˹���á Forward Magazine

ตอบ

NuRii3_Review : Kylie Minogue - Impossible Princess
ผู้ตั้ง ข้อความ
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ NuRii3_Review : Kylie Minogue - Impossible Princess 
Kylie Minogue - Impossible Princess



เหลืออีก2วันก็เข้าปี 2013 แล้วก่อนอื่นต้องขอสวัสดี ปีใหม่ 2556 สมาชิกชาวบอร์ด FF และท่านที่กำลังอ่านทุกคน ล่วงหน้านะค่ะ ขอให้มีความสุขทั้งปี คิดสิ่งใดก็ได้สิ่งที่ปรารถนานั้น ส่วนท่านใดกำลังเดินทางก็ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพค่ะ
สำหรับรีวิวปิดท้ายปีนี้ ขอเลือกอัลบั้มที่ส่วนตัวกำลังอินอย่างรุนแรง ฟังไม่ขาดในช่วงเวลาที่ผ่านมาเลยทีเดียว กับงานอัลบั้มของราชินีเพลงแดนซ์ ไคลี มิโนก กับผลงานทางดนตรีเรียกได้ว่าแปลกและโดดเด่นที่สุดในชีวิตของน้าไข่ เทียบเคียงงานมาสเตอร์พีซระดับตำนานอย่าง Ray Of Light ของเจ้แม่กันเลยทีเดียว ไม่ใช่อัลบั้มไหนแต่เป็น Impossible Princess นั้นเองค่ะ

Impossible Princess : 95%

สารภาพนิดหนึ่งว่าพึ่งได้ฟังอัลบั้มเมื่อ2เดือนที่ผ่านมานี้เอง รู้สึกอายและล้าหลังมากที่พึ่งมาได้ฟังอัลบั้มนี้จริงๆจังๆหลังจากผ่านมา15ปี นี้ฉันเกือบพลาดงานดีๆระดับนี้ไปเชียวหรือเนี่ย? พอมาได้ฟังจริงๆจังแล้วต้องบอกว่าฟังยากมาก ระดับปีนบันไดฟังไม่แพ้งาน Ray Of Light ของเจ้แม่ แต่สิ่งที่ต่างกว่ากันตรงที่เจ้แม่เลือกจะทำงานอิเล็กโทรนิก้าแบบสุดโต่ง ในขณะที่น้าไข่กลับทำงานลูกผสมโดยดึงงานอัลเตอร์เนทีฟร็อคที่บูมในฝั่งยุโรปมาปูฉาบหน้า แล้วตบด้วยอิเล็กโทรนิก้าที่ฟังยากชุดใหญ่แบบค้างเติ้งกันไปเลย ทำให้ได้งานเพลงตีเนียนหลอกคนฟังว่าเป็นงานโมเดิร์นร็อค แกลมร็อคอะไรเทือกนี้นะ แต่จริงๆมันเป็นงานอิเล็กโทรนิก้าแท้ๆแซมร็อคอ่อนๆมากกว่า

จุดเด่น
อย่างที่บอกไปว่าอัลบั้มนี้ส่วนตัวยกให้เป็นอัลบั้มที่มีศักดิ์ศรีและศักยภาพเทียบเคียง Ray Of Light ของเจ้แม่เลยทีเดียว คือภาพรวมมันคืองานอิเล็กโทรนิก้าเจ๋งเป้งที่มาจากศิลปินพ็อพ แต่มันก็ยังมีจุดต่างกันอยู่หลายอย่าง คือ ภาพรวมของแนวเพลงที่เลือกนำเสนอกับเอกลักษณ์และตัวตนของศิลปิน แต่สิ่งที่ต่างกันมันไม่ใช่มีเพียงแค่นั้น การนำเสนอของภาคเนื้อหาของ2อัลบั้มนี้ก็แตกต่างกันสิ้นเชิง เหมือนขาวกับดำ ในขณะที่เจ้แม่เลือกตีแผ่โดยการเอาสัจธรรมของโลกมนุษย์ มาร่ายเป็นงานศิลป์ด้านแสงสว่าง ส่วนน้าไข่กลับเลือกเอาเรื่องราวที่เลวร้าย เกี่ยวกับความรัก ชีวิต และอบายมุขทั้งหลายมาทำเป็นงานดนตรีด้านมืด ที่ดิบ ดุดัน เกี้ยวกราด หม่นหมอง และลึกลับ จนกลบภาพลักษณ์ The Girl Next Door ไปจนหมดสิ้นเชิง ผ่านงานทดลองแนวทางใหม่ด้วยงานอิเล็กโทรนิก้าจัดจ้าน แซมอัลเตอเนทีฟร็อค ซึ่งเป็นแนวนิยมของตลาดยุโรปถิ่นการค้าของตัวน้าเอง โดยหวังให้อัลบั้มนี้ เป็นอัลบั้มระเบิดความศักยภาพความสามารถของตัวเองให้ประชาชีได้รับรู้ และประกาศศักดากันไปเลยว่าว่าฉันก็เป็นอัจฉริยภาพทางดนตรีอีกคนหนึ่งเช่นกัน สุดท้ายมันก็ได้พิสูจน์แล้วว่าศักยภาพที่เห็นมันเป็นของจริง เป็นงานชั้นครูประดับบารมีอาชีพศิลปินของน้าอย่างที่คาดหวังไว้ได้จริงๆ

จุดด้อย
แม้ว่าอัลบั้มนี้จะทำให้เราได้รับรู้ถึงความเป็นอัจฉิรยภาพทางดนตรีของน้าไข่ แต่ผลลัพธ์พวกชาร์ตต่างๆ ยอดขายและกระแสตอบรับดันเจ๊งไม่เป็นท่า เรียกได้เป็นอัลบั้มที่ล้มเหลวไม่เป็นท่าและเป็นจุดตกต่ำที่สุดของสายอาชีพศิลปินของน่าไข่ จนกลายเป็นตัวสำรองของวงการเพลงในที่สุด อาจเพราะแนวทางดนตรีไม่แมส ฟังยาก และสวนกระแสแนวเพลงพ็อพบับเบิ้ลกัมที่กำลังแผ่ระบาดในช่วงนั้น บวกกับปัญหาส่วนตัว ค่ายเพลงและบลาๆๆ แต่ตัวจริงก็ยังเป็นตัวจริงวันยังค่ำ สุดท้ายนางก็ยังผงาดขึ้นมายืนอยู่บนบัลลังก์แดนซ์ฟลอร์เป็นราชินีเพลงเต้นรำได้อีกครั้งจนได้

Singles of Impossible Princess

Some Kind of Bliss : 4/5
ลีดซิงเกิ้ลที่ประสบความสำเร็จน้อยที่สุดของบรรดาลีดซิงเกิ้ลทั้งหมดของน้าไข่ แต่ส่วนตัวค่อนข้างชอบเพลงนี้นะ ด้วยความเป็นคนชอบงานบริตพ็อพอยู่แล้ว เลยไม่รู้สึกกระดากใจอะไรในการเปลี่ยนแปลงในเพลงนี้ของน้าไข่มากนัก โดยเพลงนี้เอง น้าไข่ได้วงอัลเตอร์เนทีฟร็อคจากสหราชอาณาจักรอย่างวง Manic Street Preachers มาเป็นโปรดิวเซอร์ดูแลให้ ทำให้ภาพรวมเพลงนี้ก็เป็นงานกรันจ์ร็อคสมัยนิยมติดดนตรีเล้าจ์นฺสบายๆแบบงานตามผับตามบาร์อะไรเทือกนี้ แม้ว่าหลายคนจะบอกว่าภาคดนตรีค่อนไปในทางธรรมดา ออกจะเก่อด้วยซ้ำ แต่วงอัลเตอร์เนทีฟดังๆสมัยนั้นก็ทำเพลงประมาณนี้ทั้งนั้นแหล่ะ แม้เป็นแนวเพลงที่ค่อนข้างใหม่สำหรับน้าแต่ก็ทำได้ดีไม่เลวเลย ไม่ได้ด้อยกว่างานบริตพ็อพพ็อพทั่วไปวงไหนเลย

Did It Again : 5/5
ถัดมาที่ซิงเกิ้ลที่2ที่เป็นอัพบีทอัลเตอร์เนทีฟร็อคที่จัดจ้านมากขึ้น แต่ก็ยันเดินสูตรงานบริตพ็อพทั่วไป ที่เป็นกรันจ์ผสมโพสต์พังค์ แต่มันเด็ดตรงน้าไข่แอบหยอดพวกลูกเล่นเวิร์ลมิสสิคและเอ็ฟเฟ็กซินธิไซเซอร์ลงไปให้ดูเป็นตัวเองมากขึ้น ส่วนตัวที่คิดว่าโอเคอีกเรื่องคือฝากเนื้อหา ที่น้าแอบกัดตัวเองและคนทั่วไปแบบหยิกแกมหยอก ฟังไปก็ช่วยแอบเตือนสติตัวเองเบาๆไปด้วย

Breathe : 4/5
ซิงเกิ้ลที่3ในอัลบั้มที่น้าเริ่มเข้าสู่แนวอิเล็กโทรนิก้าจริงๆจังๆเสียที ด้วยบรรยากาศสภาวะไร้น้ำหนัก เข้าสู่ห้วงอวกาศด้วยทริฟฮอฟดาว์นเทมโพเย็นจัดๆ ก่อนกระแทกเพอคัสชั่นแบบงานคลับเฮาส์เนือยๆคุมทิศทางให้อยู่มัด แต่ส่วนตัวคิดว่าน้าทำเพลงนี้ได้จืดสนิทและโหวกเหวกไปหน่อย ทำให้ภาพรวมออกมาไม่สุดโต้งอย่างที่ควรจะเป็น อาจเพราะน้าใส่กรู๊ฟความเป็นแดนซ์บีทเล็กๆเข้าไปด้วย ทำให้มันเยอะไปนิดหนึ่ง ถ้าเอาพวกซาวด์ไม่จำเป็นและปรับให้ดูหลอนกว่าอีกหน่อยจะออกมาเจ๋งกว่านี้มาก

Cowboy Style : 5/5
ซิงเกิ้ลปิดอัลบั้มนี้ ที่ได้ฟังครั้งแรกแล้วต้องตะลึงกับความเก๋ของตัวเพลง และความเก๋าของฝีมือการทำดนตรีของตัวน้าไข่เอง ที่กล้าจับแนวดนตรีที่ขนานกันราวคนละโลกให้บรรจบกลายเป็นบทเพลงเดียวกันได้ กล้าออกปากเลยว่า ถ้าใครได้ฟังเพลงนี้แล้ว คงอดใจให้เคลิ้มไปกับความเก๋ไก๋ของเพลงนี้ไม่ได้แน่ เพราะน้าไข่ได้เอางานคันทรี่พ็อพลูกทุ่งบ้านนามาขัดเกลาเป็นหนึ่งเดียวกับงานอิเล็กโทรนิก้าล้ำสมัย นี้สิ่คืองานเอ็กเพอริเมนทัลของแท้ ชนิดที่อีพวกบอกตัวเองเป็นพวกลูกทุ่งโมเดิร์นหรือพวกทำเพลงทดลองทั้งหลายกลับไปตาย10ชาติแล้วเกิดใหม่ก็เทียบกันไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่แค่ความเก่และทรงเสน่ห์เท่านั้น แต่เพลงนี้เป็นการประกาศอิสระภาพทางดนตรีที่ไม่พรมแดนและขอบเขตกั้นซึ่งกันและกันจริงๆ



_________________

ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ส่ง Email
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
Track by Track

Too Far (5) เปิดอัลบั้มด้วยเอ็กเพอริเมนทัลสุดโต่ง ที่น้าจัดเต็มทั้งดรีมพ็อพ อาร์ตร็อคและทริพฮอฟ ที่เข้าขั้นงานไซเคเดลิกฟังยากชนิดปีนบันไดสดับรับฟังกันเลยทีเดียว งานอิเล็กโทรนิก้าสุดหลอนจำลองการเดินทางบนชั้นห้วงอวกาศ ให้รู้สึกดื่มด่ำกับความเคลิบเคลิ้มประหนึ่งกำลังหลอนจากฤทธิ์ยาแล้วโดนบรรดาหนุ่มหล่อๆรุมโทรมกลางปาร์ตี้ยาไอซ์แถวคอนโดย่านรัชดา ว๊ายยย สยิวกิ้วมากๆ Say Hey (5) ใครว่า Body Language เซ็กซี่ที่สุดในชีวิตของน้าไข่แล้ว ถ้าได้ฟังอัลบั้มนี้รับรองต้องมีการเปลี่ยนใจแน่นอน หลังจากงานทดลองเชิงงานอิเล็กโทรนิก้าร็อค มาที่งานทดลองแนวกรู๊ฟแดนซ์ที่เป็นแนวถนัดของน้าบ้างดีกว่า ตัวงานภาพรวมเพลงนี้ก็ยังคงเป็นทริพฮอฟดาวน์เทมโพเช่นเคย แต่จะเดินบีทเป็นงานกรู๊ฟแดนซ์มากขึ้นด้วยเรฟและเทคโนบางๆ พร้อมเสียงกระเส่าสุดเซ็กซี่ของน้าที่กรีดร้องราวกับพวกหนัง S&M ยิ่งเพิ่มอะดรีนาลีนในร่างกายให้สูบฉีดยิ่งขึ้น ถ้าน้าอัพบีทติดความฮิฟฮอฟอีกหน่อย พวกคลับแบงเกอร์ตัวเป้งๆคงได้อายม้วนลงดินกันเลยทีเดียว Drunk (5) ต้องบอกก่อนเลยว่าก่อนจะมาฟังอัลบั้มนี้น้าไข่ก็หาแนวอิเล็กโทนิก้าจัดและพวกงานอาร์ตร็อคฟังค่อนข้างเยอะ จนคนรอบๆตัวหลายๆคนคิดว่าตัวรีบ้าไปแล้ว เพราะนั่งฟังแต่เพลงพวกเข้าไปได้ยังไงทุกวัน ส่วนตัวก็แอบคิดนะถ้าไม่มานั่งเขียนพล่ามอะไรแบบนี้คงไม่สามารถเปิดทัศคติการฟังเพลงของตัวเองได้ขนาดนี้เช่นกัน เพราะถ้าเป็นเมื่อก่อนคงบอกตรงเลยว่าฟังไม่ได้แน่นอน เอาเป็นว่าเข้ามาที่เพลงนี้ต่อดีกว่า โอ้ว์ว์ว์ พระเจ้าจอร์ช เพลงนี้มันช่างสุดยอดมากอีกแล้ว จนยกให้เป็นแทร็คไฮไลต์ประจำอัลบั้มนี้ไปเลย สุดโต้งมากค่ะ กับการจับอาร์ตร็อคสุดหลอนมาชนกับงานอิเล็กโทรนิก้าจัดจ้านจนก่อเกิดงานเอ็กเพอริเมนทัลแทร้นซ์ฟังยากบรรลัย ตบด้วยสโลว์คอร์คุมทิศทางบีททั้งหมดในเพลงนี้ มันอาร์ตมากค่ะน้าขา ขอคารวะ ณ ที่นี้เลย I Don't Need Anyone (5) กรี๊ดดดดด ฟังเผินๆนึกว่ากรันจ์ร็อกธรรมดาๆ ที่ไหนได้ น้าทำชามเบอร์พ็อพฟังสบายๆติดไอดรีมพ็อพฟุ้งๆหน่อย ดูดุดันและหรูหราไม่แพ้วงบริตพ็อพที่ไหนเลยค่ะ Jump (4/5) เพลงนี้สรุปคือเพลงบัลลาดประจำอัลบั้มใช่ไหมเอ่ย? เพราะขนาดเพลงบัลลาดน้ายังจัดอิเล็กโทรนิก้าเย็นๆอย่างดาวน์เทมโพมาผสานซะขนาดนี้ ซึ่งส่วนตัวคิดว่ามันออกจะเยอะไปหน่อย ทำให้ภาพรวมของแนวเพลงนี้มันดูตีกันมั่วไปหมด จะเศร้าก็ไม่เศร้า เก๋ก็ไม่สุด น้าน่าจะเลือกแนวไหนแนวหนึ่งไปเลยสำหรับเพลงนี้ Limbo (5) กรี๊ดดดดดดดดดดด อีกรอบกับโพรเกรสซีฟร็อคผสมอิเล็กโทรนิก้าอย่างคลับเฮาส์และเรฟเข้าไปให้สนั่นหวั่นไหวตายไปข้างหนึ่ง อีกนิดหนึ่งก็เข้าเป็นอิเล็กโทรนิกเมทัลสุดโต่งกันเลยทีเดียว เสียดายจัง Through the Years (4.5/5) อาร์ตร็อคยุค70s ผสมทริพฮอฟเอื่อยๆ หยอดลูกเล่นเพอคัสชั่นพวกเฮฟวีเมทัลจัดๆผสมโรงเข้าไปด้วยนิดหน่อย เป็นเอ็กเพอริเมนทัลร็อคอีกหนึ่งเพลงในอัลบั้มที่เก๋ไก๋ไม่หยอกเลยทีเดียว Dreams (5) ปิดอัลบั้มด้วยงานบัลลาดสุดทรงพลังด้วยออเครสต้าร็อคผสารกับชิลเอาท์สะอาดๆและเวิร์ดมิวสิค จำลองโลกทั้งใบให้หมุนรอบๆตัวเรา รายล้อมด้วยธรรมชาติป้าไม้ สายธาร และเหล่าสิ่งมีชีวิตน้อยใหญ่รอบกาย เป็นเพลงที่ถ่ายถอดออกมาได้หมดจดและคลอบคลุมธีมความเป็น Impossible Princess ที่สุดในอัลบั้มนี้โดยไม่ต้องไปสรรหาจากแทร็คไหนอีกแล้ว ยังไม่รวมภาคเนื้อหาของเพลงนี้ที่นำเอาสัจธรรมชีวิตของมนุษย์มาตีแผ่ร่ายเป็นกวีอันงดงาม อีกทั้งเสียงโหยหวนกรีดร้องของน้าไข่เอง ที่ถ่ายทอดออกมาได้เข้าถึงอินเนอร์จนล้นทะลักออกมา เป็นงานบัลลาดที่รียกให้ดีที่สุดของน้าไข่เลยทีเดียว

สรุป
งานจากคุณภาพจากศิลปินพ็อพคุณภาพอีกหนึ่งท่าน ที่ถ้าใครบอกว่าตัวเองเป็นนักฟังเพลงแล้ว ไม่สมควรพลาดทุกประการทั้งปวง เป็นงานพ็อพระดับมาสเตอร์พีซแห่งยุค90s ไม่แพ้งานพ็อพหน้าไหนในยุคนั้นเลยทีเดียว สำหรับการรีวิวในปีนี้ของรีคงจบลงที่รีวิวนี้ ปีหน้าศักราชใหม่ 2556 แล้วเจอกันค่ะ

PS. รีวิวศิลปินสากลที่เปิดหน้าศักราชปี 2013 คนแรกจะเป็น ลานนา เดล เรย์ ศิลปินแนวอินดี้พ็อพที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดในปีที่ผ่านมา ใครชอบงานของเธอ จามารีวิวให้อ่านในปีหน้าค่ะ



_________________

ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ส่ง Email
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  




แก้ไขล่าสุดโดย nini เมื่อ Tue Jan 01, 2013 5:56 pm, ทั้งหมด 2 ครั้ง

_________________

ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ส่ง Email
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
like


_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
สาเหตุที่ทำให้อัลบั้มนี้ไม่ประสบความสำเร็จน่าจะเป็นเพราะไคลี่ไม่สามารถทำให้ภาพลักษณ์และงานเพลงจากอัลบั้มก่อนๆเชื่อมต่อกันได้ และด้วยกระแสของไคลี่ก็เริ่มซาตั้งแต่ช่วงอัลบั้ม kylie ที่นางทำงาน altenative ยากๆ ฐานแฟนเพลงที่คอนสนับสนุนนางอาจจะหายไปเยอะก็ได้ อีกทั้งที่สำคัญที่สุดคือ การตัดซิงเกิ้ลในอัลบั้ม impossible ก็ไม่ได้เป็นการสนับสนุนแสดงให้เห็นภาพรวมอัลบั้มมากนัก แทนที่จะลองเสี่ยงตัด too far , jump , dream ไปเลยที่ฉายด้านมืดเต็มตัว กลับไปตัด some kind of bliss , did it again จึงไม่แปลกที่อัลบั้มนี้จะเจ๊งกระบวยไปตามรัเบียบ ต่างจาก ray of light ที่มาดอนน่ามีภาพลักษณ์ของสาวนักปฎิวัติ และงานดนตรีที่เป็นพื้นของป๊อปอิเล็กโทรนิคปูทางไว้ล่วงหน้าก่อนหน้านั้นแล้ว จึงไม่ยากที่สามารถสื่อสารกับผู้ฟังได้ง่ายและเข้าใจ การตัดซิงเกิลของเจ๊แม่ก็ทำดูดีมีราคา เรียงลำดับซิลเกิลออกมาได้หรูหรา ทรงพลังมากถึงมากที่สุด ตั้งแต่ frozen ray of light ...... ประมาณรี้แหละ

ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
gigi พิมพ์ว่า:
สาเหตุที่ทำให้อัลบั้มนี้ไม่ประสบความสำเร็จน่าจะเป็นเพราะไคลี่ไม่สามารถทำให้ภาพลักษณ์และงานเพลงจากอัลบั้มก่อนๆเชื่อมต่อกันได้ และด้วยกระแสของไคลี่ก็เริ่มซาตั้งแต่ช่วงอัลบั้ม kylie ที่นางทำงาน altenative ยากๆ ฐานแฟนเพลงที่คอนสนับสนุนนางอาจจะหายไปเยอะก็ได้ อีกทั้งที่สำคัญที่สุดคือ การตัดซิงเกิ้ลในอัลบั้ม impossible ก็ไม่ได้เป็นการสนับสนุนแสดงให้เห็นภาพรวมอัลบั้มมากนัก แทนที่จะลองเสี่ยงตัด too far , jump , dream ไปเลยที่ฉายด้านมืดเต็มตัว กลับไปตัด some kind of bliss , did it again จึงไม่แปลกที่อัลบั้มนี้จะเจ๊งกระบวยไปตามรัเบียบ ต่างจาก ray of light ที่มาดอนน่ามีภาพลักษณ์ของสาวนักปฎิวัติ และงานดนตรีที่เป็นพื้นของป๊อปอิเล็กโทรนิคปูทางไว้ล่วงหน้าก่อนหน้านั้นแล้ว จึงไม่ยากที่สามารถสื่อสารกับผู้ฟังได้ง่ายและเข้าใจ การตัดซิงเกิลของเจ๊แม่ก็ทำดูดีมีราคา เรียงลำดับซิลเกิลออกมาได้หรูหรา ทรงพลังมากถึงมากที่สุด ตั้งแต่ frozen ray of light ...... ประมาณรี้แหละ


เห็นด้วยหมดเลย แล้วอีกจุดหนึ่งคิดว่าเป็นจุดอ่อนของอัลบั้มนี้ที่อยากจะเพิ่มเติมลงไปคือ ตัวเพลงในอัลบั้มเองที่น้าไข่เองกลับทำเพลงเพลย์เซฟเยอะเกินไป ถามว่าตัวเพลงแนวบริตพ็อพที่น้าทำโอเคไหม? จัดว่าใช้ได้เลยทีเดียว ถือว่าถ้าแยกแทร็คบายแทร็คแล้วมีเอกภาพสูงทุกเพลง แต่พอรวมกลับกลายเป็นอัลบั้มแล้วมันเละ ไม่ชัดเจน แทนที่น้าจะเลือกเพลงคูลดาวน์เป็นพวกโฟล์คโทรนิก้าหรือชิลเอาท์ไปแทนงานกรันจ์ร็อกไปเลย เพื่อทำให้ภาพรวมดูเป็นเอกภาพเหมือนอย่าง ray of light ของเจ้แม่ แต่ถ้าวัดแทร็คไฮไลต์มาประชันกันคิดว่า ray of light ฟังง่ายกว่า impossible princess พอสมควร ส่วนลูกเล่นแพรวพราวของทั้ง2อัลบั้มให้สูสีกัน แต่ภาพรวมทั้งหมดคิดว่า ray of light ตอบสนองได้ดีกว่าและเข้าถึงคนฟังได้มากกว่า


_________________

ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ส่ง Email
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
Very Happy


_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
ตอบ หน้า 1 จาก 1
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
  


copyright : forwardmag.com - contact : forwardmag@yahoo.com, forwardmag@gmail.com