คนเดียวที่จะได้เห็นภาพนั้นก็คือคนที่ทาสีตึกนั่นลงไปจนถึงด้านล่าง” สมีร์ซบอก



ฉากสตั๊นต์สุดเสียว
ในฉากที่อัดแน่นไปด้วยฉากแอ็กชั่นอีกฉาก อีธานลื่นตกจากหน้าต่างที่ชั้นสี่ ขณะที่สายลับรัสเซียรอเวลาให้เขายอมแพ้ คว้าเข็มขัดเขา กระโดดจากขอบตึก สไลด์ตัวลงไปยังสายไฟใกล้ๆ ไปยังหลังคาของรถแวนที่กำลังวิ่งอยู่ และกลิ้งลงไปบนถนนอย่างปลอดภัย “นั่นคือหนึ่งในงานสตั๊นต์ที่ท้าทายที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี้เลยนะ” เกร็กก์ สมีร์ซ ผู้ประสานงานสตั๊นต์บอก “เราซ้อมฉากนั้นกันที่โรงถ่ายซ้ำแล้วซ้ำอีก จนกระทั่งทุกอย่างลงตัว จากนั้นเราก็ถ่ายทำกันจริงๆ ซึ่งทอมสามารถเล่นได้ภายในไม่กี่เทกเท่านั้น”

กุญแจสำคัญในที่นี้ก็คือ “ทอม” งานสตั๊นต์ที่เป็นความสนุกสำหรับคนดูเมื่อพวกเขานั่งดูส่วนอื่นๆ ของภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้ครูซลงทุนแสดงด้วยตนเอง “ทอมอยากจะทำทุกอย่าง” สมีร์ซบอก “แม้กระทั่งในฉากที่เขาไม่ต้องแสดงเองก็ได้ มีหลายชอตที่ทางทีมผู้อำนวยการสร้างรู้สึกเป็นห่วงจริงๆ เขาอยากเล่นให้เสี่ยงมากขึ้นเรื่อยๆ ผมบอกเขาว่า ‘ทอม ไม่มีใครรู้หรอกว่าไม่ใช่คุณ ไม่มีเหตุผลที่คุณจะต้องแสดงฉากนี้เอง ตัวนักแสดงแทนเล่นแทนคุณได้ แล้วคุณก็ดูเขาแสดงได้ด้วย’ เขาแค่มองหน้าผมและพูดว่า ‘แต่ผมกำลังสนุกนี่”

เบิร์ดเล่าว่า “ผมเห็นด้วยกับทอมนะว่า เวลาให้นักแสดงจริงๆ ไปแสดง คุณจะได้งานที่พิเศษจริงๆ และคนดูก็รู้สึกได้ด้วย ไม่ใช่แค่คุณเห็นใบหน้าของนักแสดง แต่คนอย่างทอมสามารถเพิ่มความจริงจังตึงเครียดลงไปได้ เพราะเขาเป็นนักแสดง เมื่อเขาตกลงไป เขาแสดงให้คุณเห็นความกลัวของคนที่จู่ๆ ก็ตกฮวบลงไป มันคือการแสดง และผมว่าคนดูก็บอกถึงความแตกต่างได้” ครูซได้เข้าไปเกี่ยวพันกับทุกขั้นตอนของงานสตั๊นต์ “เขาชอบหนังแอ็กชั่น เขาจริงจังกับมัน และเขาก็ทำการบ้านมา” เบิร์ดบอก “เขาคือความฝันของผู้ประสานงานสตั๊นต์เลยนะ เพราะเขาทุ่มสุดตัว เขาอยากเข้าใจทุกแง่มุมว่าคุณจัดการงานสตั๊นต์ยังไง และมันถูกวางแผนมายังไง เมื่อถึงวันต้องถ่ายทำฉากสตั๊นต์นั้น เขาก็เตรียมตัวมาพร้อมเต็มที่แล้ว เขาเหมือนเกิดมาเพื่อภาพยนตร์แบบนี้จริงๆ” พอลล่า แพ็ตตันกล่าวเสริมว่า “มันคือเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงเป็น อีธาน ฮันท์ ได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด เขาไม่กลัวอะไรเลย เขาอยู่เพื่ออันตรายและความตื่นเต้น และทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาทำมาตลอดตั้งแต่เข้าวงการมา”

ทีมนักแสดงที่เหลือต่างเดินตามรอยของครูซ ทั้งในเรื่องหลักการทำงานและความต้องการที่จะสร้างประสบการณ์เหมือนจริงให้กับคนดู ด้วยการแสดงฉากสตั๊นต์ของพวกเขาเอง โดยเฉพาะในเรื่องของฉากต่อสู้

ทีมนักแสดงต้องฝึกอยู่นานสี่เดือน ทุกวัน กับร็อบ อาลอนโซ่ ผู้ประสานงานด้านการต่อสู้และยังเป็นเทรนเนอร์ให้เหล่านักแสดงด้วย วิธีการทำงานของอาลอนโซ่จะเน้นไปที่การทำให้นักแสดงรู้ท่วงท่าการเคลื่อนไหวทั้งหมด เพื่อให้พวกเขาสามารถแสดงการต่อสู้ได้ดูสมจริงที่สุด “เขาฝึกให้เราเรียนรู้ทุกท่วงท่าที่จะช่วยคุณได้มากในการต่อสู้ ไม่ใช่ในการต่อสู้ที่ผ่านการออกแบบมาเท่านั้นนะ” พอลล่า แพ็ตตันอธิบาย “จากนั้น เมื่อคุณใกล้ถ่ายทำฉากต่อสู้ คุณจะเริ่มออกแบบท่าการต่อสู้ ดังนั้นเมื่อคุณต้องถ่ายทำฉากนั้น คุณก็จะไม่ต้องใช้ความคิดเลย คุณแค่ต่อสู้ออกมาให้เหมือนจริงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”

การฝึกส่งผลดีทั้งต่อแพ็ตตันและลีอา ซีโดซในฉากต่อสู้ที่เจอจะต้องเผชิญหน้ากับมอโรว์ “เราอยากแสดงฉากต่อสู้ที่ให้ความรู้สึกเหมือนคุมไม่อยู่ รุนแรง และรวดเร็ว” ผู้กำกับเบิร์ดบอก “แต่เริ่มเดิมที ลีอาจะต้องแสดงฉากที่ต้องเป็นภาพโคลสอัพ จากนั้นเราก็จะให้สตั๊นต์แมนหญิงมาแสดงที่เหลือ แต่เธอสปิริตแรงกล้ามาก เธอบอกว่าเธออยากแสดงเอง” ทั้งสองหญิงจึงต้องทำงานกับสมีร์ซและอาลอนโซ่นานหลายเดือนเพื่อทำให้ฉากนั้นออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด

ฉากสตั๊นต์ที่มีความซับซ้อนอย่างมากอีกฉากหนึ่งในภาพยนตร์เรื่องนี้ เกี่ยวข้องกับฉากที่มีความซับซ้อนที่สุดที่เคยมีการสร้างเพื่อใช้ในภาพยนตร์แอ็กชั่น เมื่ออีธานต้องต่อสู้กับเคิร์ต เฮนดริคส์ (ไมเคิล นีกวิสท์) เพื่อให้ได้ เชเก็ท กระเป๋าเอกสารที่จะเป็นตัวยิงจรวดนิวเคลียร์ของรัสเซีย ทั้งนี้เพื่อปกป้องไม่ให้เกิดการตายหมู่ของผู้คนเพราะนิวเคลียร์ ทั้งสองคนต่อสู้กันด้วยกำปั้นตามประสาชายในโรงจอดรถอัตโนมัติสามมิติ ที่มีเครื่องจักรและรถยนต์เคลื่อนไหวผ่านไปอย่างรวดเร็ว

“ฉากนั้นเข้ากันดีกับความต้องการของเราที่ไม่อยากให้มีฉากยิงปืนหรือการใช้อาวุธเป็นตันๆ” อังเดร นีเม็คอธิบาย “จอชกับผมคุยกันเรื่องการให้ตัวละครตะบันกำปั้นใส่กันในสภาพแวดล้อมบ้าสุดๆ ผมยังจำการพูดคุยที่ผมเคยคุยกับเพื่อนที่เป็นสถาปนิคคนหนึ่ง ซึ่งบอกผมเรื่องที่จอดรถอัตโนมัติแบบนี้ ดังนั้น จอชกับผมก็เลยเข้าเน็ต และหาที่จอดรถแบบนี้เจอแห่งหนึ่ง เรานั่งมองภาพของมันและคิดว่า ‘นี่คงจะเป็นสภาพแวดล้อมที่บ้าสุดๆ สำหรับการต่อยกัน’ มันช่วยเพิ่มความเผ็ดร้อนให้กับกระเป๋าระเบิดนิวเคลียร์นี่จริงๆ สุดยอดมาก”

ไมก์ ไมนาร์ดัส สเปเชียล เอฟเฟ็กต์ ซูเปอร์ไวเซอร์ กับทีมงานของเขา ใช้เวลาหกเดือนต่อมาสร้างฉากนั้นขึ้นมา ซึ่งจะต้องใช้งานได้เต็มที่ โครงสร้างฉากที่ว่านี้ใช้เสาหลักที่หนัก 35,000 ปอนด์ และสูง78 ฟุต ที่เป็นตัวรองรับแท่นขนาด 23 ฟุตสองแท่น ซึ่งแต่ละแท่นมีน้ำหนักมากกว่าสามตัน ฉากที่เสร็จสมบูรณ์แล้วนี้สามารถเก็บรถได้ 70 คัน 18 คันต่อชั้น ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาอย่างดีที่สุดเพื่อจะใช้เครื่องจักรที่ไมนาร์ดัสสร้างขึ้นมา เพื่อใช้ถ่ายทำฉากนั้น

ฉากแอ็กชั่นที่เกิดขึ้นในฉากที่ซับซ้อนมากฉากนี้ ได้ แบร็ด เบิร์ด เป็นผู้วางแผนงานด้วยเทคนิคแอนนิเมติค ซึ่งเป็นงานแอนนิเมชั่นที่ใช้ในการวางแผนทุกสเต็ปขั้นตอนของฉากนั้น “มันคือแบบฝึกหัดพิเศษสุดในความคิดแบบสามมิติ” บิสเซลล์บอก “มันคือบททดสอบความสามารถของแบร็ดที่จะเผยให้เห็นสภาพของฉากนี้” ทอม พีทซ์แมน ผู้อำนวยการสร้างร่วม บอก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าลักษณะเช่นนี้เกิดมาจากความสามารถของเบิร์ดในการจินตนาการภาพในแบบที่เขาเคยใช้ในงานสร้างการ์ตูน เป็นการสร้างชอตอันสุดแสนวิเศษที่เบิร์ดมีชื่อเสียงโด่งดังอยู่แล้ว แต่สำหรับ MISSION: IMPOSSIBLE ผู้กำกับเบิร์ดใช้วิธีการนี้ในงานสตั๊นต์ที่ใช้คนจริงๆ แสดง “เขาไม่ได้อยากให้ทุกอย่างออกมาดูมหัศจรรย์” เบิร์กบอก “เขาอยากให้ทุกอย่างให้ความรู้สึกสมจริงและเหมือนจริงมาก”

เพื่อให้ได้งานเช่นนั้น เบิร์ดหันไปขอคำแนะนำจากวิชวล เอฟเฟ็กต์ ซูเปอร์ไวเซอร์ และผู้ประสานงานสตั๊นต์ ซึ่งทั้งสองคนต่างกระตือรือร้นที่จะสร้างผลงานที่เกิดจากจินตนาการของเบิร์ด ขณะเดียวกันก็ยังช่วยดึงเขาให้อยู่ในโลกของความเป็นจริง ทั้งสองคนจะพูดคุยกับเบิร์ดเพื่อให้ได้งานตรงตามเป้าหมายนั้น หลายชอตจะมีการซักซ้อมกับสตั๊นต์แมนของครูซก่อน เพื่อวางแผนงานการเคลื่อนที่ของกล้อง และวางโปรแกรมการทำงานของแท่น แต่เมื่อถ่ายทำจริง แน่นอนว่าต้องเป็นครูซและนีกวิสท์แสดงสตั๊นต์ด้วยตัวเองในทุกชอต ทีมงานให้ความใส่ใจในการปกป้องนักแสดงในท่วงท่าที่อาจมีอันตราย กับแท่นที่ทำงานอยู่และพื้นจำลองที่กั้นระหว่างรถ “แท่นแต่ละอันมีน้ำหนัก 6700 ปอนด์ และมีระยะห่างกันแค่ครึ่งนิ้วเท่านั้น” ไมนาร์ดัสเล่า “เมื่อมันเคลื่อนที่ไป เราจะเปิดเสียงไซเรนและระบบควบคุมความปลอดภัย เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครไปไต่อยู่ระหว่างนั้น” เบิร์ดเล่าเสริม “มันคือความทุ่มเทอันยิ่งใหญ่ของทีมงานทั้งหมดที่ทำให้งานนี้เกิดขึ้นมาได้ เพราะมันต้องอาศัยการประสานการทำงานที่แม่นยำจริงๆ”

นักแสดงทั้งสองคนที่ต้องไปห้อยโหนตัวจากเคเบิ้ล ที่ติดอยู่กับเพดานของโกดัง รวมไปถึงตรงสุดของแท่น เพื่อป้องกันการตกลงไประหว่างแท่นจอดรถ และเพื่อเป็นแนวทางในการกระโดดตามแผนที่วางไว้ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ครูซต้องกระโดดลงไปสูงสามชั้นไปยังรถคันหนึ่งบนแท่นที่กำลังเคลื่อนที่ และค่อยๆ ลดความเร็วในการตกของเขาด้วยตัวชะลอความเร็ว “มันเป็นงานที่มีความท้าทายสูงมาก ต้องประสานการเคลื่อนไหวของพวกเขา และค้นหาที่ปลอดภัยที่จะตั้งกล้อง” แดน แบร็ดลี่ย์ ผู้กำกับกองถ่ายย่อยที่สอง ซึ่งถ่ายทำฉากดังกล่าวนั้น บอก



อุปกรณ์ไฮเทค
“ภาพยนตร์เหล่านี้ก็คือฝันที่กลายเป็นจริงสำหรับผู้จัดหาอุปกรณ์ประกอบฉาก” คริสโตเฟอร์ อี เพ็ค ปรมาจารย์ด้านทรัพย์สิน ซึ่งเคยทำหน้าที่เดียวกันนี้ในภาพยนตร์ MISSION: IMPOSSIBLE II บอก หนึ่งในลูกเล่นชิ้นใหญ่ที่สุด ซึ่งก็คือรถไฟ IMF คือหนึ่งในฉากที่เบิร์ดโปรดปรานมากที่สุด ฉากที่ว่านี้ออกแบบโดย จิม บิสเซลล์ และถูกสร้างขึ้นที่โรงถ่ายแห่งหนึ่งในแวนคูเวอร์ โดยด้านในของฉากที่ว่าถูกสร้างให้กันแรงระเบิดได้ “มันมีรูปลักษณะทรงรีเหมือนไข่ และได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ดูเหมือนมันถูกสร้างขึ้นเพื่อให้รับแรงระเบิด และยังเป็นศูนย์บัญชาการที่ดีสำหรับทุกสถานการณ์ มันเต็มไปด้วยเครื่องไม้เครื่องมือพิเศษทุกประเภทที่พวกเขาต้องการ” เบิร์ดอธิบาย “มันเต็มไปด้วยลูกเล่น” บิสเซลล์อธิบายเพิ่ม “มีถาดสไลด์ได้ที่ใช้เก็บอาวุธ มีทีวีที่คุณดึงออกมาจากกำแพง จากนั้นก็สไลด์ลงไปกับฐานไฮโดรลิคที่ดีดขึ้นมา ทำให้คุณสามารถที่จะหมุนมันไปได้ในทุกที่ที่คุณต้องการได้”

ในบรรดาอุปกรณ์ที่สำคัญที่สุดก็คือ เครื่องทำหน้ากาก MISSION: IMPOSSIBLE ที่ได้รับการออกแบบมาโดยแผนกเม้คอัพ เอฟเฟ็กต์ “นั่นคือหนึ่งในอุปกรณ์สุดแจ๋วจากซีรีส์ทางทีวีเลยนะ” เพ็คบอก “เบนจี้หลงใหลเครื่องทำหน้ากากนี่มาก” ไซม่อน เพ็กก์บอก “ผมว่าเขาแอบนึกอยากจะใส่หน้ากากบ้างสักอัน มันคงตลกดี เพราะเมื่อคุณผ่านการแต่งหน้าแล้ว คุณรู้ว่ามันต้องใช้เวลานานแค่ไหนว่าจะติดอวัยวะปลอม และต้องทำงานเยอะมาก กว่าจะทำให้ใครสักคนดูเหมือนคนอื่นได้ ผมชอบไอเดียที่ว่าพวกเขามีเครื่องนี้ที่คุณแค่กดปุ่ม แล้วหน้าคุณก็เปลี่ยนเป็นคนอื่นได้เลย”

เพ็คยังเป็นคนออกแบบถุงมือตุ๊กแก ซึ่งอีธานใช้ในการปีนตึกหอคอยคาลิฟาด้วย “คริสคิดเทคโนโลยีและเรื่องราวความเป็นมาของถุงมือพวกนั้น” ทอม พีทซ์แมนเล่า “มันเป็นหนึ่งในอุปกรณ์ที่น่าทึ่งที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี้เลย มันคือสิ่งที่เป็นไอเดียและคอนเซ็ปต์จากครูซในการรประชุมกันครั้งแรก เขารู้ว่าของพวกนี้ควรออกมาเป็นยังไง เกี่ยวกับถุงมือที่เกิดลื่น หรือไม่ยึดเกาะ หรือใส่ไม่พอดี รวมไปถึงเรื่องแสงที่ถูกส่องออกมาเพื่อวัดค่าความหนาแน่นของพื้นผิวกระจกด้วย”

เพ็คและลูกทีมของเขายังสร้างเครื่องมือสื่อสารสุดเท่ที่อีธานสวมใส่ขณะที่เขาปีนตึกหอคอยคาลิฟา “มันต้องดูราวกับเขาใช้มันเพื่อสื่อสารกับทีม IMF แต่เรารู้ดีว่าเราต้องหาวิธีที่จะสื่อสารกับเขาขณะที่เขาปีนอยู่นอกตึก ดังนั้นเราก็เลยร่วมมือกับแผนกซาวน์เพื่อทำให้มันใช้งานได้จริงๆ อันที่จริงแล้วเขาต่อสายตรงกับผู้กำกับและผู้ประสานงานสตั๊นต์ขณะที่เขากำลังปีนอยู่”

อุปกรณ์ที่น่าสนใจอีกชิ้นหนึ่งก็คือ เชเก็ท กระเป๋าที่ต้องดูคล้ายกับลูกบอลนิวเคลียร์ยุคโบราณ “มันเป็นเทคโนโลยีอะนาล็อกที่ดูเหมือนไร้ซึ่งความปลอดภัย” เพ็คอธิบาย เขาได้ทำการค้นคว้าเพื่อทำกระเป๋าจำลองขึ้นมา ซึ่งของจริงนั้นมีอยู่ไม่มากนัก “สิ่งแรกที่เราทำก็คือการติดต่อไปหาคนที่อยู่ในโลกนั้น เราติดต่อกับแซนเดีย แล็บส์ ซึ่งมีพิพิธภัณฑ์ที่มีกระเป๋านิวเคลียร์จากทศวรรษ 1960 เราเอาคอนเซ็ปต์นั้นมา และสร้างมันขึ้นมาสำหรับโลกยุคใหม่”

เซฟเฮ้าส์ IMF Rolling ซึ่งเป็นที่ซ่อนลับที่ตั้งอยู่ในจุดที่ดูเหมือนเป็นรถไฟที่ถูกเก็บเอาไว้ในลานจอดซากรถไฟรัสเซีย เป็นที่ปกป้องอุปกรณ์ของทีม “เมื่อมองจากด้านนอก มันดูคล้ายกับสถานที่ที่นักดนตรีแนวบลูส์อาศัยอยู่” ไซม่อน เพ็กก์ หัวเราะ อย่างไรก็ดี ภายในนั้นคือสถานที่ที่แวะจอดที่เดียว แต่ได้ของครบถ้วนสำหรับเจ้าหน้าที่ IMF ที่ต้องการเปลี่ยนชื่อเสียงตัวตน เพื่อเก็บซ่อนอาวุธ หรือซ่อมแซมมัน

MISSION: IMPOSSIBLE – GHOST PROTOCOL จะมอบประสบการณ์ความบันเทิงในแบบที่แฟนๆ ภาพยนตร์แอ็กชั่นต้องการ เช่นเดียวกับภาพยนตร์ MISSION: IMPOSSIBLE ภาคก่อนๆ ที่เริ่มสร้างกันมาตั้งแต่ปี 1996 “มันคือตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าภาพยนตร์ยอดนิยมที่ดูสนุกดูเพลินควรจะเป็นยังไง” ทอม ครูซบอก

15 ธันวาคม 2554 ทุกโรงภาพยนต์












เพลงประกอบภาพยนต์ Eminem feat. Pink - Won't Back Down [From "‪Mission Impossible 4" (Ghost Protocol)]


ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
พร้อมแล้วค่ะบอส

ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
อยากดูๆๆๆ


_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
ฺBMW ขับโฉบวิ่งฉิวหนูช๊อบชอบ Very Happy


_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
ว่าแต่ มันมี 3D ป่าว? เด๋วผมไปช่วยอุดหนุนนะเฮีย ครูซซซ ชอบๆ


_________________
[
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
ตอบ หน้า 1 จาก 1
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
  


copyright : forwardmag.com - contact : forwardmag@yahoo.com, forwardmag@gmail.com