
อคติ ความหน้าด้าน และสวรรค์ของนักร้องเกาหลี/ต่อพงษ์
ก่อนอื่นต้องขอขอบพระคุณทุกความเห็นที่ชื่นชมผม55555 จากข้อเขียนที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมดนตรีของเกาหลีในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีคนบอกว่าผมนี่มันมีอคติและเขียนด่าเกาหลีแบบมีอคติ
อิอิอิ พูดกันแบบเท่าเทียมกันนะครับ ผมว่าคนฟังทุกคนที่ฟังดนตรีก็มีอคติทั้งนั้นแหล่ะ และไอ้อคตินี้มันก็ฟุ้งกระจายออกไปตามสิ่งที่ตัวเองชอบและเห็นทั้งนั้น ก็เหลืออยู่แค่มีหลักฐานอะไรก็งัดกันออกมาโชว์กันให้เห็นเท่านั้นแหล่ะครับ ส่วนเห็นกันแล้วจะยังเชื่อหรือไม่เชื่อมันก็แล้วแต่กรรมเก่าเท่านั้น
ก็เหมือนตอนที่นักร้องวง เซเว่น เดย์ แค่ทำมิวสิคคล้ายๆกับเพลงเพลง Gee ของเกิร์ล เจเนอเรชั่น สาวกเกาหลีก็ด่ากันกระจาย...วงแคนดี้ มาเฟีย ก็ออกมิวสิคมาในทำนองเดียวกับ 2NE1 ก็ด่ากันถึงบุพการี (ทั้งๆ ที่ผู้กำกับมิวสิคเกาหลีมากำกับ) ทั้งๆที่พูดกันตรงๆ แล้วไอ้เพลงและมิวสิควิดิโอที่ด่ากันนั้นออกจะเหมือนน้อยกว่าเพลง OH ของ เกิร์ล เจเนเรชั่น กับเพลง Shut Up and Drive ของ รีฮันน่า
ถ้าพูดกันอย่างไม่มีอคติก็ต้องบอกว่าทั้งไทยและเกาหลีมันก็เน่าพอๆ กันแหละ
หรือกรณีของ G-Dragon ที่ถูกกล่าวหาว่านำเพลง Right Round ของ Flo Rida มาทำใหม่กลายเป็นเพลง Heartbreaker เฉยเลย เรื่องนี้จบลงโดยฝ่ายอเมริกาออกมาเตือนเอาไว้ว่า คนทำเพลงของเกาหลีควรจะต้องระมัดระวังกันให้มาก อย่าได้ดัดแปลงทำซ้ำอะไรอีก
แน่นอนพอเป็นกรณีแบบนี้ สาวกก็จะมีเหตุผลให้ต่างๆ กัน...ส่วนใหญ่ก็จะบอกว่า...เราฟังแล้วไม่เห็นจะเหมือนเลยมันแค่คล้ายมากกว่า....บ้างก็ว่าเหมือนแค่ท่อนเดียว...หรือไม่เรียกว่าก็อปปี้เพราะมันไม่เป๊ะๆ เพลงหนึ่งช้ากว่าอีกเพลง หรือ เพลงหนึ่งมีเนื้อเพลงน้อยกว่า...มันเป็นแค่แรงบันดาลใจ ฯลฯ
เรื่องแบบนี้สุดท้ายเมื่อเถียงไม่ออกก็บอกว่า ...อย่ามาว่าเค้านะ เพราะจียง (คนเดียวกับ จี ดราก้อน) เค้าเป็นคนดี เค้าไม่ได้ทำชั่วอะไรฯลฯ (55555555)
กลับกันนะครับ ถ้าเราเอาเหตุผลแบบเดียวกันมาใช้ปกป้องวงของไทยอย่าง เซเว่น เดย์ หรือ แคนดี้ มาเฟีย เหตุผลเหล่านี้ก็คงโดนโห่กันลั่น...นี่ไงละครับที่เราเรียกมันว่า อคติ!!
พูดถึงเรื่องไอ้เรื่องลอกไม่ลอกนี่...มันไม่มีทางจับให้มั่นคั้นให้ตายจริงๆ หรอกครับ ศิลปินหรือคนทำเพลงให้มักจะมีข้ออ้างเสมอว่า เขาได้แรงบันดาลใจมาแบบไหน เมืองไทยก็ไม่ต่างจากเกาหลีสมัยนี้ อย่างอาร์เอสก็ตั้งหน้าตั้งตาเอาทำนองเพลงของฝั่งเอเชียมา แกรมมี่นี่เอาฝั่งไอ้กันกับอังกฤษ เพียงแต่บางเพลงก็เอาเฉพาะท่อนแยก บางเพลงก็เอาท่อนเมโลดี้หลัก แล้วมายำกันใหม่... เมื่อมีเสียงของประชาชนโวย คนทำเพลงก็มักจะอ้างเสมอว่า โน้ตมันมีอยู่ไม่กี่ตัว เหมือนกันไม่เห็นแปลก!!
ประโยคแบบนี้มันออกมาในอุตสาหกรรมดนตรีของไทยมากเสียจนเรายอมรับว่า มันคือ ‘วัฒนธรรมของการทำเพลง’ ประการหนึ่ง
อาจจะเป็นเพราะคนฟังเพลงในเมืองไทยนั้นเรารับวัฒนธรรมแบบนี้จนเชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ เราก็เลยยอมรับวิธีการทำเพลงของบรรดาหน้าของปลอมจากเกาหลีใต้ได้เหมือนกัน
นึกแล้วก็ตลกดีนะครับ ที่เมื่อก่อนนี้เด็กเยาวชนในเขตเมืองบูชาศิลปินแกรมมี่เป็นพระเจ้า และชี้ว่าคนฟังเพลงจากค่ายอาร์เอสเป็นบ้านนอกและมาจากเขตไม่เจริญ แต่พอมาถึงยุคนี้ศิลปินหน้าจอมปลอมจากเกาหลีก็อยู่ในฐานะเดียวกับที่ศิลปินแกรมมี่เคยเป็น แต่เรื่องน่าสังเวชก็คือ ข้อเปรียบเทียบของเขาเหล่านั้นไม่ใช่ศิลปินอาร์เอส แต่เป็นศิลปินที่มีฝีมืออยู่ทั่วโลกและเป็นของจริงมากกว่าผลผลิตจากเมืองกิมจินั่นเอง
ส่วนตัวผมไม่ถือว่าเรื่องลอกเพลงเป็นเรื่องใหญ่นะครับ โดยเฉพาะเกาหลีใต้กับการลอกเพลงไอ้กัน เรื่องแบบนี้ดู เพราะตามประวัติศาสตร์หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เกาหลีใต้นั้นก็เกือบจะเหมือนเมืองขึ้นของไอ้กันนั่นแหล่ะ กองทัพอเมริกันประจำการอยู่กลางกรุงโซลเลย แล้วเดี๋ยวนี้ลูกผสมระหว่างอเมริกันกับเกาหลีก็เยอะ (13 มกราคมที่ผ่านมาก็เป็นวัน อเมริกัน เกาหลี เดย์ ) แถมภาษาเกาหลีกับสำเนียงแอฟริกัน-อเมริกัน นั้นก็ดันมีอะไรที่คล้ายๆกันอีก เพราะฉะนั้นมันก็เลยแยกไม่ออกด้วยประการฉะนี้
เรื่องของเรื่องที่แปลกดีก็คือ ฝั่งไอ้กันนั้นดูเหมือนจะเอ็นดูน้องเกาหลีมากเป็นพิเศษ จะลอกจะก็อปหรือเอาเป็นดัดแปลงหรือทำใหม่ก็ไม่ได้ว่าอะไรนอกจากแค่เตือน แต่คนที่เดือดร้อนดันเป็นเกาหลีที่คิดว่าตัวเองนั้นเก่งที่สุดแล้ว และประเทศของกูคือต้นกำเหนิดของวัฒนธรรมป็อปทุกอย่างในโลกไปเสียอย่างงั้น
เหตุนี้มันก็เลยเป็นเรื่อง ‘หน้าด้านเต็มแก่’ ที่ประธาน YG Entertainment ของเกาหลีใต้ หาว่า มาไรห์ แครี่ ลอกเพลงของ 2NE1 แก้เกี้ยวที่โดน โซนี่ มิวสิค ยื่นโนติสต์เตือนเรื่องเอาทำนองท่อนนั้นท่อนนี้ของเพลงนี้มาทำกลายเป็นเพลงของค่าย ซึ่งเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องโจ๊กสุดๆ ของอุตสาหกรรมดนตรีโลก เนื่องจาก มวยที่เกาหลีพยายามจะแถนั้นมันมีความห่างชั้นกันคนละจักรวาลเลยทีเดียว
เห็นความหน้าด้านของผู้ใหญ่ในค่ายเกาหลีแล้วก็อดจะคิดไม่ได้เหมือนกันว่ามันคงจะด้านกันเป็น Generation หรือด้านกันเป็นนโยบาย เมื่อลองเทียบกับข่าวที่ว่า จีนแดงสั่งปรับเงิน 2 นักร้องป๊อปสตาร์ของประเทศราวๆ สี่แสนบาทโทษฐานร้องเพลงลิปซิงก์ ในการแสดงคอนเสิร์ต ใน มณฑลเสฉวน
ปักกิ่ง นิวส์ รายงานเมื่อ 23 ม.ค. 2553 ว่า หยิน หยูกาน และฟาง ซิหยวน 2 นักร้องเพลงป็อปวัยรุ่น ถูกศาลสั่งปรับรวมเป็นเงิน 80,000 หยวน ข้อหาแสดงคอนเสิร์ตโดยใช้วิธี “ลิปซิงก์” ซึ่งเป็นความผิดที่ทำให้ความเข้าใจของคนฟังที่มีต่อศิลปินคนนั้นไขว้เขว...พูดง่ายๆ มันคือการหลอกลวงประชาชนนั่นเอง
กระทรวงวัฒนธรรมของจีนที่เป็นผู้ฟ้องระบุว่า กฎหมายกำหนดห้ามไม่ให้นักแสดง และนักร้องที่เปิดการแสดงเชิงพาณิชย์ร้องเพลงแบบลิปซิงค์นั้นเป็นสิ่งที่ประชาชนในประเทศต้องการ และบอกอีกด้วยว่าถ้านักร้องคนเดิมฝ่าฝืนอีกจะถูกลงโทษโดยการสั่งระงับไม่ให้รับงานในเชิงพาณิชย์เป็นเวลา 2 ปี
กฏหมายฉบับนี้ออกมาบังคับใช้เมื่อสิงหาคม ปีที่แล้ว อันเนื่องจากเหตุที่นักร้องเด็กคนหนึ่งแกดันลิปซิงค์ในงานเปิดกีฬาโอลิมปิกที่ปักกิ่งในปี 2551 โดยผู้จัดอ้างว่า เด็กที่เสียงดีนั้นหน้าตาไม่ดีพอที่จะออกมาให้ชาวโลกเห็น
รัฐบาลจีนอาจจะปล่อยปละละเลยหรือหลับตาข้างหนึ่งเรื่องสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ แต่รัฐบาลจีนเดียวกันนี้พยายามจะปกป้องคนของเขาไม่ให้ถูกหลอก...หรือพยายามจะป้องกันไม่ให้วงการมายามาใส่อะไรผิดๆ ให้แก่ประชาชนของเขา นั่นคือนักร้องต้องร้องจริง แสดงความสามารถทางการใช้เสียงจริง...ไม่ใช่ร้องหลอกๆ
นักร้องจีนอาจจะไม่ใช่สินค้าส่งออกที่ฮิตเท่านักร้องเกาหลี หน้าตาของเขาอาจจะไม่หล่อเท่า ไม่สวยเท่าแต่เขาก็ไม่โกหกคนฟังเท่ากับบรรดาลิปซิงค์จากเกาหลีเช่นกัน
และอย่างน้อยพวกเขาก็ร้องเพลงกันจริงๆ
แต่ก็อีกแหละครับสิ่งนี้เมื่อยกมาให้อ่าน มันอาจจะไม่ทำให้สาวกเกาหลีในไทยฉุกคิดอะไรเลย เพราะ คนไทยนั้นตกอยู่ในวัฒนธรรมของการหลอกลวงมานานจนเราเชื่อไปแล้วว่า การหลอกลวงเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ยอมรับได้
นี่ละมั้งที่ทำให้ไทยถึงกลายเป็นสวรรค์ของเหล่านักร้องเกาหลีนะครับ
เหตุที่ติ่งหูเกาหลีต้องโดนตบ/ต่อพงษ์
พูดถึงเรื่องความเก่งของการลิปซิงค์ของบรรดานักร้องเกาหลีทั้งหลายนี่มันก็น่าเห็นใจ เพราะมันดูดีเฉพาะกับสาวกที่ชอบของปลอมและครื้นเครงกันในกะลานะครับ แต่ประเทศอื่นๆ เขาไม่ยักชื่นชมด้วย อย่างเช่นจีนแดงที่บอกไปแล้วว่าถึงกับคาดโทษและปรับเงินกันไปเลย นี่เวียดนามเองก็ไม่ยอมกับเรื่องนี้ก็ปรับกันไปแล้วสำหรับจอมลิปซิงค์
ที่สำคัญในสังคมโลกนี่เขาก็ไม่ได้ชื่นชมนะครับ บริทนี่ย์ สเปียร์ ไปลิปซิงค์ยังโดนแอนตี้กันตั้งมากมายจนเป็นข่าวเมื่อปีที่แล้วเล่นเอาเจ๊เหวอไปพักหนึ่งทีเดียว
เขียนถึงตรงนี้... น้องข้างๆ โต๊ะบ่นขึ้นมาถึงเพลง We are the world 2010 ที่กลุ่มนักร้องดังๆ เขาช่วยกันร้องเพลงหาเงินให้ชาวเฮติไปไม่นานนี้ เขาบ่นเพราะไม่เห็นจะมีโอ้ปป้าหรือออนนี่อะไรต่อมิอะไรจากเกาหลีเข้าโปรเจคท์นี้เลย ก็ต้องบอกเขาไปว่า ขืนเอาเกาหลีเข้าไปร้องมีหวังอีกสี่ปีแหล่ะถึงจะได้เงินช่วยชาวเฮติ เพราะเกาหลีนั้นคงจะฝึกร้องกันอีกนานตามประสาลิปซิงค์จนเป็นวัฒนธรรมไปแล้ว
ล่าสุดนี่ผมก็โดนพาดพิงอีกจากข่าวผู้จัดการวง CN Blue วงที่ว่ากันว่าเป็นอัลเทอร์ร็อคจากเกาหลีตบแฟนคลับติ่งหูไปสองป้าป เขาหาว่าผู้จัดการที่ตบนั้นหน้าเหมือนผม...แหะๆๆๆ ไม่จริงนะครับ ผมนั้นถ้าหมั่นไส้สาวกติ่งหูเหล่านี้อย่างมากก็คงแค่ดีดเบาๆ ไม่ถึงกับตบเปรี้ยงๆๆ อย่างอ้ายถ่อยชาติเกาหลีนั่น

คนอ่านข่าวนี้อาจจะรู้สึกว่ามันรุนแรง แต่ช้าก่อน...ความรุนแรงในการใช้ฝ่ามือตบนั้นเป็นวัฒนธรรมหนึ่งของเกาหลี อันนี้สาวกไม่ต้องเถียงเพราะ ตราบใดที่คุณยังไม่ได้ไปอยู่บ้านเขาฐานะที่เป็นลูกหลานสายเลือดเดียวกัน เขาจะไม่มีวันตบให้เสียมือเด็ดขาด ย้ำว่าเขาจะตบเฉพาะคนที่มีสายเลือดเกาหรือกิมเท่านั้น!!
ผมเองเห็นการตบแบบนี้มาชินสมัยที่ทำข่าวกีฬา ตั้งแต่ฟุตบอลปริ้นเซสคัพ ยันฟุตบอลควีนส์คัพหรือคิงส์คัพ เราจะเห็นนักฟุตบอลเกาหลีที่ถูกเปลี่ยนตัวตบกันกลางสนามศุภฯ แบบนั้นเลย ขณะที่ฝ่ายหญิงก็โดน โดยเฉพาะทีมวอลเลย์นี่แหล่ะ ตบกันเห็นๆ เพราะดันเซตบอลไม่เข้าเป้า
วัฒนธรรมตบนี้ถือเป็นการเรียนรู้อย่างหนึ่งในระบบของเขาซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าดูถูกอะไรเพราะแต่ละชาติก็มักจะมีวัฒนธรรมในรูปแบบของตัวเองอยู่แล้ว การตบคือการทำให้สำนึกเหมือนวัฒนธรรมการกินเนื้อหมาที่เกาหลีเขากิน เพราะ เขาบอกว่ากินแล้วมันอุ่นและมีแรงดี
แต่ที่น่าสนใจก็คือ ในอุตสาหกรรมบันเทิงของเกาหลีนั้น วัฒนธรรมตบที่คนลืมเลือนไป (เพราะการวาดภาพว่าหนุ่มเกาหลีโคตรโรแมนติกนั้น) จำเป็นต้องหยิบมาใช้กับแฟนๆ ของวงดนตรีขนาดนี้เลยหรือ?
ผมว่าผู้จัดการเขาก็คงประเมินแล้วละครับว่า สมควร เพราะแฟนคลับเกาหลีนี่น่าจะเป็นแฟนคลับที่คลั่งนักร้องจนควบคุมสติตัวเองไม่อยู่มากที่สุดแล้ว (และน่าจะแพร่กระจายเชื้อนี้มายังเมืองไทยกันบ้างไม่มากก็น้อย) แถมยังแสดงออกด้วยความรุนแรงตามประสา ว่ากันว่าแฟนคลับเกาหลีนี่รักนักร้องมากถึงขนาดจะทุบรถตู้ที่ขนคนมาบุบเลยก็มี บ้างก็เกือบจะเอาตัวไม่รอดจากการรุมทึ้งด้วยความรักแบบคลั่งๆ ที่ว่า เรียกว่าถ้านักร้องคนไหนไม่ถึกจริงๆ โอกาสที่จะมีรอยฟกช้ำยันถลอกหรือ ‘ของหาย’ ก็เกิดขึ้นได้ เพราะแฟนๆ เขารุมยังกะหิวกิมจิมาซักเดือนนึงนะครับ
เพราะฉะนั้นถ้าคลั่งมากแล้วเป็นเกาหลีด้วย มันก็ต้องตบแบบเกาหลีเพื่อให้สติกลับคืนมานั่นแหล่ะ แล้วการยืนยิ้มของสมาชิกในวงหลังเห็นสาวๆ สาวกโดนตบก็เป็นการยิ้มด้วยความเอ็นดูกับการตบผัวะๆ นั้น...มิใช่ยิ้มแบบสะใจนะค๊าบ
แต่นอกจากจะเป็นลักษณะโอ้ปป้าสอนน้องไม่ให้มาทึ้งหรือคลั่งจนหลุดสติแบบที่เป็นมาแล้ว มันน่าจะมีสาเหตุอื่นๆ อีก ไอ้ที่ผมว่าผู้จัดการเขากลัวกว่าก็คือ มันจะมาทำให้ใบหน้าที่ผ่านการศัลยกรรมมาแล้วต้องมีอันเป็นไป โดยเฉพาะกับบริษัทที่ลงทุนไปแล้วกับนักร้องและยังไม่ได้ถอนทุนแต่จะต้องมาเบี้ยวเพราะแฟนๆ ประเภทติ่งหูคลั่งละก็มันคงไม่คุ้มเท่าไหร่
เพราะฉะนั้นจึงต้องตบ เพื่อปกป้องทรัพย์สินอันมีค่า!!
ผมไม่ได้แอนตี้เรื่องศัลยกรรมหน้า โดยเฉพาะประเทศที่มีคนหน้าตาเหมือนกัปตันปลาหมึก (ในเรื่อง Pirates of the Caribbean) จำนวนมากอย่างเกาหลีนั้นมันก็จำเป็นนะครับ เพราะย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีก่อน ตอนที่หนัง Shiri ซึ่งดังที่สุดของเกาหลีมาฉายในเมืองไทยนั้น หลายคนที่ผมชวนไปดูถึงกับฮาเมื่อพบว่าพระเอกอันดับหนึ่งของเกาหลีอย่าง ฮัน ซุค ยู หน้าเหมือน หม่ำ จ๊กม๊ก ยังกับแกะ...
หน้าตาหนุ่มเกาหลีพันธุ์แท้นั้น ต้องเป็นแบบปาร์ค จี ซุง ยอดนักฟุตบอลของแมนยูนั่นแหล่ะครับ คือขากรรไกรใหญ่ๆ แต่ตาเล็กๆ หลบใน ดั้งยุบหรือถ้าไม่ยุบก็โตแบบว่าผิดรูป ซึ่งถ้าเอาของจริงๆ มา มันคงจะทำให้แฟนๆ ในเมืองไทยรู้สึกคลั่งไคล้ไม่ได้แบบนี้แน่นอน
เพราะถ้าหน้าแบบนั้นสามารถสร้างความคลั่งได้...เมืองไทยเราก็มีคุณหม่ำอยู่แล้ว แถมยังไม่ต้องเสี่ยงโดนตบไปด้วยจริงไหมครับ
ลองอ่านดูนะคระ เพลินดี ตรงดีด้วยแล้วก็ เออ มันถูกว่ะ

แต๊งกิ้ว ทาเทยยังเวิลคร่ะ
_________________

