
http://www.facebook.com/hysteriaculture
http://hysteriaculture.wordpress.com/2013/10/30/avril-lavigne-avril-lavigne-pop-rock-75-3-55/comment-page-1/#comment-342
Avril Lavigne : Avril Lavigne : Pop-Rock (75% = 3.5/5)
ก่อนจะเริ่มเขียนนี่เชื่อเถอะค่ะว่าอัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มแรกและอัลบั้มเดียวที่ดิฉันไม่คิดจะคาดหวังสิ่งใดทั้งสิ้นจาก อาวริล ลาวีญ หรือจะให้พูดกันตรงๆคือดิฉันโยนความหวังทิ้งไปเสียหมดสิ้นตั้งแต่เห็นภาพหน้าปกอัลบั้มแล้วเหลือเพียงแต่ความพยายามที่จะปลอบประโลมตัวเองว่า เอาน่าศิลปินที่เราชอบออกงานมาก็ดีขนาดไหนแล้ว ฟังๆไปเถอะ! แถมก่อนหน้านี้เราก็เพิ่งประทับใจซิงเกิ้ลล่าสุดที่เธอเกี่ยวก้อยครวญร่วมกับสามีนักร้องนำวงNickelbackอย่าง Let Me Go จนเขียนรีวิวชมซะยาวยืดไปหมาดๆ - ใช่ว่าจะไม่มีอะไรให้ลุ้นนะ!
แล้วด้วยความที่ฟังๆไปแบบไม่คิดอะไรนี่แหละค่ะพองานดันออกมาดีโดยที่เราไม่ได้คาดหมายว่านางจะกลับมาทำอัลบั้มแบบนี้ได้อีกในฐานะแฟนคลับที่หอบหิ้วกันมาเป็นสิบปีก็อดที่จะปลาบปลื้มไม่ได้เป็นธรรมดาเพราะล่าสุดหลังจาก Goodbye Lullaby ที่แม้จะฉายแววพัฒนาการและก้าวขึ้นไปหยิบจับอะไรใหม่ๆแต่ในแง่ของความทรงพลังที่จะคุมคนฟังอยู่หมัดทั้งอัลบั้มแบบที่อาวริลเคยทำได้กลับโรยแรงลงไปอย่างเห็นได้ชัดชนิดที่นอกจากเนื้องานจะเงียบเชียบไม่ชวนให้ติดตามแล้วยังขาดเสน่ห์อย่างรุนแรงชนิดที่ฟังแล้วก็อดใจหายใจคว่ำไม่ได้ว่าทำไมสาววีนถึงเสื่อมความขลังลงไปได้มากขนาดนั้น
การกลับมาในครั้งนี้ของอาวริล ลาวีญกับงานSelf-titledภายใต้ชื่อเดียวกับตัวเองนอกจากจะเป็นการป่าวประกาศให้สาธารณชนรับทราบอีกครั้งถึงการกลับมาทำอะไรที่เป็นตัวตนตามสภาวะล่าสุดของเธอจริงๆแล้วสำหรับดิฉันยังคงยกให้เป็นความน่ายินดีของแฟนคลับด้วยที่เราๆจะได้ฟัง อาวริล ลาวีญ ในแบบที่หลายๆคนคาดหวังอยากจะได้ยินอีกครั้ง ถึงแม้จะน่าเศร้าที่ตามความเป็นจริงแล้ว เราทุกคนต้องโตขึ้นนะ! แต่อาวริลกลับกลายเป็นหนึ่งในศิลปินจำพวกที่วิวัฒนาการทางดนตรีจำต้องถูกสต๊าฟฟ์ไว้เอาใจกลุ่มวัยทีนด้วยความที่ตลาดของนางและตลาดที่เหมาะกับนางอยู่ตรงนี้อยู่ตรงไอ้ดนตรีพ็อพร็อคเมโลดี้ติดหูชะงัดชะงันแบบที่ได้ยินกันใน Avril Lavigne ชุดนี้แหละอันเป็นศูนย์รวมความเป็นตัวตนของนางอีกครากับงานร็อคเล็กๆตามสูตรสำเร็จของสาวลาวีญที่ต้องร้องอะไรแบบป่วงๆวีนๆไม่เลิกตั้งแต่อคูสติค บัลลาดเพียโน พั้งค์ไปจนถึงงานที่เหยียบเข้าระดับอัลเทอเนทีฟจวบจนทดลองในบางเพลงทั้งหมดทั้งมวลที่เธอใส่ๆมาในอัลบั้มนี้คงต้องขอชมว่าเป็นอีกครั้งที่หลอมรวมเนื้องานออกมาได้อย่างมีเอกภาพเอาจริงๆแล้วอาวริลไม่เคยเป็นศิลปินที่มีงานที่ เละ สำหรับดิฉันนะคะแม้แต่งานที่ราบเรียบอย่าง Goodbye Lullaby ที่ก็แค่ดูไม่มีพลังแต่ทิศทางในตัวเองยังชัดเจนอยู่ในขณะที่ Avril Lavigne ดิฉันขอตัดสินให้ส่วนตัวชอบมากกว่าด้วยความที่อัลบั้มนี้ต้องยอมรับว่าติดหูจริงชนิดที่ฟังได้ไหลลื่นตลอดรอดฝั่งทั้งอัลบั้มแถมนางยังเล่นถูกจุดเพราะขุดความเป็นอาวริลจริงๆ - หรือพูดให้ถูกความ เกรียน แบบอาวริลจริงๆ - ใแบบที่เรารักและสัมผัสมาตั้งแต่เริ่มแรก อย่างไรก็ตามอัลบั้มชุดนี้อาจจะเทียบกับสองอัลบั้มแรกอย่าง Let Go อัลบั้มเปิดตัวที่เป็นอัลบั้มพ็อพร็อคสอนมวยพวกทีนไอดอลรุ่นหลังมาจวบจนวันนี้และ Under My Skin งานสุดมืดหม่นอนธกาลนั้นไม่ติดฝุ่นด้วยความที่ทั้งสองชุดนี้ก็เป็นสองอัลบั้มที่เข้าขั้นมาสเตอร์พีซของสาววีนไปแล้วจะเทียบเคียงได้ก็ใกล้ๆกับ The Best Damn Thing กับอารมณ์แจ๋ๆแอ๊บสะดิ้งแบบสาวไฮสคูลที่จัดให้พอๆกันเพียงแต่ส่วนตัวคิดว่าเรื่องของเมโลดี้ พลัง ความโหวกเหวกโวยวายและความแพรวพราวของเชิงดนตรีใน The Best Damn Thing ก็ยังกินขาดมากกว่าอัลบั้มนี้อยู่ดี
ตั้งแต่เปิดอัลบั้มมากับ Rock n Roll (5/5) นี่ก็เล่นเอาตาเบิกโพลงแล้วด้วยความที่ถูกสิ่งทุกอย่างมันใช่หมดคือนี่แหละ!!! แบบนี้แหละ เพลงแบบอาวริล ลาวีญ แท้ๆเป็นอะไรที่โคตรจะเป็นอาวริลจริงๆชนิดไปปฏิเสธกันไม่ลงส่วนตัวชอบนะที่ได้ยินงานร็อคของเธอขยับขึ้นไปถึงระดับอัลเทอเนทีฟร็อคที่เนื้องานใส่มาตั้งแต่กลิ่นของร็อคย้อนยุคเก๋าๆแบบร็อค80s พั้งค์แล้วพอเข้าท่อนคอรัสเป็นพ็อพร็อคเกรียนๆแบบอาวริลชอบตอนลากกีต้าร์ยาวเฟื้อยเชยลากก่อนจะหักดิบเป็นอคูสติคช่วงเบรคมากๆ เชื่อว่าแฟนๆของอาวริลได้ฟังแล้วคงดีอกดีใจตีปีกกันพั่บๆ Heres To Never Growing Up (4/5) จากตอนแรกเฉยๆกับเพลงนี้มากๆแต่อาจจะด้วยความที่โดนคลื่น MET เปิดกรอกหูบ่อยแถมมาฟังในอัลบั้มนี้แล้วมันดันดูมีสกุลรุนชาติขึ้นมากจนอดแอบมาเพิ่มคะแนนให้อีกหนึ่งแต้มไม่ได้เอาเป็นว่าถ้าใครชอบพ็อพร็อคสูตรสำเร็จสำบัดสำนวนสำเนียงแบบอาวริลตั้งแต่ Complicated,Sk8er Boi,He Wasnt,Girlfriend,What The HellและSmileก็น่าจะชอบเพลงนี้แหละ มาที่ Let Me Go Ft.Chad Kroeger (4.5/5) อันนี้เคยเขียนชมไปยาวเหยียดแล้วตอนรีวิวซิงเกิ้ล เอาเป็นว่าส่วนตัวชอบเป็นอันดับต้นๆของอัลบั้มนี้เลยทีเดียวนับว่าเป็นการต่อยอดเพลงบัลลาดพ็อพร็อคสูตรสำเร็จของตัวเองให้ฟังดูมีหีบห่อและพัฒนาการมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดทั้งในแง่ของเมโลดี้ การเรียบเรียง มิติของภาคดนตรีจวบจนเสียงร้อง ภูมิใจว่ะ!
หนึ่งในสิ่งที่ชอบที่สุดในเพลงพ็อพร็อคแบบอาวริลคงหนีไม่พ้นท่อนคอรัสที่โดดเด่นและติดหูตั้งแต่รอบแรกที่ฟังอย่างที่อัลบั้มนี้ได้ยินจาก 17 (4/5) ก็เช่นเดียวกันคือการดำเนินเรื่องและการเรียบเรียงดนตรีก็ตามสูตรแต่พอเข้าวนเข้าฮุคแค่นั้นแหละเพลงนางดูเลอค่าขึ้นมาทันที ต่อด้วย Bitchin Summer (4/5) ขึ้นต้นมาหลอกให้คิดว่าจะเป็นงานอคูสติคเพราะๆเหงาๆแบบที่ได้เคยได้ยินในTomorrowหรือHow Does It Feelแต่สักพักกลับทะลึ่งอัพบีทเป็นงานพ็อพร็อคแอ๊บสะดิ้งแบบสาวไฮสคูลชนิดที่ทำให้อดคิดถึงหลายๆเพลงในอัลบั้ม The Best Damn Thing ไม่ได้ ฟังท่อนแร็พนางแล้วปล่อยก๊ากเลยแต่แทรกความเป็นอาร์แอนด์บีลงมาได้ลงตัวดีนะทั้งๆที่ไม่น่าจะไปด้วยกันได้แต่เจ๋งอยู่ Bad Girl Ft.Marilyn Manson (3.5/5) เมื่อจับเฮฟวี่เมทัลแบบ มาริลีน แมนสัน มาชนกับความเป็นพ็อพร็อคแบบอาวริลผลลัพธ์ที่ได้ออกมาเป็นงานอัลเทอเนทีฟร็อคติดกลิ่นพวกงานใต้ดินแบบอินดี้โลไฟและโพสท์พั้งค์เจือจาง ประสาทๆดีชอบ ขอปิดรีวิวด้วย Hello Kitty (4/5) เป็นงานร็อคสายทดลองที่ดูโต่งและหลุดกรอบที่สุดในอัลบั้ม ชนแหลกตั้งแต่ร็อค อิเล็คโทรนิค ซินธิ์พั้งค์ อาร์แอนด์บีและดั๊บสเต็ปจะว่าไปก็โอเคอยู่นะ แอบคิดเล่นๆว่าถ้าอนาคตนางดันของขึ้นหนีไปทำอิเล็คโทรแคลชจะเป็นยังไง?
เท่าที่ฟังๆมาก็คงต้องยกให้ Avril Lavigne ชุดนี้ขึ้นสู่อันดับหนึ่งในอัลบั้มของศิลปินหญิงที่ชอบที่สุดของปี2013นี้แบบที่ไม่ได้คาดคิดไว้มาก่อนคือเรื่องของเนื้องงานเมื่อเทียบกับ Bangerz หรือ Prism อาจจะสู้ไม่ได้แต่ความชอบพอๆกัน โอ๊ยย ค่อยหายใจทั่วท้องหน่อยเพราะปีนี้ศิลปินหญิงที่ชอบผลงานรอดกันหมด - แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น หน้าปก หล่อนนี่ไม่รอดเลยนะคะ ทำปกให้มันดีกว่านี้ไม่ได้หรือยังไงกันยะ?