˹���á Forward Magazine

ตอบ

ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ถัดไป
10 นักแสดงที่รับบทบาทได้ลงตัวและเหมาะสมที่สุด ในทัศนคติของผม
ผู้ตั้ง ข้อความ
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ 10 นักแสดงที่รับบทบาทได้ลงตัวและเหมาะสมที่สุด ในทัศนคติของผม 
10 นักแสดงที่รับบทบาทได้ลงตัวและเหมาะสมที่สุด

นักแสดงถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดสิ่งหนึ่งของภาพยนตร์ เพราะนักแสดงมีผลโดยตรงต่อภาพยนต์ว่าจะออกมารูปแบบไหน ถึงขั้นเป็นตัวตัดสินหนังเรื่องนั้น ๆ เลยก็ว่าได้ เพราะอย่างที่เห็นกันมาหลาย ๆ ครั้ง ว่า นักแสดงดี ๆ ที่ดันไปอยู่ในหนังห่วย ๆ นั้นมันก็ช่วยให้หนังดีขึ้นมาได้ แต่ขณะเดียวกันก็มีนักแสดงห่วย ๆ มากมาย หลงเข้าไปในหนังดี ๆ

และการที่นักแสดงเข้าไปรับบทบาทได้ดี เข้ากับหนังเรื่องนั้นแล้วมันก็จะส่งผลให้หนังเรื่องนั้น ๆ ดีขึ้นตามไปอีกขั้น และตามความคิดและทัศนคติของผมนี่คือ 10 อันดับนักแสดงที่รับบทบาทได้ลงตัวและเหมาสมที่สุด ถึงปัจจุบัน !!!




10. Angelina Jolie ในบท Lara Croft

จากเรื่อง : Tomb Raider (2001) และ Lara Croft Tomb Raider: The Cradle of Life (2003)
รูปลักษณ์และบุคลิกตัวละคร : หญิงสาวผู้มีความสวย และมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม รักที่จะผจญภัพไปในสถานที่อันตรายต่าง ๆ เพื่อตามหาของโบราณล้ำค่าในตำนาน พร้อมด้วยร่างกายอันอ่อนช้อย สะโพก หน้าอก และปากอันอวบอิ่ม
ประวัติโดยย่อ : Lara Croft เป็นลูกสาวของนักโบราณคดีชื่อดัง เธอเองก็มีความชอบที่เจริญรอยตามคุณพ่อ แต่เส้นทางการสืบค้าหาของโบราณต่าง ๆ ของเธอนั้นออกจะอันตรายและบุกบันกว่านักโบราณคดีปกติทั่วไปอย่างรุนแรง (มันก็สนุกตรงนี้แหละ) ดนตรีแนวโปรดของเธอคือเพลงแนวคลาสิค เวลาว่างของเธอคืออกไปผจญไปในโลกกว้าง ตามหาของมีค่าในตำนานและปกป้องมวลมนุษยชาติ



ทำไมจึงทำให้ Angelina Jolie ถึงเหมาะ: ด้วยรูปร่างใบหน้าของและร่างกาย Angelina Jolie ที่เหมือน กับตัวละคร Lara Croft ดังพี่น้องกันก็มิปาน ทั้งรูปร่างเอว หน้าอก ปาก และที่สำคัญ บุคลิก ที่ดูเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็ง เปรี้ยว แกร่ง ลุย บุกเบิก บุกบัน สะเทิ้นน้ำ สะเทิ้นบก ถือปืนคู่ไล่กระนำยิงศัตรู กระโดดข้ามตึก ห้อยโหน ตามศากปรักหักพัง และยังสามารถทำอะไรต่อมิอะไร ที่ผู้ชายยังมิอาจสามารถ และเธอได้ฝึกฝนจนแสดงเหมือนชีวิตจริงเธอทำเรื่องพวกนั้นทุกวัน! และดูหมือนตัวละครตัวนี้ ถูกสร้างมาเพื่อเธอโดยเฉพาะก็ว่าได้ เพราะผมมั่นใจ ว่าในโลกใบนี้ คงไม่มีดาราคนไหนรับบท Lara Croft ได้ เหมาะสมไปกว่า Angelina Jolie อีกแล้ว



บทบันทึก: ในการ์ตูน Lara Croft มีขนาดหน้าอกถึง คับ D ซึงในภาพยนตร์หาก Angelina Jolie มี หน้าอกถึง คับ D เธอคงวิ่งไม่ได้ด้วยซ้ำไป เพราะมันสามาถรเด้งขึ้นมาตีหน้าเธอได้เลย...










9. Jack Black ในบท Dewey Finn

จากเรื่อง : School of Rock (2003)
รูปลักษณ์และบุคลิกตัวละคร : บุคคลผู้รักเสียงดนตรีแห่งเพลงร๊อค เข้าเส้นเลือด ทุกคำพูด ทุกประโยคแทบจะเป็นตัวโน๊ตในเพลงร๊อคเลยก็ว่าได้ ดูภายนอกเป็นคนที่บ้าบิน และอารมณ์ดีเป็นพิเศษ แต่เขาพร้อมที่จะทำทุกอย่าง และอุทิศตัวเองให้กับเพลงร๊อค เพราะมันคือสิ่งที่เค้ารัก สิ่งที่ทำให้เค้าค้นพบตัวเอง ซึ้งมันทำให้เค้ามีความสุข และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น หรือลำบากเพียงใด เค้าไม่มีวันทิ้งมันเด็ดขาด
ประวัติโดยย่อ : ดิ้วอี้ อาศัยอยู่กับเพื่อนที่เป็นครูสอนพิเศษ วันหนึ่งทางโรงเรียนอนุบาล ได้โทรมาแจ้งว่าต้องการครูอย่างเร่งด่วน ประจวบเหมาะกับที่ ดูอี้ กับลังถังแตก แถมยังถูกไล่ออกจากวงอีก เค้าจึงปลอมตัวเป็นครูสอนพิเศษ เพียงเพื่อหวังได้รับเงินมาประทังชีวิตรอด แต่เมื่อเขาไปพบกับเด็ก ๆ ที่มีพระสวรรค์และน่ารัก เค้าจึงเกิดไอเดียบรรเจิด แบ่งหน้าที่ให้เด็กทุกคนและตั้งวง School of Rock เพื่อไปแข่ง Battle of the Band!!!! จากนั้นกระฝึกฝน อันสนุก และประทับใจทุกวินาทีก็บังเกิดขึ้น




ทำไม Jack Black ถึงเหมาะ : การแสดงอันบ้าบอ ของ Jack Black ทำให้หนังดูสนุกเพราะมันไม่ได้บ้าบออย่างไร้สาระ มันเป็นการบ้าบอที่ทรงพลัง มีความมุ่งมั่น ทำให้ดูเป็นตัวละครที่สร้างสีสันให้หนังอย่างเต็มเปี่ยม และทำให้หนังดำเนินเนื้อเรื่องไปอย่างสนุก การทุ่มเท ทุกอย่าง ถือว่าคุ้มค่ากับผลที่ได้รับกลับมา เพราะมันทำให้ตัวละครตัวนี้ ที่อยู่ในเนื้อเรื่องอันแสนสนุกสนาน แทรกมากับบทเพลงร๊อคที่สนุกสุดมัน และไพเราะ แค่นี้มันก็ทำให้หนังเรื่องนี้ไปนั่งอยู่ในใจของใครหลาย ๆ คนแล้วละครับ




บทบันทึก: ถึงแม้เรื่องนี้ จะทำเงินได้ไม่มากนัก แต่นักวิจารณ์ทั่วโลกให้เกรดกันไม่ต่ำกว่า B+ ทั้งนั้นนะครับ








8. Anthony Hopkins ในบท Dr. Hannibal Lecter

จากเรื่อง : The silence of the lambs (1991)
รูปลักษณ์และบุคลิกตัวละคร : ผู้ฉลาด และสุขุม ในใบหน้าอันเงียบนิ่ง และคำพูดที่ฟังดูเป็นปรัชญา ตลอดเวลา ทุกอย่างถูกรวมอยู่ในบุคคลคนนี้และถ่ายถอดออกมาโดย Anthony Hopkins ได้อย่างลงตัวและ ดูน่าหวาดกลัว เกรงขามเป็นที่สุด ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องถือมีด หรืออุปกรณ์อะไรให้ดูน่ากลัว แค่เดินไปมาช้า ๆ พูดอะไร นิ่ง ๆ แค่นี้ก็น่ากลัวจนทำให้หลายคนไม่กล้าที่จะอยู่ 2 ต่อ 2 กับ Dr. Hannibal Lecter ทุกการเคลื่อนไหวมันดูน่าอันตราย เพราะเหมือนเราไม่รู้ว่าในหัวของ ด๊อคเตอร์ อันชาญฉลาดผู้นี้เค้ากำลังคิดวางแผนอะไรอยู่ หรืออาจกำลังคิดเมนูมือเย็น โดยที่คุณเป็นส่วนหนึ่งของเมนู !! ถึงตอนฆ่าใบหน้าของเค้าเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม ไร้ซึ่งความปราณี บอกตรงๆ ครับว่า ผมกลัวใบหน้าและลักษณะของ Anthony Hopkins ไปเลย เพราะการที่เขารับบทนี้ ทำให้เค้ากลายเป็นคนที่น่ากลัวที่สุดคนหนึ่งในความคิดผมจนถึงทุกวันนี้


ประวัติโดยย่อ : Dr. Hannibal Lecter เป็นผู้ที่มีไอเดียบรรเจิดด้านการทำอาหาร เพราะจบมาถึงระดับ ด๊อคเตอร์ แต่คงจะไม่อะไรผิดปกติ ถ้าอาหารส่วนมากของเขามีวัตถุดิบมาจากร่างกายของ มนุษย์!! เขาถูกจับให้ติดคุกโดยเพื่อนสนิท Will Graham (รับบทโดย Edward Norton ) แต่ถึงเขาจะอยู่ในคุกที่มีการควบคุมอย่างแน่นหนา แต่ภายนอกคุกนั้นมี บุคลจำนวนหนึ่งที่เทิดทูล และยกย่อง แนวความคิดเดียวกับ Dr. Hannibal Lecter!! บุคลพวกนั้นฉลาดเป็นกรดไม่แพ้ Dr. Hannibal นักสืบหลายคนที่ทำคดีจึงต้องมาถามข้อมูลจากคนที่รู้เรื่องพวกนี้ดีที่สุดนั้นก็คือ ตัว Dr. Hannibal นั้นเอง ด้วยความฉลาดของ ด๊อคเตอร์ เขามักขอสิทธิพิเศษเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นการแลกเปลี่ยนกับข้อมูล ซึ้งนั้นล้วนเป็นแผนการที่จะทำให้เขาออกไป มีดินเนอร์อันแสนสุขในแบบของเขาได้อย่างเต็มที่!!



ทำไม Anthony Hopkins ถึงเหมาะ: เนื่องด้วยใบหน้าที่ดูฉลาดล้ำลึก เยือกเย็น แต่น่ากลัว Anthony Hopkins สามารถสวมบทบาทเป็น Dr. Hannibal Lecter ตัวจริง ๆ ได้เลย เขาสามารถทำให้คนดู รู้สึกว่าเขาเป็นตัวละครตัวนั้นจริง ๆ เหมือนไม่ใช่การแสแสร้ง ไม่ใช่การแสดง แต่นี่คือตัวเขาจริง ๆ!!!! เพียงแค่พูด ยิ้มที่มุมปากเล็ก ๆ นั้นมันน่ากลัวการฉากฆ่าฟันกัน ในหนังบางเรื่องซะอีก



บทบันทึก: เรื่อง The silence of the lambs (1991) เป็นหนังเรื่องเดียวที่ได้รางวัลออสก้าใน 5 สาขาสำคัญที่สุดของงานในปีเดียว ได้แก่
- ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
- นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม
- นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม
- ผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
- บทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม
และยังมีอีก 2 รางวัลที่ได้เข้าชิงครับ
- ลำดับภาพยอดเยี่ยม
- บันทึกเสียงยอดเยี่ยม










7. Tom Hanks ในบท Forrest Gump


จากเรื่อง : Forrest Gump (1994)
รูปลักษณ์และบุคลิกตัวละคร : ผู้ชายที่ผิดปกติทางด้านสมอง มีไอคิวแค่ 75 (มาตรฐานต่ำสุดคือ 80) แต่เป็นผู้ที่มีจิตใจงดงาม ทุกสิ่งที่เขามองเห็น เขามองมันด้วยความบริสุทธ์ ไม่เคยโลภ หรือเห็นแกตัว คนทั่วไปมองว่าเขาเป็นคนบ้า แต่ดูจากการกระทำของเขา ทุกสิ่งที่เขาทำในชีวิต 1 ชีวิตของเขา บางทีเราอาจต้องมาคิดกันแล้วว่า ระหว่าง Forrest Gump กับคนทั่วไปเหล่านั้น ใครกันแน่ที่น่าจะถูกเรียกว่าคนบ้า?
ประวัติโดยย่อ : ยามเด็ก Forrest Gump เป็นเด็กที่พิการมีขาทั้ง 2 ข้างยาวไม่เท่ากัน จนแม่ต้องหาเหล็กดามขา ให้เขานั้นถือเป็นเพียงจุดอาภัพแรกของเขาเท่านั้น เพราะในชีวิตได้ดำเนินไปอย่างทุลักทุเลและความลำบากมากมาย ก็เพราะไอคิวของที่มันน้อยกว่าปกตินั้นแหละ ช่วงหนึ่งของชีวิต เขาได้ไปมีส่วนผัวพันกับเหตุการณ์สำคัญ ๆ ในอดีตมากมาย ซึ่งไม่ว่าเขาจะได้ไปทำอะไร หรือพบปะกับคนที่ยิ่งใหญ่แค่ไหน Forrest Gump ก็ยังเป็น Forrest Gump คนเดิม ไม่เคยต้องแสแสร้ง ไม่ต้องใส่หน้ากาก ไม่จำเป็นต้องโกหก เขาพูดในสิ่งที่ใจคิด และทำให้สิ่งที่ใจสั่ง หลายครั้งมันดูไร้เหตุผล แต่อย่างน้อย มันอาจสิ่งที่บริสุทธิ์ที่สุดที่มนุษย์จะสามารถทำ ก็ได้ เพราะมันล้วนเป็นการกระทำที่ไม่ได้เห็นแก่ตัว เป็นการกระทำเพื่อคนรอบข้าง เช่นการช่วยแบกเพื่อนทหารทุกคนที่บาดเจ็บออกมาจากสรภูมิที่เต็มไปด้วยลูกระเบิด เขาไม่ได้ทำเพราะอยากได้หน้า อยากเด่น แต่เขาทำเพราะมันเป็นสิ่งที่ควรทำ ทำมันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง หากเป็นคุณ คุณอยู่ในสนามรบที่เต็มไปด้วยระเบิดทางหนีอยู่เพียงตรงหน้า คุณยังมีร่างกายเข้มแข็งพอที่ยังวิ่งต่อไปได้ แต่เบื้องหลังคือ เพื่อนทหารที่นอนบาดเจ็บรอความตายอยู่ คุณรู้ว่าส่งที่ถูกต้องคือการกลับไปรับเพื่อน แต่หากคุณอยู่ตรงนั้นจริง ๆ ถามว่าคุณจะวิ่งหนีเอา ชีวิตรอด หรือทำสิ่งที่ถูกต้อง หากตอบได้แล้วที่นี้ลองคิดดูอีกทีซิว่าคุณจะเป็น คนปัญญาอ่อนที่กลับไปช่วยเพื่อน หรือคนฉลาดที่เอาตัวเองรอด ?



ทำไม Tom Hanks ถึงเหมาะ: การแสดงออกทางสีหน้าที่ใสซื่อ หากคุณไม่รู้จักเขามาก่อน อาจคิดว่าเขา มีไอคิว 75 จริง ๆ ใบหน้าที่ดูน่าสงสาร แววตาที่เต็มไปด้วยความจริงใจ แววตาที่มองไปข้างหน้า คนอื่น ๆ อาจคิดว่าเขามองเหมอแบบคนไร้สมอง แต่ภายใต้แววตาคู่นั้นมักจะมีความมุ่งมั่น ความแน่วแน่ อย่างตอนที่เขาวิ่งข้ามทวีป เขามองไปข้างหน้าแล้วก็วิ่ง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะวิ่งไปไหน เขาวิ่งเพราะเขาอยากวิ่ง เขาทำตามที่ใจอยากแล้วเขาก็ทำมัน สำหรับคุณที่มีไอคิวตามปกติ คุณเคยทำสิ่งที่ใจเรียกร้องได้ครึ่งของ Forrest Gump หรือป่าว ? และฉากหนึ่งที่ผมชอบมาที่สุดคือฉากที่ครั้งแรกที่เขาไปหาลูกชายของเขา คำถามที่เขาถามออกด้วยความตื่นเต้นคือ “เขา... ปกติ...หรือป่าว....หมายถึง...สมองเขา.....” มันแสดงออกถึงความเป็นห่วง ความอาทร ผมซึ้งเพราะว่า คนที่มีไอคิวต่ำกว่าปกติ ยังมีใจอย่างสุดซึ้งที่จะคิดถึงคนที่รัก เป็นห่วงคนที่เขารัก และอยากดูแลคนที่เขารัก มันช่างเป็นสิ่งที่บริสุทธ์อะไรอย่างนี้ ต่างกับคนมากมายที่มีไอคิวปกติเป็นคนที่คิดว่าตัวเองนั้นฉลาด แต่คุณยังทำร้ายคนที่คุณรัก หรือกระทั้งคนที่รักคุณ คิดถึงจุดนี้แล้ว บางทีคุณอาจต้องกลับมามองการกระทำของตัวเองแล้วละ ว่าฉันหรือป่าวที่เป็น “คนปัญญาอ่อน”



บทบันทึก: เรื่อง Forrest Gump เป็นหนังอีกเรื่องที่ได้เข้าชิงออสก้าสูงสุดถึง 13 รางวัล และได้กลับบ้านไป 6 รางวัลดังนี้ครับ
- ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
- นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม
- ผู้กำกับยอดเยี่ยม
- บทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม
- ลำดับภาพยอดเยี่ยม
- เทคนิคพิเศษยอดเยี่ยม
อีก 7 รางวัลที่ได้เข้าชิง แต่พลาดไปมีดังนี้ครับ
- นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม
- กำกับภาพยอดเยี่ยม
- กำกับศิลป์ยอดเยี่ยม
- ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม
- แต่งหน้ายอดเยี่ยม
- บันทึกเสียงยอดเยี่ยม
- ตัดต่อเสียงประกอบยอดเยี่ยม






6. Edward Norton ในบท Aaron Stampler

จากเรื่อง : The Primal Fear (1996)
รูปลักษณ์และบุคลิกตัวละคร : เด็กวัดหน้าตาใส่ซื่อผู้อยู่ในเหตุการณ์ฆาตกรรมโหดเจ้าอาวาสด้วยการชำแหละหนัง ควักลูกตา และตัดอวัยวะเพศ!! เขาพูดจานั้นก็แทบจะติดอ่าง เวลาพูดจา เหมือนเขากำลังคิดเรื่องอื่นอยู่ตลอด ด้วยความที่มีใบหน้าอันใสซื่อ (และหล่อเหลา) ทำให้ตัวละครดูน่าสงสารเป็นที่สุด น่าเห็นใจและน่าช่วยเหลือ แต่ลึก ๆ เหมือนเขามีอะไรบางอย่างที่ยังไม่อยากบอกใคร.......



ประวัติโดยย่อ : หลังจากเกิดเหตุฆาตกรรม เขาวิ่งหนีออกมา พร้อมด้วยเลือดเต็มตัว ที่มีดมีรอยนิ้วมือเขา ที่พื้นมีรอยรองเท้าเขา ดังนั้นจึงมีหลักฐาน 100 % ที่ชี้ว่า Aaron Stampler เป็นฆาตกรในการสังหารครั้งนี้ แต่คำเดียวที่เขาพูดคือ “ผม...ไม่...ทราบ.... ผม...ไม่ได้...ทำ..... คุณต้อง...เชื่อผมนะครับ.....” แต่ใครเล่าจะเชื่อ ? จะมีก็เพียงแต่ทนายความชื่อดัง ผู้ที่มาว่าความให้ ( แสดงโดย ริชาร์ด เกียร์) เขาเป็นคนเดียวที่เชื่อในสิ่งที่ Aaron พูด แต่จากการสืบสวนอันตรึงเครียด เขาได้รู้ความจริงที่อาจเป็นไปได้ว่าว่า Aaron นั้นแหละเป็นฆาตรกรซะเอง แต่ทว่ากระทำไปตอนที่ไม่รู้ตัว ทำไปตอนที่เขาคิดว่าเขาเป็นอีกคนหนึ่ง หรือเรียกอีกอย่างว่าคน 2 บุคลิกนั้นเอง แต่ถึงยังไง นั้นเป็นเพียงแค่ท่อนแรกของการไต่สวน ตัวละครนี้ยังมีอะไรที่เตรียมไว้เซอร์ไพรซ์ คนดูชนิดที่เรียกได้ว่า คาดไม่ถึงที่สุดในรอบ 10 ปีก็ว่าได้!



ทำไม Edward Norton ถึงเหมาะ: ด้วยการแสดงที่ทำออกมาเป็นบุคคลที่ดูใสซื่อที่สุดคนหนึ่งในโลกภาพยนตร์ และการเล่นกับใบหน้าเวลาเครียดหรือเวลาเป็นคน 2 บุคลิก เขาสามารถทำให้คนดูเชื่อได้ว่า เขาเป็นโรคนั้นจริง ๆ การที่คนเราเป็นดีสุดขั่ว และคนเลวสุดขีด ได้ในบทเดียวกันได้อย่างวิเศษ ผมถือว่ามันเป็นการแสดงที่ยอดเยี่ยมมากครับ เยี่ยมจนถึงขั้นเป็นตัวเกร็งบนเวทีออสก้าสาขา นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมในปีนั้น แต่น่าเสียดายที่ถูกแซงไปในโค้งสุดท้าย ถึงกระนั้นการแสดงเป็นคน 2 บุคลิกของ Edward Norton ก็เป็นอะไรที่น่าอัศจรรย์มาถึงทุกวันนี้
บทบันทึก: ด้วยการแสดงอัน (หล่อใส) และบรรเจิดแสงรัศมีนักแสดง ของ Edward Norton ส่งให้เขาเข้าชิงออสก้าในสาขา นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม แถมเป็นตัวเกร็ง แต่ถูกแซงและเสียรางวัลไปในนาทีสุดท้าย น่าเสียดายเป็นที่สุด (หลายคนอาจยังเสียดายตั้งแต่นาทีที่ประกาศผล จนถึงทุกวันนี้...)



ป.ล. สำหรับคนที่ชอบแนวหักมุม ไม่ควรพลาดภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยประการทั้งปวง เพราะเรื่องนี้มีการหักมุมตอนจบที่ช๊อคคนดูมาก แบบคาดไม่ถึงจริง ๆ








5. Reese Witherspoon ในบท June Carter


จากเรื่อง : Walk the Line (2005)
รูปลักษณ์และบุคลิกตัวละคร : หญิงสาวผู้มีพรสวรรค์ทางด้านการร้องเพลงและการ เอนเตอร์เทนผู้ชมได้อย่างวิเศษ อีกทั้งเธอยังเป็นบุคลที่น่าจดจำในฐานะบุคลผู้สู้ชีวิต และทนต่อคำเสียดสีจากสังคมต่าง ๆ นานา แต่ด้วยความตั้งใจและ ความมานะ วันแห่งความสุขของเธอไม่เคยอยู่ไกลเกินเอื้อมมือ
ประวัติโดยย่อ : June Carter เป็นนักร้องที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่ง แต่เธอมีปัญหาทางครอบครัวจนต้องเลิกกับสามีถึง 2 คน นั้นทำให้ผู้คนมีทัศนคติกับเธอในทางลบอย่างมาก ไปทุกทีมีคนนินทา ไปที่ไหนมีแต่คนด่าลับหลัง (น่าสงสารจริง ๆ ครับ) แต่สิ่งที่วิเศษที่สุดในตัวเธอคือ “ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด” เธอต้องออกทัวร์ เธอต้องหาเลี้ยงลูก ๆ ทั้ง 2 เธอจะหยุดไม่ได้ นั้นเป็นจุดที่ผมชอบมากในตัวเธอ จนเธอได้ตกลงรักกับ Johnny Cash และสร้างบทบันทึกรักอีกบทที่น่าจดจำไปตลอดกาล....



ทำไมReese Witherspoon ถึงเหมาะ: บอกตามตรงว่าผมไม่อยากเชื่อว่าคนที่รับบท June Carter คนนี้ คือคนเดียวกับคนที่เล่นเป็นแม่สาวบ้าสีชมพูเปี่ยมจินตนาการอันเฟ้อฝันในเรื่อง Legally Blond เพราะจากการแสดงที่ไม่มีอะไรน่าจดจำในวันวาน เธอพัฒนาการแสดงในระดับที่เรียกได้ว่าก้าวกระโดด ขั้นใหญ่เลยที่เดียว การแสดงของเธอในเรื่อง Walk the Line แสดงออกถึงอารมณ์ตัวละครได้อย่างดีเยี่ยม การพูดจา ท่าทาง บนเวที กระทั้งการทำสีหน้า การยิ้ม หรือ แม้กระทั้งการมอง หรือการ ขมวดคิ้ว!! มันช่างดูลงตัวเหมาะเจาะ ไปซะทุกส่วน ทุกฉากที่เธอปรากฏในเรื่อง ทำให้หนังมีความน่าสนใจ เมื่อคุณเข้าถึงตัวละคร คุณจะดีใจไปด้วยเมื่อพวกเขามีความสุข คุณจะเศร้าไปด้วยเมื่อพวกเขาร้องไห้ การที่รับบทบาทให้คนดูเข้าถึงตัวละครจึงเป็นอะไรที่ยกย่อง เพราะตัวละครที่เป็นที่รักของผู้คนมักเป็นตัวละครที่มีมิติลุ่มลึกทำให้หนังมีคุณค่าและเข้มข้นมากกว่า หนังที่มีแต่พวกตัวละครโง่ ๆ ที่มีคาเรคเตอร์ซ้ำ ๆ ซาก ๆ อย่าว่าผมชมเธอจนโอเวอร์ เลยนะครับ เพราะยังไงซะ เธอการันตีด้วยรางวัล นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ทั้งบนเวทีออสก้าและ ลูกโล่ทองคำ ปีล่าสุด มานอนกอดอย่างสบายใจ ไปเรียบร้อย



บทบันทึก: ปี 1968 แอ็ท ฟอลซั่ม พริซัน เป็นอัลบั้มที่โด่งดัวที่สุดตลอดกาล ขายดีกว่า เดอะ บีทเทิ้ลส์ในปีเดียว จากนั้นทั้ง2 มีลูกด้วยกัน ออกเดินสาย ทั้วร์ เลี้ยงลูก และครองรักกันกว่า 35 ปี ก่อนที่จู จะเสียชีวิตใน พ.ค. 2003 และ จอห์น สิ้นใจตามไม่กี่เดือนหลังจากนั้น........ (เห็นขึ้นบรรยายในตอนจบของภาพยนตร์ด้วยครับ)







4. Hilary Swank ในบท Frankie Dunn


จากเรื่อง : Million dollar baby (2004)
รูปลักษณ์และบุคลิกตัวละคร : ผู้หญิง หน้าตาธรรมดา รักการต่อยมวยเป็นชีวิต จิตใจ และมีความใฝ่ฝันอันแรงกล้าที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้น เพราะตั้งแต่เด็ก เธอมีชีวิตที่ไม่สวยงามมากนัก เธอจึง พยายามทำทุกวิถีทางที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้น เธอขยัน อดทน มานะ ไม่ท้อถ่อย แต่ถึงกระนั้น โชคชะตาชีวิตก็เลวร้ายและร้ายกาจกับเธอมากขึ้น และมากขึ้น เธอจะทนและสู้กับโชคชะตาอันเลวร้ายนั้นได้ เนินนานเพียงใด หากคุณเจอแค่เสี้ยวหนึ่งอย่างที่เธอเผชิญ คุณจะทนได้ซัก 10 นาทีไหม? เพราะมันเลวร้ายเกินกว่าที่คุณคาดคิดได้เลยทีเดียว



ประวัติโดยย่อ : เธอใฝ่ฝันที่จะเป็นนักมวย เธอสู้เก็บเงิน ด้วยการเป็นสาวเสริฟ และซ้อมมวยทุกครั้งที่มีเวลาว่าง เธอใช้เงินให้น้อยที่สุด เธอซื้อเฉพาะของที่จำเป็น แม้แต่เรื่องอาหาร เธอเก็บเศษอาหารที่เหลือของแขกกิน เพื่อประทังความหิว ที่ห้องเธอไม่มีแอร์ ไม่มีเครื่องใช้ฟุ่มเฟือย และไม่มีแม้แต่ทีวี........ ( หากผมทำได้ครึ่งหนึ่งเธอ ผมคงรวยกว่านี้เยอะ ) แต่ใครจะไปรู้ว่าพรุ่งนี้อะไรจะเกิดขึ้น มันอาจจะดีขึ้น หรือแย่กว่าเมื่อวาน หากคุณคิดว่าทำดีที่สุดแล้ว แต่ทุกอย่างมันกลับเลวร้ายขึ้นเรื่อย ๆ คุณจะทนต่อไปได้นานแค่ไหนกัน....... คุณจะละทิ้งสิ่งที่เลวร้ายและ ใช้ชีวิตต่อสู้วันใหม่ ที่สดใสกว่าได้หรือป่าว? ใช่ครับโลกใบนี้มันมักจะเลวร้ายกับเราเสมอ ข้อคิดหนึ่งที่ได้จากเรื่องนี้ที่ผมชอบมาก ๆ คือ " จงระวังตัว ตลอดเวลา " เพราะเวลาที่เราเจ็บปวดทรมาน โลกใบนี้มันไม่รับรู้อะไรกับเราหรอก จริงไหมครับ ? จงรักตัวเองไว้ก่อนเถอะครับ จะได้เตรียมพร้อมออกไปตบตีกับโลกที่เลวร้ายใบนี้.....
ทำไม Hilary Swank ถึงเหมาะ: เธอแสดงได้อย่างดีเยี่ยมในการเป็นบุคคลที่มุ่งมานะ ไม่ยอมแพ้และไม่ท้อถอย ทั้งทางสีหน้าและแววตา โดยเฉพาะฉากที่เธอต้องนอนอยู่ในโรงพยาบาลขยับร่างกายไม่ได้ แต่คนดูยังรู้สึกได้ว่า เธอนั้นรู้สึกเลวร้ายเพียงใด ทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ ทุกฉากที่เธอแสดงเธอตั้งใจทำมันออกมาให้ดีที่สุด จนเธอผนึกตัวเองให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวละครตัวนั้นไปเลย



บทบันทึก: การกลับมาของผู้กำกับ Clint Eastwood ถือเป็นการกลับมาที่สมความภาคภูมิ ใครที่ว่า “เมื่ออายุมากการงานจะเริ่มถดถ่อย” เห็นจะใช้ไม่ได้กับ ผู้กำกับคนนี้ซะแล้วละ ด้วยความรุนแรงกับจิตใจของหนังเรื่องนี้และให้ข้อคิดดี ๆ ในชีวิตอีกตรึม ก็ทำให้หนังขึ้นไปเก็บรางวัลบนเวทีออสก้ากลับไปกันพอหอมปากหอมคอ ดังนี้ครับ
- ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
- ผู้กำกับยอกเยี่ยม
- นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ( เป็นตัวที่ 2 ของ Hilary Swank ในสาขานี้แล้วครับ ตัวแรกได้จากเรื่อง Boy don’t cry 1999 )
- นักแสดงสมทบฝ่ายชายยอดเยี่ยม
ยังมีอีก 3 รางวัลที่ได้เข้าชิงครับ
- นักแสดงนำฝ่ายชายยอดเยี่ยม
- บทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม
- ลำดับภาพยอดเยี่ยม



ป.ล ฉากห้ามเลือดบนเวทีของโค้ช เล่นเอาผมตรึงใจไปนานเลยครับ......







3. Renee Zellweger ในบท Roxie Heart

จากเรื่อง : Chicago (2002)
รูปลักษณ์และบุคลิกตัวละคร : ผู้หญิงที่มีความใฝ่ฝันอันสูงส่ง ในการเป็นนักร้องบนโชว์บนเวที ซึ่งเธอยอมยอมทำทุกอย่าง เพื่อที่จะได้อาชีพนั้นมา กระทั้งเอาตัวเองเข้าแลก โกหก ตอแหล สร้างภาพ หรือทำร้ายคนรอบข้าง และ มีความสามารถสูงที่จะ “หน้าด้าน” อย่างไม่สนความถูกผิด หรือ ศีลธรรม






ประวัติโดยย่อ : Roxie แต่งงานกับ Amos สามีของเธอที่ผู้ที่เป็นคนดีเพียงคนเดียวในเรื่องนี้ (คนดี หรือ คนโง่ อันนี้ค่อยว่ากันอีกที) Roxie ยอมพลีกายให้หนุ่มขายฟอร์นิเจอร์เพราะเขาโกหกเธอมีเส้นสายสามารถพาปั้นเธอเป็นนักร้องได้ที่ Onyx Club ที่เดียวที่นักร้องชื่อดัง Velma Kelly แสดงอยู่ (รับบทโดย Catherine Zeta-Jones) แต่เมื่อเขาสมใจอยากเขาก็เขี่ยเธอทิ้ง เธอโกรธสุดขีดที่ทำลายความหวังของเธออย่างไม่มีชิ้นดี จากนั้น ปัง ปัง ปัง!!! เสียงปืนดัง 3 ที รู้ตัวอีกทีเธอก็ต้องมานอนในคุกซะแล้ว.... แต่ชีวิตของเธอใช่จะหมดหมองไปซะทีเดียว เพราะที่เมืองในยุคนี้ อาชญากรรม คือเรื่องบันเทิง ! แล้วในคุกเธอยังได้พบกับนักร้องคนโปรดของเธอ Velma Kelly นั้นเอง
ไม่นานด้วยความรักและ ภัคดี ของ Amos สามีเธอ เขาได้ร่วมรวมเงิน (ทุกเม็ดทุกหน่วย) มาจ้างทนายชื่อดังที่สุดของเมืองมาว่าความให้ภรรยาของเธอ Billy Flynn จากนั้น เส้นทางการเป็นนักร้องชื่อดังของเธอจึงเริ่มมีประกายแสงแห่งความหวังขึ้นมาอีกครั้ง.........แต่เส้นทางสายนี้ ไม่มีอะไรมั่นคงแน่นอน ทั้งชื่อเสียง เงินทอง ความดัง และกระทั้งความสุข ทุกอย่างมันต้องจากไปเมื่อถึงเวลา อยู่ที่ว่าคุณจำทำใจได้หรือไม่เมื่อถึงเวลาที่มันต้องจากไป หากไม่ได้ ก็ต้องต่อสู้และทำทุกอย่างเพื่อได้มันกลับคืนมาอีกครั้งอย่างที่ Roxie ทำ!!! ซึ้งคุณจะต้องทึ่งว่าเธอสามารถทำอะไรได้บ้าง เพื่อแลกกับความดังและชื่อเสียงของเธอ....... Roxie Heart
ทำไม Renee Zellweger ถึงเหมาะ: เธอเป็นนักแสดงที่ทำให้คนหลงรักได้ตั้งแต่นาทีแรกที่เธอปรากฏบนจอภาพยนตร์ ไม่ว่าจะเป็นการรับบท สาวอ้วนตามหารักในเรื่อง Bridget Jones's Diary หรือสาวสวยกระหายชื่อเสียงความดัง ในเรื่อง Chicago เธอสามารถแสดงถึงอารมณ์ของคนที่กำลังหวาดกลัวอย่างสุดใจ ตอนที่เธอรู้ว่า คดีของเธอคือคดีที่มีโทษแขวนคอ เธอแสดงออกถึงความน่าสงสารเมื่อเธอต้อง ต่อสู้ในสิ่งที่เธอไม่เคยถนัด เธอแสดงออกถึงความแสแสร้ง ตบตาคนดูทั้งในเรื่อง และนอกเรื่องได้อย่างแบบเนียน และที่สำคัญที่สุด คือพรสวรรค์ทางด้านการร้องเพลงของ Renee Zellweger ที่อยู่ในระดับ Master piece ทำให้หนังเข้มข้นและน่าติดตาม ถึงชะตากรรมของตัวละครว่าจะดำเนินไปในรูปแบบใดอีก ซึ่งมันสามารถพลิกพลันได้ทุกนาที เพราะอย่างที่บอกว่าทุกอย่างมันไม่มีอะไรแน่นอน






บทบันทึก: ถาพยนต์อันยอดเยี่ยมเรื่องนี้แสดงออกถึงสันดานมนุษย์ออกมาอย่างโจ่งแจ้ง ความเลวของผู้ชายทั้งหลายที่ไม่ต่างกับหมา ความเห็นแกตัว ความจนตรอก และความดีอันน้อยนิดในจิตใจมนุษย์เรา และทุกอย่างยังเล่าผ่านบทเพลงอันไพเราะ ทุกบทเพลงถูกเรียบเรียงบรรจงแต่งได้เข้ากับเนื้อเรื่องและลงตัวอย่างมาก ด้วยความดีเด่นดังกล่าวจึงกวาดรางวัลไปเป็นเครื่องหมายการันตีได้ เป็นเข่งบนเวทีออสก้าดังนี้ครับ
- ภายนต์ยอดเยี่ยม
- นักแสดงสมบทฝ่ายหญิงยอดเยี่ยม ( Catherine Zeta-Jones )
- กำกับศิลป์ยอกเยี่ยม
- ออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม
- ลำดับภาพยอดเยี่ยม
- บันทึกเสียงยอดเยี่ยม



อันนี้ที่ได้เข้าชิงเฉย ๆ ครับ
- ผู้กำกับภายนตร์ยอดเยี่ยม
- นักแสดงสมทบฝ่ายหญิงยอดเยี่ยม ( เรื่องนี้ได้เข้าชิงสาขานี้ทั้ง 2 คนเลยครับคือ Catherine Zeta-Jones และ Queen Latifah )
- นักแสดงสมทบฝ่ายชายยอดเยี่ยม
- กำกับภาพภาพยอดเยี่ยม
- เพลงประกอบยนต์ยอดเยี่ยม








2. Ian McKellen ในบท Gandalf

จากเรื่อง : The Lord of the Rings Trilogy (2001-2003)
รูปลักษณ์และบุคลิกตัวละคร : พ่อมดผู้มีอำนาจสูงส่งและคุณธรรม ผู้คอยปกป้อง มัชฌิมาโลก จากความชั่วร้ายและสมุนจอมโฉดของ จอมมารซารอน Gandalf
เป็นบุคคลที่สำคัญมากที่สุดคนหนึ่งต่อเนื้อเรื่อง เป็นสัญลักษณ์แห่งแสงสว่างและ ความหวัง คนดูรู้สึกได้ว่า ไม่ว่าเนื้อเรื่องจะสิ้นหวัง หรือเลวร้ายเพียงใด แต่คนดูจะอุ่นใจ เมื่อยังมี Gandalf เหมือนที่ Pippin พูดไว้ว่า “เรามีพ่อมดขาวอยู่ทั้งคน...” เพราะเขาถือเป็น กำลังสำคัญที่สุดคนหนึ่งในการต่อต้านฝ่ายมืด ตั้งแต่ดำเนินเนื้อเรื่อง จนถึงนาทีสุดท้าย และ ฉากที่ผมชอบที่สุดของ Gandalf น่าจะเป็น ฉาก ศึกที่ เฮล์มดีพ ในภาค Two Tower เพราะเป็นช่วงที่สงครามกำลังเข้มข้น และฝ่ายมนุษย์กำลังผ่าย แต่ทุกคนยืนหยัดสู้อย่างสุดใจ ทันใดนั้นที่ยอดหน้าผาทิศบูรพา Gandalf พ่อมดขาวบนอาชาสีสง่างาม ปรากฏกายพร้อมคถาส่องแสงอยู่ในมือ ทุกสายตาจับจ้อง ทุกใบหน้าหันมองไปที่เขา และรู้ว่า Gandalf มาแล้ว เราชนะแล้ว !!!



ประวัติโดยย่อ : โดยแรกเริ่ม ณ มัชฌิมาโลก แห่งนี้ พ่อมดถูกส่งมาจากเบื้องบน เพื่อดูแล และ รักษาความสงบ โดยถูกสั่งห้ามไม่ให้ตั้งตนเองเป็นประมุข หรือมีอำนาจในการปกครองใดๆ ทั้งสิ้น แต่กระนั้นก็มีพ่อมดอำนาจสูงบางคนฝ่าฝืนกฎดังกล่าว นั้นคือ ซารูแมน พ่อมดขาวผู้เป็นอดีตผู้แนะนำ ชี้แนะ และเพื่อนของ Gandalf พ่อมดขาวถือเป็นระดับที่สูงสุดของการเป็นพ่อมด ซึ่งเรียงลำดับได้ดังนี้ พ่อมดสีน้ำตาล ( ไม่ปรากฏในภาพยนตร์ ) พ่อมดเทา และพ่อมดขาว ตามลำดับ Gandalf ถูกเปิดตัวในฐานะพ่อมดเท่า เพื่อนเก่า ชี้ย่ำปึก ของ บิลโบ และอยู่เคียงข้างโฟรโด้ ตั้งแต่แรกในการเริ่มในทาง ถึงแม้ต้องฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ มากมาย แต่ Gandalf ยังมุ่งมั่นและหวังดีต่อ โฟรโด้ เสมอ ถึงขั้นเสียสละชีวิตตัวเองด้วยการตกไปในเหมืองแห่งมอเรีย เพื่อให้กลุ่มพันธมิตรแห่งแหวนได้เดินทางกันต่อไป.......... แต่นั้นเป็นการทดสอบอย่างหนึ่งที่ Gandalf จะต้องเผชิญ ซึ่งผลลัพธ์ก็อยู่เหนือการคาดเดา แม้กระทั้งต่อตัว Gandalf เอง คือเขาได้เสียชีวิต แต่ถูกส่งกลับมาอีกครั้งเพื่อทำให้ภารกิจที่เขาเคยสาบานเอาไว้ ให้ลุล่วง แถมกลับมาในแบบที่ทุกคนต้องทึ่ง เพราะคราวนี้เขาคือ Gandalf The White .............



ทำไม Ian McKellen ถึงเหมาะ : ใบหน้าอันเหมาะเจาะกับการเป็นพ่อมด จมูก ดวงตา และ รูปร่าง และที่สำคัญ คือน้ำเสียง การตะโกนร่ายเวทมนต์ หรือ กระซิบคาถาด้วยริมฝีปาก เขาแสดงอย่างไร้ข้อกังขาในการเป็นพ่อมด ทั้งตอนขับขัน และตอนแสนสุข ว่าไปแล้ว Ian McKellenเป็นนักแสดงที่ดีมากที่สุดคนหนึ่งในสายตาผม การแสดงออกทางสีหน้า ไม่ว่าจะเป็นตัวโกงอย่าง Megneto ในเรื่อง X-Men หรือ พ่อมดแสนดีใน ไตรภาค the lord เขาไม่ได้แสดงให้ผมชมดู แต่เขากลายเป็นตัวละครตัวนั้นจริง ๆ!!!!



บทบันทึก: อย่างที่รู้กันว่าไตรภาค The Lord of the Rings ได้สร้าง ปรากฏการณ์ ครั้งสำคัญบนเวทีออสก้าด้วยการเข้าชิงถึง 11 รางวัล แล้วรับไปครบทั้ง 11 รางวัลเพื่อเป็นการตอกย้ำความยิ่งใหญ่ผมจะลำดับให้ได้ชมกันอีกที
- ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ( เป็นภาพยนตร์ แนวแฟนตาซีเรื่องแรกที่ได้รับรางวัลในสาขานี้ )
- ผู้กำกับยอดเยี่ยม
- บทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม
- กำกับศิลป์ยอดเยี่ยม
- บันทึกเสียงยอดเยี่ยม
- ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม
- เพลงประกอบยอดเยี่ยม
- ออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม
- ตัดต่อภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
- แต่งหน้ายอดเยี่ยม
- เทคนิคพิเศษยอดเยี่ยม






1. Sean Penn ในบท Sam Dawson


จากเรื่อง : I am Sam (2001)
รูปลักษณ์และบุคลิกตัวละคร : ชายหนุ่มผู้มีสมองเท่าเด็กอายุ 6 ขวบ พูดจาติดอ่าง แต่หล่อเหล่าเอาการ ( ก็พี่ Sean Penn นี่จ๊ะ ) เลี้ยงชีพด้วยการเป็นพนักงานอันต่ำต้อย ในร้านกาแฟ แต่มันก็พอให้เขาเลี้ยงตัวเอง และลูกสาวผู้น่ารักของเขาให้รอดไป อย่างจำกัดกำขีด Sam เป็นคนที่มีจิตใจงดงามและบริสุทธิ์ เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและความจริงใจ เขาชอบที่จะใช้ชีวิตซ้ำ ๆ ทำอะไรเหมือนเดิมทุก ๆ วัน อ่านนิทานก่อนนอนให้ลูกฟังเล่มเดิมทุกวัน ( เพราะเล่มอื่นมันยากที่จะอ่าน....) แต่นั้นมันเพียงพอแล้วในชีวิตของเขา เขาไม่เรียกร้องอะไรไปมากกว่านี้ ไม่ต้องรวยขึ้น ไม่ต้องสบายขึ้น ไม่ต้องมีอะไรทั้งนั้น ขอแค่ได้อยู่กับลูกสาวที่เขารักอย่างสุดหัวใจ มีกันและกันไปตราบนานเท่านาน........



ประวัติโดยย่อ : Sam ทำผู้หญิงคนหนึ่งท้อง(ซึ่งน่าจะ)โดยไม่ได้ตั้งใจ แต่เมื่อเด็กเกิดออกมา เธอเอาลูกให้ Sam แล้วจากไปแทบที่จะทันที ทิ้งเขากับลูกน้อยที่เพิ่งคลอดมา แล้วไม่กลับมาอีกเลย นับจากนั้น......Sam ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย ในการเลี้ยงลูกน้อยให้เจริญเติบโต ซึ่งถือว่าเขาทำได้ไม่บกพร่องในฐานะ พ่อคนหนึ่ง! แต่ถึงกระนั้น การที่บุคคลที่มีความบกพร่องทางสมองจะเลี้ยงเด็กสาวคนหนึ่งจนเธอเติบโต นั้นมีความเป็นไปได้เพียงน้อยนิด เนื่องจากมีองค์กรเกี่ยวกับเด็กเข้ามาเกี่ยวข้อง และคุณสมบัติขิง Sam ไม่เพียงพอที่จะเลี้ยงลูกสาวของต่อไป เธอต้องไปอยู่กับพ่อแม่ คู่อื่นที่พร้อมจะอุปการะ เธอไปเลี้ยง แต่.... ใครล่ะ ที่จะรักเธอได้เท่ากับ Sam ผู้นี้อีก..... ใครล่ะ ที่อยู่เพื่อเธอเสมอมา และพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อเธออีกตราบนานเท่านาน..... จนนาทีสุดท้ายในชีวิตขอเขาจะหมดไป........ ก็คงจะมีแต่ Sam คนนี้นี่แหละ....




ทำไมSean Penn ถึงเหมาะกับบทนี้ : นอกเหนือจาก การที่เขาสามารถสวมบทเป็นตัวละครตัวนั้นได้จริง ๆ แล้ว เขายังสามารถถ่ายทอดมันออกมาได้อย่างสุดซึ้ง และ ตรึงใจกับทุกฉาก ทุกประโยค ทุกคำพูด ทุกถ้อยคำที่เปล่งออกมา ทุกสายตาในการการมอง ทุกสีหน้าที่แสดงออก มันดู น่าสงสาร น่าเห็นใจ และเต็มเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่น และที่แน่นอน “ความรัก” ความรักของเขาที่มีต่อลูกสาว เพียงคนเดียว ความรักที่ไม่เคยน้อยลง มีแต่จะเพิ่มขึ้นทุกวัน ถึงแม้ว่าโลก ใบนี้ จะเลวร้ายกับเขาเพียงใด และอุปสรรคจะมากมายแค่ไหน ความรักของเขาทั้งคู่ สามารถเอาชนะได้ทุกอย่าง.... คุณล่ะ มีแบบนี้บ้างไหม ?



บทบันทึก: แทบ 100 % ของผู้ที่หญิงที่ได้ดูเรื่องนี้ ร้องไห้ ให้กับความน่าสงสาร และความเศร้าสลดของเนื้อเรื่อง ผมเองยังร้องไม่รู้ครั้งต่อกี่ครั้งกับหนังเรื่องนี้ (นี้แค่เขียงถึงผมน้ำตาคลอแล้วครับ) ถึงแม้ Sean Penn จะทำได้แค่เข้าชิง สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมบนเวทีออสก้า แต่สำหรับผม การรับบทบาทครั้งนี้ของ Sean Penn ถือเป็นการแสดง ระดับ มาสเตอร์ พีส ที่น่าจดจำไปอีกตราบนานเท่านานในโลกภาพยนตร์.....






แก้ไขล่าสุดโดย Darth เวเฟอร์ เมื่อ Sat May 13, 2006 4:03 pm, ทั้งหมด 2 ครั้ง

_________________
คุยหนังภาษาหมา
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ส่ง Email MSN Messenger
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
สุดยอดไปเลยอะครับ เขียนได้ถึงใจเก้าจริงๆเลย ขอปรบมือให้อย่างสุดกำลังมือ

ที่เขียนมาขอยอมรับเลยนะว่าทุกๆตัวละครมีบุคลิกที่เหมาะสมแล้วลงตัวที่สุด

ตามที่พี่เอกบอกจริงๆ.......



Angelina Jolie ในบท Lara Croft

เก้าชอบดูนะหนังเรื่องนี้อะ นางเอกเก่งมากๆเลยอะ หุ่นก็ดี แถมยังเหมือนในเกมส์อีก

ชอบสุดๆไปเลย อะนะ



Jack Black ในบท Dewey Finn

555+ เรื่องนี้เก้าเองก็ตอนแรกไม่อยากดูหรอกนะ เพราะว่าตัวเอกมันไม่หล่ออะ

แต่ก็ยอมดูเพราะน้องอยากดูอะครับ พอดูก็รู้สึกว่าสนุกมากๆเลยหละ

Jack Black ก็เล่นซะเหมือนคนบ้าเพลง rock จิงๆเลย แบบว่าบ้ามากๆอะ

เพลงก็มันส์ มันดูดีไปซะหมดเลย



Reese Witherspoon ในบท June Carter

คนนี้เก้าชอบมากกกก ดูเธอจะเก่งไปซะทุกเรื่อง แต่เรื่องนี้รีสร้องเพลงเพราะจังเลย

แต่เก้าไม่ค่อยชอบพระเอกเลยอะ ดูเหมือนจะโรคจิต แต่รีสของเก้าก็เหมาะสมกับ

บทบาทนี้จิงๆเลยหละ สุดยอดดดดดด



Renee Zellweger ในบท Roxie Heart

เล่นได้สุดยอดใครช่างเลือกเธอคนนี้มาเล่นซะนะ เก้าดูเป็น 100 รอบแล้วอะ

เรื่องนี้ ชอบตอนที่แสดงเหมือนหุ่นอะ เหมือนมากๆเลย

ดูแล้วชอบจัง


Sean Penn ในบท Sam Dawson

สมแล้วที่ได้อันดับ 1 แสดงได้ซะเหมือนเป็นคนปัญญาอ่อนจิงๆเลยอะ

ดูเรื่องนี้ร้องไห้ตลอดเลย น่าสงสารดูเค้าจะรักลูกเค้ามากๆเลยนะ

ดาโดต้าก็น่ารัก มีการแอบหนีมาหาพ่อดึกๆด้วยอะ แงงงงง

พูดแล้วก็จะร้องไห้ เก้าชอบมากๆเลยหนังเรื่องนี้อะ

ให้ที่ 1 เหมือนกัน




พี่เอกเขียนเก่งมากๆเลยครับ ยอมรับเลย

เก้าอ่านทุกๆตัวอักษร ประทับใจเก้าสุดๆ ไปเลย

ขอให้มีคนเข้ามาดูเยอะๆนะพี่

(เก้าเขียนไม่รู้เรื่องอย่าว่าเก้านะ)

เรื่องอื่นเก้าไม่เคยดูเลยอะ แหะ แหะ



_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว MSN Messenger
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
วิเคราะห์ ยิ่งกว่าถึงลูกถึงคน


_________________
สูงสุดคืนสู่สามัญ



http://i355.photobucket.com/albums/r444/inuteropb/lolbosingwanewqs2.gif
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
ผมชอบForrest Gump ครับ Tom Hanks แสดงได้เอ๋อดีหนังดีด้วยนะ ฮาดี
ขอบคุณ เอกครับที่เขียนเรื่องดีๆมาไห้อ่านกัน
.......... like


_________________
[img]<a href="http://allyoucanupload.webshots.com/v/2003853070361758408"><img border="0" src="http://aycu26.webshots.com/image/8465/2003853070361758408_rs.jpg" alt="Free Image Hosting at allyoucanupload.com"/></a>[img]
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว MSN Messenger
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
ตั้งแต่ที่พี่เอกรีวิวมา เราชอบรีวิวนี้มากที่สุดน่ะ เห็นด้วยเกือบทุกตัวละคร โดยเฉพาะบทHannibal Lecter ที่แสดงโดยเซอร์แอนโทนี่ ฮอพกินส์ และบทSam Dawson ที่แสดงโดยฌอน เพนน์ ส่วนตัวเราชอบหนังชุดHannibal Lecter มากนานแล้วน่ะ (ชอบมากที่สุดในบรรดาหนังทั้งหมดในโลกนี้) ตั้งแต่ Silence of the Lamp ไปจนถึง Red Dragon (ในภาคนี้ชอบเอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน ด้วยน่ะ เอิ๊กๆ) และที่กำลังจะมีภาคใหม่คือ Young Hannibal ซึ่งถืงแม้จะไม่มีฮอพกินส์แสดงด้วยแต่ก็อยากดูสุดๆ

พี่เอกรีวิวดีมากๆเลย..



_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว MSN Messenger
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
Lara Coft ภาค 2 มันเว่อเกินจิง จึงทำให้ทำตังได้น้อยไปเลย

นี้ทำทำออกมา ตามแบบโบราณคดีรูปแบบต่าง ๆคงจะแจ๋วกว่านี้เยอะอ่ะ

และอีกอย่าง ชุด ลาร่า ไม่เหมือนกะต้นแบบ ทำให้มันดูแตกต่างออกไปมากด้วย


สรุป ภาค แรก มันถึงใจ กว่าภาค 2 เยอะ

110 ล้าน กะ 60 กว่าล้าน แตกต่างกันเยอะมากมาย


_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
วิจารณ์เยี่ยมมากๆค่ะ
ชอบJune Carterที่รีสเล่นมากๆเลยค่ะ
เป็นหนังที่ดูสนุกมากสำหรับWalk The Line
Cool


_________________
http://www.napussyonline.net/

http://www.babyjane-mimi.com
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
อับดับ 1 เหมาะสุดแหละ


_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ชมเว็บส่วนตัว MSN Messenger
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
ขยันเขียนมากๆ เล้ย มาอยู่กองฟอร์เวิร์ดกันเถอะ อิอิ อ่า ก้อ เขียนจากความประทับใจส่วนตัวได้ดีนะ นี่ถ้าดาร์ธ เวเฟอร์ ( อิอิ เรียกด้วยความเอ็นดู ) เพิ่มเติมรายละเอียดอีกนิด เช่น การเตรียมตัวรับบทของนักแสดง หรือ ผลที่พวกเขาได้รับจากการรับบทนั้นๆ ( เช่น แองจี้ ที่กลายเป็นคนมีคาแร็คเตอร์ห้าวเท่ติดตัวไปเลย ) ก็ยิ่งจะเพิ่มสีสันให้บทความได้มากขึ้นอีกจ้า

เก่งๆ


_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว MSN Messenger
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
ตอบ หน้า 1 จาก 4
ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ถัดไป
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
  


copyright : forwardmag.com - contact : forwardmag@yahoo.com, forwardmag@gmail.com