˹���á Forward Magazine

ตอบ

5 รีวิวของเจ๊แนส Da Nastina ที่ประทับใจที่สุด
ผู้ตั้ง ข้อความ
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ 5 รีวิวของเจ๊แนส Da Nastina ที่ประทับใจที่สุด 
กล่าวสั้นๆง่ายๆละกันว่าคิดถึงรีวิวเจ๊ 555+ เลยเอามาให้ดูกัน เพราะคิดว่าต้องมีคนคิดถึงรีวิวเจ๊แนสแน่ๆ ยังไงก็มาอ่านรีวิวเก่าๆของเจ๊ที่ประทับใจพาราที่สุดสัก 5 รีวิวแล้วกัน




_________________

April fighting! + angel Sojin�
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
แล้วไม่คิดถุงน้องแอมเลยหรา


_________________

ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ส่ง Email ชมเว็บส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
อันดับที่ 5 รีวิววันคริสมาสต์กับ 12 ดิว่าส์

Da Nastina พิมพ์ว่า:
ค่ะ อาจจะมอบของขวัญเมอร์รี่คริสมาสต์เร็วไปนิดนะคะเนื่องจากส่วนตัวไม่แน่ใจว่าช่วงเทศกาลจะมีเวลามานั่งเล่นบอร์ดรึเปล่าเพราะ แหม ปลายปีมันก็หมายถึงพาร์ตี้กระหน่ำนะคะ ส่วนตัวก็ตระหนักดีค่ะกับสิ่งที่เคยพูดไว้ว่า จะเลิกรีวิว ก็แน่ค่ะเดี๊ยนก็จะทำตามที่เดี๊ยนพูดทุกประการหากแต่ว่านานทีปีหน กฏทุกกฏบนโลกนี้มันมีไว้สำหรับให้แหกจริงมั้ยล่ะคะ ดังนั้นถือว่ารีวิวนี้เป็นการกลับมาเฉพาะกิจเหมือนกับการกลับมาเยี่ยมบ้านเพื่อนำของขวัญมามอบให้เพื่อนๆนะคะไม่ใช่ฐานะนักรีวิวในกระแสหลักของบอร์ดไปจนถึงตัวแม่ของบอร์ดอย่างที่หลายๆคนเคยกรุณาให้เกียรติมอบตำแหน่งนั้นให้เดี๊ยนอีกต่อไป (ส่วนตัวขอขอบคุณจากใจและขอบอกว่าเป็นเกียรติมากๆค่ะ) ก็ส่วนตัวช่วงนี้ก็มีเวลาว่างสั้นๆมานั่งเขียนอ่ะนะคะก็ถือเสียว่าเป็นงานเขียนจากอดีตคนในบอร์ดที่มอบเป็นของขวัญให้แก่เพื่อนๆที่รักทุกคนและก็ถือว่าเป็นการชดใช้ให้แก่ตัวเองหลังจากที่เลิกจากสิ่งที่ตนรักที่สุดสิ่งหนึ่งไปร่วม3เดือน

ของขวัญคริสมาสต์ปีนี้เดี๊ยนขอมอบโปรเจ็กต์แนสทิน่ากับดิว่าให้เพื่อนๆนะคะ สำหรับ "ดิว่า" ในวงการดนตรีนี่เราก็สามารถนิยามออกไปได้แตกต่างตามทัศนคติ รสนิยมและความเข้าใจในแต่ละระดับของบุคคล บางท่านอาจจะนับถือศิลปินหญิงให้เป็น ดิว่าจากน้ำเสียงในขณะที่บางท่านโฟกัสไปที่ผลงานและการนำเสนอมากกว่าเช่นเดียวกับที่อีกหลายๆท่านที่ตัดสินศิลปินที่เป็นดิว่าจากพลังและอิทธิพลในตัวของพวกเธอ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมาเนี่ยไม่มีใครผิดค่ะเป็นนิยามส่วนบุคคล เพราะว่าที่กล่าวไปทั้งหมดนั่นแหละคือคุณสมบัติเบื้องต้นของการเป็นวีรสตรีที่โดเด่นเป็นแนวหน้าประดับอุตสาหกรรมดนตรี แน่นอนค่ะคนเราร้อยพ่อพันแม่ต่างคนต่างภาพลักษณ์ ต่างการนำเสนอและต่างคุณสมบัติหากแต่สิ่งที่ทุกคนมีเหมือนกันก็คือพลังขับเคลื่อนอย่างมหาศาลที่มีอยู่ในตัวซึ่งพร้อมจะเป็นแรงบันดาลใจและสร้างปรากฏการณ์ที่สั่นสะเทือนไปทั่วโลกและแน่นอนพวกเธอทุกคนล้วนเป็นแถวหน้าทั้งสิ้น จาก100คัดมาเหลือ12นะคะนี่คือรีวิวผลงานล่าสุดของดิว่าจากกระแสหลัก14ท่านที่เดียนเล็งเห็นว่าทรงอิทธิพล น่าสนใจและปฏิเสธที่จะกล่าวถึงไม่ได้ มหาราชินีแห่งเพลงพ็อพมาดอนน่า ตำนานจากยุค90มารายห์ แครีย์ เดอะวอยซ์อย่างวิทนีย์ ฮุสทัน แดนซ์ซิ่งควีนตลอดกาลไคลีย์ มิโน้ก 2มือวางอันดับหนึ่งแห่งบัลลังก์เจ้าหญิงแห่งวงการเพลงพ็อพบริทนีย์ สเปียรส์และคริสทิน่า อากิเลร่า ไปจนถึงฝากสาวร็อคอย่างพิ้งค์ ดิว่าที่เพิ่งจะผันตัวไปสู่แวดวงคันทรีย์อย่างเจสซิก้า ซิมป์สัน ดิว่าอาร์แอนด์บีตัวแทนแห่งยุคอย่างอลิช่าส์ คียส์และบียอนเซ่ รวมถึงสาวที่กำลังจะกลายเป็นดิว่าที่น่าจับตามองอย่างริฮานน่าและปิดท้ายด้วยเลโอน่า ลูอิสดาวเด่นประจำปี2008ที่ฉายแววดิว่าโดดเด่นตั้งแต่เริ่มประเดิมสังเวียน ไม่ว่าพวกเธอนั้นจะเป็นดาวค้างฟ้า ดัวอันเจิดจรัส ดาวดวงใหม่หรือดาวที่อับแสงไปแล้วก็ตามแต่ส่วนตัวเดี๊ยนเชื่อว่าตัวโน๊ตที่แตกต่างกันทั้ง12เสียงนี้สามารถผสานกันออกมาได้อย่างกลมกลืนและคงจะทอแสงประกายอยู่ในใจผู้ฟังไปได้อีกนานแสนนานแน่นอน




Madonna : Hard Candy : 4/5

สำหรับเดี๊ยน "มาดอนน่า" ต้องเป็นศิลปินคนแรกที่เดี๊ยนนึกถึงเคียงคู่กับสถานภาพดิว่าอย่างแน่นอน ด้วยการที่ตลอด3ทศวรรษที่เธอยังคงความเป็นหนึ่งในวัฏจักรดนตรีอันแสนเชี่ยวกรากนี้ เธอได้พิสูจน์ศักยภาพในตัวเธอใทุกๆสายตาประจักษ์ตั้งแต่การเป็นศิลปินที่โด่งดัวในแวดวงอินดี้ไต่ระดับมาจนถึงการเป็นเจ้าหญิงแห่งวงการเพลงพ็อพชั่วข้ามคืนสู่ความเป็นไอค่อนอันดับหนึ่งของคนทั่วโลก สาวนักปฏิวัติและล่าสุดกับตำแหน่งอันทรงเกียรติที่เธอสมควรจะได้รับกับสถานะ "มหาราชินีเพลงพ็อพ" แห่งอุตสาหกรรมดนตรี ตลอดระยะเวลาที่เธอพิสูจน์ตัวเองทุกๆแผนการตลาดอันล้ำเลิศ ทุกความคิดสร้างสรรและไอเดียอันบรรเจิดที่เธอสร้างปรากฏการณ์ไปเขย่าอาณาจักรดนตรีทั่วโลกนั้นทุกสิ่งอย่างที่เะอทำตอลบโจทย์ถึงความหมายของคำว่า "ดิว่า" ได้อย่างครบถ้วนและมีชั้นเชิง

รูปแบบเพลง

สำหรับเดี๊ยน Hard Candy เปรียบเสมือนภาคต่อของ Confessions On A Dancefloor โดยเป็นภาคต่อที่มีการจำกัดภาคดนตรีให้แคบลงรวมถึงก้าวสู่ความเป็นเออร์บันมากขึ้น ภาคการนำเสนอโดยรวมถูกพัฒนาให้เข้าถึงง่ายขึ้นรวมถึงสอดคล้องต่ออุปสงค์ของผู้บริโภคในตลาดกระแสหลักยุคปัจจุบันมากขึ้น โดยภาคดนตรีส่วนใหญ่ยังคงยืนพื้นที่ความเป็นแดนซ์-พ็อพ ดิสโก้และอิเล็คโทรนิคเป็นหลักก่อนจะคลุมทิศทางด้วยภาคดนตรีฮิพฮอพอาร์แอนด์บีและฟั้งค์ที่โดเด่นเป็นโทนเอกของงานชุดนี้เพื่อตอบรับกระแสของดนตรีฮิพฮอพอาร์แอนด์บีซึ่งเป็นที่นิยมไม่เสื่อมคลายในอเมริกา (เอากับเขาจนได้นะคะอีเจ๊)

จุดด้อย

ในช่วงแรกก็ยอมรับนะคะว่าค่อนข้างคลั่งและเห่อไปกับปรากฏการณ์ครั้งใหม่ของเธอมากๆแต่ในระยาวเหมือนผ่านกระแสดังกล่าวไปคงต้องขอสารภาพนะคะว่าเป็นหนึ่งในอัลบั้มของมาดอนน่าที่เดี๊ยนรู้สึกเบื่อเร็วอย่างน่าประหลาดใจ (แม้ว่าทุกวันนี้จะฟังอยู่ก็ตาม) ไม่รู้ว่าจะมีสาวกมาดอนน่าคนไหนรู้สึกเหมือนเดียนรึเเปล่าว่างานชุดนี้มีสีสันสูงหากแต่ค่อนข้างจะขาดชั้นเชิงในแบบฉบับที่เจีเคยเติมเต็มให้ผู้ฟังในงานก่อนๆได้ไปโขเลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตามถ้าให้ตัดสินจากเนื้องานแล้วก็ปฏิเสธไม่ได้ค่ะว่ายังทรงคุณภาพ นี่ขนาดรู้สึกเหมือนอีเจ๊ทำออกมาเล่นๆลวกๆแต่ความเหนือชั้นนี่ยังกินขาดอัลบั้มศิลปินนางนายอื่นๆอีกหลายช่วงตัว หนีไม่พ้นที่จะยกให้เป็นอีกหนึ่งอัลบั้มที่ดีที่สุดประจำปี2008อย่างไร้ข้อกังขาเลยทีเดียว อีกประเด็นหนึ่งคือไม่ทราบว่ามีใครคิดเหมือนกันมั้ยว่า "ความขลังของมาดอนน่าในงานชุดนี้นั้นลดลงไปพอสมควร" คือตัวงานยังคงเป็นที่โดดเด่นและน่าสนใจในสายตาของสาธารณชนด้วยความที่เป็นนงานของมาดอนน่า แต่เมื่อมองกันลึกๆแล้วเดี๊ยนรู้สึกว่าในเรื่องของชั้นเชิง ความประณีต ความเป็นออริจินัลและเสน่ห์ในการถ่ายทอดผลงานของเธอมันถูกลดทอนไปจนน่าตกใจ โชคดีที่อีเจ๊ไม่สูญเสียไอเดียบรรเจิดไปด้วยหลายแทร็คที่คลอดออกมาเลยแลดูเหนือศักยภาพในรอบการฟังระยะยาว สาวกอย่างเดียนค่อยหายใจทั่วท้องหน่อย

แทร็คเด็ด

เปิดอัลบั้มด้วย Candy Shop (3.5/5) พ็อพเต้นรำบนภาคการนำเสนอแบบอีสต์โคสต์ฮิพฮอพอาร์แอนด์บีจังหวะโจ๊ะๆ ส่วนตัวขอสารภาพว่าฟั้งครั้งแรกแล้วลมแทบจับเนื่องจากมันฟังดูไร้ชั้นเชิงอย่างมากชนิดที่มาแบบเสี่ยวๆยัดขายกันง่ายๆเลยทีเดียว ในรอบการฟังแรกขอบอกว่าหน้าซีดค่ะประมาณว่า "นี่อีเจ๊หล่อนจะเอาแบบนี้จริงเหรอ" แต่พอให้เวลาปรับตัวฟังไปนานๆแล้วก็รู้สึกว่าความเปรี้ยวในตัวเพลงกด็เพิ่มมากขึ้นตามลำดับเช่นกัน ก็ถือว่าเก๋ไปอีกแบบนะคะที่มาดอนน่ากระชากวัยสับรางลงมาทำฮิพฮอพวัยรุ่นผิดหูผิดตาขนาดนี้ให้ฟังกัน ยิ่งไปกว่านั้นตัดสินกันในระยะยาวแล้วเดียนรู้สึกว่าเป็นแทร็คที่ตอบภาพรวมของอัลบั้มในคอนเส็ปท์ Sticky & Sweet ได้อย่างเหนือชั้นเลยทีเดียว

มาที่บรรดาเพลงที่ถูกเลือกตัดโปรโมตเป็นซิงเกิ้ลกันบ้างเริ่มด้วย 4 Minutes Feat.Justin Timberlake And Timbaland (2.5/5) ซิงเกิ้ลแรกที่เป็นการผสมผสานระหว่างความเป็นแดนซ์พ็อพ ดิสโก้ในแบบฉบับของมาดอนน่าเข้ากับอาร์แอนด์บีฮิพฮอพสไตล์สองหนุ่มที่มาร่วมงานด้วย ผลลัพธ์ออกมาเป็นเออร์บันแดฯซ์พ็อพ ดิสโก้ที่โดเด่นและลงตัวทุกองค์ประกอบฟังแล้วไม่แปลกใจค่ะที่มันจะเป็นปรากฏการณืไปทั่วโลกเนื่องจากความสมควรจะ "ดัง" ในตัวมันมีสูงพอ อย่างสมเหตุสมผลอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามยังยืนยันคำเดิมที่เคยเขียนไปในงานรีวิวชุดที่แล้วนะคะว่าซิงเกิ้ลนี้เป็นิงเกิ้ลแรกของมาดอนน่าที่ไม่กระแทกต่อมความรู้สึกใดๆของเดี๊ยนเลยแม้แต่น้อย โดยส่วนตัวถือว่าเป็นการคัมแบ็คที่ซึมเซาจนน่าสลดใจด้วยซ้ำไม่ว่ามันจะได้อันดับ1ไปกี่ประเทศก็ตามเถิด ซิงเกิ้ลถัดไป Give It To Me Feat. Pharrell Williams (3/5) ในรูปแบบยูโรพ็อพเต้นรำเจืออิเล็คโทรนิคผสานการนำเสนอแบฟั้งค์กี้ย์ฮิพฮอพอาร์แอนด์บีในสไตล์ที่ฟาร์เรลล์ถนัดโดยส่วนตัวรู้สึกว่าภาคการนำเสนอเหมือนภาคต่อที่อ่อนกว่าของSorryหนึ่งช่วงตัว ต่อด้วย Miles Away (5) ซิงเกิ้ลล่าสุดที่ภาคดนตรีเปรียบเสมือนการปลุกวิญญาณพ็อพโฟล์คที่เราคุ้นเคยกันดีจากอัลบั้ม Music ให้ผสานชีวิตใหม่เข้ากับความเป็นเออร์บันทั้งบีทเต้นรำแบบสตรีทอารืแอนด์บี แอมเบี้ยนท์ลอยละล่องและอิเล็คโทรนิคได้อย่างลงตัวส่วนตัวคิดว่าเป็นแทร็คที่ดีที่สุดของงานชุดนี้แล้ว เสียดายที่เพลงๆดีๆแบบนี้ไม่ได้รับการโปรมตมากเท่าที่ควรจะเป็น

สำหรับดาวจรัสแสงดวงอื่นๆในอัลบั้ม ที่โดดเด่นที่สุดจนไม่สามารถเลี่ยงที่จะกล่าวถึงได้คงหนีไม่พ้น She's Not Me (4.5/5) ที่แรงจัดทั้งภาคเนื้อหาและมีชั้นเชิงในการผสมผสานดนตรีโดยภาพรวมยืนพื้นที่พ็อพอาร์แอนด์บีเต้นรำเสริมทัพด้วยโอลด์สคูล โซล ฟั้งค์กี้ย์ ดิสโก้ อาร์แอนด์บีกึ่งๆเทคโนไปจนถึงซาวนด์บีทบ็อกซ์ สตรีทอาร์แอนด์บี คลับแดนซ์และซินธ์พ็อพได้อย่างเจิดจรัสสุดๆ เริ่ดมาก ต่อด้วย Heartbeat (4/5) ต๊ายยยยยย กลิ่นจิ๋มน้าไข่หึ่งเชียวค่ะ ภาคดนตรีเป็นยูโรอิเล็คโทรแดนซ์พ็อพที่ดำเนินบทบาทภายใต้โครงสร้างของบีทไลท์เทคโนก่อนจะตบด้วยความเป็นฟั้งค์และบีทฮิพฮอพอาร์แอนด์บีแน่นๆเข้าไปเพิ่มเสน่ห์อย่างถึงขีดสุด สำหรับ Devil Wouldn't Recognize You (3.5/5) ก็เป็นพ็อพอาร์แอนด์บีละเมียดละไมกึ่งบัลลาดสไตล์ทิมบาแลนด์ สำหรับใครที่ชอบเพลง Cry Me A River หรือ What Goes Around...ของจัสตินก็คงจะชอบได้ไม่ยาก (แต่ไม่เหมาะกับหล่อนเลยนะคะอีเจ๊ ให้ตายกลับมาเป็นออริจินัลเหมือนเดิมเถอะ) ปิดท้ายเก๋ๆกับแทร็คเริ่ดๆอย่าง Beat Goes On Feat. Kanye West (5) โอลด์สคูลพ็อพอาร์แอนด์บีเต้นรำผสานอิเล็คโทรพ็อพ ดิสโก้ ฟั้งค์กี้ย โซล ฮิพฮอพและจังหวะแบบมิดเทมโพช่วงยุค80ได้อย่างเหนือชั้นสุดๆ ยังเชียร์ให้เป็นซิงเกิ้ลจนถึงทุกวันนี้นะคะถ้าตัดมานี่กะเทยเตรียมตัวกันเอาไว้ให้ดีนะคะซ่องระเบิดแน่ๆ

สรุป

ในฐานะสาวกมาดอนน่าแม้ว่วนตัวจะไม่คิดว่านี่จะเป็นหนึ่งในจิ๊กซอว์ชิ้นที่โดดเด่นที่สุดที่ได้รับจากเธอก็ตาม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นหนึ่งในย่างก้าวที่เปี่ยมด้วยความน่าสนใจอย่างยิ่งยวดเป็นรอยต่ออันทรงคุณภาพที่ยังการันตีได้ถึงความเป็นผู้ชนะและผู้อยู่รอดตลอดกาลในอุตสาหกรรมดนตรีของมาดอนน่าดิว่าผู้ซึ่งเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์และจริตจก้านอันหวานหอมเย้ายวนประดุจลูกกวาดแสนสวยหากแต่ฉาบด้วยความแข็งแกร่งและรสชาติที่จัดจ้านไม่ธรรมดา ที่มหาราชินีเพลงพ็อพนางนี้มอบให้แก่อุตสาหกรรมดนตรีมาตลอดร่วม3ทวรรษ







Mariah Carey : E= MC 2 : 3.5/5

สำหรับเดี๊ยนเธอคนนี้คือ "ดิว่า" ตั้งแต่วินาทีแรกที่แจ้งเกิดในวงการ ไม่ว่าจะครหาเธออย่างไรก็ไม่สามารถปฏิเสธข้อเท็จจริงได้ค่ะว่าเะอมีความสามารถในการแต่งเพลงได้อย่างมีวาทะศิลป์และเปี่ยวด้วยชั้นเชิงถ้อยวลีอันไพเราะลึกซึ้ง เธอมีเสียงที่มีคุณสมบัติในน้ำเสียงอันไพเราะดุจได้รับการประทานจากสวรรค์ลูกเล่นการถ่ายทอดบทเพลงที่แสนมหัศจรรย์มีชั้นเชิงหาตัวจับยากและพลังเสียงที่ทรงพลังสะท้านไปถึงก้นบึ้งหัวใจ แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันถึงคุณสมบัติเบื้องต้นของผู้ที่จะเกิดมารับตำแหน่งดิว่าในวงการดนตรีได้อย่างดี เธอมีอันดับหนึ่งบนบิลด์บอรืดชาร์ตมากมายถึง18เพลงแสดงให้เห็นว่าเธอครองความเป็นที่นิยมใบ้านเกิดได้อย่างมั่นคง และสิ่งเหล่านั้นคือเครื่องยืนยันความเป็นดิว่าที่ดีสำหรับเดี๊ยนหรือ? เปล่าเลยไม่ใช่ นั่นแค่ส่วนหนึ่ง สำหรับเดียนเดี๊ยนมองว่ามารายห์เป็นศิลปินที่มีมากกว่านั้น มากกว่าแค่ "ดิว่าที่เสียงดีทั่วๆไป" หากแต่สิ่งที่สะท้อนความเป็นดิว่าในตัวเธอออกมาได้ชัดเจนมากกว่าศักยภาพทางดนตรีที่หลายคนมักจะโฟกัสเธอไปแค่จุดนั้น คงจะหนีไม่พ้นอิทธิพลอันยิ่งใหญ่จากทั้งตัวตนและงานเพลงอันมีจิตวิญญาณของเธอประกอบ (เสียงทรงพลังที่ออกมาจากลำคอไม่มีทางน่าประทับใจเท่ากับออกมาจากจิตวิญญาณแน่นอน) นั่นคงเป็นเหตุผลที่ดีที่สุดที่ทำให้เธอมายืนอยู่ ณ จุดนี้และนั่งอยู่ในใจของคอดนตรีหลายๆท่าน

รูปแบบเพลง

แม่มาลัยเราวางคอนเส็ปท์ไว้ให้อัลบั้มชุดนี้เปรียบเสมือนภาคต่อจากงานชุดที่แล้ว The Emancipation Of Mimi นะคะ ดังนั้นภาคดนตรีโดยรวมใน E = MC 2 ก็ยังคงยืนพื้นที่ความเป็นพ็อพอาร์แอนด์บีผสานฮิพฮอพตามธรรมเนียมก่อนจะต่อยอดรสชาติที่หลากหลายทั้งแดนซ์ ฟั้งค์ ดิสโก้ โอลด์สคูล โซล เร็กเก้ บัลลาด แจ๊ซซ์ไปยันกอสเพลได้อย่างมีชั้นเชิง ในระยะยาวนับว่าเป็นภาคต่อที่เหนือขึ้นมาจากงานชุดที่แล้วอักระดับเลยทีเดียว

จุดด้อย

โดยส่วนตัวแล้วยังนับว่าทำได้ดีไม่ตกไปจากมาตรฐานของเธอนะคะ แม้ว่าในรอบการฟังแรกๆจะรู้สึกว่า แหม มันช่างเนิบเนือยเสมอตัวไปนิดแต่พิสูจน์ในรอบการฟังระยะยาวแล้วกลับเป็นอัลบั้มที่ฟังเพลินที่สุดอัลบั้มหนึ่งของเธออย่างน่าประหลาดใจ แต่อย่างไรก็ตามก็ต้องยอมรับนะคะว่า "ทฤษฎีสัมพันธภาพ" ของเธอนี่ไม่ใช่งานที่จะน้อมคำนับได้ว่าจุดประกายอะไรใหม่ๆหรือเป็นปรากฏการณืระเบิดเถิดเทิงสมชื่อ สมราคาคุยไปจนถึงสมศักดิ์นัก โดยส่วนตัวก็ยอมรับในแนวทางการนำเสนอที่แตกต่างของิลปินแต่ละท่านอยุ่แล้วหากแต่หลายครั้งที่ฟังมารายห์แล้วรู้สึกตะหงิดๆกับสูตรสำเร็จรูปเดิมๆในระยะยาวของเธอ ไม่เปลี่ยนแนวไม่ว่าเพราะว่าเธอทำออกมาได้ดีหากแต่ข้อบกพร้องในบางจุดที่ทำให้เนื้องานเสียเอกภาพไปอย่างน่าเสียดายนั้นเป็นจุดที่แก้ไม่ตกมาตลอด2ทศวรรการเป็นศิลปินนั่นก็เป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ที่ทำให้งานชุดนี้ไม่สามารถจะก้าวไปสู่จุดที่ระเบิดเปรี้ยงสมชื่ออย่างเต็มราคากว่านี้

แทร็คเด็ด

แม้ว่าส่วนตัวจะไม่คิดว่าเป็นแทร็คที่เด็ดเด้งอะไรแต่ Touch My Body (2/5) ซิงเกิ้ลเปิดตัวของเธอก็สามารถทะยานไปสู่อันดับหนึ่งบนบิลด์บอร์ดชาร์ตได้สร้างสถิติอันดับหนึ่งเป็นเพลงที่18ให้แก่มาลัยเอาชนะราชาร็อแอนด์โรลอย่างเอลวิส เพรสลีย์ไปได้อย่างสง่างาม (งวดหน้า4เต่าทองแก่ระวังไว้ให้ดีนะคะ หึหึหึหึ) ทั้งๆที่ตัวเพลงเป็นพ็อพอาร์แอนด์บีเนิบๆเพราะๆที่หาได้มีอะไรแรงหรือโดเด่นในตัวเองไม่ส่วนตัวขอเดาเอางว่าคงเป็นเพราะบารมีและความประสาทแดกชนะใจจากเอ็มวีล้วนๆ ที่น่าแปลกคือซิงเกิ้ลที่สองอย่าง Bye Bye (5) พ็อพอาร์แอนด์บีบัลลาดที่โดเด่นทั้งภาคเนื้อหาที่กระแทกกระทั้นไปถึงก้นบึ้งของหัวใจและภาคการนำเสนอที่ไพเราะละเมียดละไมในสไตล์ที่เราเคยได้ยินจาก We Belong Together กลับทำอันดับได้ไม่ดีเท่าที่ควรจะเป็น มาที่ซิงเกิ้ลที่สาม I'll Be Loving You Long Time (4/5) ถือว่าเป็นม้ามืดเลยนะคะเนื่องจากคนส่วนหญ่ไม่คาดคิดว่าเธอจะกล้าตัดแต่ส่วนตัวเดียนแอบคิดไว้ตั้งแต่แรกแล้วล่ะค่ะว่าเพลงนี้ต้องได้เป็นซิงเกิ้ลแน่ๆแต่ไม่คิดว่าจะตัดออกมาเป็นซิงเกิ้ลต้นๆ ตัวเพลงเป็นโอลด์สคูลพ็อพโซลอาร์แอนด์บีหวานๆผสานความเป็นอดัลท์คอนเทมโพลารีย์ แจ๊ซซ์แอละโมทาวน์โซลได้อย่างลงตัว เป็นแทร็คที่เพราะที่สุดแทร็คหนึ่งในอัลบั้มเลยทีเดียว จ่อด้วย I Stay In Love (4/5) ซิงเกิ้ลล่าสุด พ็อพโซลอาร์แอนด์บีบัลลาดหวานหยดที่ไพเราะและลงตัวทุกองค์ประกอบ เข้าทางมารายห์และลูกแกะมากๆ

สำหรับแทร็คอื่นๆที่เป็นตัวชูโรงของอัลบั้มสำหรับเดียนคงหนีไม่พ้น Migrate Feat. T-Pain (3/5) แทร็คเปิดอัลบั้ม พ้อพอาร์แอนด์บีเต้นรำผสานซาวนด์ฮิพฮอพอาร์แอนด์บีและจังหวะจะโคนแบบอาราเบียนอาร์แอนด์บีอ่อนๆ แม้ว่าจะไม่ได้โยกแรงถึงขั้นเอาคนฟังตีลังกาตามแต่ก็ชวนขยับไม่หน่อยหากแต่เสียดายอย่างเดียวที่มันควรจะแรงและชัดเจนได้มากกว่านี้ ต่อด้วย Love Story (3.5/5) สโลแจมดาวน์เทมโพพ็อพอาร์แอนด์บีบัลลาดเนิบๆนาบๆ ที่ส่วนตัวรู้สึกไม่ค่อยถุกหูในการฟัง2-3รอบแรกๆเท่าไรแต่ระยะยาวสะท้อนความมีมิติในการนำเสนอรอบด้านออกมาได้ดีพอควร จะตัดเป็นซิงเกิ้ลก็คงไม่ขี้เหร่เท่าไร และแน่นอนค่ะแทร็คนี้ไม่พูดถึงไม่ได้ I'm That Chick (4.5/5) โอลด์สคูลแดนซ์-พ็อพ ดิสโก้สุดเปรี้ยวที่เดี๊ยนสถาปนาตัวเองเป็นแม่ยกเชียร์ให้นังมาลัยมันตัดเป็นซิงเกิ้ลเสียที (อีหมีนี่ก็ลีลาวดีเหลือเกินนะคะที่จะมีผัวไม่เห็นท่ามากแบบนี้เลย) เจ้าแม่บัลลาดเขย่าสามโลกก็เป็นมาแล้วสับรางลงไปเป็นสาวอาร์แอนด์บีก้ได้รับการยอมรับเป็นเบอร์ต้นๆนี่ถ้าทศวรรษหน้าแม่มาลัยทำเก๋ลงไปเป็นแดนซ์ซิ่งควีนแดนซ์กระจายกับเข้าล่ะก็ เจ๊แม่ น้าไคย์ นังบี หนูหอก น้องห่านและอีติ๊ ระวังตัวกันไว้ให้ดีนะคะ หนาวจิ๋มแน่พวกหล่อน หึหึหึหึหึ ปิดอัลบั้มด้วย I Wish You Well (5) บลูส์โซลอาร์แอนด์บีบัลลาดผสานความเป็นไลท์แจ๊ซซ์และคอนเทมโพลารีย์กอสเพลจัดๆพร้อมกับภาคเนื้อหาลุ่มลึกเชิงปรัชญาที่บรรจงร้อยเรียงภาษาออกมาได้ได้อย่างเหนือคำว่าวาทะศิลป์งดงามประณีตสุดๆ ฟังแล้วขนลุกที่มรายห์กลั่นเนื้อหาที่เริ่ดล้ำขนาดนี้ออกมาได้

สรุป

แม้ว่าจะไม่ได้มอบอะไรใหม่ๆให้เป็นที่กล่าวขานถึงหรือน่าจดจำมากนักแต่ถ้ามองกันลึกๆดีๆแล้วส่วนตัวเดี๊ยนรู้สึกว่างานชุดนี้เหมือนกับเป็นจุดเริ่มต้นก่อนที่จะขยับขยายไปสู่การเล่นภาคดนตรีใหม่ๆในทศวรรษหน้าอีกครั้ง นับว่าเดปนภาคต่อที่น่าสนใจและติดตามรวมถึงเป็นบทพิสูจน์ที่ดีถึงคุณภาพ มาตรฐานและชั้นเชิงที่เธอคนนี้สามารถรักษาได้ครบถ้วนไม่มีตกไปจากบรรทัดฐานของคำว่าเป็นอัลบั้มที่ดีเลยทีเดียว





Whitney Houston : Just Whitney : 3/5

จากบทพิสูจน์ผลงานในระยะยาวก็คงจะไม่มีใครกล้าปฏิเสธนะคะว่า "วิทนีย์ ฮุสทัน" คือหนึ่งในสุภาพสตรีที่ทรงอิทธิพลที่สุดของอุตสาหกรรมดนตรี เธอๆได้พิสูจน์ตนเองอย่างเหนือชั้นแล้วค่ะว่าเธอเป็นอีกหนึ่งศิลปินหญิงที่ฉายนิยามของคำว่า "ดิว่า" ออกมาจากจิตวิญญาณได้อย่างเป็นรูปธรรม แม้ว่าจะมีหลายคนค่อนขอดว่าเธอคนนี้จบชีวิตในวงการไปแล้วแต่อย่างไรก็ตามความทรงพลังในตัวเธอและศักยภาพทางดนตรีอันพร้อมสรรพในอดีตยังคงเป็นเครื่องเป็นสิ่งที่การันตีได้ดีถึงความมีอิทธิพลอันยิ่งใหญ่ในตัวเธอซึ่งเชื่อว่าคนดนตรีหลายคนยังคงสัมผัสได้ว่าความทรงพลังในวันวานนั้นยังคงมีลมหายใจยืนยงมาจนถึงวินาทีนี้

รูปแบบเพลง

อดัลท์คอนเทมโพลารีย์พ็อพอาร์แอนดืบีผสานอย่างละนิดละหน่อยของฮิพฮฮพ แดนซ์ แจ๊ซซ์และลูกเล่นสแตนดาร์ดพ็อพในเอกลักษณ์ของป้าวิทรวมถึงสรรพสำเนียงการร้องแบบโซลนุ่มนวลในความเป็นคนผิวสีของป้าผสมกลมกลืนกันได้อย่างลงตัว

จุดด้อย

ส่วนตัวสัมผัสได้เช่นเดียวกับหลายๆท่านนะคะที่ว่างานชุดนี้อยู่มนเกณฑ์ที่แผ่วกว่ามาตรฐานงานเดิมๆของป้าวิทเยอะที่สำคัญโดยเฉพาะในเรื่องของพลังเสียงที่ดร็อปและบางลงไปกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัดทีเดียวจึงไม่แปลกนะคะที่งานชุดนี้จะไม่ค่อยสร้างความประทับใจให้บรรดาสาวกของป้าวิทเท่าที่ควรซึ่งก็ต้องยอมรับความเป็นไปตามสัจธรรมนะคะเนื่องจากเธอสร้างมาตรฐานเดิมไว้ซะสูงเสียดฟ้าขนาดนั้นพอทำงานที่ออกอาการปล่อยวางจากจุดสูงสุดมาทำอะไรแกนๆเสมอตัวที่บางสายตาอาจจะมองว่างานเนิบๆนี้แลดูด้อยกว่าศักยภาพของป้าวิทอย่างจนน่าตกใจหลายรายทีหงังไว้สูงก็เลยผิดหวังไปตามๆกันนะคะ มาที่มุมมองของเดียนคนที่ไม่ใช่แฟนเพลงหรือสาวกของป้ากันบ้างโดยส่วนตัวแล้วเนื้องานโดยรวมของงานชุดนี้สำหรับเดียนนับว่าโอเคนะคะไม่ได้แย่อะไรมากเนื่องจากส่วนตัวลองหันไปโฟกัสภาพรวมอื่นๆนอกจากพลังเสียงรวมถึงตัดสินจากศักยภาพ ณ ปัจจุบันของเธอมากที่สุดแล้วคิดว่าทำออกมาได้ลงตัวและเอื้ออำนวยสอดคล้องกับเนื้อเสียง ณ ตอนนี้ของเธอเลยทีเดียว แม้ว่าจะไม่ได้แผดทรงพลังอลังการมีมิติสูงส่งสะใจเท่าเก่าแต่ก็ขอชมในความลงตัวและเอกภาพที่ชัดเจนในเนื้องานที่มีทิศทางและประเด้นในการนำเสนอครบถ้วนน่ะค่ะ

แทร็คเด็ด

ต๊ายยย ฟังแล้วแถสำลักค่ะกับ Whatchulookinat (3/5) ซิลเกิ้ลเปิดตัวในแนวพ็อพอาร์แอนด์บีเต้นรำผสานบีทอาร์แอนด์บีฮิพฮอพชนิดกระชากวัยผิดหูผิดตา ต๊ายตาย ขอสารภาพนะคะว่าตอนที่ได้ยินครั้งแรกที่ปล่อยก๊ากออกมาดังลั่นเลยแหมๆๆๆป้าวิทนี่แอบเก๋ลงมาแร็พโย่วเด็ดสะมีย์เช้าจิกตีกับบรรดาสาวอาร์แอนด์บีรุ่นลูกกับเขาด้วยนะคะ หึหึหึหึ เอาเถอะค่ะฟังวนานๆไปก็ติดหูหนึบชนิดลืมไม่ลงทีเดียว เปรี้ยวป่วงมากค่ะป้า ต่อด้วย One Of Those Days (3.5/5) ซิงเกิ้ลที่สองที่เป็นอัพเทมโปพ็อพอาร์แอนด์บีชิลล์ๆใสๆน่ารักผสานโซลหวานๆได้อย่างลงตัวแม้ว่าจะถูกค่อนขอดว่าแลดูป่วยอย่างไรก็ตามถ้ามองในแง่มุมการนำเสนอวิทนีย์ในมุมมองใหม่แล้วจัดว่าลงตัวทีเดียว มาที่ Love That Man (3/5) โอลด์สคูลแดนซ์-พ็อพสวยๆผสานความเป็นโซลในน้ำเสียงและกลิ่นอายฟั้งค์กี้ย์ยุค70เข้ากับอาร์แอนด์บีและดิสโก้ได้อย่างลงตัว บรรดาป้าๆคุณนายแม่ยกทั้งหลายคนชอบได้ไม่ยากน่ะค่ะ สำหรับแทร็คที่ดีที่สุดสำหรับงานชุดนี้คงหนีไม่พ้น On My Own (5) อดัลท์คอนเทมโพลารีย์พ็อพโซลบัลลาดสูตรสำเร็จที่เพียบพร้อมทั้งความทรงพลังและไพเราะติดหูเข้าทางแฟนๆป้าวิทแน่นอนค่ะแม้ว่าจะไม่ได้แผดกังวานเหนือมนุษย์เทากับบัลลาดแล้วๆมาของป้าแต่ก็ขอชมที่สามารถทำออกมาได้เอื้อำนวยศักยภาพทางน้ำเสียงวินาทีปัจจุบันอย่างถึงขีดสุดแถมยังคงความเป้นบัลลาดที่สมบูรณ์แบบเหนือชั้นและคลาสสิคเช่นเดิม อีกแทรคที่โดนใจเป็นการส่วนตัวคงเป็น My Love Feat. Bobby Brown (4/5) แทร็คที่เธอดูเอ็ทคู่กับสามีตาบ็อบบี้ บราวน์ได้อย่างน่ารักน่าฟังทีเดียวภายใต้ภาคดนตรีที่เป็นพ็อพอาร์แอนด์บีใสกิ๊งผสานบีฮิพฮอพและสรรพสำเนียงความเป็นโซลเพราะๆหวานลอยละล่องคุมทิศทางได้อย่างอยู่หมัด ต๊ายยยย ป้านี่วัยรุ่นพอๆกับอีเจ๊แม่ของเดียนเลยนะคะ หึหึหึหึ ปิดท้ายกับ You Light Up My Life (3.5/5) ในณุปแบบอดัลท์คอนเทมโพลารีย์ที่คงความเป็นสแตนดาร์ดพ็อพสูตรเดิมๆของป้าไว้อย่างครบถ้วนแม้ว่าจะไม่ได้เด็ดเด้งเทียบเท่ากับบรรดาสารพัดฉบับคัฟเวอร์ที่ทำออกมาซะเกลื่อนล้มประดาตายแต่พิจารณาในมาตรฐานความเป็นวิทนีย์ก็ถือว่ร้องออกมาได้น่าประทับใจเลยทีเดียว

สรุป

แม้ว่าอาจจะมีหลายท่านที่รู้สึกผิดหวังกับงานชุดนี้ก็ตามแต่สำหรับเดี๊ยนขอชมนะคะที่อย่างน้อยเธอก็นำความสามารถและชั่วโมงบินมาระบายความประณีตและความลงตัวลงสู่ผลงานรวมถึงรู้จักนำเสนอเนื้องานออกมาให้เอิอ้อำนวยต่อศักยภาพปัจจุบันของเธอมากที่สุด ส่วนตัวแม้จะไม่ใช่แฟนเพลงอย่างเหนียวแน่นของเธอก็ตามแต่ก็ขอเป็นกำลังใจให้กับเธอในการยืนหยัดเพ่อหวนคืนสู่ความเป็นดิว่าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของวาการได้อย่างสมศักดิ์ศรีอีกครั้งในการพิสูจน์ตัวเองจากอัลบั้มชุดหน้าที่กำลังจะออกในปี2009นะคะ





Kylie Minogue : X : 3.5/5

ถ้าจะให้กล่าวถึงดิว่าติดลมบนของบรดาผีเสื้อราตรีทั้งหลายแล้วนอกจากอีเจ๊แม่มาดอนน่าแล้วก็เห็นจะมีแต่เจ๊ไคย์ลีย์ มิโน้กนี่แหละค่ะที่เข้ามาเทียบเคียงรัศมีชนิดกินกันไม่ลงเลยทีเดียว ด้วยจริตจก้านแพรวพราว ความเก๋ของตัวเพลงและลีลาการขับขานเพลงเต้นรำได้อย่างเข้าถึงขนิดกลั่นออกมาจากสายเลือดเลยทีเดียว สิ่งเหล่านี้แหละค่ะที่ทำให้เจ๊ไคย์ของเราเป็นดาวค้างฟ้าของชาวเกย์มาร่วม3ทศวรรษนับพันปีเลยทีเดียว อย่าหาว่าเว่อร์แต่เพลงอีเจ๊เรานี่ตีฟลอรืทุกระดับแตกกระเจิงจริงๆค่ะพิสูจน์มาแล้ว เริ่ด หึหึหึหึ คงจะไม่เกินความจริงไปเท่าใดนักถ้าจะบอกว่าเธอคนนี้คือดิว่าผู้ที่บรรดาคนรักแสงสียามค่ำคืนอย่างเราๆยินดีที่จะถวายหัวใจให้กับการแต่งฟลอร์เต้นรำยามราตรีให้มีสันและเนรมิตชีวิตกลางคืนให้เปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์และความเย้ายวนบาดใจสุดๆชนิดที่ไม่สามารถหาสตรีนางไหนมาทำได้เหนือชั้นเทียบเคียงแดนซ์ซิ่งดิว่าตลอดกาลนางนี้ได้

รูปแบบเพลง

จากซิงเกิ้ลเปิดตัวสุดเก๋อย่าง 2 Hearts ทำเอาเดี๊ยนนึกไปไกลนะคะว่าชุดนี้เจ๊ไคย์ต้องมาแนวแกลมร็อคผสานอิเล็คโทรนิคเปรี้ยวๆแน่แต่พอเอาจริงๆแล้วทำออกมาให้อยากแค่เพลงเดียวแค่นแหละค่ะ ภาพรวมทั้งหมดของชิ้นงานยังคงยืนพื้นอยู่ที่ความเป็นพ็อพเต้นรำผสานอิเล็คโทรนิคโดยบางแทร็คได้รับอิทธิพลจากกลิ่นอายเรโทรแบบพ็อพเต้นรำยุค80 บางแทร็คเป็นยูโรรวมถึงอิทธิพลของความเป็นอาร์แอนด์บีที่เด่นชัดขึ้นมากๆตั้งแต่งานชุดที่แล้วก็ยังคงมีให้เห็นในหลายๆแทร็ค สรุปแล้วสำหรับเดี๊ยน X คือการบูรณาการกันระหว่างงานของเจ๊ไคย์ช่วงต้นยุค90เข้ากับติ่งๆของLight Year/FeverและBody Language ก่อนจะหยิบมาผสมผสานกับซาวนด์ทดลองเพื่อเป็นบันไดปีนไปสู่ภาคดนตรีใหม่ๆที่เป็นไปได้ว่าจะเด่นชัดและเข้มข้นขึ้นอย่างมากในอัลบั้มหน้าแน่นอน

จุดด้อย

ในภาพรวมแล้วอัลบั้มชุดนี้จัดอยู่ในเกณฑ์งานที่เหนือระดับมาตรฐานงานทั่วไปอยู่ดีแต่ถ้าให้วัดในความเป็นไคลีย์แล้วส่วนตัวคิดว่าความแรงทั้งในภาคดนตรีและความเด่นชัดของภาพลักษณ์รวมถึงเอกภาพของตัวเพลงในอัลบั้มยังไม่สร้างความประทับใจได้เทียบเท่ากับงาน3ชุดล่าสุดที่ผ่านมา (ไม่นับรวมฮิต) เรียกได้ว่าแผ่วลงไปอย่างเห็นได้ชัดเลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตามเธอก็เพิ่งจะฟื้นตัวจากมรสุมร้ายแต่ก็สามารถกลับมายืนหยัดได้ด้วยผลงานที่ดีเกินมาตรฐานขนาดนี้นับว่าน่าประทับใจมากๆเลยทีเดียว

แทร็คเด็ด

2 Hearts (4/5) ต๊ายยยย เจ๊ไคย์ของหนูครั้งนี้เปิดตัวได้เปรี้ยวเกิดเริ่ดแรงฤทธิ์มากเชียวค่ะกับภาคดนตรีที่จับเอาพ็อพร็อคมาผสานเข้ากับอิเลคโทรพ็อพ แกลมร็อคและแดนซ์ได้อย่างเหนือชั้นสุดๆผลลัพธ์ออกมาเป็นแดนซื-พ็อพอ่อนๆผสานอิเล็คโทรนิคและแกลมร็อคอ่อนๆสุดเซ็กซี่ที่แม้ว่าจะไม่ได้เด้งถึงขั้นอิเล็คโทรแกลมแต่ก็ออกมาน้องๆGoldfrappเหมือนกัน นอกจากนี้ยังถือเป็นการเปิดศักราชใหม่ของเจ๊ไคย์หลังจากผ่านมรสุมร้ายๆในชีวิตด้วยการฉีกออกไปทำภาคดนตรีและการนำเสนอที่ค้อนข้างแปลกใหม่พอตัวสำหรับไคย์ลีย์เลยทีเดียว ซึ่งก็ให้ผลลัพธ์ออกมามีชั้นเชิงเป็นที่น่าประทับใจสำหรับเดี๊ยนมากๆ ไม่เสียเวลาที่รอคอยค่ะ หึหึหึหึ ต่อด้วยด้วย In My Arms (3.5/5) ที่เห็นแววเป็นซิงเกิ้ลตั้งแต่การฟังรอบแรกๆ พ็อพเต้นรำโชยกลิ่นอายเรทรแบบยุค80ที่ทรงเสน่ห์ตลบอบอวนทั่วเพลงมากๆรวมถึงผสานเอาจังหวะมิดเทมโพอ่อนๆและตบด้วยเสียงสังเคราะห์ ซินธิไซเซอร์และบีทอิเล็คโทรนิคเข้ากับกลิ่นอายของฟั้งค์กี้ย์อ่อนๆปลิวว่อนเป็นแบ็คกราวนด์ทั่วเพลง เริ่ด มาที่ All I See (4/5) กรี๊ดดดดดดๆๆๆๆๆๆๆๆ ไม่น่าเชื่อว่าเจ๊ไคย์จะกล้าทำเพลงนี้ออกมารวมถึงกล้าตัดเป้นซิงเกิ้ลด้วยนะคะ พ็อพอาร์แอนด์บีใสๆคลุมทิศทางโดยโซลหวานๆลอยละล่อง แอร๊ยยยย มะกันมากๆๆๆๆ แม้ว่าแฟนๆไคลีย์ส่วนใหญ่จะไม่ชอบแต่ส่วนตัวเดี๊ยนชอบมากๆเลยทีเดียว สำหรับซิงเกิ้ลล่าสุด The One (4) ต๊ายยยยย กะเทยมากกกกกกกกก ตัวเพลงเป็นอิเล็คโทรแดนซ์-พ็อพที่เสริมทัพด้วยบีทไลท์เทคโนกับยูโรแดนซ์แรงๆผสานซินธิไซเซอร์และตบด้วยกลิ่นดิสโก้สมัย70-80จางๆปิดท้ายได้อย่างสง่างาม แม้ว่าฟังแล้วอาจจะไม่ได้โฉ่งฉ่างซ่องระเบิดแบบซิงเกิ้ลแดนซืกระจายหลายๆเพลงก่อนหน้านี้ของเจ๊แต่กพิสูจน์ตัวเองได้ดีว่าเก๋จิกแบบลึกๆชนิดที่ถ้าเผลออาจะฆ่า Heartbeat ของอีเจ๊แม่เดี๊ยนตายไปเลยทีเดียว

สำหรับแทร็คที่โดดเด่นที่สุดในงานชุดนี้คงหนีไม่พ้น Like A Drug (5) ที่ภาคดนตรีเป็นอิเล็คโทรแดนซ์พ็อพล่อกะเทยแรงๆพร้อมกับการหยอดจริตจก้านสรรพสำเนียงกรีดกรายกระตู้วู้ในแบบฉบับที่อีเจ๊ไคย์คนเดียวในโลกเท่านั้นที่ทำเพลงแบบนี้ได้ เข้าทางสาวกเจ๊แบบสุดๆนะคะ ถ้าตัดเป็นซิงเกิ้ลล่ะก็ฟลอร์แตกซ่องกระจุยแน่นอนค่ะ พวกกะเทยฟังแล้วต้องลงไปดิ้นเร่าๆเพราะโปรเจสเตอโรนเทียมมันร้อนรนจนอักเสบแน่นอน หึหึหึ ปิดท้ายกับ Cosmic (4/5) บัลลาดสวยๆในแบบฉบับโอลสคูลพ็อพออเครสตร้าบัลลาดผสานบีทอาร์แอนด์บีและอารมณ์โซลหวานๆสุดอลังการได้อย่างลงตัว ขอเชียร์ให้เป็นบัลลาดขึ้นหิ้งเพลงต่อไปของบรรดานางโชว์ในอัลคาซ่าร์เลยค่ะ

สรุป

แม้ว่าจะไม่ได้เก๋ในระดับเดียวกับ Light Years ไม่ได้แดนซ์แรงเว่อร์ฟลอร์แตกเหมือน Fever และไม่ได้กรีดกรายไฮโซเทียบเท่ากับ Body Language ก็ตามแต่การบูรณาการงานเหล่านั้นเข้าด้วยกันพร้อมกับหยอดจริตจก้าน ชั้นเชิงและความเป้นไคลีย์ในปัจจุบันลงไปให้ผู้ฟังใน X นั้นก็ยังคงเปี่ยมด้วยเสน่ห์และมนต์ขลังแบบไม่มีตก ถือว่าเป็นการเริ่มต้นการผจญภัยบทใหม่ที่ดีสำหรับชีวิตของเธอภายใต้ท้องฟ้าอันแสนสดใสงดงามอีกครั้ง (No More Rain!)




Britney Spears : Circus : 4/5

ถึงตรงนี้เดี๊ยนเชื่อว่าหลายคนคงจะเกิดคำถามว่า "บริทนีย์เป็นดิว่าด้วยเหรอ?"/"เว่อร์ว่ะ มากไปมั้ง เธอก็แค่พ็อพไอค่อนที่ดังมากๆคนหนึ่ง" ไม่ก็ " อีคนรีวิวเนี่ยเข้าใจความหมายของคำว่า ดิว่า รึเปล่าวะ บริทนีย์มีคุณสมบัติอะไรที่บอกว่าเธอเป็นดิว่า?" และอื่นๆอีกมากมายที่เดียนยอมรับฟังและยินดีจะให้คุณๆที่ไม่เห็นด้วยกับเดียนนี่ตั้งคำถามไปไม่จบไม่สิ้นจนกว่าจะพอใจนะคะ มารับฟังทัศนคติของเดียนกันบ้างค่ะแน่นอนค่ะขอสารภาพว่าเดี๊ยนมองเธอคนนี้เป้นดิว่าอย่างแน่นอน ซึ่งสำหรับเดี๊ยนไม่ถือว่าเว่อร์หรือมากไปที่จะยกย่องศิลปินดีๆคนหนึ่งให้เข้าวังเวียนอันทรงเกียรติดังกล่าวเนื่องจากเธอได้ผ่านบทพิสูจน์ระยะยาวจากเดี๊ยนแล้วว่าเธอมีคุณสมบัติและดีพอ ตลอดเวลาที่จับตามองเจ้าหญิงแห่งเพลงพ็อพคนนี้เธอฉายแววพัฒนาการทางดนตรีที่เป็นไปในทิศทางที่สูงขึ้นในทุกๆอัลบั้มอย่างน่าภูมิใจแม้จะถูกค่อนขอดว่ากะโหลกกะลาแต่ก็น่าภูมิใจที่เธอคนนี้ก็ไม่เคยปล่อยผลงานที่ต่ำกว่ามาตรฐานมาสู่สาธารณชนเลย นอกจากนี้เดียนเชื่อค่ะว่าตัวเองเข้าใจความหมายของคำว่า "ดิว่า" ดีและแน่นอนดีเกินกว่าที่จะประเมินคุณสมบัติและตัดสินศิลปินหญิงว่าเหมาะสมแก่การสุภาพสตรีแถวหน้าแห่งสังคมอุตสาหกรรมโดยยึดบรรทัดฐานอยู่แค่เรื่องของ "เสียง" แต่มิได้พิจารณาคุณสมบัติอื่นๆประกอบเลย เช่นเดียวกับที่มาดอนน่า/เจเน็ต/ไคลีย์และเจนนิเฟอร์ โลเพซก็คงจะเป็นดิว่าไม่ได้ถ้าโลกดนตรีมีบรรทัดฐานในการตัดสินคุณภาพของศิลปินอยู่แค่เรื่องเดียว ในทางกลับกันศิลปินหญิงเสียงสวรรค์ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นดิว่าบางท่านกลับมีเนื้องานที่เปี่ยมด้วยพลังเสียงหากแต่ไร้ความสร้างสรรและความน่าติดตามเสียจนสามารถเอาแผ่นซีดีไปทำที่รองถ้วยกาแฟได้เลยทีเดียวแต่ก็แปลกที่ได้รับการยกย่องจนน่าตกใจ เป็นเรื่องชวนคิดและชวนบขันสำหรับเดี๊ยนเลยทีเดียว สำหรับบริทนีย์แม้ว่าเนื้องานโดยรวมก่อนหน้านี้จะออกแนวก้ำกึ่งมากกว่าเพื่อนร่วมเจเนอเรชั่นหลายๆคนที่ฉายแววโดดเด่นออกมาในช่วงวินาทีแรกๆแต่อย่างไรก็ตามวันนี้เดี๊ยนเชื่อว่าเธอได้ระเบิดศักยภาพที่สูงยิ่งขึ้นกว่าที่โลกเคยได้รับอย่างสมศักดิ์ศรีเลยทีเดียว ความมีอิทธิพลในตัวของเธอที่เข้าไปประทับอยู่ในใจผู้บริโภค (แม้ว่าส่วนมากจะมาจากภาพลักษณ์มากกว่าคุณภาพก็ตาม) และการที่พ็อพไอค่อนดังๆคนนี้ระเบิดพลังอันมหาศาลของเธอที่ทรงพลังจนเขย่าอาณาจักรเพลงพ็อพให้สะเทือนไปทั้งโลกได้มากกว่าพ็อพไอค่อนดังๆและแน่นอนดิว่าเสียงดีๆหลายคน การก้าวจากศิลปินหญิงที่โด่งดังเพียงชั่วข้ามคืนและมีข้อครหาหลายประการเป็นชะงักติดหลังสู่การถูกอ้าแขนต้อนรับให้เป็นตำนานหน้าใหญ่ที่จารึกไว้ในพงศาวดารยุค2000อย่างยากที่จะปฏิเสธได้นั้น ขุมพลังและอิทธิพลอันยิ่งใหญ่ที่โลกดนตรีได้รับจากตัวเธอนั้นเจียระไนให้เะอคนนี้เป็นดิว่าสำหรับเดียนอย่างไร้ข้อครหาใดๆ

รูปแบบเพลง

หลังจากที่ได้ฟัง Circus สตูดิโออัลบั้มชุดล่าสุดจากเธอ ส่วนตัวต้องขอยอมรับค่ะว่านี่คือ "การหวนคืนสู่บัลลังก์" อย่างแท้จริง เนื่องจากงานชุดนี้เธอได้ฉายให้เหนชัดถึงพัฒนาการ ความเปลี่ยนแปลง ความละเมียดละไมและศักยภาพที่เหนือระดับขึ้นกว่างานชุดที่แล้วๆมาขึ้นมากจนน่าตกใจ สำหรับภาคดนตรีโดยรวมในCircusยังคงยืนพื้นอยู่ที่ความเป็นอัลบั้มพ้อพเต้นรำรสชาติจัดจ้านที่มีการปรุงคุณภาพของส่วนผสมให้ลงตัวยิ่งขึ้นและทรงคุณภาพกว่าที่เคยได้ลองลิ้มรสมา หัวใจของงานชุดนี้ยังคงมีแก่นอยู่ที่ภาคดนตรีอิเล็คโทรพ็อพและแดนซ์ก่อนจะบกระดับด้วยความเป็นเออร์บันทั้งอาร์แอนด์บี ฟั้งค์รวมถึงผสานบีทฮิพฮอพหนักๆและความเป็นโซลจางๆมาอย่างละนิดละหน่อยก่อนจะต่อยอดสูความเป็นนิวเวฟ ซินธ์พ็อพ ดิสโก้ เทคโนและแทรนซ์ที่ถูกแซมเข้ามาเป็นสีสันได้อย่างลงตัวเช่นเดียวกันกับภาคบัลลาดที่ถูกพัฒนาขึ้นให้มีความโดดเด่นน่าประทับใจไม่แพ้กัน นี่คืออัลบั้มของบริทนีย์ที่ดีที่สุดสำหรับเดี๊ยน

จุดด้อย

ส่วนตัวแล้วอยากให้เธอสลัดความกะโหลกกะลาแบบเดิมๆในบางแทร็คออกไปให้สิ้นซากเสียทีแล้วหันสู่การนำเสนอภาคดนตรีในแบบฉบับที่แรง แกร่งและเปรี้ยวจัดจ้านไปแบบเต็มที่เลยก็คงจะส่งผลให้ภาพรวมของอัลบั้มออกมาเหนือระดับกว่าที่ได้ยินมาก ลองคิดดูว่าถ้าเธอปรับภาคการนำเสนอในบางแทร็คที่ฟังดูแล้วตลกอย่าง Womanizer/If You Seek AmyหรือMmm Papiออกไปแล้วแทนที่ด้วยเพลงเต้นรำแรงๆหนักหน่วงมีชั้นเชิงที่เปี่ยมด้วยสีสัน รสชาติและมิติของความเป็นบริทนีย์ในยุคใหม่ รวมถึงตั้งใจพัฒาภาคการนำเสนอในทุกแทร็คให้ออกมาชัดเจน ลงตัวและเนียนกว่านี้รับรองว่าครั้งต่อๆไปงานของวเธอจะไม่หยุดอยู่สูงสุดแค่4ดาวสำหรับเดี๊ยนแน่ๆ

แทร็คเด็ด

เกินคาดนะคะกับซิงเกิ้ลแรก Womanizer (3/5) อิเล็คโทรพ็อพเต้นรำโครงสร้างง่ายๆผสานลูกเล่นซินธพ็อพและกลิ่นอายนิวเวฟจางๆ ส่วนตัวขอสารภาพนะคะว่าไม่ก่อให้เกิดความประทับใจสำหรับเดี๊ยนเท่าที่ควรเพราะนอกจากมันจะฟังเหมือน Keep Gettin' Better ในฉบับที่อ่อนยวบกว่าของยัยติ๊นาเพื่อนซี้แล้วยังเป็นิงเกิ้ลเปิดตัวที่มีความน่าสนใจน้อยที่สุดในบรรดาเพลงเปิดตัวทั้งหมดของเธอเรียกได้ว่าสร้างความรู้สึกพึงพอใจให้เดียนได้ไม่สมกับระดับที่เป็นบริทนีย์เลย แต่อย่างไรก็ตามก็ไม่น่าเชื่อนะคะว่าเพลงที่ดูธรรมดาๆมากๆเพลงนี้จะผงาดขึ้นไปถึงอันดับ1บนบิลด์บอร์ดชาร์ตได้ นอกจากมันเป็นอะไรที่มาเหนือเมฆสุดๆถึงขั้นพลิกความคาดหมายแล้วยังทลายข้อครหาที่ว่าเกือบ10ปีมีอันดับ1อยู่แค่เพลงเดียวได้อย่างราบคาบ เป็นการฟื้นคืนชีพสู่จุดสูงสุดได้อย่างน่าขนลุกทีเดียว

เมื่อได้ลองฟังบรรดาสมาชิกท่านอื่นๆในอัลบั้มแล้วขอบอกเลยค่ะว่าซิงเกิ้ลแรกนี่เป็นแค่ของเล่นสำหรับเธอเลยทีเดียวเพราะคาราวานเพลงแดนซ์ชั้นเยี่ยมจะทยอยเดินหน้าเข้ามาทำความรู้จักกับคุณตั้งแต่ต้นยันจบอัลบั้มเลยทีเดียว เริ่มด้วยไทเทิ่ลแทร็คเก๋ๆ Circus (4/5) เออร์บันอิเล็คโทรแดนซ์พ็อพที่อัดแน่นด้วยบีทเริ่ดๆทั้งซาวนด์ไลท์เทคโน อาร์แอนด์บีเต้นรำและคลับแดนซ์ได้อย่างเหนือชั้นสุดๆ เพิ่มเสน่ห์ด้วยการหยอดบีทกีตาร์อคูสติคอาร์แอนด์บีก่อนจะไปพบกับท่อนคอรัสสุดกระแทกกระทั้นทำเอาหายใจหายคอแถบไม่ทันส่วนตัวฟังแล้วตกใจมากๆค่ะเนื่องจากตัวเพลงแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการทางดนตรีอย่างเด่นชัดและรวดเร็วชนิดที่ไม่ทันให้ฝ่ายค้านตั้งตัวครหาเลย เริ่ดสุดๆ แอร๊ยยยยยยยยย หรือจะเป็น Kill The Light (4/5) ที่จุดประกายความสนใจตั้งแต่อินโทรไปยันสรรพสำเนียงการร้องที่กราดเกรี้ยวดุดันขึ้นผิดหูผิดตาของบริทนีย์คลอไปกับภาคดนตรีแบบอิเล็คโทรพ็อพแดนซ์หนักๆที่ผสานความเป็นเออร์บันพ็อพ อาร์แอนด์บีและฟั้งค์หนักๆได้อย่างลงตัวนี่ถ้าใส่ความเปนฮิพอพและจังเกิ้ลลงไปมากกว่านี้ล่ะก็มีหวังคงได้ยินบริทนีย์ทำดรัมแอนด์เบสส์เก๋ๆให้ฟังกันแน่ๆ เสียดายที่ความพยายามจะเล่นกับภาคดนตรีมากเกินไปกลับกลายเป็นความบ้าพลังที่ทำให้เกิดความไม่ลงตัวในบางจุดแต่อย่างไรก็ตามโดยรวมแล้วจัดว่าเป็นแทร็คชั้นนำของอัลบั้มเลยทีเดียว มาที่ Unusual You (4.5/5) พ็อพแทรนซ์ลอยๆที่เจือบีทอิเล็คโทรนิคพ็อพหวานๆ แดนซ์เฮ้าส์เย็นๆและความเป็นเทคโนหม่นๆตึ้บๆเข้าด้วยกันอย่างกลมกล่อมฟังแล้วชวนให้นึกถึงภาคที่มีมิติขึ้นมาอีกหนึ่งช่วงตัวของ Heaven On Earth ไฮโซมากๆ อีกหนึ่งแทร็คที่ฟังแล้วปิ๊งเข้าอย่างจังคือ Shattered Glass (4/5) เออร์บันอิเล็คโทรแดนซพ็อพดิสโก้ผสานฟั้งค์สวยๆแม้ว่ามุขนี้จะถูกนำมาใช้ในหมู่ของศิลปินอิเลคโทรนิคเต้นรำจนค่อนข้างเกร่อแล้วก็ตามแต่ส่วนตัวปฏิเสธไม่ลงว่าบริทนีย์ทำออกมาได้ลงตัวและมีเสน่าห์มากเลยทีเดียว หนึ่งในแทร็คที่น่าจับตามองมากที่สุดคงจะหนีไม่พ้น Mannequin (4.5/5) ที่เห็นว่าร่วมงานกับเลดี้ กาก้าจับมือกันเนรมิตเพลงเต้นรำในรูปแบบแดนซ์พ็อพอิเล็คโทรนิคผสานเทคโนอาร์แอนด์บีก่อนจะตบด้วยความเป็นฟั้งค์ ดิสโก้และฮิพฮอพลงไปได้อย่างเจิดจรัสนับว่าเป็นอีกหนึ่งแทร็คเต้นรำที่ฉายแววอนาคตสวยงามเลยทีเดียว ในขณะเดียวกัน Lace And Leather (4.5/5) ก็ฉายแววความเป็นดาวรุ่งที่จะครองใจคออาร์แอนด์บีเต้นรำร่วมสมัยทุกหัวระแหง โดยองค์ประกอบยืนพื้นที่ความเป็นโอลด์สคูลแดนซ์พ็อพอาร์แอนด์บีที่กรีดกรายด้วยองค์ประกอบชั้นดีอย่างฟั้งค์กี้ย์ โซล ดิสโก้ นิวเวฟและอิเล็คโทรนิคเสริมทัพได้อย่างมีชั้นเชิง ต๊ายยยย ทุกแทร็คในย่อหน้านี้นี่ตัดเป็นซิงเกิ้ลได้หมดเลยนะคะเนี่ย

ในส่วนของงานอัลบั้มนี้ก็แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการที่เด่นชัดขึ้นเช่นกัน เริ่มด้วย Out Of Under (3.5/5) อดัลท์คอนเทมโพลารีย์พ็อพบัลลาดที่มีสูตรสำเร็จเป็นเมนท์สตรีมที่ติดหูและครบเครื่องในแบบฉบับของบริทนีย์จัดว่าร้องได้ไพเราะและลงตัวมากๆ ส่วน Blur (3.5/5) ก็เป็นตัวแทนที่ดีของบริทนีย์ในยุคที่ก้าวสู่ความเป็นเออร์บันเต็มตัวยิ่งขึ้น สโลแจมดาวน์เทมโพพ็อพอาร์แอนด์บีบัลลาดสุดเซ็กซี่และติดหูกระชากใจหนึบหนับจัดว่าเป็นอีกหนึ่งตัวแทนที่แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีของบริทนีย์ทีเดียว และทิ้งท้ายได้อย่างน่าประทับใจกับ My Baby (5) บัลลาดที่เธอร่วมงานกับวาเนสซ่า คาร์ลทันที่ภาคดนตรีงดงามระยิบระยับบนความเป็นสแตนดาร์ดเพียโนพ็อพบริสุทธิ์ไปกันได้ดีกับการใช้เสียงสังเคราะห์ที่ช่วยหยอดสรรพสำเนียงการร้องแบบกึ่งแอมเบี้ยนท์ลอยๆที่นุ่มนวลแต่ทรงพลังกรีดความรู้สึกเข้ามาขับขานภาคเนื้อหาบริสุทธิ์ทรงพลังกึ่งกอสเพล ซึ่งหลอมรวมถ่ายทอดความรักอันปราศจากเงื่อนไข ความอบอุ่นและความรู้สึกบริสุทธิ์งดงามออกมาจากจิตวิญญาณของคุณแม่ผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ได้อย่างเกินคำว่าน่าประทับใจ

สรุป

ส่วนตัวต้องขอบอกนะคะว่ารู้สึก "ภูมิใจ" ชนิดที่ไม่เคยภูมิใจในตัวเธอมาร่วม4-5ปีเลยทีเดียว แม้ว่าเดียนจะไม่ใช่สาวกตัวกลั่นของเธอแต่ก็มีความสุขที่ได้เห็นพัฒนาการอย่างไม่หยุดยั้งจากเธอ ได้สัมผัสเนื้องานที่น่าพึงพอใจที่สุดจากเธอและเหนือสิ่งอื่นใดได้ต้อนรับเธอหวนคืนสู่บัลลังก์พร้อมกับผลงานที่เปี่ยมด้วยคุณภาพและที่สำคัญที่สุดไม่มีอะไรจะสำคัญไปกว่าได้เห็นการกลับมาเริ่มต้นของชีวิตใหม่อย่างสง่างามทั้งในฐานะศิลปินคุณภาพและสตรีเพศผู้แข็งแกร่งที่สุดคนหนึ่งที่เคยรู้จักมา






Christina Aguilera : Keep Gettin' Better A Decade Of Hits : 4.5/5

เป็นอีกครั้งนะคะที่พบกับประสบการณ์ความรู้สึกที่ว่า "เขียนไม่ออก" เนื่องจากการจะเอ่ยอะไรที่เธอคนนี้เป็นอะไรที่ยากมากๆสำหรับเดี๊ยนทุกครั้งแม้ว่าจะเป็นการเกริ่นอะไรถึงเพียงสั้นๆก็ตาม ส่วนตัวแล้วเชื่อว่าเป็นที่ทราบกันดีสำหรับเพื่อนๆที่ติดตามงานเขียนของเดี๊ยนมาตลอดนะคะว่า "คริสทิน่า อากิเลร่า" เป็นศิลปินที่มีอิทธิพลต่อเดี๊ยนค่อนข้างสูงเลยทีเดียว ด้วยความที่เธอเปรียบเสมือนภาพสะท้อนความเป็นเดี๊ยนในทุกขณะน่ะค่ะ เป็นไอดอลในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เป็นแรงบันดาลใจทางงานเขียนและดนตรีรวมถึงเป็นตัวแทนหลายๆอย่างจากคนในเจเนอเรชั่นเดียวกันที่ยังคงทำให้อุตสาหกรรมดนตรีมีสีสันและยังคงมีเสน่ห์สำหรับเดี๊ยน ส่วนตัวค่อนข้างดีใจนะคะที่ได้เลื่อกเธอให้เป็นต้นแบบและได้เติบโตมาพร้อมๆกับพัฒนาการทางดนตรีของเธอ ได้จับตามองเธอตั้งแต่ช่วงแรกเริ่มน่ะค่ะ โอ้โห พูดไปก็ใจหายเพราะว่าเวลาช่างผ่านไปรวดเร็วมากๆเกือบ10กว่าปีนับตั้งแต่วันแรกที่เดี๊ยนประทับใจศิลปินสาวผมบลอนด์หน้าใหม่คนหนึ่งในเพลง Genie In A Bottleแล้วก็คอยดูเธอก้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆสู่ความเป็นทีนดิว่า พ็อพไอค่อนจนพัฒนาตัวเองมาสู่จุดที่ยืนบนความเป็นแนวหน้าในอุตสาหกรรมดนตรีอย่างเต็มตัวเป็น"ดิว่า" จากจุดเริ่มต้นในวันนั้นเดียนบอกได้ตามตรงเลยว่าภูมิใจในตัวเธอคนนี้มากๆเพราะได้เห็นทั้งพัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงทั้งทางภาพลักษณ์และดนตรีอย่างเด่นชัดหลากหลายไปจนถึงเห็นแรงบันดาลใจคนนี้มีครอบครัวที่มีความสุขได้ทำหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่และสง่างามที่สุดของเพศหญิงนั่นคือการเป็น "คุณแม่" ทุกบทบาทที่เธอเป็นมัน เอ่อ มีความสัมพันธ์กับเดียนทางจิตวิญญาณอย่างประหลาดอ่ะค่ะ เพราะตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็นเธอ "ผู้หญิงคนนี้คือคนที่ใช่มาตลอด" สำหรับบางท่านอาจจะมีนะคะที่ไม่เห็นด้วยสำหรับเดียนว่าเธอคนนี้เป็นดิว่าคือมันอาจจะเร็วไปสำหรับบางท่านแต่สำหรับเดียนการที่ใครคนหนึ่งเข้ามามีชีวิตอยู่ในใจเรารวมถึงมอบอิทธิพลและแรงบันดาลใจเหนือเราอย่างมากมายเหลือเกิน ไม่ว่าเธอจะเป็นใครก็ตามเธอคนนั้นเป็น "ดิว่า" สำหรับเดี๊ยนแน่นอน

จุดด้อย

เรื่องเพลงนี่ก็ไม่รู้จะไปติอะไรนะคะเนื่องจากอัลบั้มชุดนี้เป็นงานรวมฮิตคือทุกแทร็คล้วนแต่แข็งและก็ประสบความสำเร็จในการโลดแล่นบนชาร์ตเพลงนะคะ แต่อย่างไรก็ตามมีใครรู้สึกบ้างมั้ยคะว่ารวมฮิตชุดนี้มันดูป่วงๆประสาทๆยังไงก็ไม่รู้เป็นเครื่องยืนยันได้ดีนะคะว่ายังไม่ถึงเวลาอันสมควรที่คริสทิน่าจะออกงานรวมฮิตแม้ว่าจะมีเพลงมากมายถึง16เพลงก็ตามเถิด ไม่รู้ต้นสังกัดคิดกันยังไงนะคะถึงได้ปฏิบัติกับอีติ๊นาของเดี๊ยนราวกับเป็นตัวจำอวดตั้งแต่งานชุด Back To Basic แล้วโปรโมตได้ตลกมากๆจากอัลบั้มเรโทรดีๆทำให้กลายเป็นอะไรที่ถ่อยสนิทได้โดยปริยายขอคารวะฝ่ายการตลาดอีติ๊จากใจค่ะ และแน่นนอนนะคะฝ่ายการตลาดยังสืบสานเจตนารมณืในการโปรโมตงานรวมฮิตชุดนี้ได้อย่างต่ำช้าเช่นเดิม ยกตัวอย่างเช่น Keep Gettin' Better ช่วงแรกนับว่ากระแสดีเกินคาดเลยทีเดียวตัวเพลงดูมึนๆเบลอๆเอ๋อขนาดนั้นยังเปิดตัวได้สูงถึงอันดับ7หลังจากสัปดาห์เปิดตัวก็อันตรธานหายไปเสร้ออยู่ที่ท็อป30อย่างรวดเร็วหลังจากนั้นต้นสังกัดกะดหลกกะลากับนางติ๊นาจอมขี้เกียจจึงจะเกี่ยวก้อยกันมาโปรโมต นี่พวกหล่อนคิดว่ากำลังนั่งแคะหนมครกกันอยู่รึไงคะ แอร๊ยๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ยังค่ะยังด่าไม่จบแล้วไม่รู้จะอะไรนักหนานะคะจะออกรวมฮิตทั้งทีแต่เพลงดีๆอย่าง Can't Hold Us Down กับ The Voice Within'ก็ช่างใจกว้างตัดออกไปได้ ไม่ทราบว่ามันงกตามประเพณีหรือว่าจะเอาเก็บไว้ยัดในรวมฮิตชุดหน้าคะหล่อน อันนี้ก็ไม่ทราบนะคะสุดแท้แต่อีติ๊ไม่สามารถเดาเจตนารมณืมันได้แต่อย่างไรก็ตามเห็นด่ามายาวๆเนี่ยจริงๆก็ไม่ปฏิเสนะคะว่าแอบชื่นใจอีนังติ๊จนออกนอกหน้าที่อย่างน้อยก็ยังมีแก่ใจออกมาออกงานคั่นเวลาให้แฟนๆหายคิดถึงบ้าง ถึงงวดนี้จะดูประดักประเดิดไปนิดแต่ก็ยังดีกว่าทะลึ่งหายหน้าหายตาไปสิงอยู่ในอเวจีแล้วปล่อยให้แฟนๆรอแล้วรอเล่าอนย่างไม่มีจุดหมายอย่างช่วงStripped กับ Back To Basic อ่ะค่ะ

รูปแบบเพลง+แทร็คเด็ด

แหมมมม จะว่าไปมันก็เด็ดทุกแทร็คนั่นแหละค่ะก็เพราะว่ามันเป็นรวมฮิตนี่คะ ตั้งแต่แทร็คแรกยันแทร็คสุดท้ายสามารถบ่งบอกถึงความหลากหลายทางภาคดนตรี พัฒนาการและความไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ตลอดการผจญภัยอันแสนหฤหรรษ์บนถนนสายดนตรีของศิลปินนางนี้ได้ดีเลยทีเดียว เริ่มต้นกับบรรดาซิงเกิ้ลจากงานชุดแรกอย่าง Genie In A Bottle (5) ซิงเกิ้ลแรกในแบบฉบับอาร์แอนด์บี พ็อพที่โดเด่นลบนภาคการนำเสนอที่ใช้สรรพสำเนียงแบบโซลในการถ่ายทอดขับขานพร้อมกับภาคเนื้อหาและจริตจก้านอันหาตัวจับยากยิ่ง หรือจะเป็น What A Girl Wants (3/5) ทีนพ็อพบับเบิ้ลกัมจังหวะสนุกๆที่ท่อนคอรัสสามารถจับคุณได้อย่างอยู่หมัดตั้งแต่รอบแรกที่ฟังไปจนถึง Come On Over (All I Want Is You) (4/5) พ็อพแดนซ์สไตล์ทีนดิว่าน่ารักๆที่เจือความเป็นอาร์แอนด์บีจางๆและทีนพ็อพดิสโก้สดใสๆได้อย่างลงตัว นับเป็น3แทร็ค3สไตล์ที่นอกจะจะโดดเด่นจนดาหน้าขึ้นไปถึงอันดับหนึ่งบนบิลด์บอรืดชาร์ตเป็น3เพลงแรกของเธอแล้วยังจัดว่าเป็นตัวแทนที่ดีสำหรับพ็อพสไตล์ทีนดิว่าปลายทศวรรษ90เลยทีเดียว เช่นเดียวกับ I Turn To You (4/5) พ็อพบัลลาดสุดทรงพลังที่เจือความเป็นอาร์แอนด์บี โซลและอดัลท์คอนเทมโพลารีย์ไว้ในสัดส่วนที่พอเหมาะแม้ว่าจะพลาดอันดับ1ไปอย่างน่าเสียดายแต่ก้ถือว่าเป็นหนึ่งในเพลงที่ประสบความสำเร็จในฐานะการเป็นที่จดจำของผู้ฟัง เป็นมิตรกับสถานีวิทยุรวมทั้งเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีสำหรับจำพวก Easy Listening หรือ Forever Love จะสามารถเห็นได้ว่าเพลงนี้ไม่เคยห่างหายไปจากการเป็นแทร็คลิสต์ในบรรดาอัลบั้มดังกล่าวเลยแม้กาลเวลาจะผ่านไปร่วมเกือบสืบปีก็ตาม


สำหรับช่วงคั่นเวลาที่คริสทิน่าได้ไปร่วมงานกับศิลปินท่านอื่นๆนั้นคงปฏิเสธไม่ได้ว่า2เพลงที่โดดเด่นที่สุดคงจะหนีไม่พ้น Nobody Wants To Be Lonely (4/5) ละทินพ็อพบัลลาดเซ็กซี่หวานหยดและทรงพลังที่เธอดูเอ็ทคู่กับริคกี้ย มาร์ทินได้อย่างไพเราะน่าประทับใจและแน่นอนจะขาดเพลงนี้ไม่ได้ Lady Marmalade (5) อีกหนึ่งงานเพลงที่ดีและยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอซึ่งร่วมงานกับมิสซี่ เอเลียต/พิ้งค์/ลิล คิมและมายาในซาวนด์แทร็คประกอบภาพยนตร์เรื่อง Moulin Rouge ซึ่งระบาดไปทั่วโซนเกย์ซอยสองสีลมยันบ้านผีโสเภณีซอย4พัทยาใต้ โดยตัวเพลงได้ทำการคัฟเวอร์ปลุกวิญญาณมาจากต้นฉบับเก่าของ3ป้าLabelleและเนรมิตต้อนรับศักราชใหม่ด้วยการบีบความเป็นพ็อพอาร์แอนด์บีเต้นรำผสานบีทอาร์แอนด์บีฮิพฮอพที่โดเด่นบน4น้ำเสียง4สรรพสำเนียงที่แตกต่างไม่ว่าจะเป็นอาร์แอนด์บีหวานๆนุ่มๆสไตล์มายา เสียงดิบกร้าวทรงเสน่ห์กึ่งร็อคกึ่งโซลในแบของพิ้งค์ไปจนถึงการหยอดท่อนแร็พเจ็บๆเก๋ๆของลิล คิมและโดเด่นที่สุดกับการใช้ลูกเล่นการ้องแบบบลูส์อายส์โซลที่เข้าทางคริสทิน่า ก่อนจะปิดฉากได้อย่างนาประทับใจด้วยการที่ป้าอึ่งมิสซี่ เอเลียตร่ายชื่อให้แต่ละนางโชว์ลูกเล่นเอกลักษณ์เฉพาะตัวชนิดที่ไม่มีใครยอมใคร แรงขนาดนี้จึงไม่ประหลาดใจที่จะขึ้นอันดับ1เป็นเพลงที่4ของคริสทิน่า (และหวังว่าจะไม่ใช่เพลงสุดท้ายนะคะ อันดับหนึ่งสี่เพลงมาร่วม8ปีแล้วหล่อน ทำอะไรซักอย่างสิคะ)

มาที่3ซิงเกิ้ลจากอัลบั้ม Stripped สตูดิโออัลบั้มชุดที่2ของเธอโดยประเดิมที่ Dirrty (4.5/5) ซิงเกิ้ลเปิดตัวในแนวพ็อพอาร์แอนด์บีเต้นรำผสานความเป็นอาร์แอนด์บีฮิพฮอพแรงๆก่อนจะผสานความเป็นแร็พ แดนซ์-พ็อพและร็อคได้อย่างมีชั้นเชิง แม้ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จบนชาร์ตเพลงบ้านเกิดแต่ส่วนตัวเดีญนก็รู้สึกภูมิใจมากๆที่เห็นคริสทิน่าสามารถฉีกตัวเองทิ้งออกจากกรอบเดิมๆได้อย่างหมดจดและแนบเนียนสุดๆ มาที่ Beautiful (5) พ็อพบัลลาดบริสุทธิ์ที่ภาคดนตรีเป็นการปะทะกันของสแตนดาร์ดเพียโนพ็อพก่อนจะเพิ่มความเป็นเมนท์สตรีมสุดอลังการด้วยเครื่องสายไปกันได้ดีกับภาคเนื้อหาที่ใช้วาทะศิลป์แต่งออกมาได้อย่างอัจฉริยะและลึกซึ้งบาดขั้วหัวใจคลอเคลียไปกับการขับขานด้วยน้ำเสียงแบบพ็อพโซลนุ่มๆแต่ทรงพลังเชือดเฉือนทุกตัวโน๊ตเป็นเพลงที่ดีที่สุดในชีวิตการทำงานของคริสทิน่า และแน่นอนจะขาดไม่ได้กับ Fighter (3.5/5) พ็อพร็อคดิบกร้าวผสานลูกเล่นอย่างละนิดของฮาร์ดคอร์ เมทัล โกธิคและสครีมโมได้อย่างมีชั้นเชิง ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็น3แทร็คที่ต่างกันสุดขั้วแต่ลงตัวเหนือคำบรรยาย นับว่าเป็นตัวแทนที่ดีในการแสดงให้เห็นถึงความหลากหลาย พัฒนาการและการระเบิดศักยภาพทางดนตรีหลายๆด้านของคริสทิน่าออกมาได้อย่างดีเลยทีเดียว


ต่อกันด้วยบรรดาซิงเกิ้ลจากอัลบั้ม Back To Basic งานที่เธอหวนกลับสู่ภาคดนตรีที่เป็นแรงบันดาลใจอย่างโซล บลูส์และแจ๊ซซ์พร้อมทั้งปรุงแต่งเข้ากับจังหวะจะโคนร่วมสมัยทั้งฟั้งค์ ฮิพฮอพ อาร์แอนด์บี แดนซ์ลงสู่พ็อพได้อย่างลงตัวพิสูจน์ได้ใน Ain't No Other Man (5) ซิงเกิ้ลแรกเพลบงเก่งประจำอัลบั้ม มาที่งานบัลลาดอย่าง Hurt (3.5/5) ที่ภาคดนตรีเปนเมนท์สตรีมพ็อพบัลลาดผสานบลูส์อายส์โซลยุค50 แม้ว่าส่วนตัวจะคิดว่าเะอเข้าได้ไม่ถึงความดิบสดในการถ่ายทอดภาคดนตรีดังกล่าวเท่าที่ควรแต่มองในแง่ของการนำเสนออย่างมีมิติสมยุคแล้วก็ถือว่าทำได้ดีไปอีกแบบเลยทีเดียว (ส่วนตัวไม่ชอบเพลงนี้เลยค่ะไม่รู้จะหน้ามืดรีบตัดออกมาทำไม) และโดเด่นสุดๆกับ Candy Man (5) คืนบรรยากาศหวานๆช่วงยุค30ด้วยดนตรีสวิงแจ๊ซซ์ที่ชวนให้นึกถึงศิลปินสวิงในยุคนั้นอย่างบิลลี่ ฮอลิเดย/เอลล่า ฟิทซ์เจอรัลด์/แอนนิต้า โอเดย์ไปจนถึงเค้านท์แบสซี่เลยทีเดียว เริ่ดมากๆ

สำหรับ4เพลงสุดพิเศษที่เธอมอบให้แฟนๆในงานชุดนี้นอกจากจะเป็นไปตามรรมเนียมอัลบั้มรวมฮิตที่ควรมีการคืนกำไรให้แก่ผู้ฟังแล้วยังเปรียบเสมือนเมนูเรียกน้ำย่อยก่อนที่จะไปพบกันแบบเต็มๆในงานชุดหน้าเปรียบเสมือนสัญญาณเตือนให้แฟนๆเตรียมตัวในการปรับระดับหูไปกับการเปลี่บนแปลงภาคดนตรีครั้งใหม่ของเธออีกครั้งกับก้าวใหม่ในคอนเส็ปท์ Futuristic เริ่มด้วย Keep Gettin' Better (3/5) ไทเทิ่ลแทร็คที่เพิ่งตัดเป็นซิงเกิ้ลล่าสุดกับภาคดนตรีอิเล็คโทรพ็อพแดนซ์ผสานบีทดิสโก้ตึ้บๆ ยูโรพ็อพและลูกเล่นแบบอิเล็คโทรแกลมอ่อนๆในแบบฉบับที่ชวนให้นึกถึง Goldfrapp/มาดอนน่า/เกว็น สเทฟานีและแน่นอนไคลีย์ มิโน้กแม้ว่าช่วงแรกๆจะรู้สึกแปลกๆกับมันแต่นานๆไปแล้วปฏิเสธไม่ลงว่าติดหูจนหลอนเข้าไปในหัวเลยทีเดียว มาที่ Dynamite (3/5) อิเล็คโทรพ็อพเต้นรำเสริมทัพด้วยความเป็นคลับแดนซ์ ฟั้งค์แลัจังหวะดั๊บอ่อนๆได้อย่างลงตัวนับว่าเป็นอีกแทร็คที่ติดหูได้ง่ายเช่นกัน ส่วนอีสองแทร็คเป็นการหยิบซิงเกิ้ลเก่าๆของเธอมาปรุงแต่งต้อนรับยุคอนาคต เริ่มที่ Genie 2.0 (4/5) ซึ่งเป็นภาค Futuristic ของ Genie In A Bottle ซิงเกิ้ลแรกและอันดับหนึ่งเพลงแรกของเธอในแนวแดนซ์-พ็อพ เทคโนจัดๆเจืออิเล็คโทรนิคเข้มข้น เฮ้าส์ลอยๆ แทรนซ์และยูโรดิสโก้อวกาศตึ้บๆ นับว่าเป็นการปรุงแต่งที่เก๋เข้าขั้น ปิดท้ายด้วย You Are What You Are (Beautiful) (4.5/5) ต๊ายยยย เปลี่ยนแปลงชนิดพลิกตีนเลยทีเดียวค่ะจากพ็อพบัลลาดทรงพลังมาเป็นดีพเฮาส์อิเล็คโทรนิคแอมเบี้ยนท์บัลลาดลอยๆก่อนจะนำบีทไลท์เทคโนและไซคลีเดลฃิกแบบเจือจางมาเนรมิตสภาพแวดล้อมแบบเคลติคขลังๆเย็นๆ อู๊ยยย ฟังแล้วขนลุกนึกว่าเอ้นย่าหนีตายมาร้องอิเล็คโทรนิคนะคะเนี่ย เริ่ดมาก

ป.ล. ชักเสียวสันหลังกับอัลบั้มหน้าของหล่อนแล้วสิคะ นี่แค่ออเดิร์ฟขำๆหล่อนยังตะลุยโลกอวกาศขนาดนี้แล้วของจริงนี่จะไม่สร้างแกแล็กซี่ใหม่อยู่เองเลยหรือไงคะ อีติ๊

สรุป

สำหรับเดี๊ยนงานชุดนี้ก็นับได้ว่าเป็นผลสรุปบทพิสูจน์ในฐานะศิลปินคุณภาพองค์แรกนะคะ จัดได้ว่าเป็นงานทรงคุณภาพพอที่จะวางเคียงข้างกับงานรวมฮิตของดิว่าท่านอื่นๆอย่างมาดอนน่า/มารายห์/วิทนีย์/บริทนีย์ สเปียรส์รวมไปถึงบรรดาศิลปินพ็อพอย่าง N'sync/BSB/สไปซ์เกิลไปจนถึงระดับตำนานบนหิ้งเดียวกันได้อย่างสมศักดิ์ศรีเลยทีเดียว







Jessica Simpson : Do You Know : 2.5/5


เจสซิก้า ซิมป์สันเคยพิสูจน์ความสามารถในการร้องเพลงและพลังเสียงอันสุดทรงพลังหาตัวจับยากจนใครๆก็ยอมรับเธอมาแล้วใน Sweet Kisses สตูดิโออัลบั้มชุดแรกของเธอและหลายคนลงความเห็นว่าเป็นเพียงอัลบั้มเดียวที่เธอฉายศักยภาพเข้าขั้นดิว่าที่มีอยู่ในตัวเธออย่างเต็มที่ที่สุดในขณะที่งานเพลงหลังจากนั้นของเธอสร้างข้อครหามากกว่าความน่าประทับใจ แต่อย่างไรก็ตามเดี๊ยนเล็งเห็นว่าเธอยังคงเป็นนักร้องที่เปี่ยมด้วยศักยภาพและพรวรรค์ในการใช้น้ำเสียงชนิดฟ้าประทานมาเลยทีเดียวหากแต่เหมือนกรรมก้อนใหญ่บังนะคะเนื่องจากผลงานหลังจากนั้นไม่สามารถระเบิดศักยภาพออกมาได้ในแบบที่เทียบเท่าหรือเหนือกว่า แต่ส่วนตัวแล้วเว้นส์ยังคงสั่งให้เชื่อในตัวเะอต่อไปเนื่องจากเห็นว่าเธอคนนี้เป็นศิลปินที่มีพรสวรรค์อยู่จริงๆและถ้ามันไม่เน่า ไม่บูดไปเสียก่อนเชื่อว่าถ้าเธอสามารถสร้างความลงตัวให้แก่งานของเธอได้รวมทั้งกล้าที่จะระเบิดศักยภาพออกมาในแบบฉบับของตนเองล่ะก็ เธอคนนี้มีอะไรมากกว่าที่เห็นแน่นอน

ป.ล. หวังอย่างเดียวว่าศักยภาพของหล่อนมันคงไม่ต้องรอลงโรงฉายนานถึงชาติหน้านะคะ คงจะไม่ตามไปพิสูจน์ด้วยแต่อย่างใด หึหึหึหึหึ

รูปแบบเพลง+จุดด้อย

จากแนวพ็อพบัลลาดทรงพลังสไตล์ดิว่าในอัลบั้มแรกสู่ความเป็นทีนพ็อพสไตล์บริทนีย์และพ็อพลูกผสมหลากหลายในงานถัดๆมาจนไปถึงงานที่หน้ามืดจับไปทุกตลาดอย่างอัลบั้มที่แล้ว ในการเดินทางครั้งใหม่กับ Do You Know เจสซิก้าเลือกที่จะเบนเข็มสู่ตลาดคันทรีย์โดยเขยิบภาคดนตรีเข้าสู่ความเป็นคันทรีย์พ็อพผสานพ็อพร็อค โฟล์ค บลูส์(แบบจางมากๆ)ไปจนถึงภาคบัลลาดที่รูปแบบการนำเสนอชวนให้คิดถึงบัลลาดในสไตล์เดียวกับบรรดาคันทรีย์ดิว่าตั้งแต่ดอลลี่ พาร์ทันไล่ไปจนถึงชาไนญ่า ทเวน/เฟธ ฮิล/ลีแอน ไรห์ม/ทริช่า เยียร์วู้ดยันรุ่นเล็กอย่างแคร์รีย์ อันเดอร์วู้ดจนถึงซีลิน ดิออนตอนแปลงร่างลงไปทำคันทรีย์เลยทีเดียว ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วเดียนยอมรับนะคะว่าเนื้อเสียงของเจสซิก้านี่ไปกันได้ดีกับแนวคันทรีย์แนวโฟล์คแบบนี้มากเลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตามถึงจะเข้ากันแต่ภาพรวมก็ใช่ว่าจะยุรยาตรออกมาด้วยดีนะคะถึงเธอจะถูกกาลเทศะกับแนวคันทรีย์มากกว่าที่ได้ยินมาดอนน่าทำฮิพฮอพ มารายห์ทำร็อคหรือคริสทิน่ากับบียอนเซ่แข่งกันทำอิเล็คโทรนิคก็เถอะอย่างไรก็ตามภาคการนำเสนอเนื้องานโดยรวมเดี๊ยนคิดว่าเจสซิก้าเข้าไม่ถึงจิตวิญญาณของดนตรีชนิดนี้เอาเสียเลยทีเดียว ฟังดูก็รู้ค่ะว่าจุดประสงค์ของเธอไม่ได้ต้องการที่จะผันตัวมาเป็นศิลปินคันทรีย์จริงๆหากแต่เป็นการลองตลาดรวมถึงเป็นการขยายไปสู่ฐานผู้ฟังคันทรีย์ที่ค่อนข้างกว้างแน่นกว่าดนตรีแยฃนวอื่นๆในอเมริกาซึ่งก็ถือว่าฉลาดแยบยลค่ะในการนำชื่อเสียงและบารมีที่สั่งสมมาจากฝั่งพ็อพไปลงสังเวียนใหม่นี้ความเป็นพ็อพไอค่อน ดารารวมถึงศักดิ์ศรีระดับดิว่าของเธอคงจะสร้างแต้มต่อที่ได้เปรียบนางอื่นๆไม่น้อยหากแต่เดี๊ยนว่าเธอไม่เฉลียวรอบคอบเท่าที่ควรเอาเสียเลยเนื่องจาก ใช่ค่ะคิดถูกเพราะฐานคนฟังคันทรีย์กว้างจริงแต่การเป็นที่ยอมรับในแวดวงนี้ไม่ได้ง่ายดายอย่างแน่นอนหากเธอพิสูจน์ตัวเองได้ไม่ดีพอที่จะเข้าตากรรมการล่ะก็ระวังจะถูกไล่แห่หนีกลับมาทำพ็อพแบบเดิมๆไม่ทันนะคะ (แล้วในตลาดพ็อพที่ว่าดังกันง่ายๆรายวันแล้วเธอยัง เอ่อ....) แถมฟังเนื้องานโดยรวมในงานชุดนี้แล้วก็คงจะพูดไม่ได้เต็มปากนะคะว่าเป็นบทพิสูจน์ที่ดีเนื่องจาก แหมมมมม พูดกันตามตรงนะคะว่าเธอไต่ไปไม่ถึงมาตรฐานว่ะคือยอมรับค่ะว่าภาคดนตรีให้พื้นที่กับความเป็นคันทรีย์มากขึ้นแต่มันออกมาแลดูหลอกๆกลวงๆมากกว่าที่จะทำออกมาแบบแสดงให้เห็นถึงความเคารพในจิตวิญญาณของภาคดนตรีชนิดนี้จริงๆรวมถึงชั้นเชิงในการนำเสนอ การเรียบเรียงถ้าพูดแบบตรงๆใจร้ายๆเลยก็คือทำออกมาได้อย่างจืดฃืด ปวกเปียก ขาดเสน่ห์น่าติดตามและไร้มิติจนน่าตกใจ แต่อย่างไรก็ตามพิจารณาในแง่ดีของตัวงานจากมาตรฐานของเธอแล้วก็ต้องนับว่างานชุดนี้เป็นงานชุดที่มีเอกภาพในตัวงานค่อนข้างสูงมากๆรวมถึงนำเสนอคอนเส็ปท์ทางภาคดนตีได้เด่นชัดที่สุดจากเธอเลยทีเดียวอีกประเด็นถ้าฟังกันแบบไม่คิดมากหรือไม่ไปเทียบกับบรรดาคันทรีย์ดิว่าหลายแหล่แล้วต้องจัดว่าเป็นอัลบั้มที่เพราะมากๆอัลบั้มหนึ่งเลยทีเดียว

แทร็คเด็ด

แม้ว่าจะไม่ได้สร้างความประทับใจเท่าที่ควรแต่เมื่อฟังภาพรวมของอัลบั้มทั้งชุดแล้วต้องนับว่าซิงเกิ้ลแรก Come On Over (2.5/5) เป็นการเลือกเปิดตัวที่บ่งบอกภาพรวมของงานชุดนี้ได้อย่างดีเลยทีเดียวกับภาคดนตรีคันทรีย์พ็อพร็อคจังหวะสนุกๆเจือกีตาร์โฟล์คบลูส์ใสๆเพราะๆที่แม้ว่าการนำเสนอจะดูแปร่งๆพิกลแต่ก็ไม่ปฏิเสธว่าเพราะติดหูรวมถึงเป็นแทร็คที่แสดงอิทธิพลของความเป็นคันทรีย์ในตัวงานออกมาได้อย่างชัดเจนมากกว่าหลายๆแทร็ค สำหรับผู้ที่ประทับใจงานบัลลาดสไตล์เจสซิก้าคงจะชอบ Remember That (3/5) ได้ไม่ยาก พ็อพบัลลาดที่ภาคการนำเสนอและเรียบเรียงดนตรีคงความเป็นคันทรีย์ในแบบเดียวกันกับชาไนญ่า ทเวน/เฟธ ฮิลและแคร์รีย์ อันเดอร์วู้ดเพียงแต่ว่าในแนวทางของเจสนี่ความเป็นพ็อพจะสูงโด่ชนิดที่กลบกลิ่นคันทรีย์จางๆในตัวเพลงมิดไปเลย ต่อด้วย Still Beautiful (3/5) ต๊ายยยย พ็อพคันทรีย์จังหวะสนุกๆน่ารักเชยลากตามธรรมเนียมคันทรีย์นั่นแหละค่ะแต่ส่วนตัวแล้วจัดว่าเป็นแทร็คที่เพราะติดหูและโด่นมากๆเลยทีเดียว แทร็คถัดไป When I Loved You Like That (3.5/5) เมนท์สตรีมพ็อพบัลลาดมฃที่ผสานลูกเล่นของการเรียบเรียงดนตรีงดงามระยิบระยับในแบบฉบับคันทรีย์ โฟล์คและบลูส์ลงไปแต่งแต้มยกระดับความไพเราะได้อย่างดีทีเดียว

แทร็คที่ดีที่สุดสำหรับงานชุดนี้เดี๊ยนขอยกให้ Pray Out Loud (4/5) เมนท์สตรีมคันทรีย์พ็อพบัลลาดติดกลิ่นอดัลท์คอนเทมโพลารีย์และพ็อพร็อคเชยๆกอสเพลอ่อนๆที่มีสูตรสำเร็จอันไพเราะติดหูจากท่อนคอรัสและภาคเนื้อหาสะท้านใจผนวกเข้ากับน้ำเสียงทรงพลังหวานหยดที่ทุกองค์ประกอบสานเสน่ห์และเอกลักษณ์ในการนำเสนอเพลงคันทรีย์ตามธรรมเนียมออกมาได้อย่างเหนือชั้น มาที่ Man Enough (3.5/5) คุมคนฟังอยู่หมัดกับพ็อพโฟล์คคันทรีย์เพราะๆผสานบลูส์เหงาๆ ร็อคจางๆและน้ำเสียงโซลสุดทรงพลัง จัดว่าเป็นแทร็คบัลลาดอีกแทร็คที่น่าสนใจและโดดเด่นออกมามากกว่าแทร็คบัลลาดเอือ่ยๆน่าเบื่ออีกค่อนอัลบั้ม ปิดท้ายด้วย Do You Know Feat. Dolly Parton (3/5) ไทเทิ่ลแทร็คที่ร่วมงานกับระดับราชินีคันทรีย์อย่างป้าดอลลี่ พาร์ทันโดยส่วนตัวไม่ปฏิเสธความโดดเด่นและความไพเราะค่ะคันทรีย์พ็อพโฟล์คบัลลาดผสานบลูส์ร็อคสวยๆละเมียดละไมที่ทั้งคู่ร้องออกมาได้เพราะเอาเรื่องเลยทีเดียว หากแต่ส่วนตัวแอบผิดหวังนะคะ แหม ได้ร่วมงานกับเจ้าป้าราชินีลูกทุ่งตัวจริงแล้วทำไมงานมันถึงออกมาได้แกนๆแบบนี้ล่ะคะเจสเอ๋ย?ยิ่งเรื่องเสียงนี่ไม่ต้องพูดถึงเลยค่ะไปกันคนละทิศละทางเลยทีเดียวอีเจสอาศัยเรนจ์เสียงพ็อพดิว่าทรงพลังตะโกนแผดแว๊ดๆๆๆๆๆๆขโมยซีนเป็นซีลิน ดิออนเลยทีเดียวส่วนเจ้าป้าก็ร้องซะหลบเสียงหลานเต็มที่เลย ฟังๆไปก็ตลกดีเหมือนกัน ออกมากลายเป็นเพราะแบบเพลียๆป่วงๆไปซะได้

สรุป

อีกครั้งที่อาจจะไม่สามารถเรียกว่าเป็นงานที่ดึงศักยภาพอันยิ่งใหญ่จากเธอออกมาได้อย่างน่าประทับใจแต่อย่างไรก็ตามหากเธอมุ่งมั่นที่จะเดินทางสายคันทรีย์จริงๆอย่างที่พูดล่ะก็แม้ว่าจะไม่ใช่ปฐมบทแห่งการเริ่มต้นครั้งใหม่ที่ดีนักแต่ก็ถือว่ามาถูกทางค่อยๆเก็บเล็กผสมน้อย พัฒนาและเจียระไนตัวเองเรื่อยๆรับรองว่าได้สิ่งที่เหมาะมาอยู่ในมือตัวเองบวกกับศักยภาพทางน้ำเสียงอันหาตัวจับยากระดับนี้แล้วเธอคนนี้จะต้องสร้างย่างก้าวในอนคตที่เปี่ยมด้วยคุณภาพให้โลกประจักษ์อย่างแน่นอน




P!nk : Funhouse : 3.5/5

เธอคนนี้อาจจะไม่เหมาะกับคำว่า "ดิว่า" ในสายตาใครหลายๆคนนะคะ เนื่องด้วยการนำเสนอเพลงและการยอมรับที่ยังนับว่าไม่กว้างขวางเท่าที่ควรจากก่อนหน้านี้ หากแต่ถ้าคุณได้ติดตามเส้นทางดนตรีที่น่าสนใจยิ่งของสาวร็อคนางนี้แล้วล่ะก็คุณจะไม่ปฏิเสธเลยค่ะว่าเธอคนนี้มีคุณสมบัติและศักยภาพเพียบพร้อมทุกประการทั้งความสามารถทางดนตรี น้ำเสียงอันทรงพลังหาตัวจับยาก ไอเดียบรรเจิดและภาพลักษณืที่แรงและแหวกชนิดที่ดิว่านางอื่นๆอึ้งไปเลยหากแต่ดชก็เป็นเพราะภาพลักษณ์ดังกล่าวนะคะที่สร้างความจำกัดทางการยอมรับในหมู่กว้างแเธอเนื่องจากค่อนข้างจะดุและแรงเกินมาตรฐานดิว่านางอื่นๆที่ค่อนข้างธรรมดาสามัญกว่าเจ๊พิ้งค์มาก แต่อย่างไรก็ตามงานชุดนี้ถือว่าเป็นฤกษ์ดีค่ะที่จะประกาศว่ากาลเวลาเป็นเครื่องเจียระไนคุณภาพศิลปินได้ดีที่สุด ณ วันนี้เธอมายืนในจุดที่เดี๊ยนคิดว่าเธอสมครจะได้ยืนก่อนใครเพื่อนมาตั้งนานแล้ว

รูปแบบดนตรี

ทิศทางโดยรวมยังคงยืนพื้นที่ความเป็นพ็อพร็อคและโฟล์คค่อนข้างสูงเช่นเดียวกับงานชุดที่แล้วหากแต่บทบาทของความเป็นอัลเทอเนทีฟในการนำเสนอนั้นเข้มข้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะต่อยอดไปสู่อารืแอน์บี แดนซ์ โซล แจ๊ซซ์ คันทรีย์ ฟั้งค์และอิเลคโทรนิคได้ในระดับที่ชวนฟัง นอกจากนี้ในส่วนของภาคบัลลาดยังต้องขอชมว่าเธอทำออกมาได้ไพเราะละเมียดละไมมากๆชนิดที่จับคนฟังทุกขาอยู่หมัดทั้งประจำและจรเชื่อว้าหลงรักหลายๆเพลงในนี้ได้ไม่ยากแน่นอนค่ะรวมถึงแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการในการนำเสนอบัลลาดที่เหนือระดับขึ้นไปเรื่อยๆได้อย่างน่าประทับใจเลยทีเดียว

จุดด้อย

แม้ว่าเนื้องานจะอยู่ในระดับที่น่าประทับใจตามเดิมนะคะ แต่ส่วนตัวรู้สึกว่างานชุดนี้เนื้องานโดยรวมดูอ่อนที่สุดจากในบรรดาทุกๆอัลบั้มของเธอเลยทีเดียวคือมันไม่แย่ถึงขั้นน่าผิดหวังก็จริงแต่ก็สัมผัสได้ชัดเจนว่าชั้นเชิง มิติในการนำเสนอ เอกภาพและความแรงในตัวงานนั้นแผ่วลงอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตามเมื่อมองกับการแลกต่อการเข้าถึงผู้ฟังได้กว้างขวางขึ้นด้สวยการลดความซับซ้อนทางการนำเสนอลง ปรับงานให้พ็อพและฟังง่ายขึ้นมากหากแต่ยังคงความละเมียดละไม ความประณีตไพเราะพร้อมทั้งเนื้อหากระแทกใจที่พัฒนาความเจ็บของภาษาขึ้นไปเรื่อยๆอย่างไม่หยุดยั้งแล้วล่ะก็ต้องถือว่าเป้นภาคใหม่ที่ชวนติดตามไม่น้อยทีเดียว

แทร็คเด็ด

แน่ล่ะคะคงไม่มีแทร็คไหนเหมาะที่จะหยิบมาเปิดงานได้ดีไปกว่า So What (3/5) ซิงเกิ้ลเปิดตัวที่เป็นพ็อพร็อคกวนๆผสานบีทเต้นรำ อัลเทอเนทีฟและอิเล็คโทรนิคป่วงๆที่ผลลัพธ์ออกมาดนใจวัยรุ่นจนยอดโหลดถล่มทลายจนทะยานไปปรากฏตัวที่อันดับ3 ณ บิลบอร์ดชาร์ตก่อนจะก้าวไปสู่อันดับหนึ่งได้อย่างงดงามสร้างสถิติอันดับหนึ่งเพลงที่2หลังจากLady Marmaladeในปี2001ที่เธอต้องไปแชร์เครดิตกับอีก3นางที่เหลือน่ะค่ะ ส่วนตัวต้องขอเรียนตามตรงนะคะว่าเป็นอีกหนึ่งซิงเกิ้ลที่เหนือความคาดหมายเดียนมากๆเพราะส่วนตัวคิดว่าออกจะธรรมดาไปจนถึงแลดูไม่มีอะไรมากมายด้วยซ้ำแต่กลับประสบความสำเร็จอย่างน่าประทับใจ ต๊ายยย น่าเห็นใจซิงเกิ้ลดีๆเพลงอื่นอย่างพวกMost Girl/There You Go/Just Like A Pill อะไรพวกนี้นะคะ หึหึหึหึ มาที่ Sober (4/5) ที่วางไว้เป็นซิงเกิ้ลที่สองกับภาคดนตรีอัลเทอเนทีฟพ็อพร็อคบัลลาดที่ผสานอารมร์ฮาร์คร็อค พั้งค์และลูกเล่นการนำเสนอที่ให้อารมณ์กรั๊นจ์แบบNirvanaอ่อนๆ ฟังแล้วนึกถึง Long Way To Happy ในงานชุดที่แล้วขึ้นตะหงิดๆแต่อย่างไรก้ตามเพราะชนะเลิศค่ะ อีกแทร็คที่เดี๊ยนเดาว่ามีแววเป็นซิงเกิ้ลคือ Please Don't Leave Me (3/5) พ็อพร็อคผสานโฟล์คใสๆที่ติดหูชะงัดตั้งแต่รอบแรกที่ฟังใครที่ชอบเพลงเก่าๆของเธอแบบ Who Knew/Leave Me Alone (I'm Lonely)/Walk AwayหรือSave My Lifeคงจะชอบเพลงนี้กันได้ไม่ยาก

ย่อหน้าอุทิศให้ในส่วนของงานบัลลาดซึ่งเป็นไฮไลท์ที่โดเด่นมากๆของงานชุดนี้ ประเดิมความไพเราะกันด้วย Crystal Ball (4.5/5) ที่คุมคนฟังอยู่หมัดด้วยภาคดนตรีเรียบง่ายแต่ประณีตงดงามด้วยการปูพื้นด้วยความเป้นพ้อพโฟล์คใสกระจ่างบริสุทธิ์กรีดกรายด้วยอารมณ์คันทรีย์เจือจางเรียบง่ายแต่อยู่หมัด ต๊ายยยย นี่หล่อนทำเพลงสอนมวยอีเจสได้เริ่ดมากๆค่ะ หรือจะเป็น I Don't Believe You (4/5) อดัลท์คอนเทมโพลารีย์เมนท์สตรีมพ้อพบัลลาดผสานสรรพสำเนียงโล อาร์แอนด์บี โฟล์คและร็อคอย่างพอเหมาะสูตรสำเร็จเดียวกันกับที่ได้ยินใน Nobody Knows นั่นแหละค่ะ แทร็คถัดไป Mean (5) กรี๊ดดดดดดดดดๆๆๆๆๆๆๆๆเริ่ดสุดฤทธิ์จตัวเพลงเป็นโอลด์สคูลโมทาวน์พ็อพโซลอาร์แอนด์บีบัลลาดเพราะที่เปิดตัวด้วยกีตาร์บลูส์เข้มๆก่อนจะต่อยอดสู่ความเป็นบลูส์โซลคันทรีย์ฟั้งค์หนักๆผสานพ็อพโฟล์คหรูและบิ๊กแบนด์อลังการได้อย่างมีมิติ เพราะมากๆ และปิดท้ายอัลบั้มได้อย่างโดดเด่นสุดๆกับ Glitter In The Air (5) สแตนดาร์ดเพียโนพ็อพบัลลาดบริสุทธิ์ยืนพื้นแต่งแต้มด้วยความประณีตแบบฟล์คสวยๆก่อนจะเสริมทัพด้วยความเป็นแจ๊ซซ์ โซล อาร์แอนด์บีตามแบบฉบับของพิ้งค์ แอร๊ยยยย เรียบง่ายแต่ไพเราะชนิดที่เล่นเอาคนฟังจุกไปหลายนาทีเลยทีเดียว เริ่ดมากๆๆๆๆๆๆๆๆ

สรุป

หลังจากที่พิสูจน์ตัวเองอย่างไม่หยุดยั้ง ณ วินาทีนี้ศักยภาพและคุณสมบัติความเป้นศิลปินคุณภาพที่ไม่เคยจางหายไปจากตัวเธอนับตั้งแต่วันแรกที่ลงสังเวียนก็ได้นำพาศิลปินมากความสามารถนางนี้มาส่งถึงฝั่งที่คนเจ๋งๆอย่างเธอสมควรจะอยู่เสียทีนะคะ เห็นมั้ยล่ะว่ากาลเวลาพิสูจน์คนได้ดีเยี่ยมจริงๆ




_________________

April fighting! + angel Sojin�
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
Da Nastina พิมพ์ว่า:


Beyonce : I Am...Sasha Fierce:3.5/5

จากความเห็นส่วนตัวของเดี๊ยน บียอนเซ่ คือหนึ่งในศิลปินหญิงที่ฉายแววความเป็น "ดิว่า" ออกมาได้อย่างโดเด่นชัดเจนที่สุดคนหนึ่งประจำทศวรรษ2000เลยทีเดียว เธอคนนี้มีพร้อมสรรพทั้งเสียงอันทรงพลัง ภาพลักษณ์อันโดดเด่นและแรงขับเคลื่อนในตัวที่รุนแรงมหาศาลจนผลักดันให้เธอเข้าสู่ทำเนียบดิว่าด้วยการพิสูจน์ในฐานะศิลปินเดี่ยวในระยะเวลาอันรวดเร็ว คงจะไม่ผิดใช่ไหมคะที่จะบอกว่าเธอคือหนึ่งในตัวแทนของดิว่าประจำเจเนอเรชั่นนี้เลยทีเดียว

จุดด้อย

ลงความเห็นกันหลายเสียงรวมทั้งเดี๊ยนด้วยนะคะว่างานชุดนี้เป็นงานที่ดีทั้งในแง่ของพัฒนาการ ความแปลกใหม่และคอนเส็ปท์ในการนำเสนอตัวงานอันเด่นชัดหากแต่ขาดความสมูทและอารมณปะติดปะต่อในการฟังไปอย่างน่าเสียดายเนื่องจากทั้ง2แผ่นนี่เป็นอะไรที่คนละชั้วกันชนิดเล่นเอาคนฟังปรับประสาทหูรับไม่ทันเลยทีเดียว ใน I Am... ส่วนตัวขอยอมรับนะคะว่ามีพัฒนาการในการนำเสนอรอบด้านทั้งมิติในภาคดนตรี ชั้นเชิงในการใช้เสียงที่สูงขึ้นมากๆรวมถึงความไพเราะประณีตและละเมียดละไมจนเข้าขั้นน่าประทับใจอย่างเห็นได้ชัดเลยทีเดียว งานนี้คอดิว่าบัลลาดมีกรี๊ดค่ะแต่อย่างไรก็ตามถ้าฟังในช่วงที่ประสาทไม่แข็งล่ะก็มีสิทธิ์สลบคาสเตอริโอได้แน่นอน มาที่อีกแผ่น Sasha Fierce ที่เอาใจขาแดนซ์ (แน่สิยะ ลองอีบีกล้าทำบัลลาดล้วนหมด16แทร็คล่ะก็กะเทยสาวกหล่อนต้องพร้อมใจโดดตึกกันแน่ๆ หึหึหึหึ) สำหรับเดียนคิดว่าภาคการนำเสนอด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัดเลยทีเดียวฟังไปฟังมาแล้วรู้เลยว่าเป็นงานลองผิดลองถูกแถมเป็นซาวนด์ทดลองแบบประดักประเดิดขาดความลงตัวและทิศทางในการนำเสนอเพลงเต้นรำที่ทรงพลังในแบบที่บียอนเซ่เคยทำได้ในก่อนหน้านี้น่ะค่ะ คืดมันดูไม่ค่อยเป็นออริจินัลเท่าไรอ่ะค่ะ โชคดีนะคะที่เมื่อเอาเนื้องานโดยรวมมาประเมินแล้วยังช่วยๆอุดรูรั่วได้มิดอยู่บ้าง แต่อย่างไรก็ตามต้องยอมรับนะคะว่าภาคการนำเสนอยังไม่ลงตัวจนน่าประทับใจในแบบเดียวกับศิลปินอาร์แอนดืบีที่ออกอัลบั้มคู่หลายอื่นๆอย่าง Speakerboxx....ของ Oustkast/Sweat&Suitของเนลลีย์ไปจนถึงงานของดิว่าในสังเวียนเดียวกันอย่าง Back To Basic ของคริสทิน่า อากิเลร่าที่ทำออกมาได้ลงตัวและกลมกลืนในระดับที่เรียกความน่าฟังกว่ามาก

รูปแบบเพลง+แทร็คเด็ด

สำหรับแผ่นแรก I Am... ให้ภาพรวมออกมาเป็นงานอดัลท์คอนเทมโพลารีย์อาร์แอนด์บี พ็อพบัลลาดเพราะๆละเมียดละไมตามธรรมเนียมดิว่าบัลลาดนุ่มลึกทรงพลังอลังการ ที่เรียกว่าเป็นอาร์แอนด์บี พ็อพเนื่องจากเนื้องานมีความเป็นพ็อพสูงขึ้นและโดเด่นขึ้นมากจนน่าตกใจลบความทรงจำเกี่ยวกับภาคการนำเสนอแบบโซลฟูลอาร์แอนด์บีเนิบนาบฟังยากจากงานชุดก่อนๆไปเลยเนื่องจากทิศทางในงานชุดนี้เป็นอดัลท์คอนเทมโพลารีย์บัลลาดที่ยังคงสรรพสำเนียงแบบอาร์แอนด์บีและโซลจากความเป็นคนผิวสีของบียอนเซ่อยู่ เปิดงานด้วย If I Were A Boy (4/5) ซิงเกิ้ลแรกที่เป็นพ็อพอารืแอนด์บีบัลลาดโครงสร้างเรียบง่ายสานด้วยการถ่ายทอดด้วยน้ำเสียงแบบบลูส์โซลนุ่มละมุนคอไปกับภาคเนื้อหาที่ทรงพลังเชือดเฉือนกรีดขั้วหัวใจสตรีทั้งโลกเลยทีเดียว เริ่ด มาที่ Halo (5) แทร็คที่สร้างความประทับใจให้เดี๊ยนมากที่สุดในงานชุดนี้กับงานอดัลท์คอนเทมโพลารีย์บัลลาดเจือความเป็นคลาสสิคและเมนท์สตรีมพ็อพหวานๆอลังการลงไปแยืนพื้นได้อย่างดีก่อนจะตบอารืแอนด์บีและโซลติดกอสเพลเข้าไปเสริมทิศทางให้เด่นชัดยิ่งขึ้น ถือ ว่าเป็นการนำเสนอภาคดนตรีของบียอนเซ่ในมุมมองใหม่ที่มีมิติสูงขึ้นอย่างเห้นได้ชัดเลยทีเดียว อีกแทร็คที่น่าจับตามองคงจะหนีไม่พ้น Ave Maria (5) อดัลท์คอนเทมโพลารีย์อาร์แอนด์บีพ็อพบัลลาดเพราะๆที่โดเด่นด้วยภาคดนตรีคลาสสิคอารืแอนด์บี สแตนดารืดเพียโนพ็อพบริสุทธิ์และอารมณ์กอสเพลขลังๆเหนือสิ่งอื่นใดน้ำเสียงที่อบอุ่นนุ่มนวลทรงพลังบาดลึกสุดๆ ต่อด้วย Broken-Hearted Girl (3.5/5) น่าจะถูกใจแฟนๆบียอนเซ่ไปจนถึงคนที่ชอบบัลลาดของเลโอน่า ลูอิส/เดลทา ก พ็อพโซลอาร์แอนด์บีบัลลาดทรงพลังที่ผสานอารมณืคลาสสิคอารืแอนด์บี ไลท์แจ๊ซซ์และบลูส์โซลลงมาได้งดงามระยิบระยับกับท่อนคอรัสที่ไพเราะตามสูตรสำเร็จดิว่าบัลลาดมาก

ในส่วนของ Sasha Fierce เป็นการนำเสนออีกด้านที่ดุดันและเปรี้ยวปราดขึ้นบนดนตรีเต้นรำหลากหลาที่ไม่ได้ยืนพื้นที่ความเป็นอาร์แอนด์บีดังเดิมหากแต่ปรับเข้าหาความหลากหลายกับอารฒณืแดนซ์-*พ็อพผสานอาร์แอนด์บี ฮิพฮอพ ฟั้งค์ ดิสโก้ อิเล็คโทรนิค เทคโนไปจนถึงสรรพสำเนียงเร็กเก้แดนซ์ฮอลล์ที่ได้ยินกันใน Single Ladies (Put A Ring On It) (3/5) ซิงเกิ้ลแรกที่อัดอย่างละนิดอย่างละหน่อยที่ได้กล่าวมาข้างต้นเว้นแต่ดิสโก้กับเทคโนที่ไม่มีให้เห็นนะคะ ฟังๆแล้วนึกถึงGet Me Bodiedในงานชุดที่แล้วอยู่เหมือนกันเห็นป่วงๆแบบนี้แต่ฟันอันดับหนึ่งบิลด์บอร์ดเพลงล่าสุดให้เะอไปแล้วนะคะ ต๊ายยยยยย สมควรจะเลิกเชื่อถือชาร์ตนี้ได้แล้ว แทร็คถัดไป Radio (3/5) ต๊ายยยย ฟังแล้วฮาค่ะใครจะไปคิดว่าจะได้ยินหล่อนทำพ็อพเต้นรำอิเล็คโทรนิคแบบนี้ให้ฟังโดยตัวเพลงใส่ควาสมเป็นเออร์บัน ฟั้งค์ ดิสโก้และเทคโนอ่อนๆในส่วนผสมที่พอเหมาะแต่เดี๊ยนว่าพอหล่อนเป็นคนร้องแล้วมันออกมาไม่ค่อยเหมาะเท่าไรเลยค่ะ พูดจริงๆนะคะมันดูไม่ใช่เธออ่ะบี มาที่ Diva (4.5/5) กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ จะต้องระเบิดเปรี้ยงในคลับแน่นอนค่ะ ฮิพฮอพอารืแอนด์บีคลับแดนซ์แรงๆผสานเออร์บันแดนซ์พ็อพจัดๆ กิ๊บเก๋ล่อกะเทยมากๆถ้าตัดมาล่ะก็มีหวังกรุงลงกา(เทย)แตกแน่นอน อีพวกกะเทยฮิพฮฮพแร็พโย่วจิกฝรั่งอย่าแม่อีบิดหนีในบอร์ดเราฝึกเซิ้งกันไว้ให้ดีนะคะ หึหึหึหหึ จะว่าไปเพลงนี้เสียงหล่อนคล้ายน้องห่านในPon De Replay มากๆแอร๊ยยยเพลงเริ่ดแล้วแต่อย่าวอนน่าบีได้มั้ยคะนังบี ต่อด้วย Sweet Dreams (3.5/5)แดนซ์-พ็อพ เทคโนสวยๆติดกลิ่นฟั้งค์กีย์อ่อนๆจัดว่าเป็นอีกแทร็คที่ติดหูชะงัด น่าตัดเป็นซิงเกิ้ลอยู่นะคะ

สรุป

โดยส่วนตัวแล้วใน I Am สำหรับเดี๊ยนคืองานคัมแบ็คที่ยิ่งใหญ่ระดับดิว่าจากเธอ ในขณะที่ Sasha Fierceเป็นงานเต้นรำตามประเพณีที่เธอทำออกมาเอาใจแฟนเพลงขาแดนซ์จัดว่าเป็นของแถมเล่นๆขำๆ ที่ต่อยอดความเหนือชั้นในแทร็คแรกได้สมศักดิ์ศรีเลยทีเดียว






Alicia Keys : As I Am : 4/5

สำหรับเธอคนนี้คงจะไม่มีอะไรให้ต้องเกริ่นยาวนะคะ จากระยะทางกว่า3อัลบั้มที่เปี่ยมด้วยคุณภาพอลิช่า คียส์คือศิลปินที่ช่วยยกระดับเพลงแนวโซลอาร์แอนด์บีฟังยากให้กลายเป็นขนมหวานที่เข้าถึงผู้ฟังได้กว้างขึ้น ด้วยเลือดศิลปินอันเข้มข้นและพรสวรรค์ทางดนตรีที่เหนือชั้นหาตัวจับยากแล้วนั้น ก็เพียงพอที่คนดนตรีทั้งหลายจะคารวะเพชรแห่งโซลอาร์แอนด์บีนางนี้ให้เป็นดิวว่าและอัญมณีล้ำค่าที่คอดนตรีทุกคนควรมีผลงานไว้ครอบครอง

รูปแบบเพลง

งานเพลงของอลิช่าส์ คียส์ใน As I Am ยังคงยืนพื้นอยู่ที่ความเป็นพ็อพโซลอาร์แอนด์บีผสานบลูส์ แจ๊ซซ์ ฟั้งค์และคลาสสิคเช่นเดียวกับ2อัลบั้มที่ผ่านมา หากแต่ได้ลดทอนบทบาทของภาคความเป็นเออร์บันดิบๆหม่นๆลงและหยอดความเป็นพ็อพเข้าไปแทนที่ค่อนข้างมาก ผลลัพธ์ออกมาเป็นอัลบั้มแบล็คมิวสิคที่หวานละมุนนุ่มหูและเพิ่ขอบเขตความฟังง่ายขั้นไปอีกระดับและไม่ดิบกร้าวจนเล่นเอาผู้ฟังแถบหอบอีกต่อไป ถือว่าเป็นย่างก้าวใหม่ที่นำพาพ้นงานของตนเองและเพลงแนวโซลอาร์แอนด์บีฟังยากให้เข้าสู่ความเเป็นสากลมากขึ้นอย่างน่าประทับใจเลยทีเดียว

จุดด้อย

ในเรื่องของเนื้องานสำหรับเธอคนนี้แถบจะหาอะไรมาติไม่ได้เลยจริงๆถึงแม้ว่าภาคการนำเสนอยังคงยืนพื้นอยู่ที่แนวแนวเดิมๆแต่ต้องยอมรับว่าภาคการนำเสนอนั้นถือว่าพัฒนาไปมากเลยทีเดียวมีการขัดเกลาเจียระไนเพื่อให้เข้าถึงผู้ฟังได้กว้างขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นับว่าเป็นงานของบอลิช่า คียส์ที่เพราะฟังง่ายที่สุดในบรรดาทุกอัลบั้มสำหรับเดียนเลยทีเดียว

แทร็คเด็ด

เริ่มต้นด้วย No One (4/5) ซิงเกิ้ลเปิดตัวในแบบฉบับพ็อพโซลอาร์แอนด์บีละเมียดละไมกึ่งบัลลาดติดกลิ่นฟั้งค์และบีทฮิพออพอ่อนๆผสมกันเป้นเนื้อเดียวได้อย่างนวลเนียนมากๆ แม้ว่าส่วนตัวในช่วงแรกๆจะรู้สึกว่าธรรมดาเกินกว่าจะเป็นซิงเกิ้ลเปิดตัวของศิลปินระดับอลิช่าส์ คียส์แต่ในระยาวติดใจในความสวยงามของภาคดนตรีที่ประณีตและไพเราะติดหูจัดๆ ต่อด้วย Wreckless Love (4/5) ที่ชวนให้นึกถึง Heartburn งานจากชุดที่แล้ว โอลดืสคูลฟั้งคโซลอาร์แอนด์บีผสานบลูส์ สวิงและสแตนดาร์ดแจ๊ซซ์ได้อย่างลงตัวฟังแล้วได้อารมณืเพลงพ็อพโซลสมัยยุคโมทาวน์อย่างมาก เช่นเดียวกันกับ The Thing About Love (4.5/5) บลูส์โซลอาร์แอนด์บีบัลลาดเจือความเป็นสแตนดาร์ดเพียโนแจ๊ซซ์และคลาสสิคเมนท์สตรีมพ็อพส่วนผสมเดียวกันกับบัลลาดในยุค50ของป้าซาร่าห์ วอห์นดิว่าแจ๊ซซืชื่อก้องโลกไล่ลงมาจนถึงช่วงยุค60-70นั่นแหละค่ะ เป็นหนึ่งในแทร็คที่ไพเราะอลังการที่สุดในอัลบั้ม Superwoman (4/5) บลูส์โซลอาร์แอนด์บีบัลลาดความหมายเริ่ดๆที่ภาคการนำเสนอชวนให้นึกถึง A Woman's Worth จากงานชุดแรก Song In A Minor เรียกได้ว่าเป็นภาคต่อของกันและกันได้เลยหากแต่เพลงนี้มาในรูปแบบที่พ็อพกว่ามากก็เท่านั้น

Lesson Learned Feat. John Mayer (4.5/5) กรี๊ดๆๆๆๆๆมันต้องเริ่ดอยู่แล้วล่ะค่ะเพราะว่าได้สามีเดี๊ยนอย่างจอห์น เมเยอร์สุดหล่อน่ารักมากถึงมากที่สุดมาร่วมงานด้วย งานนี้จึงเป็นการพบกันครึ่งทางระหว่างความเป็นบลูส์โซลอารืแอนด์บีในแบบฉบับอลิช่าผสานเข้ากับบลูส์ร็อคเข้มๆโฟล์คและคันทรีย์หม่นๆสไตล์จอห์น เมเยอร์ งานนี้ก็ไม่รู้นะคะว่าจะนิยามออกมาเป็นศัพท์ทางดนตรีว่าอะไรเพราะว่านี้มันก็เข้าขั้นจะน้องๆบลูส์กราสแล้วนี่ถ้าใส่บลูส์ที่ดิบกว่านี้เหยาะคันทรีย์และร็อคเข้าไปให้จัดจ้านกว้าที่ได้ยินล่ะก็อีอลิช่ากลายร่างแน่ๆค่ะ หึหึหึ แทร็คถัดไป Tell You Something (Nana's Reprise) (5) นี่ไม่พูดถึงไม่ได้นะคะ อดัลท์คอนเทมโพลารีย์พ็อพโซลอาร์แอนด์บีหวานนุ่มอบอุ่นที่เหยาะความเป็นพ็อพร้อคอ่อนๆเข้าไปเพิ่มความไพเราะและมนตขลังของตัวเเพลงให้เกิดความน่าประทับใจอย่างถึงขีดสุดเลยทีเดียว พ็อพที่สุดและเพราะที่สุดในชีวิตการทำงานของเธอแล้ว ปิดอัลบั้มอย่างทรงพลังด้วย Sure Looks Good To Me (5) ที่ภาคดนตรีเป็นบลูส์โซลอาร์แอนด์บีบัลลาดเสริมทัพด้วยความเป็นแจ๊ซซ์ คลาสสิคและกอสเพลได้อย่างมีชั้นเชิงพร้อมกับภาคเนื้อหาและการขับขานสุดเชือดเฉือนใจปิดมหากาพย์บทที่3อำลาผู้ฟังได้อย่างสง่างาม

สรุป

งานชุดนี้คือภาคต่อที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพและความน่าประทับใจจากอลิช่า คียส์ รวมถึงยังเป็นบทพิสูจน์ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ทั้งในฐานะศิลปิน ดิว่าและอนาคตอันสุกสกาวเจิดจรัสของแวดวงโซลอาร์แอนด์บีที่คอดนตรีทุกคนไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง






Rihanna : Good Girl Gone Bad : 3/5


เธอคนนี้ศักดิ์ศรีอาจจะไม่ถึงขั้นดิว่านะคะชนิดสมบูรณ์แบบในขณะนี้สำหรับใครหลายๆคนนะคะ แต่สำหรับเดียนเท่าที่ดูจากพัฒนาการ การฉายแววความสามารถรวมถึงการเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางและรวดเร็วในช่วงหลังๆแล้ว ค่อนข้างจะแน่ใจเลยทีเดียวค่ะว่าในอนาคตเธอคนนี้ต้องสามารถก้าวเข้าสู่ทำเนียบดิว่าได้อย่างสง่างามแน่นอน พลังขับเคลื่อนอันมหาศาลในตัวเธอมันทำให้เดี๊ยนเชื่อนะคะว่า ตัวเองนั่งมองคนที่กำลังเป็นดิว่าอยู่

รูปแบบดนตรี

ใน Good Girl Gone Bad ริฮานน่าได้ลดบทบาทของภาคดนตรีแบบเร็กเก้แดนซ์ฮอลล์จากงาน2ชุดที่แล้วลงและคงเหลือไว้เฉพาะสรรพสำเนียงก่อนจะขยับเข้าสู่ความเป็นพ็อพมากขึ้นโดยภาคดนตรียืนพื้นที่มีความเป็นพ็อพอาร์แอนด์บีผสานฮิพฮอพและแดนซ์ก่อนจะต่อยอดสู่ความเปนบัลลาด ซอฟต์ร็อค อิเล็คโทรนิค อคูสติคแลบะเทคโนเป็นต้น นับว่าเป็นย่างก้าวทดลองที่ประสบความสำเร็จล้นหลามเลยทีเดียว

จุดด้อย

งานชุดนี้เธอฉายแววพัฒนาการขึ้นมากกว่า2ชุดที่แล้วอย่างเห็นได้ชัดค่ะอันนี้ยอมรับเพียงแต่ว่าส่วนตัวคิดว่าถึงงานชุดนี้จะเป็นงานที่ค่อนแข็งและอยู่ในระดับที่แรงพอควรและทีเดียวแต่ภาพรวมยังไปได้ไม่ถึงขีดสุดเนื่องจากบางแทร็คยังอยู่ในระดับแกนๆขาดสีสันที่น่าสนใจไปจนถึงเรื่อยเปื่อยไปนิด นอกจากนี้ในภาคบัลลาดสำหรับเดี๊ยนคิดว่าเธอยังทำได้ไม่ดีเท่าที่ควรนักก็คงจะต้องอาศัยเวลาในการขัดเกลาและแก้ไขข้อเสียบางจุดนะคะ วินาทีนี้เธอก็ติดลมบนแล้วหากหมั่นเจียระไนตัวเองให้เข้าสู่คำว่าไม่มีที่ติได้มากกว่านี้ล่ะก็ หน้าไหนก็สอยเธอคนนี้ไม่ลง

แทร็คเด็ด

Don't Stop The Music (5) ฟังแล้วตกใจมากๆๆๆค่ะ เพราะส่วนตัวไม่คิดว่าจะได้ยินเธอทำเพลงเต้นรำที่แข็งในระดับนี้ออกมาได้ตัวเพลงเป็นแดนซ์พ็อพ เทคโนที่ผสานดิสโก้และเออร์บันได้อย่าลงตัวสุดๆ ฟังแล้วซูฮกค่ะ เป็นเพลงที่ล่อกะเทยที่สุดแล้วในชีวิตการทำงานของเธอ เริ่ด ต่อด้วย Shut Up And Drive (3/5) ซิงเกิ้ลที่สองที่ภาคดนตรียืนพื้นที่ซอฟต์ร็อคผสานบีทเต้นรำแบบอิเล็คโทรพ็อพแดนซ์จางๆน่ะค่ะ แม้ว่าจะไม่ได้ลงตัวมากมายหรือดีจนถึงขั้นแปะป้ายแต่ก็ถือว่าเป็นเพลงที่เท่ห์และแปลกใหม่พอตัวสำหรับเธอเลยทีเดียว มาที่ Push Up On Me (3.5/5) เออร์บันอิเล็คโทรพ็อพแดนซ์เก๋ๆที่ใส่บีทอาร์แอนด์บีและนำซาวนด์อิเลคโทรนิอคมาวาดความเป็นดิสโก้อย่างเหนือชั้น ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเพลงเต้นรำที่น่าสนใจมากๆแทร็คหนึ่งเลยทีเดียว น่าตัดเป็นซิงเกิ้ล สลับมาฟังเพลงช้ากันบ้างดีมั้ยคะขอแนะนำ Hate That I Love You Feat.Ne-Yo (4/5) อคูสติคพ็อพอาร์แอนด์บีบัลลาดเนียนๆเตจือความเป็นโซลหวานๆคุมทิศทางได้อย่างอยู่หมัด คออาร์แอนด์บีต้องถูกใจแน่ๆเพราะมากๆ หรือจะเป็น Good Girl Gone Bad (3/5)ไทเทิ่ลแทร็ค พ็อพอาร์แอนด์บีกึ่งบัลลาดความหมายดีๆเจือบีทกีตาร์อคูสติคแกร่งๆเท่ห์ๆลงไปได้อย่างมีเสน่ห์ ภาคเนื้อหาเยี่ยม! และจะไม่พูดถึงไม่ได้กับ Take A Bow (3/5) พ็อพอาร์แอนด์บีบัลลาดในเดอลุกซ์อิดิชั่นที่จัดว่าเธอร้องได้เพราะและเข้าถึงอารมณ์เลยทีเดียว ความสมบูรณ์แบบในตัวเพลงมีสูงพอๆกับพัฒนาการในการนำเสนอและความเป็นมิตรกับหูผู้ฟังทุกคลื่นวิทยุ ไม่แปลกใจที่มันจะดัง สำหรับแทร็คที่โดเด่นที่สุดคงจะหนีไม่พ้น Umbrella Feat. Jay-Z (4/5) ซิงเกิ้ลเปิดตัวอัลบั้มกับภาคดนตรีพ็อพอาร์แอนด์บีเต้นรำผสานฮิพฮอพแรงๆที่เปนกระแสและปรากฏการณืไปทั่วทุกมุมโลกน่ะค่ะ เป็นอีกหนึ่งแทร็คที่ความดังแทรกซึมไปถึงระดับรากหญ้าโดยแท้

สรุป

ถือว่าไม่ธรรมดานะคะจากสาวน้อยบ้านๆหน้าใหม่คนหนึ่งที่ไม่มีแววใดๆปรากฏทั้งสิ้นจากอัลบั้มแรกแต่ในวินาทีนี้เธอเจิดตรัสอย่างถึงขีดสุดเรียกได้ว่าเป็นเทรนด์อันร้องแรงก็คงจะไม่ผิด ขอซูฮกในแผนการตลาดอันยอดเยี่ยม ภาพลักษณือันสะดุดตา แบ็คอัพแข็งๆจากต้นสังกัดรวมถึงความมีพัฒนาการอย่างเด่นชัด ความพยายามแลความสามารถล้วนๆจากตัวเธอเองที่เปลี่ยนชื่อธรรมดาๆอย่างริฮานน่าให้กลายเป็นแบรนด์ที่ทุกสายตาจะต้องพร้อมใจกันหันมาจับตามองในวินาทีนี้





Leona Lewis : Spirit : 4/5

หนึ่งในศิลปินหน้าใหม่ที่โดดเด่นและน่าจับตามองที่สุดประจำปีนี้คงหนีไม่พ้นเลโอน่า ลูอิสคนนี้นะคะด้วยความสำเร็จและการเป็นที่ยอมรับอันล้มหลามรวมถึงความสามารถในการร้องเพลงที่ไม่เป็นสองรองใครทำให้เธอคนนี้ฉายรัศมีความเป็นดิว่าออกมาได้อย่างโดดเด่นในสายตาเดียนเลยทีเดียว แม้ว่าเธอจะยังต้องผ่านบททดสอบเพื่อก้าวสู่ความสมบูรณ์แบบที่เหนือระดับกว่านี้ก็ตาม เรามาช่วยกันจับตาดูและเจียระไนเพชรเม็ดนี้ให้ก้าวขึ้นไปประดับบัลลังก์ดิว่าอย่างสง่างามด้วยกันเถอะค่ะ

รูปแบบเพลง

โดยภาพรวมแล้วงานชุดนี้ยืนพื้นอยู่ที่ภาคดนตรีพ็อพอาร์แอนด์บีที่ภาคการนำเสนอเน้นหนักที่ความเป็นบัลลาดและอารมณ์ความเป็นอดัลท์คอนเทมโพลารีย์สูงมากก่อนจะขยับขยายไปสู่ภาคเมนท์สตรีมที่หลากหลายทั้งโซล บลูส์ ไลท์แจ๊ซซ์ กอสเพล คลาสสิค สแตนดาร์ดเพียโนบัลลาด อาร์แอนด์บี พ็อพไปจนถึงโมเดิร์นอาร์แอนด์บีกลายๆ เป็นต้น ต๊ายยย นี่กะจะแจ้งเกิดในฐานะดิว่าเต็มที่เลยล่ะสิคะเนี่ย

จุดด้อย

ไม่ปฏิเสธนะคะว่างานชุดนี้มีภาพรวมที่ค่อนข้างแข็งคือหลายๆแทร็คมีเอกภาพในตัวงานที่ค่อนข้างโดดเด่น มีสูตรสำเร็จและองค์ประกอบอันไพเราะติดหูตามธรรมเนียมของอัลบั้มที่ถูกลิขิตออกมาแล้วว่าต้องดังน่ะค่ะ อย่างไรก็ตามเดี๊ยนว่าสิ่งที่ขาดไปก็คือความชัดเจนในบางแทร็คที่สมควรจะจัดจ้านและนำเสนอออกมาได้กระแทกใจกว่าที่ได้ยินมากกว่านี้ นอกจากนี้รวมไปถึงความชัดเจนของตัวศิลปินด้วยเพราะต้องยอมรับนะคะว่ามีหลายแทร็คเหมือนกันที่ฉายแสงความสำเร็จของศิลปินท่านอื่นมาบดบังเธอ (โดยเฉพาะแม่นางงามจักรวาลที่ชื่อมารายห์ แครีย์น่ะค่ะ) ซึ่งตรงจุดนี้ก็ต้องอาศัยเวลาในการขัดเกลาและเจียระไนตนเองจนดึงศักยภาพความเป็นออริจินัลในจิตวิญญาณของเธอให้โลดแล่นออกมาได้อย่างเต็มที่นะคะ แต่อย่างไรก็ตามทั้งหมดทั้งมวลแล้วก็ต้องยอมรับนะคะว่าเปิดตัวออกมาได้อย่างน่าประทับใจเลยทีเดียว โดยส่วนตัวแล้วค่อนข้างประทับใจการนำเสนอภาคเนื้อหาค่ะ ใช่! ฟังแบบผ่านๆได้แต่กลิ่นหวานๆๆเน่าๆของเรื่องรักๆใคร่ๆแต่หากพิจารณาถึงแก่นให้ลึกลงไปหลายแทร็คไม่เพียงเป็นการถ่ายทอดบทเพลงรักออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจหากแต่ว่าออกมาจากอีกเส้นทางที่สวยงามนั่นคือสมองและสติสัมปชัญญะที่กลั่นกรองออกมาบนหลักของเหตุผลและการมีชีวิตอยู่บนโลกแห่งความเป็นจริง ซึ่งนับว่าเป็นศรัทธาในรักอีกขั้วหนึ่งที่หาได้อย่างยากยิ่งจากอัลบั้มเพลงรักประโลมโลกในทุกยุคทุกสมัยนะคะเพราะว่ามีไม่มากนักหรอกที่มันจะช่วยฉีกคุณให้ขึ้นมาอยู่เหนือจินตนาการรักแบบโลกเทพนิยายพร้อมทั้งกระตุ้นให้ทุกหัวใจตระหนักอย่างยิ่งยวดว่า ถ้าคิดจะรัก ต้องรักให้เป็น (เครดิตจากรีวิวอัลบั้ม Spirit ของมาดามจ๊อกกาโล่นะคะ)

แทร็คเด็ด

เปิดงานได้อย่างมีเสน่ห์สุดๆกับ Bleeding Love (5) พ็อพอาร์แอนด์บีบัลลาดเนื้อหายอดเยี่ยมที่โดเด่นบนการใช้ลูกเล่นและการให้มิติของเสียงในรูปแบบกึ่งๆอาร์แอนด์บีโซลโหยหวนที่ยกระดับภาคเนื้อหาที่เชือดเฉือนและท่อนคอรัสที่บรรจงนำเสนออกมาได้ติดหูเข้าขั้นอัจฉริยะเลยทีเดียว ส่วนตัวเป็นหนึ่งในแทร็คที่ปลื้มและฟังบ่อยที่สุดแทร็คหนึ่งในปีนี้เลยนะคะ แทร็คถัดไป Whatever It Takes (4.5/5) อดัลท์คอนเทมโพลารีย์เมนท์สตรีมพ็อพเย็นๆผสานความเป็นอาร์แอนด์บี คลาสิคและตบท้ายด้วยอารมณ์ความเป็นโซลจากการประสานเสียงแบบกอสเพลเข้ามาเสริมทัพได้อย่างลงตัวนับว่าเป็นแทร็คที่มีมิติและไพเราะติดหูเข้าขั้นแนวหน้าของงานชุดนี้เลยทีเดียว ต่อด้วย Homeless (3.5/5) ต๊ายยยย ฟังอินโทรมานี่นึกถึงI Don't Wanna Cryของนังมาลัยเพื่อนสาวงเดียนลอยมาแต่ไกลเลยทีเดียวค่ะ ตัวเพลงเป็นเมนท์สตรีมพ็อพโซลอาร์แอนด์บีบัลลาดที่เจือความเป็นบลูส์โซลหม่นๆดิบๆในน้ำเสียงและภาคดนตรีลงไปการนำเสนอแบบนี้ทำให้คิดถึงโอลด์สคูลบัลลาดแบบมารายห์ในยุคแรกๆมากๆ เช่นเดียวกันกับ Here I Am (4/5) บลูส์โซลอาร์แอนด์บีบัลลาดผสานเข้ากับอดัลท์คอนเทมโพลารีย์เมนท์สตรีมสแตนดาร์ดพ็อพเพียโนหวานละมุนพร้อมกับการโชว์พลังเสียงได้เริ่ดอลังการมากๆ(แล้วก็มารายห์มากๆพอกันค่ะ) สลับมาฟังอะไรน่ารักๆสดใสๆกันบ้างดีมั้ยคะนี่เลย Angel (4/5) อดัลท์คอนเทมโพลารีย์อาร์แอนด์บี พ็อพใสๆที่ติดหูชะงัดตั้งแต่รอบแรกที่ได้ยิน เป็นสูตรสำเร็จในโลกพ็อพและอารืแอนด์บีที่ขุดมาใช้ได้ผลทุกยุคสมัยชนิดไม่มีวันตายเลยนะคะ หึหึหึหึหึ สำหรับแทร็คที่เดียนประทับใจมากที่สุดในSpiritคงจะหนีไม่พ้น Better In Time (5) อีกหนึ่งเพลงเก่งจากเธอที่ภาคดนตรีเป็นพ็อพอาร์แอนด์บีบัลลาดที่เดินท่วงทำนองอย่างสง่างามบนท่วงทำนองของสแตนดาร์ดพ็อพเพียโนสวยๆก่อนจะผสานเมโลดี้ย์โซลฟูลอาร์แอนด์บีหวานละมุนลอยละล่องควบคุมทิศทางได้อย่างอยู่หมัด ประทับใจถึงขั้นที่ไม่รู้ว่าจะต้องนั่งฟังไปอีกกี่รอบถึงจะเพียงพอกับความอิ่มเอมใจจากความไพเราะอบอุ่นและเนื้อหากรีดแทงหัวใจขนาดนี้ ปิดท้ายกับ The First Time Ever I Saw Your Face (4/5)บลูส์โซลอาร์แอนด์บีบัลลาดผสานอารมณ์คอนเทมโพลารีย์เมนท์สตรีมพ็อพบัลลาดก่อนจะบีบความหวานลงไปด้วยท่วงทำนองของไลท์แจ๊ซซืเพียโนและอารมณ์คลาสสิคโซลฟูลอาร์แอนด์บีได้อย่างมีชั้นเชิง (นังมาลัยบินมาฉีกยิ้มอีกแร๊ววว)

สรุป

ฉายแสงออกมาได้เจิดจรัสขนาดนี้แล้วเราก็พร้อมใจมาจับตามองการเดินทางบนถนนสายดนตรีของเธอคนนี้กันดีกว่าค่ะว่าจะพิสูจน์ตัวเองได้ดีแค่ไหนในอนาคต อย่างไรก็ตามเรื่องของอนาคตเดี๊ยนยังไม่สนใจจะคาดเดาเนื่องจากในวินาทีนี้ถือว่าเอสอบผ่านในฐานะศิลปินคุณภาพเบื้องต้นอย่างไร้ข้อครหาแล้ว ก็ไม่สามารถคาดเดาได้นะคะว่าในวันข้างหน้าเอจะก้าวเป็นดิว่าอย่างสมบูรณ์แบบได้อย่างที่เดี๊ยนเล็งไว้รึเปล่าหากแต่วันนี้เอคืหนึ่งในมิตรใหม่ทางเสียงเพลงที่ถูกหูและถูกรสนิยมเดี๊ยนสุดๆคนหนึ่งชนิดที่แถบอยากจะขอไว้เป็นเพื่อนตายเลยทีเดียว แค่นั้นก็เกินพอแล้วสำหรับวันดีๆอีกหลายวันที่ผ่านไปกับอัลบั้มดีๆของศิลปินนางนี้




_________________

April fighting! + angel Sojin�
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
อันดับที่ 4 - Christina Aguilera - Stripped

Da Nastina พิมพ์ว่า:


Christina Aguilera : Stripped : 5

รูปแบบเพลง

เมื่อปี1999เราได้รู้จักเธอครั้งแรกจาก Genie In A Bottle ซิงเกิ้ลดังตีตลาดโลกกระเจิงพร้อมกับภาพลักษณ์สาวน้อยผมบลอนด์สวยใสผู้ถ่ายทอดบทเพลงแนวพ็อพบับเบิ้ลกัมติดหูติดตลาดบริโภคง่ายตามกระแสนิยม เรารู้จักทุกเพลงฮิตของเธอดีไม่ว่าจะเป็น What A Girl Wants/I Turn To You/Come On Over/Lady Marmalade ฯลฯ รวมถึงรู้จักเธอดีในฐานะทีนดิว่ารวมถึงชื่อที่สื่อขนานามให้ต่างๆนานาไม่ว่าจะเป็นคู่แข่งของบริทนีย์ สเปียรส์ หรือ มารายห์วอนนาบี เป็นต้น แต่แล้วเมื่อได้มีโอกาสมาทำความรู้จักกับเธออีกครั้งในStrippedคิดว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่เราเคยสัมผัสจากผู้หญิงคนนี้มันเปลี่ยนไปมากทั้งแนวเพลงที่มาพร้อมหับพัฒนาการขึ้นไปอีกหลายระดับชนิดก้าวกระโดดแบบผิดหูผิดตาเช่นเดียวกับภาพลักษณ์และภาคการนำเสนอบทบาทความเป็นศิลปินของเธอที่ฉีกต่างออกไปจากรูปแบบเดิมๆโดยสิ้นเชิง โดยภาคดนตรีในอัลบั้มนี้ได้สลัดความเป็นพ็อพบับเบิ้ลกัมออกอย่างหมดจดแล้วเบนเข็มมายืนพื้นที่ความเป็นพ็อพอาร์แอนด์บีที่ต่อยอดสู่การผสมผสานทางดนตรีที่หลากหลายด้วยฮิพฮอพ ร็อค โซล ละทิน แจ๊ซซ์และกอสเพลลงสู่พ็อพได้อย่างลงตัวจนกลายเป็นเอกภาพที่น่าทึ่ง ที่เชื่อว่าหลายคนที่ได้ทำความรู้จักกับงานชุดแรกของเธอเมื่อได้ลองฟังงานชุดนี้แล้วคงจะต้องหันกลับไปมองเธอและประเมินค่าเสียใหม่โดยสิ้นเชิง


จุดด้อย

เชื่อว่าผู้ฟังส่วนมากยอมรับคุณภาพทั้งในแง่ของความสมบูรณ์แบบและความลงตัวที่ค่อนข้างสูงมากของอัลบั้มนี้นะคะแต่อย่างไรก็ตามเมื่อลองย้อนไปดูข้อผิดพลาดที่เธอได้รับจากอัลบั้มนี้คงจะต้องบอกตามตรงว่าในส่วนของ "ภาพลักษณ์" ที่เปลี่ยนไปจากเดิมโดยสิ้นเชิงนี่ถือว่าเป็นดาบสองคมที่ส่งผลกระทบต่ออัลบั้มทั้งในแง่บวกและลบอยู่มากเลยทีเดียวกล่าวคือจากกระแสต่อต้านในเบื้องต้นรวมถึงความรู้สึกมฃที่ไม่ยอมรับ ไม่ชินและไม่อยากให้คริสทิน่าดูโสมมแบบนี้ส่งผลอย่างยิ่งให้บรรดาแฟนๆแลบะผู้ฟังขาจรต่างมองข้ามอัลบั้มชุดนี้ไปเพียงเพราะว่า"เธอดูแรงเข้าขั้นอย่างว่า" แต่ในทางกลับกันดูแล้วก็ถือว่าคุ้มค่าต่อการเสี่ยงต่อการที่จะแป๊กในช่วงแรกเพราะในระยะยาวภาพลักษณ์ของเธอถือว่าเป็นชนวนสำคัญที่ทำให้ทั้งอัลบั้มและตัวเธอเปรี้ยงชนิดที่ต่อสายป่านบนอุตสาหกรรมดนตรีแก่อีติ๊นาได้นานพอดูเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังช่วยเขยิบชื่อของ คริสทิน่าอากิเลร่าให้เข้าสู่ความเป็นไอดอลที่นิยมในหมู่มากยิ่งขึ้นและอาจจะเข้าขั้นเป็นศิลปินที่จุดประกายรงบันดาลใจให้แก่หลายๆนางนายเลยทีเดียว ไม่ต้องอะไรมากค่ะความสำเร็จสูงสุดวัดได้จากที่บรรดาปวงประชาเกย์ เก้งกะเทยทั้งหลายพร้อมใจกันยกอีนี่ขึ้นหิ้งบูชากราบไหว้เป็นอีกหนึ่งเทพีประจำสังเวียนชาวสีม่วงไปแล้ว หึหึหึหึ ศิลปินหญิงโลกนี้มีเยอะค่ะแต่มีไม่มากหรอกนะคะที่จะลงแข่งในลีคส์ดังกล่าวได้ มาที่ส่วนของภาคดนตรีที่ถึงแม้ว่ากรอบทางแนวเพลงจะกว้างมากๆแต่พอมาฟังแล้วรู้สึกว่าเธอกลั่นกรองมันออกมาอย่างลงตัวจนน่าประหลาดใจจุดด้เอยที่เห็นอาจจะอยู่แค่ความฟังยากที่มีมากขึ้นและถอยห่างจากตลาดเดิมอยู่มากอาจมีผลที่มำให้เสียฐานแฟนเก่าท่านที่นิยมอะไรใสๆน่ารักสมวัยไปแต่อย่างน้อยเธอก็สามารถตักตวงผู้ฟังฐานใหม่ๆได้ประเภทหมวดบริโภคคุณภาพ หมวดนิยมของแรงและที่สำคัญที่สุดหมวดพวกมีผีมีองค์มีอำนาจลึกลับฝังลึกแต่กำเนิดอย่างพวกเดี๊ยนๆเข้ามากักตุนปูเป็นฐานแฟนเพลงที่แข็ง แน่นและมีสีสันกว่าฐานเก่าที่เคยมีมา

ซิงเกิ้ล

Dirrty Feat. Redman (4.5/5) ด้วยภาพลักษณ์ใหม่และกระแสต่อต้านเอ็มวีที่ค่อนข้างแรงในช่วงนั้นส่งผลให้การเปิดตัวในบิลด์บอร์ดชาร์ตครั้งนี้ไต่ไปได้ไม่สวยอย่างที่ควรจะเป็น แต่อย่างไรก็ตามก็ต้องถือว่าไม่เสียทีค่ะที่เะอเลือกตัดเพลงนี้ออกมาเป็นซิงเกิ้ลแรกเพราะนอกจากจะเป็นเพลงที่เธอระเบิดศักยภาพหลายๆด้านออกมาให้ประจักษ์แล้วยังสามารถที่จะกินความสำเร็จในระยะยาวจากการหยอดภาพลักษณ์ลงสู่ตัวเพลงได้อย่างทรงพลังและแยบยลซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เธอชยับเข้าสู่ความเป็นไอดอลที่แข็งขึ้นอีกระดับรวมถึงสามารถนำชื่อ คริสทิน่าอากิเลร่า เข้าสูความเป็นที่นิยมในอุตสาหกรรมดนตรีและตลาดโลกได้มากขึ้นอย่างแท้จริง พิจารณาภาคดนตรีส่วนตัวแล้วเดียนเห็นว่าแทร็คนี้มีความสมบูรณ์แบบในตัวสูงมากๆ อาร์แอนด์บีฮิพฮอพผสานจังหวะจะโคนของดนตรรเต้นรำ แร็พ พ็อพและร็อคเข้าด้วยกันอย่างเหนือชั้นที่สำคัญให้ภาพรวมออกมาเหนือระดับกว่าเพลงแนวเดียวกันที่มีให้เห็นเกลื่อนตลาดเลยทีเดียว น่าเสียดายที่ถูกภาพลักษณ์ประหารคุณภาพโดยแท้

Beautiful (5) พ็อพบัลลาดที่ดำเนินเรื่องอย่างเรียบง่ายบนท่วงทำนองเพียโนบัลลาดและเครื่องสายแต่กินใจสุดๆด้วยการถ่ายทอดผ่านสรรพสำเนียงบลูส์อายส์โซลนุ่มนวลแต่เฃือดเฉือนตามแบบฉบับคริสทิน่าผนวกเข้ากับภาคเนื้อหาที่เปี่ยมด้วยความสวยงามทางภาษและความทรงพลังทางการป้อนความรู้สึกสื่อสารอารมณ์ร่วมแก่ผู้ฟังซึ่งถูกขับขานออกมาได้อย่างเป็นรูปธรรมที่ยิ่งใหญ่และสง่างามสมชื่อ สิริรวมแล้วเดี๊ยนขอยกให้เป็นซิงเกิ้ลที่ดีที่สุดในชีวิตการทำงานของคริสทิน่าค่ะ และถึงแม้ว่าเพลงนี้จะทำอันดับบนบิลด์บอร์ดชาร์ตได้ดีที่สุดแค่อันดับสอง แต่เชื่อว่าคุณภาพจากเนื้องานที่สาธารณชนได้สัมผัสมันก็เป็นข้อพิสูจน์ให้ทุกสายตาได้ประจักษ์แล้ว่า "เธอมีดีจริง" ส่วนตัวเห็นด้วยกับคุณพี่แคนดี้ในรีวิวเมื่อหลายปีก่อนนะคะที่ว่า "เพลงนี้เป็นข้อพิสูจน์ที่ยิ่งใหญ่ว่าท้ายที่สุดแล้ว"พ็อพ" คือดนตรีที่ยังคงความเป็นที่นิยมอยู่ทุกยุคสมัย"

ป.ล. ว่ากันว่าเพลงนี้เป็นชนวนระเบิดที่ทำให้พิงค์กับคริสทิน่าเป็นปรปักษ์กันแบบถาวรจนถึงทุกวันนี้นะคะ คือจริงๆแล้วเพลงนี้ป้าลินดาแกแต่งไว้เป็นสมบัติส่วนตัวนะคะแล้วเผอิญอีพิงค์ดันไปได้ยินเป็นคนแรกตอนทำงานชุด Missundaztood! กับป้าแล้วชีดันตกหลุมรักเพลงนี้จนเอ่ยปากขอเป็นกรรมสิทธิ์แต่แล้วก็หน้าแหกค่ะเพราะบารมีไม่ถึง มาคราวป้าทำงานชุดนี้กับอีติ๊ก็ไม่รู้ว่าอีติ๊ไปใช้เล่มเกวียนที่เท่าไรกล่อมป้าซะเคลิ้มจนปาดหน้าเค้กชิ้นงามเอามาเป็นสัมปทานของตัวเองไปซะได้ แถมอีป้าลินดายังพร่ำไม่คาดปากก่อนจะตัดเป็นซิงเกิ้ลอีกนะคะว่าเพลงนี้กับน้ำเสียงจากอีคริสทิน่ามันต้องได้เข้าชิงแกรมมี่แน่นอนค่าาา ว่าแล้วก็สมหวังน่ะค่ะ ส่วนอีพิงค์หลังจากนั้นก็ไม่มีวี่แววจะสงบศึกกับอีติ๊นะคะตามเห่าตามกัดตามล้างตามเช็ดทุกครั้งที่มีโอกาส กิ๊วๆๆๆๆๆๆ อีเจ๊ของหนุนี่ขี้แพ้ชวนตีนี่หว่า

Fighter (3.5/5) ซิงเกิ้ลที่สาม ต๊ายยย อีติ๊ทำร็อคค่ะเอาเป็นว่าเพลงนี้ทำเอาสาวกเก่าๆของเธอยุคจินนี่หลายนางฃ็อคแถบสลบเมื่อตอนฟังครั้งแรก (ก็ใครมันจะไปคิดว่าจะได้ยินเธอร้องเพลงแบบนี้) ภาพรวมเป็นพ็อพร็อคที่แซมความเป็นฮาร์ดคอร์ โกธิคและลูกเล่นที่พยายามจะเป็นอีโมสครีมโมอ่อนๆไว้อย่างแนบเนียน โดยโครงสร้าง รูปปแบบ การนำเสนอและเนื้อหาติ๊ได้แรงบันดาลใจมากจาก November Rain ของ Gun'N' Roses โดยเพลงนี้ได้รับเกียรติจากเดฟ นาวาร์โรมือกีตาร์ของวงดังกล่าวมาเกากีตาร์ให้เองเลย มาที่ภาคเนื้อหาเด็ดดวงค่ะว่าด้วยจุดที่เรายืนย้อนกลับไปมองประสบการณ์ที่เราเก็บเกี่ยวผ่านขวากหนาม ความทุกข์ระทม ความมืดมิดและความทรมานแสนสาหัสจนหล่อหลอมให้เรากลายเป็นดาบที่คมและแกร่งพร้อมที่จะฟาดฟันเพื่อตะกายขึ้นมาสู่จุดที่สูงที่สุดของชีวิต เริ่ด

ป.ล. ชอบสุดๆตอนที่อีติ๊ประโคมเบสส์กับกีตาร์หนักๆก่อนจะมาเบรคด้วยเครื่องสายตอนกลางเพลงได้นิ่มมากๆ ลงตัวและเซ็กซี่สุดๆ เริ่ด

Can't Hold Us Down Feat. Lil' Kim (4/5) ซิงเกิ้ลถัดไป สุดยอดค่ะเพลงนี้ อาร์แอนด์บีฮิพฮอพแรงๆบนภาคเนื้อหาที่ว่าด้วยการเรียกร้องสิทธิของสตรีเพศรวมถึงเป็นการตั้งคำถามเบื้องลึกแก่สังคมกลายๆต่อศักดิ์ศรี ทัศนคติและสถานภาพของเพศหญิงแถมสื่อหัวสียังเม้าท์กันว่าเพลงนี้อีติ๊ตั้งใจจะมอบให้เอมิเน็มกับเฟร็ด เดิร์สซี้เก่าแต่ชาติปางก่อนโดยเฉพาะเลยทีเดียว สำหรับแร็พเพอร์รับเชิญก่อนหน้านี้ต้นสังกัดได้เลือก "อีฟ" ไว้ในลิสต์ช่วงแรกๆน่ะค่ะก่อนที่จะมาเปลี่ยนเป็นลิล คิม ด้วยเหตุผลที่ว่าช่วงนั้นเจ๊คิมเราคั่วกับสก็อท สทอร์ทโปรดิวซ์เซอร์หลักในอัลบั้มนี้ของอีติ๊อยู่แล้วไหนชีจะเป็นซี้ย่ำปึ้กกับนางติ๊นาตั้งแต่ร่วมทำโปรเจ็กต์เลดี้ มาร์มาเลดด้วยกันอีก ถึงขั้นออกมาด่าอีพิงค์ว่าถ้าหล่อนยังเห่าใส่ติ๊นาที่น่ารักของฉันอีกแม่จะตามไปแหกเยี่ยวรดถึงหน้าบ้านหล่อนจริงๆด้วย ว่าแล้วสบโอกาสงามอีเจ๊คิมก็เลยเล่นใช้เส้นซะเลย (ใช้เส้นหมี่ดำซะด้วยนะคะ หึหึหึหึ) ก็ไม่ผิดหวังค่ะทำสถิติท็อป20บนบิลด์บอร์ดให้เจ๊คิมถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะได้ที่12นี่แหละและทำสถิติท็อป5บนเกาะอังกฤษอีก ไม่น่าล่ะรีบเสนอตัวเชียะ

The Voice Within' (4.5/5) ซิงเกิ้ลปิดตัวในรูปแบบพ็อพบัลลาดบนท่วงทำนองหวานหูอลังการแบบเมท์สตรีมออเครสตร้าแบบฉบับบัลลาดดิว่ายุค90ตบด้วยอารมณ์โซล โกธิคและกอสเพลอย่างมีชั้นเชิง ปิดท้ายการโปรโมตงานคุณภาพชุดนี้ได้อย่างสง่างาม

แทร็คอื่นๆ

Make Over (3/5) แม้จะถูกค่อนขอดว่ามีส่วนคล้ายกับ Overload ของ Sugababe อยู่มาก แต่ก็ต้องยอมรับนะคะว่าในแง่ของการสื่ออามร์ ความเข้าถึงตัวเนื้อหาและความแปลกใหม่นี่ถือว่าติ๊นาทำได้ดีเลยทีเดียว ตัวเพลงยืนพื้นที่พ็อพร็อคผสานอินดี้ แดนซ์ พั้งค์รวมถึงกลิ่นอายอันเดอกราวนด์ได้อย่างลงตัว แม้ว่าความชัดเจนยังจะไม่เข้าขั้นแต่ส่วนตัวแล้วชอบนะ มาที่ Loving Me 4 Me (4/5) อาร์แอนด์บีพ็อพหวานๆเย็นๆที่เคลือบด้วยกลิ่นอายไลท์แจ๊ซซ์และคลาสสิคอาร์แอนด์บีได้อย่างกลมกล่อมบนภาคเนื้อหาที่ระบายนิยามส่วนตัวของคำว่า "รัก" ออกมาได้อย่างมีวาทธศิลป์และสลวยสวยงามทุกตัวอักษร ในขณะที่ Walk Away (3.5/5) เป็นการถ่ายทอดความปวดร้าวและตัดพ้อตัวเองบนภาคดนตรีพ็อพอาร์แอนด์บีผสานบลูส์โซลหม่นๆได้อย่างลงตัว โดยคงความประณีตและชั้นเชิงในการใช้ภาษาได้สละสลวยไม่แพ้กัน ต่อด้วย Get Mine,Get Yours (3/5) ก็เป็นพ็อพอาร์แอนด์บีเต้นรำที่ตอบโจทย์ภาพลักษณ์สาวแสบของคริสทิน่าในช่วงนั้นรวมถึงภาคเนื้อหาที่สะกิดใจประชสชนลัทธิ Free Will กับ One Night Stand ไม่มากก็น้อยแม้ว่าจะแลดูไม่ค่อยลงตัวแต่ภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่งที่สัมผัสมาตั้งแต่ต้นอัลบั้มก็สามารถประคับประคองผู้ฟังให้ร่วมหฤหรรษ์ไปกับเพลงนี้ได้ไม่ยาก

Soar (5) ขอยกให้เป็นหนึ่งในเพลงที่ดีที่สุดของอัลบั้มนี้นะคะ พ็อพโซลอาร์แอนด์บีผสานท่วงทำนองละเมียดละไมกึ่งบัลลาดและจังหวะจะโคนที่อลังการมีมิติและที่สำคัญทรงพลังตามแบบฉบับของกอสเพล ซึ่งช่วงขับขานความยิ่งใหญ่ของภาคเนื้อหาที่ว่าด้วยความเชื่อมั่น ความรัก ความขบถเหนือสิ่งอื่นใดศรัทธาในตนเองจนเหนือคำบรรยาย ต่อด้วย Cruz (3/5) แทร็คก่อนหน้านี้ พ็อพบัลลาดแสนธรรมดากับภาคการนำเสนอที่เรียบง่ายซึ่งฟังโดยผิวเผินอาจจะไม่ต่างอะไรจากบัลลาดของศิลปินเสียงดีทั่วไป ซึ่งนั่นก้จริงค่ะเพียงแต่โดยส่วนตัวสัมผัสสิ่งพิเศษบางอย่างจากตัวเพลงได้มันเป็นความรู้สึกเกี่ยวกับความอัดอั้น ความอาทรและความรู้สึกที่หลุดพ้นหลังากชีวิตถูกพันธนาการมานานแสนนาน ความเข้มข้นทางความรู้สึก (ที่เดี๊ยนอาจจะรุงแต่งไปเอง) เหล่านี้ช่วยยกระดับให้เพลงธรรมดาๆเพลงนี้มีอะไรพิเศษเหนือกว่าเพลงเพราะๆธรรมดาๆทั่วไป มาที่ Impossible Feat. Alicia keys (4/5) เพลงที่เะอร่วมงานกับอลิช่าส์ คียส์ซึ่งผลลัพธ์ออกมาเป็นโซลอารืแอนด์บีผสานบลูส์และแจ๊ซซ์ในแบบฉบับยุค50-60ตามสไตล์อลิช่าส์ ฟังแล้วนึกถึงงานของดิว่าสมัยก่อนตั้งแต่เอ็ทท่า เจมส์/นีน่า ซีโมนส์/บิลลี่ ฮอลิเดย์/ซาร่าห์ วอห์นและโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดิน่าห์ วอชิงตัน ที่สรรพสำเนียงการถ่ายทอดบลูส์โซลแบบร็อคของคริสทิน่านี่ปลุกวิญญาณเจ้าป้ามากๆ เป็นอีหนึ่งแทร็คสุดโปรดปรานประจำอัลบั้มนี้ แทร็คถัดไป Underappreciated (2.5/5) พ็อพโซลผสานความเป็นแจ๊ซซ์ อาร์แอนด์บีและสวิงอ่อนๆได้อย่างมีเสน่ห์จัดเป็นแทร็คที่ฟังแล้วติดหูชะงัดแต่รอบแรก แม้ว่าจะไม่โดดเด่นจนน่าพูดถึงมากนักแต่ในแง่ของการเป็นรอยต่อสู่งานBack To Basicก้จัดว่าเป็นพ็อพย้อนยุคที่เฉียบอยู่เหมือนกัน

Infatuation (5) เด็ดดวงค่ะ ภาคดนตรีจัดว่าเป็นอีกแทร็คที่น่าจับตามองโดยเล่นความเป็นลูกผสมระหว่างละทินพ็อพกับจังหวะจะโคนอาร์แอนด์บีผสานโซลร่วมสมัย ซึ่งโดยส่วนตัวเธอก็พิสูจน์ตัวเองได้อย่างดีกับ Mi Reflejoแล้วว่าเหมาะกับดนตรีโซนละทินเวิล์ดมิวสิคแบบนี้ แน่นอนค่ะว่าผลลัพธ์ออกมาดีเกินคาดหมาย เซ็กซี่ ลงตัวและบาดใจมาแต่ไกดตั้งแต่แซมเพิ่ล Primer Amor Interlude เลยทีเดียว ส่วนตัวที่ให้5เนื่องจากเพลงนี้มีอะไรที่พิเศษต่อความรู้สึกเดี๊ยนมากๆฟังแล้วคิดถึงแฟนเก่าที่เป็นคนละทินน่ะค่ะ แม้ว่ามันจะไม่ใช่ความปวดร้าวจากการพรากจากรักครั้งแรกแบบคริสทิน่าก็ตาม แต่ฟังทีไรความทรมานจากเสน่หาอาลัย ช่วงเวลาดีๆและการจากลากันในฐานะศัตรูตลอดกาลมันแผดเผาความรู้สึกตลอดเวลา มาที่ I'm Ok (4/5) พ็อพบัลลาดที่ถ่ายทอดบนท่วงทำนองอคูสติคเหงาๆโชยกลิ่นอายบลูส์โซลหม่นๆเคียงคู่ไปกับการพรรณนาความเจ็บปวดรวดร้าวจากความทรมานทางจิตใจในวัยเด็กผนวกเข้ากับภาคเนื้อหาที่แฝงถึงความแข็งแกร่งแต่ในขณะเดียวกันก็กลับเสียดสีโชคชะตาที่ตนเองได้รับอยู่ในทีเป็นอีกหนึ่งสัจธรรมที่ตอกย้ำความเป็นจริงที่ว่างานศิลป์ดีๆมักถูกรังสรรค์ขึ้นจากความเจ็บปวดโดยแท้ Keep On Singin' My Song (4.5/5) เพียวโซลอาร์แอนด์บีผสานกอสเพลอ่อนๆ โดยส่วนตัวเห็นว่าเปรียบเสมือนสาส์นจากคริสทิน่าถึงแฟนๆแทนคำขอบคุณสำหรับพลังและแรงบันดาลใจที่ส่งถึงเธอในทุกขณะ รวมถึงเป็นข้อความทางดนตรีที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังแก่แฟนๆให้ไม่ลืมที่จะตระหนักถึงการยืนหยัดในสิ่งที่ตนเชื่อมั่นพร้อมก้าวต่อไปในเส้นทางที่ดีที่สุดที่เราทุกคนเลือกอย่างมั่นคงและสง่างาม

สรุป

โดยส่วนตัวแม้ว่า Stripped จะไม่ใช่งานที่ให้เอกภาพและศักยภาพทางดนตรีที่สูงสุดจากเะอ แต่ในแง่ของการเป็นอัลบั้มที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์อย่างหมดจดที่สุดในประวัติศาสตร์ (เครดิตพี่โอ๋ นิติเทพ คูณค้ำ) และพัฒนาการทางดนตรีที่น่าตื่นตาตื่นใจจากศิลปินส่งผลให้งานชุดนี้กลายเป็นงานชุดที่ดีที่สุดและน่าสนใจที่สุดที่ผู้ฟังได้รับจากเธอ เหนือสิ่งอื่นใดเป็นงานที่แสดงถึงศักยภาพด้านต่างๆของคริสทิน่าออกมาให้ผู้ฟังประจักษ์ว่าเธอมีดีมากกว่าเสียงอันทรงพลังที่เปล่งออกมา มีดีกว่าความสวยที่เห็น มีดีกว่าที่หลายคนประเมินเธอใต้เงาบริทนีย์หรือมารายห์ และถึงแม้ว่างานชุดนี้จะไม่มีเพลงแตะอันดับหนึ่งบิลด์บอรืดชาร์ตรวมถึงอาจจะถูกครหาในหลายๆด้านจนถึงทุกวันนี้ก็ตามแต่ Stripped ก็สะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพ ความสามารถ พัฒนาการ การรู้จักเล่นกับตลาดโดยระบายภาพลักษณ์สู่งานดนตรีและที่สำคญที่สุดความตั้งใจของคริสทิน่าที่มันหล่อหลอมให้เธอกลายเป็นศิลปินที่ดีจริงและพร้อมที่ะก้าวเดินต่อไปบนเส้นทางของอุตสาหกรรมดนตรีพ็อพที่เชี่ยวกรากโหดร้ายอย่างมั่นคง สู่ความเป็นตำนานที่อ้าแขนรอรับเธอในวันข้างหน้าอย่างสง่างาม



_________________

April fighting! + angel Sojin�
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
อันดับที่ 3 Mariah Carey - Emotions

Da Nastina พิมพ์ว่า:


Mariah Carey : Emotions : 4.5/5

แนสทิน่ากับมารายห์ แครีย์ :

แม้ว่าเดี๊ยนจะไม่ใช่สาวกตัวกลั่นของเธอและไม่ได้มีโอกาสในการหยิบยกผลงานเธอมาวิจารณ์มากนัก (แปลกใจเหมือนกัน ทั้งๆที่ชอบมาก) อย่างไรก็ตาม มารายห์ แครีย์ คือหนึ่งในศิลปินที่ทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งสำหรับชีวิตการฟังเพลงของเดี๊ยน การวิจารณ์ครั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้กล่าวยกย่องผลงานที่เดี๊ยนประทับใจที่สุดของเธอ ขอขอบคุณพระนางแมรียา และ น.ส เจ้กาหัง ณ ย่างกุ้ง สำหรับแรงบันดาลใจที่น่ารักที่ทำให้อยากรีวิวงานดีๆชุดนี้ ขอบคุณคุณน้อง Popparazzi สำหรับข้อมูลในหลายๆเรื่องโดยที่น้องไม่รู้ตัวหรอกนะคะว่ามีส่วนช่วยให้งานชุดนี้สมบูรณ์ขึ้นมากกว่าประสิทธิภาพที่พี่จะทำคนเดียวได้ ขอมอบรีวิวชิ้นนี้เป็นของขวัญย้อนหลังวาเลนไทน์ให้พวกเธอทั้งสามคน ท่านผู้อ่านและที่สำคัญชาวลูกแกะทุกคนนะคะ

รูปแบบดนตรี :

มารายห์ได้ฉีกตัวเองจากแนวพ็อพบัลลาดเมนต์สตรีมที่สร้างชื่อเสียงและความสำเร็จให้เธออย่างมหาศาลจากอัลบั้มแรก โดยที่อัลบั้มนี้เธอนำเสนอดนตรีในรูปแบบของแนวอาร์แอนด์บี โซล เสริมทัพด้วยดนตรีเต้นรำ กอสเพลและกลิ่นอายแบบบลูส์ โดยภาพรวมของงานยังคงยืนพื้นอยู่ที่ความเป็นพ็อพและดิว่าบัลลาดเช่นเดียวกับอัลบั้มแรกแต่บรรยากาศของเนื้องานต่างกันอยู่พอสมควร (จะเรียกว่าโดยสิ้นเชิงคงไม่ถึงขั้นนั้น) นอกจากนี้เธอยังได้ขึ้นแท่นเป็นโปรดิวซ์เซอร์ของอัลบั้มอีกด้วยหลังจากที่ต้นสังกัดไม่ยอมมอบโอกาสนี้ให้ตอนอัลบั้มแรก นอกจากนี้เจ๊มาลัยยังดื้อแพ่งใส่ต้นสังกัดสุดฤทธิ์ด้วยการไม่รับพิจารณาโปรดิวซ์เซอร์ชุดเก่าจากอัลบั้มแรกตามที่ต้นสังกัดแนะนำโดยครั้งนี้เจ๊ลงมือบินไปจิก Walter Afanasieft คนที่โปรดิวซ์เพลง Love Takes Time จากอัลบั้มชุดแรกให้กับเธอในขณะที่เขากำลังร่วมทัวร์อยู่กับ Michael Boltonเป็นผลสำเร็จจนได้ค่ะ (เลือดดิว่าแรงตั้งแต่เป็นลุคกี้เลยนะตัว) ก่อนที่จะถลาไปหนีบเอา David Cole และ Robert Civillies จากค่าย C&C Music เพื่อมาโปรดิวซ์เพลงอาร์แอนด์บีเต้นรำเก๋ๆที่ได้ยินกันในอัลบั้ม (เพลงเต้นรำในที่นี้ไม่ใช่แดนซ์จ๋านะคะ) ก่อนจะรวมพลังเฮือกสุดท้ายไปลาก Carole King ผู้ที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับอัลบั้มแรกของเธอ (แนวเพลงบัลลาดกลิ่นอายยุค50น่ะค่ะ) มาร่วมแต่งเพลงสุดทรงพลังอย่าง If It’s Over ด้วยค่ะ (ป้านี่มีบุญนะคะได้ร่วมงานกับอีมาลัย เพราะแม่ผีเสื้อสมุทรยุคนี้ชีเป็นโรคกลัวการร่วมงานกับไม้ป่าเดียวกันน่ะค่ะ)

จุดด้อย :

โดยส่วนตัวคิดว่าเนื้องานในอัลบั้มนี้ค่อนข้างสมบูรณ์แบบเมื่อเทียบกับทุกอัลบั้มของเธอ สำหรับเดี๊ยนจุดด้อยในงานเพลงของมารายห์คือเธอไม่สามารถนำเสนอเพลงที่มีศักยภาพชวนติดตามได้ทั้งอัลบั้ม พูดง่ายๆคือจากการติดตามฟังงานเพลงของเธอมารู้สึกว่าหลายอัลบั้มของเธอจะมีเพลงที่ดูเป็นเศษเกิน (แบบไม่รู้จะยัดมาทำไม) แม้กระทั่งงานล่าสุดอย่าง “สาวร่านประกาศอิสรภาพ” ก็ยังคงมิมีเสื่อมคลาย ขณะที่งานชุดนี้กลับให้อารมณ์ที่ลื่นไหลต่อเนื่องได้เกือบทั้งอัลบั้ม สำหรับจุดด้อยเท่าที่เห็นจริงๆคือเพลงเร็วในอัลบั้มมีการนำเสนอในรูปแบบที่ค่อนข้างถอดออกมาจากซิงเกิ้ลแรกน่าจะใส่ชั้นเชิงและลูกเล่นที่ให้แต่ละเพลงมีจุดเด่นในตัวเองมากกว่านี้

ซิงเกิ้ล :

Emotion (5) ซิงเกิ้ลแรกและเป็นไทเทิ่ลแทร็ค จากการที่ต้นสังกัดไม่ไฟเขียวให้เจ๊ทำฮิพฮอพ เพลงเต้นรำจึงเป็นตัวเลือกที่สองของมารายห์ โดยเพลงนี้ถุกนำเสนอมาในรูปแบบลูกผสมของโซล อาร์แอนด์บี กับ พ็อพเต้นรำที่มีกลิ่นอายของอิทธิพลดนตรีแบบโซลดิสโก้ (ไม่แน่ใจว่าเป็นที่นิยมในยุคโมทาวน์หรือเปล่า)โดยตัวเพลงได้รับแรงบันดาลใจมากจากเพลง Best Of My Love ของวงดนตรีแนวโซลดิสโก้ The Emotions ที่ต้องชมคือมารายห์สามารถทำให้โลกเห็นถึงความสามารถในการร้องเพลงและเทคนิคการใช้เสียงอันแพรวพราวของเธอทั้งแผด ทั้งหอน ทั้งหวีด ครบสูตร เหนือชั้นจนสามารถคว้าอันดับหนึ่งเป็นเพลงที่ห้าในชาร์ตบิลด์บอร์ดให้เธอสำเร็จจนได้ จริงๆแล้วก่อนหน้านี้เพลงที่จะถูกตัดมาเป็นซิงเกิ้ลแรกคือ You’re So Cold (3.5/5) ซึ่งโปรดิวซ์โดย David Cole และ Robert Civillies รูปแบบดนตรีทำออกมาในรูปแบบเดียวกันแต่เพลงนี้มีทีเด็ดเฉพาะตัวคือช่วงอินโทรมารายห์ใช้ลูกเล่นเสียงแบบคนดำทั้งแผดทั้งหวีด (กังวานและดุสุดๆดูดิบมากๆ) ก่อนที่จะปรับอารมณ์เข้าเป็นเพลงอาร์แอนด์บี พ็อพโซลเหวี่ยงๆมารายห์ร้องได้สะใจมากๆ จริงๆแล้วอยากให้เธอทำเพลงโซลเพียวๆดิบๆไปเลยคงได้ฟังป้าหอนตับฉีกแน่ๆ

Can’t Let Go (3/5) ซิงเกิ้ลที่สองซึ่งมารายห์ยังคงไม่ได้ทิ้งกลิ่นอายงานบัลลาดจากอัลบั้มแรกไปไหน โดยส่วนตัวคิดว่าแม้ความอลังการของตัวเพลงจะเทียบบัลลาดซิงเกิ้ลจากอัลบั้มแรกไม่ได้แต่พัฒนาการในการสื่อให้ผู้ฟังเข้าถึงอารมณืของตัวเพลงเธอทำได้ดีขึ้นมากๆ การันตีได้ดีว่ามารายห์เป็นเซียนในเพลงบัลลาดแบบดิว่าช้ำรักที่ใครๆก็กินเธอลงได้ยากยิ่ง ในซิงเกิ้ลมีเพลง To Be Around You (3/5) ในอัลบั้มแถมเป็นบีไซส์ตัวเพลงก็ไม่มีอะไรแตกต่างจากเพลงเร็วอื่นๆในอัลบั้มคือเป็นพ็อพผสมโซลอาร์แอนด์บีและดึงกอสเพลมาเป็นสีสัน พร้อมวางขายทันที

Make It Happen (5) ซิงเกิ้ลปิดอัลบั้ม อาร์แอนด์บี พ็อพเริ่ดๆเพลงนี้มารายห์ทำเก๋นำลูกเล่นของกอสเพลเข้ามาใช้ถือว่าแปลกใหม่เพียงพอสำหรับงานเพลงของเธอในยุคนั้น (จนปัจจุบันกลายเป็นเอกลักษณ์ในทุกๆเวทีของเธอ) โดยส่วนตัวเป็นหนึ่งในเพลงที่ชอบที่สุดตลอดกาลของเธอ น่าเสียดายที่ไม่ได้อันดับหนึ่งให้รู้แล้วรู้รอดไป

เพลงอื่นๆ :

If It’s Over (4.5/5) เพลงที่เธอแต่งกับแคโรล คิง ซึ่งก่อนหน้านี้ตอนแรกป้าแคโรลเสนอให้มาลัยคัฟเวอร์เพลง (You Make Me Feel Like) A Natural Woman ของเธอแต่มาลัยต้องการที่จะมีเพลงเริ่ดๆเป็นของตัวเองมากกว่าโปรเจ็คนั้นเลยพับไป (ดีนะไม่โดนอีด่าเอา) เพลงนี้ทำออกมาในแนวโซลย้อนยุคมีกลิ่นอายบลูส์เข้มๆจากการโชว์พลังเสียงของมารายห์ (โดยส่วนตัวถ้าเทียบกับImpossibleของคริสทิน่าคิดว่ามาลัยออกโซลได้ถึงอารมณ์กว่ามาก) ตอนจบเพลงเล่นเอาขนลุกไปเลย เสียงมารายห์ทรงพลังมากๆใช้เสียงได้อย่างเหนือชั้นสมศักดิ์ศรี The Voice ค่ะ

บัลลาดที่เหลือก็มี And You Don’t Remember (3.5/5) So Blessed (3/5) ที่ตัวเพลงคล้ายๆกับ Love Takes Time คือเป็นพ็อพบัลลาดหวานๆเย็นๆเจือกลิ่นอายบลูส์อ่อนๆ ฟังได้เพลินๆและเพราะด้วย Till The End Of Time (3.5/5) พ็อพบัลลาดเจือสรรพสำเนียงโซลฟูลอาร์แอนด์บี (แบบอ่อนมากๆค่อนไปพ็อพบัลลาดแบบดิว่าโชว์พลังเสียงเลยด้วยซ้ำ) น้ำเสียงเพราะและเซ็กซี่มากๆเป็นบัลลาดสูตรสำเร็จเพื่อสืบเจตนารมณ์อัลบั้มแรกอีกเพลงจากมารายห์

ปิดตัวเก๋ด้วย The Wind (4/5) ไลท์แจ๊ซซ์บัลลาดแบบที่ บลอสซั่ม เดียร์รีย์ (ดิว่าเพลงแจ๊ซซ์ยุค50) ชอบทำ เจ๊ได้แรงบันดาลใจเพลงนี้จากการสูญเสียเพื่อนที่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ซึ่งตอนแรกจะนำแรงบันดาลใจนี้ไปเป็นไทเทิ่ลแทร็คโดยใช้ชื่อว่า They Call The Wind Mariah ต๊ายย ยังกับชื่อหนังยอดมนุษย์น่ะค่ะเจ๊

สรุป :

สำหรับเดี๊ยนนี่คืออัลบั้มของมารายห์ที่เดี๊ยนประทับใจที่สุด เนื่องจากเธอสามารถมอบชีวิตให้แก่งานชุดนี้โดยสามารถสื่อความรู้สึกที่สดให้แก่ผู้ฟังและทำให้มันเป็นงานเพลงที่ไร้กาลเวลา โดยคงความเป็นที่นิยมในการหยิบมาฟังได้ทุกยุคสมัย เป็นหนึ่งในสิ่งที่การันตีได้ว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ได้มีดีแค่พลังเสียงหากแต่เป็นศิลปินและคนทำเพลงที่มีความสามารถและพระเจ้าประทานโชคชะตาให้เธอเป็นผู้หญิงที่เสียงดีที่สุดของโลกในขณะเดียวกัน



_________________

April fighting! + angel Sojin�
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
อันดับที่ 2 Madonna - Bedtime Story

Da Nastina พิมพ์ว่า:


Madonna : Bedtime Story : 4.5/5

อัลบั้มของมาดอนน่าที่แนสทิน่าชอบที่สุด :
Bedtime Story เป็นสตูดิโออัลบั้มลำดับที่7ของมาดอนน่า (ปี1994) แม้จะไม่ใช่อัลบั้มที่ยิ่งใหญ่จนสามารถเทียบชั้น Ray Of Light , Like A Prayer หรือ Confessions On A Dancefloorก็ตาม แต่โดยส่วนตัวแล้วเดี๊ยนสามารถเข้าถึงตัวตนและสัมผัสอะไรหลายๆด้านของผู้หญิงที่ชื่อ “มาดอนน่า” ก่อนหน้านี้เราได้สัมผัสเธอในด้านของสาวนักปฏิวัติผู้ที่กล้านำเสนอในทุกๆเรื่องตั้งแต่การตีแผ่เรื่องพรหมจรรย์ของตนเองในเพลง การเสียดสีศาสนา ไปจนถึงการแสดงความเสมอภาคทางความคิดเรื่องค่านิยมทางเพศ (อย่างโจ่งครึ้ม) แต่อัลบั้มนี้สิ่งที่ผู้ฟังจะได้รับคือ “มาดอนน่า” กล่าวคือเปรียบเสมือนการที่เธอเปิดใจให้เราท่องไปในอีกด้านของเธอที่เราไม่เคยสัมผัสมาก่อน (ด้านที่นุ่มละมุน) หลังจากที่เรารู้จักแต่มาดอนน่าในโลกแห่งอุตสาหกรรมดนตรีสากล



รูปแบบดนตรี :
ในอาณาจักรดนตรี “พ็อพ” คือสัญลักษณ์ในการทำงานที่ไม่สามารถแยกออกจากตัวเธอได้ (เปรียบเสมือนให้ชีวิตแก่กันและกัน) โดยที่อัลบั้มนี้มาดอนน่าได้ขยับขยายไปเล่นกับทริพฮ็อพ เทคโน อิเล็คโทรนิค รวมไปถึง อาร์แอนด์บี (อีเจ๊มองการณ์ไกลแฮะเหมือนเธอจะจับกระแสดนตรีในอนาคตออก) โดยไปเกี่ยวก้อยเอาขุนพลอาร์แอนด์บีอย่าง Dallas Austin (รุ่นเราๆน่าจะรู้จักเขาจากผลงานที่ร่วมกับพิงค์ในMissundaztood!) Baby Face ที่เคยร่วมงานกับดิว่าอาร์แอนด์บีดังๆอย่างป้าวิทนีย์ โทนี่ แบร็คทัน รวมไปถึงเพื่อนซี้อีเจ๊และพี่สาวที่แสนดีของติ๊อย่าง มารายห์ แครีย์ มาคุมในเรื่องของBackgrounnd Vocal กับ ซินธิไซเซอร์ให้ นอกจากนี้ยังมี Nelee Hooper และ Dave “Jam” Hall (มาลัยอีกแร๊วว) และแล้วช่วงปลายทศวรรศ90เพลงคนดำอย่างอาร์แอนด์บี (ที่ปัจจุบันนิยมเล่นคู่กับฮิพฮอพและโซล) ก็กลับมาครองชาร์ตอีกครั้งจนถึงวันที่เดี๊ยนนั่งถ่างตาพิมพ์อยู่นี่แหละค่ะ ในส่วนของเนื้อหาโดยส่วนตัวมีความเห็นว่าอัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มที่มีด้านเนื้อหาที่ดิบที่สุดของเธอ คือสื่อความเป็นตัวเธอออกมาตรงๆโดยปรุงแต่งคอนเซ็ปท์แบบก่อนๆค่อนข้างน้อย


จุดด้อย :
การปรุงแต่งที่ค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับอัลบั้มก่อนๆจนแถบจะดูเหมือนไร้คอนเซ็ปท์ทำให้อัลบั้มนี้อาจจะถูกมองข้ามไปเนื่องจากการนำเสนอภาพลักษณ์ที่อ่อนยวบ อันนี้เจ๊ผิดเองตั้งแต่แรกแล้วล่ะที่ผูกชีวิตสายดนตรีของตนเองกับการขายภาพลักษณ์แบบตายจากกันไม่ได้ซะขนาดนั้นเมื่อต้องเผชิญกับความคาดหวังที่สูงเสียดฟ้าของแฟนๆและนักฟังเพลงที่ ยึดติดกับภาพลักษณ์แรงๆและต้องการเสพย์ผลงานของเจ๊ในฐานะสาวนักฏิวัติมากกว่าจะสนใจว่าเธอที่ชื่อมาดอนน่าแท้จริงแล้วเป็นอย่างไรนี่ก็เลยเป็นสาเหตุแรกๆที่จะทำให้อัลบั้มนี้ไม่ถูกพูดถึงในหมู่มาก อีกประการหนึ่งคือเรื่องของเพลงอัลบั้มนี้มีเพลงช้าเก๋ๆเยอะมากก็จริงแต่ดันผิดต่ออุปสงค์ของตลาดที่มีต่อมาดอนน่าอันนี้ไม่รู้จะโทษใครดีนะคะแต่โดยส่วนตัวคิดว่าอัลบั้มนี้เพลงดีและเก๋แบบไม่โฉ่งฉ่างอ่ะค่ะ
ซึ่งพวกขาแดนซ์ทั้งหลายที่นิยมเสพย์เพลงเต้นระบำรำฟ้อนซ่องแตก (ฐานใหญ่ของเจ๊ซะด้วย) คงผิดหวังไปตามๆกันผลที่ตามมาคือขายออกแต่ก็เงียบอยู่นะคะ


ซิงเกิ้ล :
Secret (3.5/5) ซิงเกิ้ลแรกที่มี่ส่วนผสมระหว่างบีทอาร์แอนด์บีกีตาร์เข้ากับสำเนียงการร้องแบบกึ่งๆพ็อพบัลลาด แบบหลอนๆ (มีใครรู้สึกว่าเพลงนี้แอบ เอ่อ ฮิพฮอพหน่อยๆบ้างคะ) ที่ประทับใจคือการที่มาดอนน่าสามารถใช้น้ำเสียงสื่อความเซ็กซี่ของเพลงนี้ออกมาได้อย่างดีก้าวไปอีกขั้นสำหรับการเข้าถึงอารมณ์ในบทเพลงของเธอนะคะ

Take A Bow (3.5/5) เพลงนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นบัลลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมาดอนน่าไปแล้วนะคะ โดยส่วนตัวคาดว่าส่วนหนึ่งมาจากการที่เพลงนี้สามารถทำอันดับบนบิลบอร์ดชาร์ตได้นานที่สุดของมาดอนน่าและในช่วงนั้นเป็นช่วงที่เจ๊เราต้องฝ่าฟันกับคำครหาที่ว่าหมดยุคของเธอแล้ว
แต่เพลงนี้กับสัมผัสอันดับหนึ่งได้อีกครั้งเป็นการการันตีความนิยมในตัวเธออย่างยิ่งยวดเชียวค่ะ สำหรับเดี๊ยนส่วนตัวไม่ได้รู้สึกประทับใจหรือยกย่องเพลงนี้จนถึงขั้นยกให้เป็นสุดยอดบัลลาดของเธอ แต่ก็ยอมรับว่าเป็นอีกบัลลาดระดับดิว่าที่เพราะมากๆของมาดอนน่า ที่สำคัญผ่านการเรียบเรียงดนตรีที่ดีกว่าบัลลาดหลายๆเพลงของเธอ ส่วนความรู้สึกที่มีต่อเพลงนี้คือ “น่าเบื่อมากๆค่ะ”

Bedtime Story (4/5) ไทเทิ่ลแทร็คที่Bjorkลงมือแต่งเนื้อร้องให้เลยนะคะ เจ๊ทำออกมาเป็นซาวนด์แบบพ็อพเทคโนผสานด้วยลูกเล่นของซาวนด์อิเล็คโทรนิค ที่เก๋มากๆเลยคือเนื้อหาแบบจิตวิเคราะห์ที่ว่าด้วยการจมดิ่งสู่โลกแห่งจิตไร้สำนึกที่ถ่ายทอดโดยการใช้สำนวนภาษาเหนือระดับที่อัจฉริยะของBjork เรียกได้ว่าทั้งเนื้อหาและดนตรีเป็นการปูทางสู่ Ray Of Lightเลยก็ได้นะคะ แม้ว่าเพลงนี้จะเป็นเพลงเต้นรำที่ดีมากๆแต่จุดด้อยมีอยู่จุดเดียวคือตรงที่เมื่อมันมารวมอยู่ในอัลบั้มแล้วขัดต่อภาพรวมของอัลบั้มอยู่มาก

Human Nature (3/5) แซมเพิ่ลเพลง What You Need ของกลุ่มศิลปินฮิพฮอพ Main Sourceนะคะ สำหรับตัวเพลงถูกนำเสนอมาในแนวของอาร์แอนด์บี พ็อพ ที่มีการใช้เทคนิคของทริพฮอพเข้ามาเป็นสีสันในแง่ของเนื้อหายังคงยืนหยัดถึงความแสบสันยอมหักไม่ยอมงอ
และสงวนไว้ซึ่งความเสมอภาคของเพศสภาพตามแบบฉบับของมาดอนน่าครบถ้วนค่ะ (ทราบมาว่าสาวกของมาดอนน่าหลายคนไม่ชอบเพลงนี้เหรอคะ มาตอบด่วน) จริงๆแล้วต้นสังกัดเจ๊ไม่ได้คิดจะตัดเพลงนี้หรอกค่ะ เห็นว่าทีแรกจะตัด Don’t Stop (3/5) ออกมาโปรโมตค่ะว่าแล้วขอพูดถึงเลยนะคะ เพลงนี้ออกแนวพ็อพแบบพ็อพใสๆทั้งดนตรี เสียงร้อง และเนื้อหาเลยค่ะ เป็นเพลงที่แสดงด้านที่หวานแหววและเป็นPositive Thinkingของมาดอนน่าในแบบที่หาฟังได้ค่อนข้างน้อย (ถ้าไม่นับอัลบั้มแรกนะคะ) คาดว่าตัดมาคงเป็นเพลงที่ตลาดนิยมบริโภคอยู่นะคะ เพียงแต่บุญน้อยที่อีเจ๊ดันเม้งใส่ต้นสังกัดและเลือกตัดเพลงที่ตัดอนาคตตัวเองมาโปรโมตค่ะ


เพลงที่เหลือ :
Survival (3/5) โครงสร้างดนตรีเป็นพ็อพแบบง่ายๆอารมณ์หวานๆลอยละล่องประมาณเพลงของโทรี่ เอมอส เนื้อหานอกจากจะกล่าวถึงจุดประสงค์ที่ผู้หญิงที่ชื่อ “มาดอนน่า” ยืนหยัดอยู่บนโลกทุกวันนี้ยังกล่าวสิ่งที่เป็นสัจธรรมสำหรับชีวิตของมนุษย์ทุกระดับบนโลก ทุกสิ่งทุกอย่างเราทำเพื่อความอยู่รอดไม่มีอะไรสำคัญไปกว่านั้น

ป.ล. เพลงนี้เป็นเพลงของเธอที่เดี๊ยนชอบที่สุด

I’d rather be your lover (4//5) อาร์แอนด์บีดำๆเก๋ๆ อีกหนึ่งเพลงที่มีศักยภาพในการเป็นซิงเกิ้ลมากที่สุดในอัลบั้มช่วงกลางเพลงมีการให้นักร้อง
ฮิพฮอพมาแร็พซึ่งไม่แน่ใจว่าเจ๊หรือมารายห์เป็นนักร้องหญิงคนแรกในยุคนั้นที่เริ่มการฟีทเจอริ่ง มาดูที่เนื้อหาอันนี้โดนมากค่ะเจ๊แสดงให้โลกเห็นถึงความเป็นดิว่าและความเป็นผู้ชนะตลอดกาล
ที่แท้จริงลองแม่เล็งไว้แล้วล่ะก็แม่ต้องได้ค่ะ เกย์มากๆค่ะเพลงนี้

Inside Of Me (3.5/5) ซอฟท์ลัลลาบายที่มีกลิ่นอายของทริพฮอพเก๋มากๆค่ะ เพลงนี้เจ๊แต่งให้แม่ของเธอ (นี่แหละนะที่เขาว่าเงินหรือชื่อเสียงมากมายแค่ไหนมันลบแผลเป็นในใจไม่ได้หรอกค่ะ) เดโมตอนแรกใช้ชื่อว่า I will always love you (เสร่อจริงๆค่ะเจ๊จากใจ) เห็นว่าเวอร์ชั่นก่อนที่จะรีรีสออกมาเจ๊ทำเป็นดิว่าบัลลาดโชว์พลังเสียงแบบCrazy for you เลยนะคะ อยากฟังจัง

Forbidden Love (4/5) ยกให้เป็นเพลงที่ดีที่สุดของอัลบั้มและเป็นเพลงที่ศักยภาพสูงที่สุดที่สมควรจะตัดเป็นซิงเกิ้ลคือ
มีครบทั้งคุณภาพของเนื้องาน ความโดนใจของเนื้อหา(สีม่วงสุดพลังค่ะเพลงนี้) และเชื่อว่าขายได้แน่ๆ เพลงนี้เป็นบัลลาดที่เหนือชั้นในด้านการนำเสนอและทรงพลังในแง่ของการเล่นและสื่ออารมณ์ เป็นอีกหนึ่งในขุนพลบัลลาดแนวหน้าของเจ๊ที่ได้รับเลือกไปใส่ในอัลบั้ม Something To Remember อัลบัมรวมเพลงบัลลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมาดอนน่า

Love tried to welcome me(4.5/5) กับ Sanctuary(4/5) เป็นอีกสองบัลลาดที่ดีมากๆในแง่ของการเรียบเรียงดนตรีและสรรพสำเนียงการร้องที่แปลกใหม่พอดูสำหรับมาดอนน่า พูดได้แค่นี้แหละค่ะอยากให้ลองฟังมากกว่าเพราะเพลงดีมากๆ บัลลาดอัลบั้มนี้ทรงพลังมากๆค่ะ


สรุป :
เส้นทางสู่บัลลังก์แห่งมหาราชินีเพลงพ็อพกว่าสองทศววศมาดอนน่าได้สร้างสรรผลงานหลายสิ่ง
ที่ประวัติศาสตร์ของโลกดนตรีพ็อพจะต้องจารึกเธอในฐานะศิลปินของโลก (Superstar) แม้ว่าอัลบั้มนี้อาจจะไม่เป็นที่กล่าวขานในหมู่มากแต่เดี๊ยนเชื่อว่าเมื่อคุณลองเปิดใจและเข้าไป
ผจญภัยในโลกเหนือประสาทสัมผัสของเธอพร้อมๆกับบทเพลงในชุดนี้ คุณจะสัมผัสได้ว่า Bedtime Story คือหนึ่งในดาวที่จรัสแสงที่สุดดวงหนึ่งที่ประดับเคียงคู่ความเป็นตำนานของมาดอนน่า ซักวันโลกทั้งใบจะหันมาส่องดาวดวงนี้เชื่อมั้ยล่ะ



_________________

April fighting! + angel Sojin�
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
ตอบ หน้า 1 จาก 1
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
  


copyright : forwardmag.com - contact : forwardmag@yahoo.com, forwardmag@gmail.com