
ไอแซค อาซิมอฟ (ภาพประกอบจาก Wikipedia)
ผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านที่เรียนสายวิทยาศาสตร์คงคุ้นเคยกับกฎการเคลื่อนที่สามข้อของเซอร์ ไอแซค นิวตัน กันบ้างนะครับ แต่ไม่ใช่เฉพาะในวิชาฟิสิกส์เท่านั้นที่มีกฎสามข้อ ในวงการอื่นก็มีกฏสามข้อเช่นกัน ตัวอย่างเช่น ไอแซค อาซิมอฟ (Issac Asimov)นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดคนหนึ่งของโลก ผลงานของเขามีมากมาย แต่ผลงานที่เป็นรู้จักกันอย่างแพร่หลายได้แก่ นิยายวิทยาศาสตร์ชุดสถาบันสถาปนา (Foundation) และนิยายหุ่นยนต์ เขาได้ตั้งกฎสามข้อของหุ่นยนต์ไว้ดังนี้ครับ
1. หุ่นยนต์มิอาจกระทำการอันตรายต่อมนุษย์ หรือนิ่งเฉยปล่อยให้มนุษย์ตกอยู่ในอันตรายได้
2. หุ่นยนต์ต้องเชื่อฟังคำสั่งจากมนุษย์ เว้นแต่ว่าคำสั่งนั้นขัดแย้งกับกฎข้อแรก
3. หุ่นยนต์ต้องปกป้องสถานะของตัวเองไว้ ตราบเท่าที่การกระทำนั้นมิได้ขัดแย้งต่อกฎข้อแรกหรือกฎข้อที่สอง
ไอแซค อาซิมอฟได้บรรยายกฎสามข้อของหุ่นยนต์อย่างละเอียดในนิยายวิทยาศาสตร์ของเขามากมาย ผลงานบางเรื่องของเขาที่ได้รับการสร้างเป็นภาพยนตร์แล้ว คือ I,Robot และ Bicentennial Man ก็กล่าวถึงกฎสามข้อของหุ่นยนต์ไว้เช่นกันครับ


นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์อีกคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังทัดเทียมกับไอแซค อาซิมอฟ คือ อาเธอร์ ซี คล้าก (Arthur C. Clarke) คล้ากก็ได้ตั้งกฎสามข้อของตัวเองขึ้นมา โดยมีรายละเอียดดังนี้ครับ
1. เมื่อใดก็ตามที่นักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงแต่อาวุโสบอกว่า บางอย่างเป็นไปได้ เขาน่าจะพูดถูก ถ้าเขาพูดว่าบางอย่างเป็นไปไม่ได้ เขาน่าจะผิด
2. หนทางเดียวในการค้นหาขีดจำกัดของความเป็นไปได้ คือ การก้าวข้ามอีกเล็กน้อยไปสู่ความเป็นไปไม่ได้
3. เทคโนโลยีที่ล้ำหน้ามากจะไม่แตกต่างไปจากเวทย์มนต์

อาเธอร์ ซี คล้าก (ภาพประกอบจาก Wikipedia)
ผมก็เลยเกิดไอเดียว่า เราน่าจะลองตั้งกฏสามข้อของเรากันบ้าง ผมก็เลยคิดกฎสามข้อเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ขึ้นมาดังนี้ครับ
1. เมื่อใดก็ตามที่ประตูหนึ่งปิดแล้ว จงอย่าเสียเวลาอ้อนวอนขอให้ประตูนั้นเปิดออก แต่จงหาประตูใหม่ หรือสร้างประตูของตนเอง
ผมมีประสบการณ์หลายครั้งที่ไม่สามารถทำบางสิ่งบางอย่างได้ เพราะสถานการณ์ กฎ ระเบียบไม่เอื้ออำนวยหรือไม่เป็นใจ แต่ก็สามารถทำสิ่งอื่นแทน ซึ่งอาจเกิดประโยชน์หรือเป็นผลดีกว่าเดิมเสียอีก ดังนั้น แทนที่จะมัวรอโอกาส (ประตู) จากผู้อื่น เราจงสร้างโอกาสหรือประตูของเราเองดีกว่าครับ
2. เป็นร้านขายข้าวมันไก่อย่างเดียวที่อร่อยมาก ดีกว่าเป็นร้านอาหารตามสั่งที่ขายทุกอย่างแต่ไม่อร่อยสักอย่าง
ความหมายของข้อนี้คือ ถ้าจะเก่งหรือเชี่ยวชาญอะไร ก็ขอให้เก่งจริงสักเรื่องหรือโฟกัสในเรื่องที่เชี่ยวชาญที่สุดสักหนึ่งเรื่อง แทนที่จะรู้หลายเรื่อง แต่ไม่เก่งอะไรสักอย่าง แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่รู้เรื่องอื่นเลย เราควรต้องมีความรู้ด้านอื่นด้วย เพียงแต่ว่าเราไม่จำเป็นต้องรู้ลึกซึ้งเท่ากับเรื่องที่เราเชี่ยวชาญ นอกจากนี้ เราควรรู้จักคนที่รู้จริงหรือผู้เชี่ยวชาญในด้านสาขาวิชาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานของเราเพื่อที่ว่า เราจะได้ขอคำปรึกษาจากพวกเขาได้ในกรณีจำเป็น แต่ตัวเราก็ต้องเป็นที่ปรึกษาให้คนอื่นได้เช่นกันครับ
3. ไม่มีไอเดียใดที่ไร้ประโยชน์ มีแต่ไอเดียที่ไม่เหมาะกับเวลาหรือสถานการณ์
ทุกไอเดียย่อมมีประโยชน์ทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าอาจจะยังไม่เหมาะกับสถานการณ์หรือเวลาในช่วงนั้น ตัวอย่างก็คือบทความเรื่องนี้ครับ ผมคิดหัวข้อและเขียนเนื้อหาบทความนี้คร่าว ๆ มาหลายเดือนแล้ว แต่ยังสรุปกฏสามข้อของตัวเองไม่ได้ จนกระทั่งวันหนึ่งได้คิดกฎสามข้อของตนเองครบ จึงเขียนต่อได้จนจบ ดังนั้นเราควรมีสมุดบันทึกไอเดียของเรา และจดบันทึกความคิดหรือไอเดียต่าง ๆ ที่คิดได้ เผื่อในอนาคต เราสามารถใช้ประโยชน์จากไอเดียที่เราเคยคิดไว้ครับ
หลังจากที่อ่านกฎสามข้อของหลายคนแล้ว ผมอยากให้ผู้อ่านลองคิดกฎสามข้อของตนเองขึ้นมา เกี่ยวกับอะไรก็ได้ที่ถนัด เช่น การท่องเที่ยว ความรัก การเมือง การเงิน หรืออะไรก็ตาม แล้วลองเผยแพร่ไป ใครจะไปรู้ กฎสามข้อของคุณอาจมีชื่อเสียงดังไปทั่วโลกก็ได้ครับ
http://www.creativethailand.org/th/articles/article_detail.php?id=67
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ว่างๆ มาพับกระดาษเล่นกันเถอะค่ะ








----------------------------------------------------------------------------------
เทยเที่ยวไทยตอนใหม่ค๊ะ ตอนที่ 8
พบกับความสนุก มันฮาของเหล่ากระเทย ทั้งสามนางที่จะมาพาพวกเราเทยเหมือนกันไปเปรี๊ยวทั่วไทยค่ะ ตอนนี้ก็เก๋ๆที่ เเถวราชดำเนิน ถนนข้าวสาร ปากคลอด และช่วงพ่อค้าแซ่บไม่รู้จะถูกใจเก้งกวางเเถวนี้หรือเปล่า ติดตามเอานะค่ะ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ช่วง เติมพลัง +

ใครหลายคนอาจจะกลัว กลัวที่จะส่องแสง เตยมีเรื่องดีๆ มาแชร์ค่ะ ชื่อ "Our Deepest Fear หรือ ที่สุดแห่งความกลัว" เป็นร้อยแก้วของมาริแอน วิลเลียมสัน มาแปลเป็นไทยโดยบล็อกเกอร์คนโปรดของเตย ปอนด์ ยาคอบเซ่น มาอ่านดูกัน
ที่สุดแห่งความกลัวของคนเรา ไม่ใช่ความที่เราดีไม่พอ
แต่ที่สุดแห่งความกลัวของเราคือ ความที่เรามีพลังมหาศาลไม่มีที่สิ้นสุด
เรากลัวความสว่างของตัวเอง ไม่ใช่ความมืด
สิ่งนี่ต่างหากที่ทำให้เรากลัว
เราถามตัวเองว่า
ฉันเป็นใคร ถึงจะได้ยอดเยี่ยม พิเศษ มีความสามารถ
ความจริงแล้ว เธอเป็นใครถึงจะเป็นอย่างนั้นไม่ได้
เธอ คือ ลูกของธรรมชาติ
การอยู่ไปเรื่อยๆ อย่างเงียบๆ
ไม่ได้ให้อะไรกับโลกนี้เลย
ไม่มีอะไรน่าพิศวงกับการห่อตัว
เพื่อคนอื่นจะได้ไม่รู้สึกอึดอัดเวลาอยู่ใกล้ๆเรา
เราเกิดมาเพื่อส่องประกายแสง
เหมือนที่เด็กๆเป็น
เราเกิดมาเพื่อจะสรรสร้าง ต่อยอด
ความงามที่ธรรมชาติมอบให้เรา
และขณะที่เราปล่อยให้เเสงของเราส่องประกาย
เราก็ได้เปิดโอกาสให้คนอื่นๆทำในสิ่งเดียวกัน
เมื่อเราปลดปล่อยความกลัวของเรา
เราไปที่ไหน เราก็ปลดปล่อยความกลัวของคนอื่นโดยอัตโนมัติ
ขอให้มีคืนวันที่งดงามค่ะ
-เตย ไลฟ์โค้ช-
http://www.facebook.com/photo.php?fbid=236888889710080&set=o.177844118922395&type=1&theater

-------------------------------------------------------------------------------------------------------
Quote of the Day
คำ ผกา: เปลือยกาย เปิดใจ ไม่เกลียดชัง
คำ ผกา เปลือย(หน้า)อก และ(หน้า)ใจ ส่งข้อความเรียกร้องปล่อยตัวอากง ชี้สังคมไทยต้องก้าวข้ามความกลัว ถอดทิ้งอคติ และสำรวจจิตใจตัวเองในฐานะเพื่อนมนุษย์
เมื่อวันพุธที่ผ่านมา หลายคนอาจได้เห็นแคมเปญ ฝ่ามืออากง กันไปบ้างแล้วในเฟซบุ๊ก การรณรงค์ดังกล่าวเริ่มต้นโดยปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิจัยจากสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา ประเทศสิงคโปร์ เพื่อเรียกร้องอิสรภาพให้แก่นายอำพล (ขอสงวนนามสกุล) ผู้ถูกตัดสินจำคุก 20 ปีด้วยการถูกกล่าวหาว่าส่งข้อความทางโทรศัพท์มือถือที่มีเนื้อหาหมิ่นเบื้องสูงจำนวน 4 ข้อความไปยังเลขาส่วนตัวของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ(ขณะนั้น)
แคมเปญดังกล่าวได้รับความสนใจจากผู้ใช้เฟซบุ๊กในไทยและต่างประเทศอย่างรวดเร็ว โดยมีคนส่งภาพตัวเองที่มีข้อความ อากง เขียนบนฝ่ามือมาร่วมในการรณรงค์ดังกล่าว 150 คนในเวลาเพียง 2 วัน หนึ่งในนั้น มีรูปหญิงสาวเปลือยพร้อมข้อความ No Hatre for Naked Heart หราอยู่บนหน้าอกหน้าใจ พร้อมคำว่า อากง บนฝ่ามือ จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากลักขณา ปันวิชัย หรือนักเขียนชื่อดังในนาม คำ ผกา

เธอเล่าถึง Art project ชิ้นนี้ ซึ่งเป็นภาพเปลือยของเธอพร้อมข้อความ No Hatre for Naked Heart เขียนด้วยน้ำหมึกดำอยู่บนอกสองข้างของเธอว่า อยากจะสื่อออกไปยังสังคมไทย ให้ถอดอคติส่วนตนออกไปจากจิตใจ และลองเปลือยใจเพื่อสำรวจถึงความมีมนุษยธรรมในฐานะเพื่อนมนุษย์ และตั้งคำถามดูว่าทำไมกรณีของอากงจึงเกิดขึ้นได้ มันเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ไหม และมันมากเกินไปหรือเปล่า
แทนที่จะหลบอยู่หลังตู้เย็น หลบอยู่หลังหน้าจอคอมพ์ อย่างน้อยเราก็ได้ทำอะไรซักอย่าง ที่จะก้าวข้ามความกลัวนั้นไป และส่งข้อความออกไปยังสังคม...ให้สังคมไทยนั้นก้าวพ้นความกลัวไปด้วยกัน เธอกล่าว
คำ ผกา กล่าวว่า งานชิ้นนี้ เปรียบเสมือนงานศิลปะชิ้นหนึ่งที่ใช้ร่างกายประท้วงต่อความไม่เป็นธรรมในสังคม ซึ่งการกล้าเปิดกาย-ใจ และการกล้าเปิดเผยตัวตนนี่เอง ที่เป็นการเผชิญหน้าและเอาชนะความกลัวได้อย่างแท้จริง
http://prachatai.com/journal/2011/12/38141
----------------------------------------------------------------------------------------------------------
ดีไซน์ เก๋ๆ








----------------------------------------------------------------------
นิยาย จาก น้องชีเน่ เขียนเองในเฟสนะค่ะ

ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย!
อากาศยามเช้าที่สดใส ทำให้ฉันรู้สึกสดชื่นจริงๆ มากิสาวน้อยวัย 9 ขวบกำลังเดินไปโรงเรียนด้วยหัวใจที่แช่มชื่น ระหว่างทางไปโรงเรียนของมากิ จะมีป่าทึบเรียงราย ถ้าคนไม่ชำนาญทางเเถวนี้อาจจะหลงได้ง่ายๆ
"ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย"
มีเสียงอะไรบาง อย่างทำให้มากิถึง กับหยุดชะงัก
มากิรู้สึก หนาวขึ้นมาทันใด เเผ่นหลังของมากิเริ่มเย็นมากขึ้น มากิไม่รอช้าที่จะรีบเดินผ่านเส้นทางนั้น โดยไม่สนใจเสียงใดๆ อีกแล้ว เธอรีบไปโรงเรียนเเต่เสียงก็ยังคงวนเวียนอยู่ของมากิ
"ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย"
เรื่องราวต่างๆในวันนี้ ทำให้มากิเรียนไม่รู้เรื่องเลย มากิรู้สึกหวาดกลัวปนสงสัยเล็กน้อยกับเสียงที่มากิได้ยิน มันคืออะไรกันเเน่นะ มากิสังหรณ์ใจไม่ดีเลย แต่ก็พยามจะข่มใจไม่คิดอะไรในแง่ลบ มากิกลับบ้านโดยใช้อีกเส้นทางหนึ่งเพื่อที่จะไม่ได้ยินเสียงนั้น
"กลับมาแล้วหรอลูก" แม่มากิทักทาย
"คร๊าแม่ มีอะไรทานมั่ง"
"มีขนมโมจิ ของโปรดของลูกไง"
"ว๊าย" เด็กหญิงทำหน้าดีใจ
เสียงจาก tv ดังขึ้นทำให้มากิ เริ่มหันมามอง "ในเวลา หลายเดือนที่ผ่านมานี้ หมู่บ้านเรา มีการหายสาปศูนย์ของเด้กสาว วัย 9-15ปีหลายรายแล้ว อยากให้ทุกคนในหมู่บ้าน อาซากาว่า ระวังตัวด้วยด้วยนะคับ " มากิสีหน้าเริ่มไม่ดี พร้อมกับข่าวTV จบลง
"ตาย จริง แม่เป็นห่วงมากิจัง หมู่บ้านเราพักนี้ มีเด็กสาวหายสาปศูนย์ไป ถึง 3 รายเเล้ว ลูกต้องระวังตัวมากขึ้นเเล้วนะ"
"แม่ ค๊ะ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ หนูเอาตัวรอดได้" มากิเสเเสร้งยิ้ม ทั้งๆที่ กลัวเล็กน้อย
ค่ำของวันนี้ มากิได้เข้านอนไปเเล้ว แต่ทันใด ก็มีเสียงบ่างอย่างทำให้มากิ สะดุ้งตื่นขึ้น
"ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย"
"ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย"
มากิลุกขึ้นกลางดึก เดินออกไปตามหาเสียงนั้น เหมือนโดนมนต์สะกด จนมากิมาถึงบ่อน้ำ ระหว่างทางไปโรงเรียน
"เธอเป็นใคร" มากิตะโกนลงไปในบอน้ำ
"ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย" มีเสียงตอบกลับมา พร้อมใบหน้าที่ซีดขาวของเด็กหญิงในบ่อน้ำ
มากิเเทบ ช๊อกกับใบหน้าของหญิงสาวในบ่อน้ำ แต่มากิก็ใจดีสู้ ไม่หนี เพราะสงสารผู้หญิงคนนั้นเหลือเกิน
"เธอจะให้ฉันช่วยยังไงหรอ" เสียงสั่นเล็กน้อย
"เธอเเค่ ปล่อยผมลงมาฉันจะปีนขึ้นไป ปล่อยผมลงมา"
มากิรู้สึกสับสนกับคำพูดของเด็กหญิงคนนั้นเล็กน้อย เเต่เธอก็ทำตาม เธอปล่อยมวยผมออก จากนั้นก็นำผมออกมาหย่อนไปที่บอน้ำ
ผม มากิค่อยๆ ยาวออกมาเรื่อยๆ ไปจนถึงก้นบ่อ ตอนนี้มากิช๊อกมาก เพราะ หญิงสาวคนนั้นได้ ดึงผมของเธอเเละพยามปืนขึ้นมา หัวของมากิ โดนดึงลงไปที่ขอบบ่อ เเต่ตัวก็ยังพยามทรงไว้ ให้ผู้หญิงคนนั้นปีนขึ้นมา เมื่อเด็กหญิงคนนั้นปืนขึ้นมาถึงขวบบ่อ เด็กหญิงคนนั้นก็ผลักมากิลงไปในบ่อน้ำ
"5555 5555 5555 ฉันเป็นอิสระ" หญิงสาวลึกลับหัวเราะ
" ช่วยด้วย ทำไมเธอถึงทำเเบบนี้ ใครก็ได้ช่วยด้วย" มากิร้องขอความช่วยเหลือ เเต่ทว่าไม่มีใครได้ยิน สุดท้ายก็ไม่มีใครพบมากิอีกเลย มากิหายสาปศูนย์ไปอีกหนึ่งราย............
หลายวันต่อมา มีเด็กหญิงคนหนึ่งได้เดินไปในเส้นทางเดียวกับมากิ เเล้วหล่อนก็ได้ยินเสียง
"ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย!"
..........................................................
แก้ไขล่าสุดโดย อิลลูมินาติ เมื่อ Mon Dec 05, 2011 12:33 am, ทั้งหมด 1 ครั้ง
_________________

