
Joss Stone : Colour Me Free : 3.5/5 BY ณัฐวุฒิ เปรมปราชญ์.... Poppaganda
วิบากกรรมที่เกิดกับอัลบั้มหมายเลขสี่ของสาวบริทิชโซล จอสส์ สโตน เริ่มขึ้น เมื่อต้นสังกัดใหญ่ (อีเอ็มไอ คือต้นสังกัดเมืองนอกของจอสส์) มองว่าเพลงใน Colour Me Free! มันช่างไม่ขายเอาเสียเลยเธอ ว่าแล้วก็จัดการดึงเช็งอัลบั้มซะ ขณะที่น้องลูกหินทำอัลบั้มนี้เสร็จตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว หอบหิ้วเพลงตระเวนเล่นโพรโมทตามที่ต่างๆ แต่อัลบั้มกลับไม่ได้ออกช่วงปลายปี 2008 ตามความตั้งใจเดิม โอ้ว พระเจ้าจอสส์ มันแย่มาก
เมื่อ ค่ายเพลง เริ่มทำตัวประหนึ่ง ค่ายกักกัน เธอจึงยื่นข้อเสนอยินดีจ่ายค่าปรับเหนาะๆ สองล้านปอนด์ แลกกับการปลดแอกเสรีภาพทางความคิดสร้างสรรค์ในงานชุดนี้ของตน ผลสุดท้ายบัวอาจจะช้ำ น้ำอาจจะขุ่นไปบ้าง แต่ที่สุดแล้วก็ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทกันลงตัวทั้งสองฝ่าย และแล้ว ก็ได้ฤกษ์ส่ง Colour Me Free! ถึงหูชาวโลกเสียที
ที่ต้องทึ่งคืออัลบั้มนี้ จอสส์และเหล่าพันธมิตรแห่งหิน ใช้เวลาแต่งเนื้อร้องและบันทึกเสียงในโซเมอร์เซ็ทเพียงสัปดาห์เดียว โดยถือเป็นการแจมมิ่งกันระหว่างนักดนตรี นักแต่งเพลง และตัวจอสส์ สโตนเอง เมื่อจอสส์นึกสนุก ให้อิสระนักดนตรีครีเอทซาวน์ดได้ตามใจชอบ ภาคดนตรีจึงออกมาสนุก (สม) นึก ได้อารมณ์สดดิบสมใจ ใกล้เคียงกับที่เคยทำไว้ใน The Soul Sessions จะผิดกันก็ตรงพัฒนาการของน้ำเสียงทุ้ม นุ่มลึก ห้าวเป้งนั้น ถูกปลดปล่อยอย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น
ฟังอัลบั้ม CMF! แล้ว เหมือนกับได้นั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปยุคทองของโซล 60-70 ที่จอสส์นำมายำรวมเข้ากับฟังค์ เรโทรอาร์แอนด์บี ฮิพฮ็อพ พ็อพ และกอสเพล ด้วยไลฟ์แบนด์สไตล์โมทาวน์ มีความเป็นเออร์บันอดัลท์คอนเทมโพรารี่สูง เป็นที่น่าสังเกตว่ายิ่งเพลงไหนใส่บีทฟังกี้โซลลงไปละก็ หวานมันหมูหนูจอสส์เค้าละ
นอกจากภาพบนปกอัลบั้มจะสะท้อนการต่อต้านแบบอารยะขัดขืนชัดเจนแล้ว ซิงเกิ้ลเปิดอัลบั้ม Free Me โซลพ็อพชวนโยกก็ยังแสดงเจตจำนงเหวี่ยงใส่ค่ายเพลงแจ่มชัดในเนื้อร้อง Dont tell me that I wont/I will/Dont tell me how to think/I feel/Dont tell me cause I know whats real/what, I can do. สมทบด้วยช่วงแอดลิบท้ายเพลงทิ้งทุ่นระเบิดตูม free me EMI! ให้คะแนนความกล้าหาญเต็มสิบไปเล้ย
Could Have Been You ท่วงทำนองนุ่มละมุนไปกับเพียโนกรุ๋งกริ๋ง เหมือนที่มักได้ยินบ่อยๆ ในงานของอัล กรีน เสียงเครื่องเป่าทองเหลืองโผล่มาช่วงท้ายได้อย่างเหมาะเจาะ
Governmentalist โพรเทสท์ซอง ฮิพฮ็อพ ฟังค์ บวกกลิ่นอายเร็กเก้ ท่อนแร็พของ แนส ช่วยเติมเต็มอารมณ์ร่วมเนื้อหาเพลงต่อต้านสงครามฉลาดคิด ที่แทบไม่ค่อยปรากฎในงานของนักร้องรุ่นราวคราวเดียวกัน
Parallel Lines โซลฟังค์จังหวะคึกคัก ที่เพิ่มรสชาติด้วยท่อนโซโล่กีต้าร์ไฟฟ้ามันๆ ลากยาวไปจนปิดแทร็ค
4 and 20 เพียโนแจ๊ซซ์ถอดแบบนอราห์ โจนส์ทั้งดุ้น เสียงเครื่องเป่าคอยขโมยซีนเป็นระยะ จอสส์โชว์ทักษะทั้งร้องทั้งด้นสุดพลัง
และ Stalemate บัลลาดที่พ็อพสุดๆ แล้วในอัลบั้ม ได้ตัวเจมี่ ฮาร์ทแมน หัวหอกแห่ง Bens Brother วงห้าชิ้นฝั่งอังกฤษมาร่วมแจม เสียงน้องจอสส์ฟังเพลินดี๊ดี เมโลดี้ก็ไพเราะ เพราะกว่าเวอร์ชั่นร้องคู่กับเจ๊แก่อนาสเตเชียที่ถูกตัดเป็นซิงเกิ้ลจากอัลบั้มของฝ่ายชายซะอีกแน่ะ คลื่นวิทยุบ้านเราน่าจะอ้าแขนรับนะเพลงนี้
Colour Me Free! จัดเป็นอีกหนึ่งอัลบั้มบลูอายโซลน้ำดี ที่คนทำเพลงไม่ยอมตกเป็นเบี้ยล่างเบ็ดเสร็จให้นักธุรกิจ อิสระทางเสียงเพลงที่คนดนตรีตีนเปล่าวัยยี่สิบสองคนนึงอยากเต็มที่กับชีวิต ทว่าตราบใดที่ business, commercial และ marketing มาก่อน music แม้กระทั่งในดิคชันนารี บริษัทย่อมต้องบัญชาให้นักร้อง (ในฐานะพนักงานบริษัทคนหนึ่ง) ทำเพลงติดตลาด ขึ้นอันดับหนึ่ง ฯลฯ ให้จงได้
ฉะนั้น ลืมตาแล้วจำยอมรับความเป็นจริงเสียเถิดว่า ณ ขณะนี้ เราทั้งหลายตกอยู่ในเงื้อมมือของทุนนิยม
ยุคที่จิตวิญญาณความเป็นศิลปิน พ่ายแพ้แก่วิญญาณร้ายกระหายเงินในคราบมาร์เก็ตติ้งอย่างราบคาบ
ป.ล. สำเนียงอเมริกันจ๋าเชียว กลับบ้านเกิดบ้างอะไรบ้างเต๊อะอีนาง
http://www.poppaganda.net/entertainment/4/
รีวิวนำมาจากลิ้งค์ด้านบนนะคะ ^ ^