˹���á Forward Magazine

ตอบ

NuRii3_Review : Justin Timberlake - The 20/20 Experience
ผู้ตั้ง ข้อความ
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ NuRii3_Review : Justin Timberlake - The 20/20 Experience 
Justin Timberlake - The 20/20 Experience



ต้องบอกเป็นความโชคดี(หรือเปล่าหว่า?) เพราะเอาเข้าจริงๆ ณ เวลานี้ยังไม่ได้แพลนด้วยซ้ำว่าอยากเขียนงานไหนเป็นพิเศษ แต่อัลบั้มล่าสุดของ The Next Michael Jackson คนปัจจุบัน อย่างจัสติน ทิมเบอร์เลคหรือไอ้หยอย ดันหลุดมาพอดี ก็กะว่าน่าจะหลุดราวๆช่วงนี้แหล่ะ แต่ยังไม่ได้เตรียมใจที่จะฟังอัลบั้มใหม่ของอีหยอยเลย เพราะปัจจุบันกำลังดื่มด่ำกับงานร็อคพวกอย่างพวก Nirvana, Paramore, Travis และ Sex Pistols ดังนั้นรีวิวนี้ค่อนข้างรีบเขียนพอสมควร จะเรียกว่ารีวิวจานด่วนก็ได้เพราะแทบไม่ได้เก็บรายละเอียดจากงาน2อัลบั้มที่แล้วเท่าไหร่ด้วยซ้ำ คงต้องอาศัยความจำและความรู้สึกเก่าๆที่พอเหลือเอาละนะ สำหรับรีวิวจะงดคำหยาบ(เท่าที่ทำได้ละกัน) จะเขียนอะไรที่ทางการนิดนึง กลัวคนอ่านจะรับไม่ได้แล้วเลิกอ่านไปเสียก่อน 55

The 20/20 Experience : 100%

โห ให้คะแนนสูงเนอะ? ก็จริงๆนั้นแหล่ะ ถ้าถามว่าทำไมถึงให้คะแนนอัลบั้มนี้สูงขนาดนี้ คงตอบได้ว่าแม่งโครตถูกจริตสุดๆเลย อาจด้วยช่วง2-3เดือนที่ผ่านมาแทบไม่ได้แตะงานโซลด้วย ทำให้เพิ่มความคนึงหาต่องานโซลละมุนละไมที่ได้จากอัลบั้มนี้อย่างล้ำลึกมากๆ 555 อาจพูดดูเว่อร์หรือดัดจริตทำเป็นฟังเพลงไม่เหมือนชาวบ้านนะ แต่รู้สึกแบบนั้นจริงๆ เพราะงานนีโอโซลนี้เป็นอะไรที่ลื่นหูสุดๆแล้วรองจากพวกโฟล์ค และที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่ให้เรตอัลบั้มนี้สูงเสียดฟ้า เพราะตอนนี้กำลังเห่อแบบสุดตัวด้วย 555 เพราะเขียนถึงศิลปินผู้ชายหรือเปล่า? ก็มีส่วนนะ จริงๆอยากเขียนถึงศิลปินฝ่ายชายมากกว่านี้นะ พวกงานร็อคหรือฮิฟฮอฟอะไรแบบนี้ แต่มันได้รับผลตอบรับน้อยอ่ะ เพราะอย่างที่รู้ๆกัน นอกจากศิลปินหญิงไอดอลกะเทยแล้ว ศิลปินคนอื่นๆดูไม่ค่อยได้รับความนิยมซักเท่าไหร่ เลยสู้ไม่เขียนดีกว่า
ส่วนภาคดนตรีอัลบั้มนี้ เอาจากปากหยอยเองละกัน นางบอกว่าอยากทำเพลงยาวๆซัก10นาที แบบ Pink Floyd, Led Zeppelin และ Queen ไว้ก่อน เพราะยังไงถ้าเพิ่มเข้าสถานีเดี๋ยวเข้าก็ตัดให้มันสั้นเอง เออ กล้าเนอะ 55 ส่วนด้านซาวด์ก็จะได้อิทธิพลจากงานอัลบั้มแรกและอัลบั้ม2มาผสมกัน แต่มันก็เป็นแค่ดึงลูกเล่น บีทและซาวด์หลักๆมาเท่านั้น เพราะยังไงอัลบั้มก็จะตอบโจทย์แนวดนตรีที่ใหม่และไม่เหมือนเดิมแน่นอน ซึ่งก็จริงอย่างที่นางพูดนั้นแหล่ะ อัลบั้มคือการดึงภาคโซลจากอัลบั้มแรกมาต่อยอด ในขณะเดียวกันก็จะมีซาวด์หยาบๆ ลูกเล่นซาวด์ทดลองต่างๆ ทั้งซินธิไซเซอร์ โพรแกรมมิ่ง และดนตรีสดจากอัลบั้มที่แล้วให้พอกล่อมแกล้มเบาๆมาเสริมทัพอยู่ หรือจะให้พูดเข้าใจง่ายคือเข้าสู่ภาคเออบันเต็มตัว แล้วดึงพวกซาวด์ทดลองมาเป็นตัวเสริมเท่านั้นเอง อีกจุดหนึ่งที่หน้าโฟกัสสำหรับอัลบั้มนี้คือ บีทจะยุบๆหยับๆอยู่แค่งานมิดเทมโพอาร์แอนด์บีซะส่วนใหญ่ สำหรับใครที่หวังจะได้เห็นงานฮิฟฮอฟกระฉึกกระฉักแบบอัลบั้มเก่านี้คงหายากกันเสียหน่อย เพราะโดนตัดทอนไปเยอะเหมือนกัน แต่ก็ใช่ว่าไม่มีเลย หืมมม งั้นถ้าไม่ค่อยมีซาวด์ฮิฟฮอฟดิบๆชวนติดหูหรือซาวด์ทดลองเจ๋งๆแบบนี้คงน่าเบื่อน่าดูเลยละสิ่ ส่วนตัวคิดว่าไม่นะ เพราะสิ่งที่มาเสริมจุดแข็งให้อัลบั้มนี้พอฟัดพอเหวี่ยงกับ2อัลบั้มที่แล้วได้ คือพวกซาวด์แซมเพิ้ลยุคโอลดี้ตั้งแต่สวิง บ๊กแบนด์ แท็ป วอลซ์ คลาสสิก ฟังค์โซล โมทาวน์ รวมทั้งงานโซลอาร์แอนด์บีในยุค90sถึงต้นยุคมิลเลเนี่ยมก็มี เรียกได้ว่าอัลบั้มนี้หยอยลงไปขลุกกับงานภาคเออบันเต็มตัว โดยธีมหลักๆของอัลบั้มนี้นั้นก็คือ โซลและอาร์แอนด์บี นั้นเอง อีกหนึ่งไฮไลต์ที่เก๋กู๊ดสุดๆที่ทำให้ปลื้มอัลบั้มนี้สุดๆคือหนึ่งเพลงนี้องค์ประกอบครบมาก มีทั้งท่อนพรีลูด อินเทอร์ลูด และฟิเนเล่ครบครันมาก เป็นสิ่งที่ไม่ได้เห็นศิลปินที่ทำได้แบบนี้มานานมากแล้ว

จุดเด่นและจุดด้อย
จุดเด่นอย่างที่บอกคือชอบงานโซลอยู่แล้ว โดยเฉพาะนีโอโซล โอลด์สคูล คอนเทมโพรารี่อาร์แอนด์บีพวกนี้ นี้จะกรี๊ดสุดๆ ซึ่งธีมหลักของภาคดนตรีอัลบั้มนี้คือแนวนั้นเลย ฟังแล้วเคลิ้มสุดๆ หวานละมุนมากๆ ไม่น่าเบื่อซักแทร็คเลย ขนาดมันยาวมากๆแต่พอเพลย์จบแล้วยังติดค้างอารมณ์อยู่เลยอ่ะ จนขนาดตัดสินใจไม่ถูกเลยทีเดียวว่าจะยกให้อัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มที่ชอบที่สุดของหยอยเลยดีไหม? เพราะตอน Justified ก็จำได้ว่าเห่อแล้วบ้าแบบนี้เด้ะ ซึ่งก็คงใช้เวลาอีกซักพักนึง ถึงจะตอบได้ว่าตกลงชอบอัลบั้มไหนมากกว่ากันระหว่างอัลบั้มแรกหรืออัลบั้มนี้
ส่วนจุดด้อย ส่วนตัวไม่รู้จะเอาอะไรมาติ แต่เท่าฟังความเห็นจากคนอื่นๆคือมันยาวเกินและเนือยไปหน่อย แต่ส่วนตัวไม่รู้สึกไง เพราะเอาจริงๆแต่ละเพลงในอัลบั้มนี้สมบูรณ์มากๆโดดเด่นทุกเพลง มันแข็งทั้งตัวธีมอัลบั้มและเพลงเลย เทียบกับอัลบั้มที่ใครๆก็ยกให้เป็นมาสเตอร์พีซของหยอยอย่าง FutureSex/LoveSounds แล้ว ความสมดุลของพลังระหว่างแทร็คครึ่งแรกกับครึ่งหลังของอัลบั้มนั้นดูไม่บาลานซ์กันซักเท่าอัลบั้มนี้ด้วยซ้ำนะเออ

Singles of The 20/20 Experience

Suit & Tie : 4.5/5
สารภาพตามตรงว่าฟังครั้งแรกตอนพึ่งหลุดออกมาแบบไม่เก็บรายละเอียดแล้วรู้สึกน่าเบื่อยังไงพิกล โดยเฉพาะช่วงพรีลูดที่เป็นฮิฟฮอฟแบบงานแกงสเตอร์กระฉึกกระฉักนี้ดูไม่ถูกหูเท่าไหร่ แต่พอมาฟังอีกรอบแบบเก็บเนื้องานแล้วเกิดมาก ตัวเพลงภาครวมเป็นนีโอโซล โอล์ดสคูลอาร์แอนด์บี ที่แค่พอเข้าตัวเพลงเท่านั้นแหล่ะ เกิดมากๆ ทั้งองศาความหวานด้วยการหยอดเล้าจ์นฺแจ๊ซหอมหวลละมุนละไมชวนเคลิ้มดื่มด่ำราวกับสวรรค์ชั้น7 ไล่มาเรื่อยๆก่อนไตร่ระดับความพีคขึ้นเรื่อยๆ แล้วตัดด้วยฮิฟฮอฟบีทอีกครั้งผสมการพ้นแร็พจากเจ้าพ่อวงการแบล็กมิวสิค เจย์ซียากยาวไปท่อนเบรคดาวซ์ของฮุคสุดท้ายแล้วจบด้วยเมโลดี้สวยๆเหมือนตอนเริ่มเพลง เป็นงานเพลงที่ฟินตั้งแต่ต้นจนจบจริงๆ เสน่ห์ล้นเหลือชวนเคลิ้มสุดๆ

Mirrors : 4/5
สำหรับเพลงนี้ฟังครั้งแรกก็ไม่ค่อยชอบเหมือนกัน ด้วยความที่มันซ้ำซากและจำเจเกินไป เหมือนหยอยตั้งใจจะขายงานแบบ Cry Me a River เกินไป เข้าใจว่ามันป็นSignatureแต่อะไรที่มันมากไปแล้วก็น่าเบื่อจริงๆ แต่พอมาได้ฟังอีกครั้งตอนนี้แบบครบทั้งอัลบั้มแล้ว กลับรู้สึกว่าชอบขึ้นมา อาจด้วยตรงธีมอัลบั้มนี้ด้วยหรือเปล่า แต่จะบอกว่าเหมือนงานอย่าง Cry Me a River ทั้งหมดก็ไม่เชิง เพราะเพลงนี้เหมือนดึงงานบัลลาดร็อคสุดคลาสสิคของหนึ่งในร็อคแบนด์ในตำนาน Guns N' Roses กับเพลง November Rain มาผสมเข้าด้วย ทำให้ได้งานบัลาดอาร์แอนด์บีเน้นซาวด์โหมโรงอลังค์การแบบที่เราคุ้นเคยในยุค90sและต้นยุคมิลเลเนี่ยมให้รู้สึกคิดถึงและย้อนรำลึกกันอีกครั้ง



_________________

ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ส่ง Email
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
Track by Track

Pusher Love Girl (5) เป็นแทร็คที่ชวนหลงใหลมากๆ เหมาะสมจริงๆทุกประการทั้งปวงที่จะนำมาเป็นลีดแทร็ค เพราะความไพเราะเพลงนี้มันชวนเรียกแขกสุดๆ แค่แทร็คแรกก็ฟินแล้ว ช่วงพรีลูดเแซมเพิ้ลด้วยเพลงวอลซ์ที่มักเห็นได้จากพวกภาพยนตร์ที่ดำเนินหรือเกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องในยุค40s-50s (ไม่แน่ใจว่าใช่ธีมซองของ The Godfather หรือเปล่า?) ส่วนตัวเพลงจริงๆเป็นนีโอโซล คอนเทมโพรารี่อาร์แอนด์บีหวานหยดย้อยแบบไม่ต้องต้องกลัวเลยว่ามดจะไม่ตอม แซมด้วยฟูลแจ๊ซบิ๊กแบนด์อิมโพรไวซ์สวยงาม ตบด้วยลูกเล่นโมทาวน์ที่เด่นชัดตั้งแต่ท่อนคอรัสลากยาวจนถึงอินเทอร์ลูดและฟีเนเล่ที่มีอีกหนึ่งไฮไลท์คือการร้องบนแร็ฟของหยอยชวนกรี๊ดเซ็กซี่น่ากัดสุดๆ จริงๆตัวเพลงมันแอบติดเรตเบาๆตามสไตล์หยอยนั้นแหล่ะ แต่ไม่ได้โจ๋งครึ่ม แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทั้งโรแมนซ์และหวานเว่อร์ ชนิดที่ว่าไซรัปไหนที่ว่าหวานไหนก็ต้องขอยอมแพ้แน่นอน Don't Hold the Wall (4.5/5) สำหรับเพลงนี้ได้ดึง I Think She Knows มาทำให้สมบูรณ์มากขึ้น หลังจากที่เคยเป็นได้แค่Interludeให้กับ LoveStoned ในอัลบั้มที่แล้ว ส่วนภาคดนตรีก็ให้อารมณ์เป็นงานต่อยอดจาก FutureSex/LoveSounds แม้ไม่ได้เป็นงานที่อาศัยลูกเล่นแพรวพราวอะไรเท่า แต่ก็เป็นแทร็คที่เข้มข้นกว่าแทร็คอื่นๆในอัลบั้มอย่างชัดเจน ช่วงพรีลูดเพลงนี้หยอยเลือกการนำเสนอด้วยอแคปเปล่า เปิดอินโทรด้วยดนตรีเวิร์ลดฺมิวสิคอย่างซาวด์อาราบิกมาผสมเข้ากับงานอัลเตอร์เนทีฟฮิฟฮอฟ ส่วนครึ่งหลังตัวเพลงจะค่อนไปฝั่งทดลองเต็มตัวกว่าไม่ว่าจะเป็นโพรแกรมมิ่ง ซาวด์สแครช ซาวด์8บิท ซินซ์เพอร์คัสชั่นและซาวด์บรรยากาศแบบดาวน์เทมโพที่จัดเต็มชนิดไม่เกรงใจคนฟังเลยทีเดียว ทำให้ตัวงานค่อนข้างเข้มกว่า แตกต่างจากเพลงอื่นๆที่ยืนพื้นด้วยงานภาคโซลนุ่มละมุนฟังสบายกว่ามากกว่า Strawberry Bubblegum (5) อีกหนึ่งในงานทดลองของอัลบั้มนี้เป็นงานลูกผสมระหว่างนีโอโซล เทคโนอาร์แอนด์บีและทริฟฮอฟ ผสารเข้ากับโพรแกรมมิ่ง ซินธ์เพอร์คัสชั่น ซาวน์8บิทแบบรสสูตรทิมบาแลนด์แท้ๆ ส่วนครึ่งหลังจะค่อนไปทางคอนเทมโพรารี่แจ๊ซนวลๆฟังสบายๆ ทำให้เป็นงานเพลงที่ให้อารมณ์ที่หลากหลาย ทั้งหวาน ลึกลับ และมีเสน่ห์ แต่รวมเข้าด้วยกันอย่างลงตัว คิดว่าเป็นหนึ่งในแทร็คไฮไลต์ของอัลบั้มนี้แน่นอน Tunnel Vision (5) ตอนขึ้นอินโทรนี้ตลกมากๆ นึกถึงอีคลิปตุ๊ดเฟอร์บี้ของพี่แอมเลย 555 ปลวกมาก เป็นเสียงซินธ์ที่กะเท้ยกะเทย แต่พอเข้าเพลงจริงๆนึกถึง My Love นะ แม้มันไม่เป๊ะๆเท่าอี Mirrors ก็ตามเหอะ แต่รู้สึกแบบนั้นอะนะ แต่มันต่างกันตรงที่เพลงนี้พลังมันล้นเหลือกว่าเยอะมากๆ ตัวเพลงเป็นมิดเทมโพเทคโนฮิฟฮอฟที่เรียกได้เต็มปากเลยว่าจัดเต็มมากๆกว่าทุกแทร็คแล้ว อีกทั้งพวกโพรแกรมมิ่ง ซาวน์แสครชที่ผสารชนเข้ากับซาวด์ออเครสต้าแบบพวกงานชามเบอร์หรือคลาสสิกร็อคอะไรแบบนี้ ซึ่งอลังการมากๆ พร้อมหยอดซินธ์เพอร์คัสชั่นตู้มต้ามเป็นระยะยิ่งทำให้รู้สึกน่าขนลุกเข้าไปใหญ่ โดยเฉพาะท่อนหลังๆอิมโพรไวซ์ได้มโหฬารประหนึ่งกำลังนั่งดูมหรสพยักษ์เบิ้มก็ไม่ปาน ขนาดท่อนเบรกเอาท์ยังไม่ยอมผ่อนอารมณ์ตบด้วยบีทแน่นๆแบบงานเทือกเฮฟวี่ที่ระอุเตรียมพร้อมระเบิดทุกระยะ แม้เฟดเอาท์ตอนฟีเนเล่หยอยยังเหมือนอารมณ์ค้างยังไงก็มิทราบ แถมปิดด้วยเสียอีตุ๊ดเฟอร์บี้อีก เป็นเพลงที่พีคได้เว่อร์จริงๆ ฟังจบยังหลอนไม่หายเลย เข้าขั้นงานโพรเกรสซีฟฮิฟฮอฟไหม? ไม่แน่ใจนะ แค่คิดว่าใช่นั้นแหล่ะ Spaceship Coupe (4/5) เบรกงานทดลองสุดโต่งกับมาที่ฟูลโซลคอนเทมโพรารี่ไพเราะเบาๆกันบ้าง ซึ่งก็ทำเพราะพริ้งสมกับชื่อหยอยการันตีนั้นแหล่ะ แต่ส่วนตัวรำคาญเสียงซินธ์ประหลาดๆเหมือนเปรตขอส่วนบุญมากกว่าหญิงงามเมืองโดนแทงหอยอยู่นะ ไม่น่าใส่เข้ามาเลยเสียอรรถรสหมด That Girl (5) เล้าจ์นฺแจ๊ซหวานหยดย้อยแบบงานโอลดี้ๆ ที่ทำให้ดูทันสมัยขึ้นด้วยการหยอดภาคสโลว์แจมซ์อาร์แอนด์บี ให้อารมณ์กลางเก่ากึ่งใหม่ระหว่างงานผสมระหว่างคลาสสิคโซลยุค70sกับงานคอนเทมโพรารี่อาร์แอนด์บีสมัยนิยมที่ลงตัวสุดๆ ดูโมเดิร์นและคลาสสิคอยู่ในเพลงเดียว Let the Groove Get In (4.5/5) เปิดด้วยแท็ปแดนซ์ผสารแทงโก้ผสารเครื่องเป่าแบบงานสวิงโหมโรงกันสุดฤทธิ์แบบงานแอฟริกาแดนซ์ฮอล ชวนนึกพวกเฟสติวัลคานิวัลอะไรเทือกนั้น เป็นเพลงอัพบีทเพลงเดียวในอัลบั้มที่มีจังหวะที่สุดแล้ว ซึ่งเบรคความเนือยของอัลบั้มได้ดีเลยทีเดียว แต่ช่วงท้ายหยอยก็ยังไม่ทิ้งลายชอบยัดอะไร(จนบางทีดูเลอะเทอะ)อย่างฟังค์โซลปิดเพลง Blue Ocean Floor (5) ปิดอัลบั้มกันแล้ว 555 รู้สึกว่าเขียนได้นานมากกว่าจะจบ ตัวเพลงเป็นพ็อพโซลที่ผสารเข้ากับดาวน์เทมโพและออเครสต้าบางๆ ให้อารมณ์เย็นๆตามชื่อเพลงและเนื้อเพลงเลย ให้อารมณ์สงบนิ่ง อยากหยุดพักและเหงา เศร้าสร้อยในขณะเดียวกัน

สรุป
เขียนจบซักที 555 เป็นอัลบั้มที่เกิดความคาดหมายมาก เพราะชอบมาก ยิ่งฟังก็ยิ่งชอบ รายละเอียดเนื้องานดีมากๆ และคงไม่เกินไปถ้าจะบอกเป็นอัลบั้มจากศิลพินพ็อพที่ดีที่สุดในปี2013 การรอคอยมา7ปีสิ้นสุดเรียบร้อยแล้ว ช่างคุ้มค่าจริงๆ ใครที่ยังไม่ได้ฟังอัลบั้มนี้ระวังเอาท์นะ เพราะส่วนตัวเชียร์จริงๆ ไม่ใช่เพราะว่าเป็นผุ้ชายหรอกนะ 555 ไม่รู้ว่าอยากจะเขียนอะไรมากกว่านี้ แต่คิดว่าลองไปสัมผัสด้วยตัวเองดีกว่า ฟังจากปากคนอื่นก็ไม่เท่าลิ้มรสด้วยตัวเองแน่นอนค่ะ ขอจบการรีวิวครั้งนี้แค่นี้ค่ะ ครั้งหน้าเป็นใครรอติดตามแล้วกันนะ






แก้ไขล่าสุดโดย nini เมื่อ Thu Mar 14, 2013 1:49 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง

_________________

ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ส่ง Email
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ Re: NuRii3_Review : Justin Timberlake - The 20/20 Experience 
nini พิมพ์ว่า:
Justin Timberlake - The 20/20 Experience



ต้องบอกเป็นความโชคดี(หรือเปล่าหว่า?) เพราะเอาเข้าจริงๆ ณ เวลานี้ยังไม่ได้แพลนด้วยซ้ำว่าอยากเขียนงานไหนเป็นพิเศษ แต่อัลบั้มล่าสุดของ The Next Michael Jackson คนปัจจุบัน อย่างจัสติน ทิมเบอร์เลคหรือไอ้หยอย ดันหลุดมาพอดี ก็กะว่าน่าจะหลุดราวๆช่วงนี้แหล่ะ แต่ยังไม่ได้เตรียมใจที่จะฟังอัลบั้มใหม่ของอีหยอยเลย เพราะปัจจุบันกำลังดื่มด่ำกับงานร็อคพวกอย่างพวก Nirvana, Paramore, Travis และ Sex Pistols ดังนั้นรีวิวนี้ค่อนข้างรีบเขียนพอสมควร จะเรียกว่ารีวิวจานด่วนก็ได้เพราะแทบไม่ได้เก็บรายละเอียดจากงาน2อัลบั้มที่แล้วเท่าไหร่ด้วยซ้ำ คงต้องอาศัยความจำและความรู้สึกเก่าๆที่พอเหลือเอาละนะ สำหรับรีวิวจะงดคำหยาบ(เท่าที่ทำได้ละกัน) จะเขียนอะไรที่ทางการนิดนึง กลัวคนอ่านจะรับไม่ได้แล้วเลิกอ่านไปเสียก่อน 55

The 20/20 Experience : 100%

โห ให้คะแนนสูงเนอะ? ก็จริงๆนั้นแหล่ะ ถ้าถามว่าทำไมถึงให้คะแนนอัลบั้มนี้สูงขนาดนี้ คงตอบได้ว่าแม่งโครตถูกจริตสุดๆเลย อาจด้วยช่วง2-3เดือนที่ผ่านมาแทบไม่ได้แตะงานโซลด้วย ทำให้เพิ่มความคนึงหาต่องานโซลละมุนละไมที่ได้จากอัลบั้มนี้อย่างล้ำลึกมากๆ 555 อาจพูดดูเว่อร์หรือดัดจริตทำเป็นฟังเพลงไม่เหมือนชาวบ้านนะ แต่รู้สึกแบบนั้นจริงๆ เพราะงานนีโอโซลนี้เป็นอะไรที่ลื่นหูสุดๆแล้วรองจากพวกโฟล์ค และที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่ให้เรตอัลบั้มนี้สูงเสียดฟ้า เพราะตอนนี้กำลังเห่อแบบสุดตัวด้วย 555 เพราะเขียนถึงศิลปินผู้ชายหรือเปล่า? ก็มีส่วนนะ จริงๆอยากเขียนถึงศิลปินฝ่ายชายมากกว่านี้นะ พวกงานร็อคหรือฮิฟฮอฟอะไรแบบนี้ แต่มันได้รับผลตอบรับน้อยอ่ะ เพราะอย่างที่รู้ๆกัน นอกจากศิลปินหญิงไอดอลกะเทยแล้ว ศิลปินคนอื่นๆดูไม่ค่อยได้รับความนิยมซักเท่าไหร่ เลยสู้ไม่เขียนดีกว่า
ส่วนภาคดนตรีอัลบั้มนี้ เอาจากปากหยอยเองละกัน นางบอกว่าอยากทำเพลงยาวๆซัก10นาที แบบ Pink Floyd, Led Zeppelin และ Queen ไว้ก่อน เพราะยังไงถ้าเพิ่มเข้าสถานีเดี๋ยวเข้าก็ตัดให้มันสั้นเอง เออ กล้าเนอะ 55 ส่วนด้านซาวด์ก็จะได้อิทธิพลจากงานอัลบั้มแรกและอัลบั้ม2มาผสมกัน แต่มันก็เป็นแค่ดึงลูกเล่น บีทและซาวด์หลักๆมาเท่านั้น เพราะยังไงอัลบั้มก็จะตอบโจทย์แนวดนตรีที่ใหม่และไม่เหมือนเดิมแน่นอน ซึ่งก็จริงอย่างที่นางพูดนั้นแหล่ะ อัลบั้มคือการดึงภาคโซลจากอัลบั้มแรกมาต่อยอด ในขณะเดียวกันก็จะมีซาวด์หยาบๆ ลูกเล่นซาวด์ทดลองต่างๆ ทั้งซินธิไซเซอร์ โพรแกรมมิ่ง และดนตรีสดจากอัลบั้มที่แล้วให้พอกล่อมแกล้มเบาๆมาเสริมทัพอยู่ หรือจะให้พูดเข้าใจง่ายคือเข้าสู่ภาคเออบันเต็มตัว แล้วดึงพวกซาวด์ทดลองมาเป็นตัวเสริมเท่านั้นเอง อีกจุดหนึ่งที่หน้าโฟกัสสำหรับอัลบั้มนี้คือ บีทจะยุบๆหยับๆอยู่แค่งานมิดเทมโพอาร์แอนด์บีซะส่วนใหญ่ สำหรับใครที่หวังจะได้เห็นงานฮิฟฮอฟกระฉึกกระฉักแบบอัลบั้มเก่านี้คงหายากกันเสียหน่อย เพราะโดนตัดทอนไปเยอะเหมือนกัน แต่ก็ใช่ว่าไม่มีเลย หืมมม งั้นถ้าไม่ค่อยมีซาวด์ฮิฟฮอฟดิบๆชวนติดหูหรือซาวด์ทดลองเจ๋งๆแบบนี้คงน่าเบื่อน่าดูเลยละสิ่ ส่วนตัวคิดว่าไม่นะ เพราะสิ่งที่มาเสริมจุดแข็งให้อัลบั้มนี้พอฟัดพอเหวี่ยงกับ2อัลบั้มที่แล้วได้ คือพวกซาวด์แซมเพิ้ลยุคโอลดี้ตั้งแต่สวิง บ๊กแบนด์ แท็ป วอลซ์ คลาสสิก ฟังค์โซล โมทาวน์ รวมทั้งงานโซลอาร์แอนด์บีในยุค90sถึงต้นยุคมิลเลเนี่ยมก็มี เรียกได้ว่าอัลบั้มนี้หยอยลงไปขลุกกับงานภาคเออบันเต็มตัว โดยธีมหลักๆของอัลบั้มนี้นั้นก็คือ โซลและอาร์แอนด์บี นั้นเอง อีกหนึ่งไฮไลต์ที่เก๋กู๊ดสุดๆที่ทำให้ปลื้มอัลบั้มนี้สุดๆคือหนึ่งเพลงนี้องค์ประกอบครบมาก มีทั้งท่อนพรีลูด อินเทอร์ลูด และฟิเนเล่ครบครันมาก เป็นสิ่งที่ไม่ได้เห็นศิลปินที่ทำได้แบบนี้มานานมากแล้ว

จุดเด่นและจุดด้อย
จุดเด่นอย่างที่บอกคือชอบงานโซลอยู่แล้ว โดยเฉพาะนีโอโซล โอลด์สคูล คอนเทมโพรารี่อาร์แอนด์บีพวกนี้ นี้จะกรี๊ดสุดๆ ซึ่งธีมหลักของภาคดนตรีอัลบั้มนี้คือแนวนั้นเลย ฟังแล้วเคลิ้มสุดๆ หวานละมุนมากๆ ไม่น่าเบื่อซักแทร็คเลย ขนาดมันยาวมากๆแต่พอเพลย์จบแล้วยังติดค้างอารมณ์อยู่เลยอ่ะ จนขนาดตัดสินใจไม่ถูกเลยทีเดียวว่าจะยกให้อัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มที่ชอบที่สุดของหยอยเลยดีไหม? เพราะตอน Justified ก็จำได้ว่าเห่อแล้วบ้าแบบนี้เด้ะ ซึ่งก็คงใช้เวลาอีกซักพักนึง ถึงจะตอบได้ว่าตกลงชอบอัลบั้มไหนมากกว่ากันระหว่างอัลบั้มแรกหรืออัลบั้มนี้
ส่วนจุดด้อย ส่วนตัวไม่รู้จะเอาอะไรมาติ แต่เท่าฟังความเห็นจากคนอื่นๆคือมันยาวเกินและเนือยไปหน่อย แต่ส่วนตัวไม่รู้สึกไง เพราะเอาจริงๆแต่ละเพลงในอัลบั้มนี้สมบูรณ์มากๆโดดเด่นทุกเพลง มันแข็งทั้งตัวธีมอัลบั้มและเพลงเลย เทียบกับอัลบั้มที่ใครๆก็ยกให้เป็นมาสเตอร์พีซของหยอยอย่าง FutureSex/LoveSounds แล้ว ความสมดุลของพลังระหว่างแทร็คครึ่งแรกกับครึ่งหลังของอัลบั้มนั้นดูไม่บาลานซ์กันซักเท่าอัลบั้มนี้ด้วยซ้ำนะเออ

Singles of The 20/20 Experience

Suit & Tie : 4.5/5
สารภาพตามตรงว่าฟังครั้งแรกตอนพึ่งหลุดออกมาแบบไม่เก็บรายละเอียดแล้วรู้สึกน่าเบื่อยังไงพิกล โดยเฉพาะช่วงพรีลูดที่เป็นฮิฟฮอฟแบบงานแกงสเตอร์กระฉึกกระฉักนี้ดูไม่ถูกหูเท่าไหร่ แต่พอมาฟังอีกรอบแบบเก็บเนื้องานแล้วเกิดมาก ตัวเพลงภาครวมเป็นนีโอโซล โอล์ดสคูลอาร์แอนด์บี ที่แค่พอเข้าตัวเพลงเท่านั้นแหล่ะ เกิดมากๆ ทั้งองศาความหวานด้วยการหยอดเล้าจ์นฺแจ๊ซหอมหวลละมุนละไมชวนเคลิ้มดื่มด่ำราวกับสวรรค์ชั้น7 ไล่มาเรื่อยๆก่อนไตร่ระดับความพีคขึ้นเรื่อยๆ แล้วตัดด้วยฮิฟฮอฟบีทอีกครั้งผสมการพ้นแร็พจากเจ้าพ่อวงการแบล็กมิวสิค เจย์ซียากยาวไปท่อนเบรคดาวซ์ของฮุคสุดท้ายแล้วจบด้วยเมโลดี้สวยๆเหมือนตอนเริ่มเพลง เป็นงานเพลงที่ฟินตั้งแต่ต้นจนจบจริงๆ เสน่ห์ล้นเหลือชวนเคลิ้มสุดๆ

Mirrors : 4/5
สำหรับเพลงนี้ฟังครั้งแรกก็ไม่ค่อยชอบเหมือนกัน ด้วยความที่มันซ้ำซากและจำเจเกินไป เหมือนหยอยตั้งใจจะขายงานแบบ Cry Me a River เกินไป เข้าใจว่ามันป็นSignatureแต่อะไรที่มันมากไปแล้วก็น่าเบื่อจริงๆ แต่พอมาได้ฟังอีกครั้งตอนนี้แบบครบทั้งอัลบั้มแล้ว กลับรู้สึกว่าชอบขึ้นมา อาจด้วยตรงธีมอัลบั้มนี้ด้วยหรือเปล่า แต่จะบอกว่าเหมือนงานอย่าง Cry Me a River ทั้งหมดก็ไม่เชิง เพราะเพลงนี้เหมือนดึงงานบัลลาดร็อคสุดคลาสสิคของหนึ่งในร็อคแบนด์ในตำนาน Guns N' Roses กับเพลง November Rain มาผสมเข้าด้วย ทำให้ได้งานบัลาดอาร์แอนด์บีเน้นซาวด์โหมโรงอลังค์การแบบที่เราคุ้นเคยในยุค90sและต้นยุคมิลเลเนี่ยมให้รู้สึกคิดถึงและย้อนรำลึกกันอีกครั้ง


like 2 เพลงนี้เจ๋งจริง like
Deluxe Bonus Tracks

Body Count

Dress on


_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
ส่วนตัวคิดว่าอัลบั้มนี้ฟังยากมาก Shocked


_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
ขอบคุณรีวิวค่ะ เด๋วขอไปฟังให้ครบก่อนน่ะ


_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
ชอบ Don't Hold the Wall มาก Surprised Surprised Surprised


_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
ตอบ หน้า 1 จาก 1
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
  


copyright : forwardmag.com - contact : forwardmag@yahoo.com, forwardmag@gmail.com