˹���á Forward Magazine

ตอบ

[18+] NuRii3_Review : 4 Teen Divas of 2000's: Britney Spears
ผู้ตั้ง ข้อความ
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ [18+] NuRii3_Review : 4 Teen Divas of 2000's: Britney Spears 
4 Teen Divas of 2000's: The First Series – Britney Spears



เป็นการcomebackกลับมาเขียนรีวิวเพลงสากลอีกครั้งหลังจากหายไปนานมาก จริงๆแล้ว ตอนแรกกะจะเขียนรีวิวครั้งนี้เพื่ออุทิศให้แก่อีแมนดี้ (ว้ายยย ไม่ได้อุทิศให้เพราะมันตายแล้วนะคะ แค่ต้องการแสดงทัศนะให้เป็นเกียรติเป็นศรีแก่อีนี้เท่านั้น) แต่พอลองไตร่ตรองแบบพิจารณาอย่างถี่ถ้วนอีกครั้งก็คิดว่าชื่อชั้นอีแมนดี้คงไม่มีปัญญาเรียกเรตติ้งให้รีวิวของดิฉันได้มากมายนัก ไหนๆก็เขียนถึงอีแมนดี้แล้ว ก็เลยเขียนถึงอี3ตัวที่เหลือที่แจ้งเกิดเป็นพ็อพสตาร์สฺในยุคเดียวกับอีแมนดี้ไปด้วยเลยก็แล้วกัน ซึ่งดิฉันก็วางรีวิวครั้งนี้ออกเป็น4ซีรี่ย์สฺต่อกัน ซึ่งทีนดิว่าในยุคมิลเลนเนียมคนแรกที่ดิฉันจะเขียนถึงนั้น คงต้องเป็นคนที่พอจะเรียกเรตติ้งให้รีวิวซีรี่ย์แรกของดิฉันได้ ส่วนฉายาคำว่าทีนดิว่านั้น ฉันคิดว่ากะเทยในบอร์ดนี้ก็คงเคยได้ยินกันมาบ้าง ดังนั้นฉันขอไม่ขยายความอธิบายเพิ่มตรงประเด็นนี้นะคะ ถ้าสงสัยอยากได้คำอธิบายดีๆก็ไปหาอ่านเอาเองละกัน ก็ขอจบการกล่าวปาฐกถาเพียงแค่นี้แล้วเริ่มรีวิวกันเลยดีกว่านะ



Blackout: 87%

เริ่มต้นก็ควรเป็นขุ่นแม่ของดิฉันที่ดิฉันเทิดทูนบูชานักหนา (แต่ปัจจุบันคงขอลดสถานะขุ่นแม่เหลือแค่ฐานะนักร้องคนหนึ่งที่ดิฉันคลั่งไคล้ก็แล้วกัน) ก็ใครซะอีก ถ้าไม่ใช่ขุ่นแม่บริตนี่ย์นั้นเอง คือตอนแรกนะก็กะไปรื้อรีวิวอัลบั้มเก่าๆมาแปะ เพราะขี้เกียจเขียนอะไรยาวๆ แต่นึกไปนึกมาก็คิดว่าแล้วก็ลองรีวิวอัลบั้มที่ไม่เคยพูดถึงเลยจะดีกว่า แต่รีวิวรอบนี้ดิฉันคงไม่มาแบบencyclopediaหรอกนะ ถ้ากะเทยต้องการประวัติว่า ขายได้เท่าไหร่ ใครแต่งบ้าง แต่งเพลงไหน หรือคำวิจารณ์ของสำนักสื่อสิ่งพิมพ์ดังๆต่างๆเค้าว่าอย่างไร อัญเชิญไปหาเอาเองนะคะ ดิฉันไม่ใช่ web search engine
ก่อนอื่นตามสูตรการเขียนรีวิว patternแรกก็ต้องบรรยายถึงความรู้สึกของผู้เขียนก่อนใช่ม่ะ?



/บิ้วอินเนอร์แบบอีเปียตอนได้มง

สำหรับความรู้สึกส่วนตัวของฉันที่มีต่ออัลบั้มนี้นะ คือแบบรู้สึกค่อนไปทางธรรมดามากกว่า ไม่ได้amazedแบบbritney-armyนางอื่นๆส่วนใหญ่รู้สึกกัน คือถ้าถามว่าเป็นอัลบั้มที่ดีไหม ถ้าอิงเฉพาะตัวเนื้องานก็ไม่ได้ปฏิเสธนะ ก็ถือเป็นอัลบั้มที่เรียกว่าดีได้เต็มปากอัลบั้มหนึ่งทีเดียว แต่ตัวฉันเองก็มีเหตุผลบางประการที่ไม่ได้รู้สึกชื่นชอบอะไรกับอัลบั้มนี้มากนัก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับ4อัลบั้มแรก ว่ากันตรงๆฉันว่าอัลบั้มนี้มีimpactค่อนข้างน้อย ทั้งในแง่ของการมีกระแสในพื้นที่สื่อ(ไม่นับพวกscandalนะ อันนั้นฉันว่าก็ช่วย แต่เป็นการช่วยทำลายเนื้องานมากกว่า) การโปรโมตต่างๆ รวมทั้งในเรื่องของความนิยมและการกู้ศรัทธาของบรรดาแฟนเพลงให้กลับมาอีกครั้ง ไม่รู้สิ่ จะบอกว่าไม่ชอบก็ไม่เชิง เพียงแต่ว่าฉันไม่รู้สึกถึงตัวตนความเป็นบริตนี่ย์ในอัลบั้มนี้เลยแม้แต่นิดเดียว รวมทั้งอินเนอร์ต่างๆที่นางพยายามrepresentอารมณ์จากความหมายของเพลงในแต่ละแทร็ค คือฉันรู้สึกว่าสิ่งที่ยืนยันความเป็นบริตนี่ย์ สเพียร์สฺคือมีแค่เสียงแล้วจบแค่นั้น ก็แน่นอนตอนทำอัลบั้มนี้นางก็ใช่ว่าจะมีสติสตังอยู่ครบ แต่พ้อยท์จริงๆไม่ใช่แค่เพราะนางบ้าอย่างเดียวหรอก แต่งานทิมบาแลนด์สไตล์ก็ทำให้คนฟังรู้สึกเลี่ยนและเอียนอยู่มิใช่น้อย ที่สำคัญคือการเข้าไปtakeoverแนวทางของตัวศิลปินคนนั้นๆให้ถูกกลืนไปด้วยความเป็นทิมบาแลนด์ (อีเหี่ยวฟ้าและอีภูธรเนลลี่ก็ถือเป็นเคสเดียวกัน) เช่นหลายๆแทร็คในอัลบั้มนี้ยกตัวอย่าง Get Naked (I Got a Plan) (ซึ่งจะขอไปพูดต่อในรีวิวแบบtrack by trackอีกที) แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม ข้อดีของอัลบั้มนี้ที่ชัดเจนมากคงหนีไม่พ้นความเป็นเอกภาพของซาวด์ในอัลบั้มนี้ คือภาพรวมซาวด์ในแต่ละแทร็คก็ยังสามารถrepresentความเป็น“blackout”ที่เป็นธีมหลักของอัลบั้มนี้ได้อยู่ แต่ฝั่งcomposeนี้เห่ยมาก เหมือนwritersแต่ละตัวไม่ได้นัดกันมา เพลงนี้นะเนื้อหาฉันจะอินเนอร์กะหรี่อารมณ์แบบร่านมั่วผู้ชายแบบนัดเซ็กซ์หมู่โดนรุมโทรมรัวๆให้อีพวกร่านติดสัตว์ตามทวิตเตอร์อายกลับไปแดกยาฉีดปลวกตายไปเลย แต่พอเพลงต่อมากูจะสวย มองกูสิ่ กูรวย แล้วจะเปผู้ชายแดกแทน คือแบบ เนื้อหาแต่ละเพลงไร้ซึ่งแก่นสารมากๆไม่รู้ตกลงจะสื่อถึงถึงblackoutตรงไหนมิทราบคะ? กระหลั่วหัวโปกมาก ส่วนหอกคือนางไร้อินเนอร์มากค่ะ กูร้องเสร็จปิดจ็อบล่ะ จบ บาย คือบางเพลงเนี่ย อย่างที่บอกคือแต่งได้กระหรี้หรี่ แต่โทษทีนะคะหอกนางร้องเหมือนโดนหมอที่โรงบาลบ้าขู่ว่าถ้าไม่ร้องจะเอาไฟฟ้ามาช็อตแตดเลยเกิดกลัวหรือยังไงมิทราบ แต่อินเนอร์นางคือไร้อารมณ์เป็นชะนีหมดเมนส์หรือรังไข่ฝ่อ มดลูกไหลอะไรแบบนั้น


/เบะปากรัวๆ

Singles of Blackout



Gimme More: 5/5
สารภาพตามตรงเมื่อก่อนไม่อินกับเพลงนี้เลยแม้แต่นิดเดียว เป็นไตเติ้ลแทร็คที่ดิฉันเบ้ปากใส่บ่อยมาก คือต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งติดภาพจำความห่วยแตกทั้งการโปรโมตต่างๆของเพลงนี้ทั้งจากค่ายและตัวหอกเองที่พอรวมกันแล้วก็พังพินาศศพไม่สวยอย่างที่รู้ๆกัน เริ่มตังแต่MVที่เรียกว่าสั่วก็คงดูให้เกียรติกันเกินไป เพราะมันต่ำตมจนแทบจะหาอะไรเปรียบมิได้ ส่วนอีหอกในMVเพลงนี้นะหรือคะ อย่าได้เซด เหมือนพะยูนตะกายเสา ถุงน่องก็ขาดประหนึ่งกะหรี่อนาถาตามบ้านพักคนชรา สภาพสถานที่ถ่ายทำก็อย่างกับซ่องป่าที่renovateมาจากเล้าหมู


/speechless

เฮ้อออ ฉันก็ได้แต่อเนจอนาถใจแทน ได้แต่ถอนหายใจรัวๆ ฉันแปลกใจอยู่อย่างคืออีไดเร็คเตอร์ปล่อยผ่านสภาพพะยูนเด้งเสาแบบนั้นออกมาได้ยังไง แต่เคราะห์ดีคือเท่าที่ทราบปัจจุบันอีJake Sarfatyก็หายลงนรกภูมิไปแล้ว (เหมือนไปทำงานสายภาพยนตร์มั้ง ไม่มั่นใจ) ก็ดีแล้วค่ะ MVนรกแตกแบบนั้น นักร้องคนไหนเค้าจะกล้าจ้างมึงไปทำให้เป็นเสนียดชีวิตอีกคะ (จริงๆมันมีเนื้อหามากกว่านี้ แต่ประเด็นนี้ขอมพูดถึงนะ เพราะสุดท้ายมึงก็เลือกมาได้แต่ซีนห่วยๆ) ส่วนVMA 2007นี้ฉันขอไม่ยุ่งนะคะ เอาgifไปตอบแทนความรู้สึกของฉันต่อโชว์นี้ก็แล้วกัน



เฮ้อออ ก็ไม่รู้จะพูดอะไรอะค่ะ แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันรู้เสียดายแทนก็คือ ถ้าเปลี่ยนโชว์ในVMAเป็นโชว์กินหมี่หม้อที่ทัวร์ในFemme Fataleนะ ฉันมั่นใจว่าฟีดแบ็คแง่บวกของทั้งเพลงนี้และอัลบั้มนี้ต้องล้นหลามอย่างแน่นอน ไหนๆพูดถึงโชว์นี้แล้วก็ขอพูดถึงทัวร์ของนางในยุคหลังๆหน่อย คือเข้าใจว่านางคงเต้นแบบอินเนอร์ปังๆไม่ได้เหมือนช่วงท็อปฟอร์มแล้วก็เหอะ แต่อย่างน้อยฉันก็คิดว่านางก็น่าจะครีเอทโชว์ที่อลังได้มากกว่านี้ อย่างกินหมี่หม้อในทัวร์Femme Fataleเนี่ย บอกเลยเป็นอะไรที่stunningมากๆ เป็นเพอร์ฟอร์มแมนซ์ที่ไม่ต้องแรง ไม่ต้องใช้energyเยอะแบบสมัยก่อน แต่ดูขลัง อลังการ สมเป็นควีนมากๆ เอาตรงๆนะ โชว์นี้ดูปังกว่าหลายๆเพอร์ฟอร์มแมนซ์ของนางช่วงสมัยท็อปๆอีก เฮ้อออ you gotta work นะคะ bitch!!!



กลับมาที่ตัวเพลงอีกครั้ง(ยังรีวิวไม่จบนะจ้ะ) สำหรับฉันนะ เพลงนี้ถ้าตัดภาพลักษณ์เรื่องเละเทะของนางออกไปแล้วดูกันที่เนื้องานเพียวๆ ฉันคิดว่าเพลงนี้เป็นอีกหนึ่งงานที่ดีและสมบูรณ์แบบมากที่สุดเพลงหนึ่งในcareerของนางเลยก็ว่าได้ ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะฉันโตขึ้นด้วยแหล่ะ ทำให้มุมมองต่อเพลงนี้เปลี่ยนไปค่อนข้างมาก อีกทั้งไม่ว่าจะเป็นทั้งภาคเนื้อหาหรือตัวดนตรีเอง มันเป็นอะไรที่strongมาก พูดถึงฝั่งเนื้อหาก่อนแล้วกัน แน่นอนว่าตั้งแต่อัลบั้มที่สามเป็นต้นมา บริตนี่ย์เองนางก็มีหลายๆเพลงที่พูดถึงชีวิตตัวเอง โดยเฉพาะแนวจิกๆกัดๆทั้ง OverprotectedหรือMy Prerogative รวมทั้งPiece of Meในอัลบั้มนี้ก็ด้วย (ไม่รู้ควรจะนับLuckyด้วยดีหรือเปล่า?) แต่สิ่งที่ต่างกันระหว่างเพลงเหล่านั้นกับเพลงนี้ คือเพลงเหล่านั้นเป็นสิ่งที่บริตนี่ย์พยายามpresentในมุมที่ว่านางเป็นผู้ถูกกระทำหรือตกเป็นเหยื่อของสังคมที่คอยขีดเส้นให้กับนาง อธิบายง่ายๆก็คือนางพยายามปลดแอกจากกรอบต่างๆผ่านเพลงเหล่านั้น กลับกันGimme Moreคือการท้าทายกับสิ่งที่นางพยายามดิ้นรนจะหนีจากมันมาตลอด ในที่นี้คงหนีไม่พ้นบรรดาปากเหยี่ยวปากกาที่คอยรุมทึ่งชีวิตของนางเป็นปลิงดูดเลือด อีกทั้งบรรดาพวกปากเดินสายบุญทั้งหลาย ที่คอยก้นด่านางสารพัด แต่ไม่แคล้วเป็นพวกเกลียดตัวกินไข่ที่ต้องคอยสอดเสือกสาระแนตลอดเว ในที่สุดเมื่อบรรลุได้ว่าไม่ว่ากูจะทำอะไรพวกมึงก็ตามด่ากูอยู่ดี ดังนั้นขุ่นแม่ของดิฉันก็เลยแซ่บสะท้านสะบัดบ็อบด้อนท์แคร์เหล่าpaparazziและบรรดาhaters อีกทั้งสนองกลับให้เสร็จสรรพ (อ้อ ที่จริงแล้วอีฉากพยายามถอดเสื้อโชว์นม โชว์หุ่นอันอวบอั๋นในMVนี้คือขุ่นแม่ตั้งใจประชดบรรดาhatersใช่ไหมคะ? ดิฉันก็ดันนึกว่าตอนถ่ายMVนี้ หมอลืมจ่ายยาให้ขุ่นแม่เสียอีก ว้ายยย ดิฉันเข้าใจผิดไปเองหรือเนี่ย)ไหนใครชอบด่ากูนักใช่ไหม กูชิงจิกตัวเองแทนเลยจ้า“It's Britney Bitch”ที่ทำเอากลายเป็นวลีฮิตฮือฮาไปทั่วทั้งโลก (แอบตกใจนิดนึงคือนางรู้ป่ะว่าอีเคอรี ฮิลสันเขียนจิกนางขนาดนี้ เห็นนางไม่มีเครดิทในส่วนแต่งเพลงนี้เลย คืออีเคอรีเกลียดอะไรนางเป็นการส่วนตัวป่ะ?) หรือท่อนมั่นหน้ามั่นโหนกอย่าง“The center of attention”ที่ทำเอาอีชะนีตัวอื่นได้แต่อ้าปากค้างกรอกตาให้กับความเซลฟ์ของขุ่นแม่ที่เอาไปถึงสิบกะโหลก ซึ่งขุ่นแม่ของดิฉันก็ไม่ได้มาร้องเล่นๆนะคะ นางมาพร้อมอินเนอร์อีมุนินที่เตรียมมาล้างแค้นแทนอีแฝดผีมุตตามุดแตด ซึ่งดูออร่ามากๆ (โดยเฉพาะในทัวร์Femme Fatale พอนางร้อง“The center of attention”จบ แล้วเสียงซาวด์ดังปังๆๆ นี้คือคลีโอพัตรามากๆ แซ่บลืมปราบปลื้มความเว่อร์วังของขุ่นแม่ในโชว์นี้) ยังไม่รวมจุดพีคที่สุดของเพลงนี้ อย่างท่อนฮุคที่รีพีทไปมารัวๆเอาอีกอีดอกเอาอีกสิ่ๆๆๆๆๆ (เหมือนเพลงผู้ป่วยโรคย้ำคิดย้ำทำไปอีก) คือแบบ บอกเลยถ้าขาดท่อนนี้นะ ขุ่นแม่เตรียมพาอีแดนจาพร้อมอีเคอรี ฮิลสันไปขายหี อุ้ย ไปขายชายสี่หมี่เกี๊ยวแทนได้เลย แต่ชอบนะ คือประทับใจตรงเสียงคอรัสท่อนฮุคมากๆ คือไม่รู้ตั้งใจหรือเปล่านะ แต่เสียงmore more more (ไม่ใช่เพลงอีป้าไข่นะ) แต่ละนางอินเนอร์ราวผีเปรตกำลังหนีไปผลุดไปเกิดอะไรแบบนั้น คือร้องโหยหวนได้ฟีลลิ่งเป็นธรรมชาติมาก โอ้ย แซ่บ โดยเฉพาะเสียงอีแดนจานี้เข้าขั้นหลอนประสาทจนดิฉันมั่นใจสุดๆว่าชาติที่แล้วมึงต้องเกิดมาเป็นสัตว์นรกไม่ประเภทใดก็ประเภทหนึ่งแน่นอน คอนเฟิร์ม ไม่งั้นคงไม่อินคาแร็คเตอร์ได้ขนาดนี้ ส่วนวอคัลอย่างขุ่นแม่เองก็เริ่ดเสมอคะ ไม่รู้ว่าออโต้จูนหรือเปล่า แต่บอกเลย เพลงนี้ใครก็ห้ามด่าเสียงขุ่นแม่นะ เพราะเสียงนางเพลงนี้คือ“blackout”มากจริงๆ เสียงทั้งหลอนทั้งสั่นทำเอาดิฉันต้องลุกขึ้นเต้นตามเพราะอดใจไม่ไหวกับเสียงกระเส่าของขุ่นแม่ นี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าที่เสียงขุ่นแม่กระเส่าได้ขนาดนี้เพราะอินคาแร็คเตอร์ชะนีเมากาวหรือหนาวเพราะถูกหมาบ้ากัดเลยเอาไปวิจัยที่สถานเสาวภาดิกันแน่ แต่ที่แน่ๆดิฉันขนลุกหมดแล้วค่า (เสียงขุ่นแม่ลึกเขวด) /เปิดMVกินหมี่หม้อซ่องเล้าหมูพร้อมสเต็ปรูดเสาตามเป็นการสดุดีขุ่นแม่รัวๆ



(อีดอกเป็นรีวิวแค่เพลงเดียวที่ยาวมาก) สุดท้ายก็ในส่วนของซาวด์และการเรียบเรียง เพลงนี้เป็นงานอัพบีทแดนซ์พ็อพที่ได้อิทธิพลจากซาวด์อิเล็กโทรฟั้งค์ ซึ่งคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นดำๆมืดๆแบบงานเออเบินมิวสิคสไตล์ไอ้มืดคิงคองทิมบาแลนด์ ซึ่งกะเทยก็คงจะทราบอยู่แล้ว ถึงฉันจะไม่บอกก็ตาม แต่ก็นะอย่างที่ดิฉันได้บอกกล่าวไว้ข้างบนว่าอิทธิพลงานทิมบาแลนด์สไตล์ที่ไปที่ไหนเจ้าบ้านก็พากันบรรลัยที่นั้น แถมยังลากซาวด์เห่ยๆโพรแกรมมิ่งกะโหลกกะลาตามซ่องป่ามาเลย์ของมันไปแดกกลืนแนวเพลงของคนอื่นเค้าหมดอีก รอบนี้ก็ส่งความฉิบหายผ่านอีแดนจาและอีเคอรี ฮิลสันในการtakeoverงานอีหอกให้กลายเป็นสาวกไปอีกนาง แต่ก็นั้นแหล่ะ สำหรับฉันแล้ว การproduceเพลงนี้ฉันกลับชอบทุกดีเทลเลยก็ว่าได้ อย่างตัวเทมโพเองมันก็สามารถrepresentเนื้อหาได้ทันทีแบบไม่ต้องง้อlyricsเลย คือขนาดฟังแบบinstrumental ฉันยังฟีลได้ถึงความเป็นdirty dancing ความbitch ในขณะเดียวกันฉันก็รู้สึกได้ว่านี้แหล่ะตอบโจทย์ความเป็นblackout ถึง ณ โมเม้นท์นั้นจะบอกว่าเอียนกับซาวด์ดำๆมืดๆเป็นคิงคองพูดได้ของมัน แต่ต้องยอมรับว่าพอเวลาผ่านไป หลายๆงานที่อีทิมบาแลนด์และสาวกผีดิบของมันได้รังสรรค์นั้น มีจำนวนไม่น้อยที่จัดว่าเป็นงานที่ดีควรค่าแก่การเป็นชิ้นส่วนๆหนึ่งบนประวัติศาสตร์pop culture และหนึ่งในผลงานเหล่านั้นก็มีเพลงนี้อยู่ด้วย (จบสวยแม่ะ)





_________________

ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ส่ง Email
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  


Piece of Me: 4/5
กว่าจะเขียนถึงซิงเกิ้ลลำดับที่2ของอัลบั้มนี้ได้ ก็นึกว่าเป็นรีวิวกินหมี่หม้อไปเสียแล้ว ก็จะพยายามจะเขียนไม่ยาวมากกกแล้วกัน สำหรับเพลงนี้เป็นผลงานโปรดิวซ์ของBloodshy & Avant ที่ถือว่าเป็นอีกหนึ่งโปรดิวเซอร์คู่ใจหอก ที่ปลุกปั้นกันมาตั้งแต่In the Zone (เพลงแกรมมี่สาขาBest Dance Recordingอย่างToxicก็ผลงานโปรดิวซ์ของนางด้วยนะจ้ะ) อีกทั้งยังคุมบังเหียนบรรดาเพลงโปรโมตในอัลบั้มGreatest Hits: My Prerogativeอีกด้วย ซึ่งในอัลบั้มนี้อีBloodshy & Avantก็ตามมาหลอกหลอนกันต่อถึง4เพลงด้วยกัน โดยเพลงแรกก็หนีไม่พ้นPiece of Meนั้นเอง แน่นอนว่าฉันจะเขียนวิจารณ์ในส่วนของภาคดนตรีก่อน เพราะในแง่เนื้อหาคิดว่าหลายๆคนคงทราบมาบ้างแล้ว เดี๋ยวจะมาพูดถึงต่อไปอีกทีนึง สำหรับตัวเนื้องานเองเป็นงานเต้นรำอิเล็คโทรนิคพ็อพที่เดินท่วงทำนองผ่านจังหวะมิดเทมโพแดนซ์บีท พร้อมลูกเล่นประเภทโรโบติคซินธ์ที่ฟาดเปรี้ยงปร้าง ก่อนตบท้ายด้วยโพรแกรมมิ่งสมัยนิยมแพรวพราว จำพวกซาวด์ไฟฟ้าลัดวงจรที่แคลชกันไปมาและซาวด์8-Bit, 16-Bitที่เห็นกันตามเกมส์กดอะไรเทือกนั้น มาที่ฝากเนื้อหาและการดีไซน์การร้องนั้น ตัวจังหวะของเพลงก็ดันเข้ากั้นเข้ากันกับเสียงสไตล์หุ่นยนต์ของนังหอกที่ออกมานั่งบ่นพึมพำเล่าอัตชีวประวัติชีวิตลำเค็ญของนางผ่านระยะเวลา3นาทีกว่าๆ ตอนแรกก็แอบนึกว่านางบ้าหรือเปล่าว่ะ นั่งพูดคนเดียวอยู่เป็นนาที แต่ว่าไม่ได้นะจ้ะ เพราะแต่ละซีนที่นางยกมาอยู่ในเพลงนี้ก็ หูยยย ร้ายๆแรงๆไม่แพ้ละครอีอั้มเถิกคูโบต้ากันเลยทีเดียว ตอกหน้าอีบรรดาพวกช่างเสือกช่างเมาท์เอาให้แสบถึงแก่นแตด โดยเฉพาะท่อน “You want a piece of me? (หรือมึงจะเอาคะ อีดอก)” ทำเอาถูกอกถูกใจกะเทยเก้งกวางตั้งแต่ตุ๊ดหัวโปกวัยกระเตาะไปยันกะเทยวัยหมดสมรรถภาพทางเพศให้ได้ร้องกรี๊ดกร๊าดเหมือนผีโดนข้าวสารเสก แหม ถ้าไม่มั่นหน้ามั่นโหนกได้แบบหอกจริงๆเนี่ย เพลงนี้ก็คงไม่ได้กรีดกรายตอแหลได้เท่านี้หรอกนะจ้ะ ก็อย่างว่าของมันดีตั้งแต่วัตถุดิบจนถึงขั้นตอนการปรุง ที่รับประการความแซ่บความนัวชนิดพร้อมเสริฟทันทีไม่ต้องปรุงเพิ่มเพิ่มขนาดนี้ ใครมันจะอดใจไหวหล่ะเน้อะ? แต่ว่าก็ว่าเถอะ ส่วนตัวยอมรับว่าเพลงนี้ของหอกเผ็ดจริงอะไรจริง ตามสไตล์ไทยเมโลดราม่าพล็อตง่ายแต่แซ่บนัวๆแบบเดินมาจิกหัวตบตกบรรไดเหมือนละครช่อง3 ก็นะ มันออกจะดูไม่ค่อยมีชั้นเชิงเป็นละครหลังข่าวมากไปหน่อย พูดยังไงดีล่ะ คือถ้าไม่มีกินหมี่หม้อเปิดมาก่อน ฉันคงจะว้าวกับเพลงนี้มากกว่านี้ เพราะเนื้อหาของทั้ง2เพลงนี้มาแนวเดียวกันเลย คือจิกๆกัดๆ คือเพลงนึงเลือกจะใช้การเปรียบเทียบอุปมาอุปมัยเนียนๆ (กะเทยคงไม่คิดว่าdirty dancingเป็นแค่pole dancing และเสียงผีเปรตตะโกนเอาอีกๆๆ นี้คือคนดูต้องการเห็นอีหอกเด้งเป็นหมูโดนไฟช็อตหรอกนะ) แต่อีกเพลงเลือกที่จะนำเสนอจิกกันโต้งๆด่ามาตบกลับกูไม่โกง แม้ว่าผลที่ออกมาก็คือแซ่บเหมือนกันก็จริง แต่อันหนึ่งเปรียบเทียบก็เหมือนซีรี่ย์สอบสวนสืบสวนลึกลับซับซ้อนต้องตีความ แต่อีกอันคือละครสไตล์อีอั้มเอะอะก็จะตบกันท่าเดียวอะค่ะ กะเทยเห็นภาพไหม? ฉันว่าตรงนี้เป็นจุดด้อยของเพลงนี้ที่ทำให้ฉันหักคะแนนไป แต่ยังไม่หมด ยังมีจุดด้อยอีกข้อสำหรับเพลงนี้ก็คือฉันไม่เห็นความเป็นblackoutในเพลงนี้เลย โอเค ถ้าบอกว่าภาคเนื้อหาก็พอจะblackoutอยู่นะ ก็อาจจะพอกล่อมแกล้มผ่านไปได้ สุดท้ายแล้วกันสำหรับการวิจารณ์เพลงนี้ ก็ขอพูดถึงสิ่งที่ผ่านไปแล้วเสียหน่อยคือตัวฉันเองรู้สึกเสียดายที่สุดว่าทำไมเพลงนี้ถึงไปไม่ถึงฝั่งฝัน มันน่าเสียดายมากๆเพราะอย่างที่บอกไปข้างบนว่าส่วนประกอบของเพลงนี้มันดีและเผ็ดครบเครื่องมาก โอกาสที่จะปังมันเยอะมาก แต่ก็จบที่ไม่พีคเท่าที่ควร โดยเฉพาะในUKคือเสียดายมากที่จบแค่ที่2 ถ้าเพลงนี้ออกมาตอนนางcomebackอัลบั้มละครสัตว์นะ หึหึ Toxicก็Toxicเหอะ เผลอๆเพลงนี้อาจจะปังระดับเพลงแห่งปีก็ได้ ใครจะรู้



Break the Ice: 4.5/5
มาถึงซิงเกิ้ลที่สามและซิงเกิ้ลสุดท้ายของอัลบั้มนี้อย่างBreak the Ice ที่ส่วนตัวเองต้องยอมรับนะว่าภาคดนตรีของเพลงนี้เป็นอีกหนึ่งเพลงที่ทำได้ทรงพลังและสมบูรณ์ที่สุดเพลงหนึ่งในอัลบั้มนี้ ทำให้ภาพรวมของอัลบั้มมีเอกภาพและดึงคะแนนตัวอัลบั้มขึ้นมาจนอัลบั้มนี้กลายเป็นthe bestในใจของนักฟังหลายๆคน แม้ฉันจะเบ้ปากรัวๆให้กับ“ความทิมบาแลนด์อีกแล้ว”ก็ตามที พูดถึงภาคดนตรีกันก่อน สำหรับเพลงนี้เป็นงานที่ฉีกมาสายเออเบินมิวสิคมากกว่าแทร็คอื่นๆในอัลบั้ม (อีกแทร็คที่เข้าข่ายก็ Get Naked (I Got a Plan)) ภาพรวมของเพลงถูกนำเสนอในสไตล์งานพ็อพเต้นรำที่ยืนพื้นด้วยซาวด์อิเล็กโทรอาร์แอนด์บีซึ่งได้อิทธิพลจากการผสมผสานระหว่างเรฟมิวสิคและครังก์ พร้อมเสริมทัพด้วยงานกอสเพลที่ใส่มาในช่วงเริ่มเพลงและกลางเพลง อีกทั้งลูกเล่นซินธิไซเซอร์และบรรดาโพรแกรมมิ่งที่แคลชกันมันส์หยดติ๋งๆ ส่วนภาคเนื้อหาเองก็มันส์หยดติ๋งไม่แพ้กัน เมื่องานนี้หอกลองสวมบทสาวใหญ่สุดเซ็กซ์สะบึมที่อาสามาละลายน้ำแข็งเอาให้ละลายน้ำท่วมโลกจนกระอักตายกันไปเลย ตัวเนื้อหาก็โอเคนะ ไม่ได้มีปัญหาอะไรออกจะชอบด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่ฉันรู้สึกคือฉันไม่เชื่อสิ่งที่หอกพยายามrepresentออกมาแค่นั้นเอง คือเข้าใจนะว่าหอกพยายามดีไซน์การร้องออกมาให้ดูเซ็กซี่ขี้เล่นฟีลแบบสยิวกิ้วอะไรพวกนี้ คืออาจผิดที่ดิฉันเองหรือเปล่าที่ไม่อินกับความhot hot hotที่นางพยายามสื่อออกมา หรืออาจเพราะฉันคงไม่มีรสนิยมเลสเบี้ยนที่ฟังเพลงนี้จบแล้วจะเกิดอารมณ์อยากร่วมเพศขึ้นมา งั้นคงต้องถามกะเทยแทนแล้วกันว่าฟังแล้วรู้สึกเจี๊ยวแข็งกันป่ะ?


/เอามาล่อกะเทย



Radar: 3/5
เห็นว่าเพลงง่อยๆจิตแตกอย่างนี้ แต่อีเกย์ด้าเองก็มีดีกรีเป็นถึงซิงเกิ้ลปิดอัลบั้มละครสัตว์เชียวนะจ้ะ (และเกือบเป็นซิงเกิ้ลปิดอัลบั้มนี้ด้วย) ถึงแม้จะคนละอัลบั้มแต่ยังไงก็เขียนถึงแล้วก็เลยเอามาไว้ในส่วนวิจารณ์ซิงเกิ้ลไปเลยแล้วกัน ส่วนตัวเองก็แอบแปลกใจนิดหน่อยว่าหอกนางจะใส่เพลงนี้ไปเป็นโบนัสแทร็คอัลบั้มละครสัตว์ทำไม คือคิดว่านางอาจจะเสียดายที่ไม่ได้ตัดเพลงนี้เป็นซิงเกิ้ลในอัลบั้มนี้ เลยลากไปป่วงกันต่อในอัลบั้มละครสัตว์หรือเปล่า ดูท่านางจะเลิฟเพลงนี้มาก แต่ก็นะ ส่วนตัวมองว่าหลายๆเพลงในอัลบั้มละครสัตว์นั้นมีความเหมาะสมมากกว่าเพลงนี้ในแง่ที่จะถูกตัดโปรโมตเป็นซิงเกิ้ล ก็เลยงงกับรสนิยมการเลือกเพลงของนางเล็กน้อย กลับกันก็เข้าใจนะว่าในblackoutเองเนี่ย นอกจาก3ซิงเกิ้ลแรกแล้ว เพลงในอัลบั้มนี้ที่เหลือที่สามารถตัดเป็นซิงเกิ้ลต่อแล้วจะปังนี้ยากมาก ที่สำคัญก็คือเพลงแบบอีเกย์ด้านี้มันคืองานหอกสไตล์อยู่แล้ว แม้ว่าตัวเพลงมันจะป่วงนรกแตกขนาดไหนก็ตาม แต่สำหรับฉันนะ ฉันว่าเพลงนี้เป็นเพลงเดียวในอัลบั้มนี้ที่representความเป็นหอกออกมาได้มากที่สุด อีกทั้งอินเนอร์ต่างๆในเพลงนี้ หอกเองก็มีอีโมชั่นร่วมมากที่สุด ส่วนสาเหตุที่ว่าทำไมฉันถึงมองแบบนั้น ก็เริ่มพิจารณาจากภาคดนตรีกันก่อน ตัวเพลงนี้เองเป็นงานอิเล็กโทรพ็อพติดสำเนียงอาร์แอนด์บีและเรฟมิวสิค ผ่านจังหวะเต้นรำมิดเทมโพ พร้อมสารพัดซินธิไซเซอร์และโพรแกรมมิ่งต่างๆที่ขนประโคมมาทำให้อีเพลงนี้เหมือนเรด้าสุดฤทธิ์ เช่น เสียงสังเคราะห์โซนาร์ซาวด์เอ็ฟเฟ็กท์ที่เป็นคลื่นเสียงสำรวจใต้น้ำ (อีเสียงที่เหมือนเสียงหวอป่อเต็กตึ๊ง ไม่ก็เหมือนเสียงเคาะประคำไล่ผีนรกผีเปรตแบบอีเพลงป่วยๆแบบนี้ให้กลับขุมนรก และอีเสียงไฟฟ้าช็อตซี่ๆๆๆๆเหมือนเสียงไฟฟ้ากำลังช็อตแตดหมูนั้นแหล่ะ) แต่อีหอกก็ดันเอามาใช้เป็นคลื่นเรด้าหาผัวแทน ซึ่งก็เข้ากั้นเข้ากันกับเนื้อหาร่านๆไพร่ๆดูตอแหลเอาไว้จิกผู้ชาย (รู้สึกสงสารผู้ชายที่โดนจิกด้วยอีเพลงนี้ยังไงก็ไม่รู้) คือจริงๆก็ชอบนะดูร่านดูกะหรี่ดี แต่แบบlyricsมันปัญญาอ่อนมากเกินไป เช่น อีท่อนตะโกนเอคโค่“on my radar”ซ้ำไปซ้ำมาเป็นกะหรี่โรคOCDเนี่ย ดิฉันก็ได้แต่กรอกตาในความสิ้นคิดของเนื้อร้องที่ไม่ต่างจากอีพวกเพลงที่เปิดตามสลัมตามงานรถปั๊มอะไรเทือกนั้น แต่อะไรก็ไม่พีคเท่าอีท่อน“dadadadadadada”ตอนจบ ทำเอาฉันลมแทบจับไมเกรนแดก โอ้ยยย ตายแล้ว รสนิยมอีwriterทำไมถึงไพร่และเสร่อได้ขนาดนี้ อีหอกก็ช่างไปขุดไปหามาจากหลุมไหนเนี่ย แต่ความบรรลัยยังไม่จบเท่านั้น เสียงหอกเองก็pitchแหลมมาก ยังไม่พอนางยังจะออโต้จูนอีก คือสรุปนี้มึงจะฆ่ากูใช่ไหมคะ อีหอกกกก ยิ่งเห็นชื่อโปรดิวเซอร์แล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าด้วยความเพลียละเหี่ยใจ อีBloodshy & Avantทำไมทำเพลงได้ส้นตีนไร้รสนิยมแบบนี้ ยิ่งเทียบกับอีToxicหรือPiece of Meแล้วช่างแตกต่างกับอีเพลงนี้ราวกับสวรรค์กับนรก แต่เดี๋ยวก่อนค่ะ พี่ไม่ตัดสินใจ เห็นป่วยๆง่อยๆแต่อีเกย์ด้าก็มีข้อดีกับเค้าเหมือนกันนะเออ แม้จะไพร่จะเสร่อขนาดไหน แต่กลับปฏิเสธไม่ได้ว่าอีเพลงนี้ติดหูชะงักดีนัก ไม่ว่าจะเป็นท่วงทำนองหรือเนื้อร้อง ช่างหลอกหลอนอารมณ์ดิฉันเหลือเกิน กะเทยนางไหนอยากได้ฟีลเทคยาคุมเกินขนาดจนจิตวิปริต ก็ฟังเพลงนี้บ่อยๆนะคะ ได้ผลพอๆกัน (ดิฉันไม่ได้มีประสบการณ์ตรงนะคะ เพราะเป็นหญิงแท้มีมดลูกและประจำเดือน ที่รู้มาเนี่ยเพราะฟังอีกะเทยแมรียาบอกเล่ามาอีกที) แต่ว่าก็ว่าเหอะ ถึงเพลงนี้ทั้งดิฉันรวมทั้งนักฟังหลายๆท่านจะลงความเห็นว่าเป็นงานที่ค่อนข้างง่อยมากเพลงนึงในcareerนังหอก แต่เมื่อเทียบกับงานEDMเสร่อชาติไพร่สัตว์นรกแบบในปัจจุบัน อีเกย์ด้าดูกลายเป็นนางฟ้านางสวรรค์ภายในพริบตาเลยทีเดียว





_________________

ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ส่ง Email
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  


Track by Track
Heaven on Earth (4/5) งานยูโรดิสโก้ผสานเทคโนเฮาส์ลอยๆ ซึ่งได้รับอิทธิพลจากงานประเภทนิวเวฟ โดยต้นแบบของเพลงนี้น่าจะมาจากเพลงI Feel LoveของDonna Summer สำหรับความเห็นส่วนตัวต่อเพลงนี้ ฉันมองว่าเป็นอีกแทร็คที่ทำได้ดีและสมบูรณ์พอที่จะดึงศักยภาพโดยรวมของอัลบั้มนี้เพิ่มขึ้น แต่ถ้าพูดถึงความชอบนี้ก็อีกเคสหนึ่ง สำหรับฉัน ฉันว่าหอกนางเอาเพลงนี้ไม่ค่อยอยู่ คือจริงๆก็ไม่ได้โทษนางนะ ฉันว่าตัวโปรดิวเซอร์เองก็คงเห็นว่าพอองค์ประกอบทั้งหมดของเพลงนี้มันมาโป๊ะกันก็น่าออกมาปังได้ไม่ยาก แต่นางคงลืมว่ามีอะไรบางอย่างที่มันout of control คือฉันเห็นความตั้งใจของทุกหน้าที่ทุกพาร์ทของเพลงนี้นะ อย่างตัวหอกเองนางก็พยายามจะอินคาแร็คเตอร์ในการถ่ายทอดอีโมชั่นออกมา แต่ด้วยความที่เพลงนี้มันมีจังหวะที่ชัดเจน เห็นป่ะว่ากลองฟาดโป๊งโป๊งชึ่งเป็นจังหวะสามช่าขนาดนั้น อีกทั้งพวกเสียงสังเคราะห์ที่ยังยิงเฟี้ยวฟ้าวไปมา แต่เสือกมากับเนื้อหารักๆใคร่ๆดูเพ้อเจ้อเป็นชะนีน่าโง่บ้าควยแทน หอกก็คงงงๆเลยมาสายmoderate wayพยายามดีไซน์การร้องให้ดูล่องลอยโลกสวยบ่นพร่ำเพ้อสรรพคุณความเป็นชะนีบ้าควย แต่นางคงลืมไปว่าเสียงนางweakอยู่แล้ว พอพยายามดัดให้ดูsoftมันยิ่งweakกว่าเดิม ผลที่ออกมาคือเหมือนชะนีกำลังเมายาและช่วยฉุดกระชากให้เพลงดูล่องลอยไร้ทิศทางไปกันใหญ่ Get Naked (I Got a Plan) (0/5) ถ้าOutrageousคือเพลงที่ไพร่ที่สุดในIn the Zone อีGet Nakedคงเป็นความระยำขั้นสุดจนหาเพลงไหนของนังหอกมาเปรียบไม่ได้อีกแล้ว ทั้งภาคดนตรีและเนื้อหาคือนิยามคำว่าต่ำก็ยังไม่เพียงพอ แค่นึกสภาพหน้าเหี้ยควยดำมืดเหมือนกอลิล่าเดินได้อย่างอีแดนจามาลูบไล้ด้วยความเงี่ยนหื่นกาม กูก็จะอ้วกแล้ว แต่ไม่ใช่แค่นั้น อีหอกนางก็สนองซะ โอ้ยยย โดยเฉพาะอีท่อนที่ครางให้แหกหีแก้ผ้านี้แบบบบ ฉันแทบอยากจะกรี๊ดในความระยำต่ำทรามสุดทนของเพลงนี้ แค่นึกก็ขนลุกเหมือนดูสารคดีสัตว์แปลกๆคนละสปีชีส์เย็ดกันแล้ว สุดท้ายนะคะ กะเทยหรือชะนีนางไหนบอกฟังเพลงนี้แล้วรู้สึกเซ็กซี่หรือเงี่ยนรบกวนไปเช็คประสาทหูด่วน นอกเสียจากหล่อนจะเป็นพวกวิปริตวิตถาร ชอบเย็ดกับสัตว์อันนั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง อีก3แทร็คต่อมานี้อยากมัดรวมกันมาก เพราะทั้ง3แทร็คนี้ล้วนแล้วแต่เป็นจุดด้อยที่ดึงความเป็นเอกภาพของอัลบั้มนี้ให้ลดลงทั้งสิ้น เริ่มที่ Freakshow (3.5/5) ฟังครั้งแรกนี้ฉันก็สามารถจินตนาการออกมาเป็นโชว์ได้เลยนะ แบบเป็นพวกนางโชว์ธีม“Top Hat, White Tie and Tails”อะไรเทือกนั้น คือเป็นเพลงที่เอื้อให้ทำโชว์มากๆ ส่วนภาคดนตรีเองนั้นก็เป็นงานอัพบีทแดนซ์พ็อพติดสำเนียงงานสตรีทเออเบินและอิเล็กโทร เดินจังหวะด้วยดั๊บสเตปที่ลอกจังหวะแท็ปแดนซ์มา อีกทั้งเทคนิคการร้องของหอกในเพลงนี้เองก็มาแบบpitchต่ำๆเหมือนผู้ชาย (และก็มีออโต้จูนเป็นเสียงผู้ชายไปเลย) ทำให้ฉันรู้สึกว่าเออเน้อะเป็นเพลงที่ให้อารมณ์หลากหลายดีเหมือนกัน คือจะเปรี้ยว เก๋หรือโก้ก็ได้ แต่ภาพรวมดูหลุดคาแร็คเตอร์ของblackoutออกไปไกลโขเลย อีกทั้งเนื้อหาเองก็ไม่สื่ออะไรที่มันblackoutอีกต่างหาก ฉันว่านะเพลงนี้ควรไปอยู่ในอัลบั้มละครสัตว์แทนอีเกย์ด้า คือถ้าอยู่ในอัลบั้มละครสัตว์คงทำให้ภาพรวมอัลบั้มนั้นstrongกว่านี้ แต่พอมาอยู่ในอัลบั้มนี้ก็อย่างที่เห็นต่อให้เพลงดีแต่ไม่ใช่มันก็ไม่ใช่นะคะ มาต่อมาอีก2เพลงที่เหลือคือToy Soldier (2.5/5) และ Hot as Ice (0.5/5) ที่ทั้งคู่เป็นงานเต้นรำสไตล์งานอัพบีทอาร์แอนด์บีแรงๆเหมือนกัน และทำได้ค่อนข้างห่วยพอกัน อีเพลงแรกแม้จะเพลียไปบ้างแต่ก็พอกล่อมแกล้มไปได้ สตรีทอาร์แอนด์บีแรงๆที่ชนกับแมชชีนดรัมฟาดจังหวะมาร์ชรัวๆ อีกทั้งเนื้อก็ไม่มีอะไรมากแค่นั่งด่าผัวง่อยๆของนางไปเรื่อยๆ แต่อีเพลงหลังนี้สิ่ ไม่รู้อะไรเข้าฝันให้อีหอกเอาเพลงเสี่ยวแดกไร้รสนิยมขนาดนี้มาประดับอัลบั้ม อีGet Nakedแม้ภาพรวมจะเข้าขั้นระยำอัปรีย์แต่ถ้าตัดมาแค่ภาคดนตรีเพียวๆก็ต้องยอมรับว่าอย่างน้อยก็มีชั้นเชิงและทำเพลงเป็น แต่งานอาร์แอนด์บีแดนซ์พ็อพสั่วๆเสี่ยวๆจังหวะโป๊งโป๊งชึ่งสามช่าที่ดูสภาพแล้วคงเปิดได้แค่ตามซ่องกะหรี่ แถมยังไม่พอมึงยังยิงเสียงสังเคราะห์เห่ยๆเหมือนเสียงของเล่นที่แถมตามขนมซองละห้าบาท คือทำได้ต่ำตมบ่งบอกกำพืชคนทำเพลงมาก พอหันไปดูสิ่ว่าใครเป็นโปรดิวเซอร์ แล้วก็ถึงกับร้องอ้อ พยักหน้าหงึกๆทันที เพราะไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นอีมืดขันทีที่เคยอวดฝีมือกับเพลงลาว อุ้ย โลว์ให้ได้ประจักษ์สายตาประชาชีให้เค้าสมเพชกันทั่วมาแล้วนี้เอง กลับกันถ้าอี3เพลงนี้ดึงให้ภาพรวมอัลบั้มดูง่อยลง อีก3แทร็คสุดท้ายก็ล้วนแล้วแต่ทำให้ภาพรวมของอัลบั้มนี้ดูstrongสมธีมblackoutมากยิ่งขึ้น คือก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าอี3แทร็คสุดท้ายเนี่ยก็ทำได้ดูเพลนๆบ้านๆ ไม่ได้เน้นฟิวชั่นทดลองแบบครึ่งแรก แต่ฉันกลับชอบแบบนี้ง่ายๆดูซิมเพิลไปเลยมากกว่าหล่ะนะ ไล่ไปเลยตั้งแต่ Ooh Ooh Baby (4/5) ยอมรับว่าค่อนข้างbiasedกับเพลงนี้ เพราะฟังแล้วดูสวย ดูเซ็กซี่ มีเสน่ห์ แต่ขณะเดียวกันก็ดูลึกลับ น่าค้นหา จังหวะของกีตาร์ฟลาเมงโกกับจังหวะเพลงตามสไตล์งานอาร์แอนด์บีมิดเทมโพก็ช่างเข้ากั้นเข้ากัน แถมยังให้อารมณ์หม่นๆแบบบอกไม่ถูก เนี่ยฟังจบแล้วอยากไปจิกกระโปรงมาสะบัดเป็นระบำฟลาเมงโกต่อรัวๆ ถ้าจะตัดคะแนนก็ตรงเนื้อหาที่ดูกลวงๆเป็นชะนีเพ้อเจ้อไปหน่อย อีกทั้งlyricsเองก็ทำออกได้หน่อมแน้มเกินไป เพลงต่อมา Perfect Lover (4/5) เพลงอวดผัวอวดผู้ชาย แหม ถ้าอยากเป็นผู้ชายเพอร์เฟ็คท์ก็ต้องเย็ดมันส์หน่อยนะจ้ะ หอกกล่าวมาอย่างนี้ สำหรับฉันก็เป็นเพลงที่อีแดนจาทำได้ดีอีกเพลงหนึ่งในอัลบั้มนี้ อัพบีทอาร์แอนด์บีที่ผสานกับเทคโนเฮาส์และอิทธิพลจากงานนิวเวฟ พร้อมพวกโพรแกรมมิ่ง ซาวด์สังเคราะห์ที่เป็นลายเซ็นอีแดนจามาตั้งแต่แทร็คแรกนั้นแหล่ะ ซึ่งก็ทำออกมาแล้วก็ให้ได้อารมณ์อู้ว์อ้าดีค่ะ ถึงไม่ได้หวือหวาประโคมเยอะเท่าแทร็คอื่นๆในครึ่งแรกก็ตาม แต่ก็ดูชัดเจนและless is moreดี Why Should I Be Sad (2.5/5) เพลงบอกลาแดอีวิ่นผัวเก่า ที่ได้อีฟาเรลล์มาดูแลให้ เป็นแทร็คไฮไลต์ปิดฉากชีวิตรักโสมมย่ำแย่ของนาง บอกลาความblackoutเสียที ทุกท่อนทุกคำที่นางร้องออกมาล้วนแล้วแต่มีความหมายทั้งสิ้น บ่งบอกถึงทั้งสภาพชีวิตและสภาพจิตใจของนางในตอนนั้นที่อ่อนแอและตัวนางเองต้องทุกข์ทรมานกับสภาพเช่นนั้นมากขนาดไหน แต่ว่าก็ว่าเถอะ อีฟาเรลล์ก็ไม่ได้นำพาให้ฉันมีอีโมชั่นร่วมกับเพลงนี้เลยแม้แต่น้อย กลับทำให้ฉันรู้สึกรำคาญเสียมากกว่าด้วยซ้ำ ก็ไม่รู้จะต้องโทษใครดีเหมือนกัน



สรุป
เป็นรีวิวที่เขียนยาวนรกแตกมากๆอีกรีวิวหนึ่งตั้งแต่เคยเขียนมาเลย สำหรับอัลบั้มนี้จริงๆแทบไม่ต้องกล่าวสรุปอะไรอีกแล้วด้วยซ้ำนะ เพราะตั้งแต่เริ่มรีวิวจนถึงแทร็คสุดท้ายก็คิดว่าตัวเองแสดงทัศนะต่อทั้งตัวเพลงและตัวอัลบั้มได้ชัดเจนที่สุดแล้ว สุดท้ายและท้ายสุดขอฝากรีวิวหน้าดีกว่า ซีรี่ย์สฺที่สองจะเป็นนางไหนและอัลบั้มอะไรฝากติดตามอ่านกันด้วยนะจ้ะ รับรองว่าสำนวนแซ่บไม่แพ้รีวิวนี้แน่นอน สุขสันต์ปีใหม่ล่วงหน้าต่อผู้อ่านทุกคนนะ จุ๊บๆ





_________________

ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ส่ง Email
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  



_________________

ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ส่ง Email
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
เจ็บแบบนี้ ต้องไปแชร์ใน #ForwardMag like


_________________

Like กดที่รูป
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
FF_Staff พิมพ์ว่า:
เจ็บแบบนี้ ต้องไปแชร์ใน #ForwardMag like


ว้ายยย ขอบคุณพี่สตาร์ฟมากค่ะ


_________________

ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ส่ง Email
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
ตอบ หน้า 1 จาก 1
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
  


copyright : forwardmag.com - contact : forwardmag@yahoo.com, forwardmag@gmail.com