˹���á Forward Magazine

ตอบ

(Back In The Day) The Smashing Pumpkins : Mellon Collie...
ผู้ตั้ง ข้อความ
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ (Back In The Day) The Smashing Pumpkins : Mellon Collie... 


http://hysteriaculture.wordpress.com/2013/10/24/back-in-the-day-the-smashing-pumpkins-mellon-collie-and-the-infinite-sadness-alternative-rock-100-55/comment-page-1/#comment-309

http://www.facebook.com/hysteriaculture

(Back In The Day) The Smashing Pumpkins : Mellon Collie And The Infinite Sadness : Alternative Rock (100% = 5/5)

ในที่สุดก็ถึงเวลาเสียทีกับการเขียนสดุดีหนึ่งในอัลบั้มร็อคในตำนานที่ดิฉันไม่เคยกล้าจะอาจเอื้อมขึ้นไปหยิบยกผลงานชุดนี้ขึ้นมาเขียนเนื่องด้วยส่วนตัวรู้ดีว่าความสามารถในการเขียนและความรู้ทางดนตรีของเรายังไปไม่ถึงระดับที่จะสามารถเขียนผลงานชุดนี้ออกมาให้ดีได้ อย่างไรก็ตามเนื่องในโอกาสที่วันนี้ – - 24 ตุลาคม – - เปรียบเสมือนวันครบของ Mellon Collie And The Infinite Sadness มาสเตอร์พีซจากวันที่24 ตุลาคม ปี1995ของThe Smashing Pumpkinsวงอัลเทอเนทีฟร็อคชั้นปรมาจารย์ขึ้นหิ้งอีกวงทำให้ดิฉันในฐานะที่เป็นแฟนเพลงของพวกเขาที่ถึงแม้ว่าอาจจะไม่ได้เหนียวแน่นหรือรู้เรื่องราวเชิงลึกอะไรเกี่ยวกับพวกเขาและอัลบั้มชุดนี้ไปเสียหมดถึงกับถามตัวเองอยู่นานว่า “ถ้าไม่เขียนซะวันนี้แล้วหล่อนจะไปเขียนวันไหน?!!!” ว่าแล้วจึงสลัดความกลัวออกแล้วใส่ความเคารพสุดจิตวิญญาณที่มีต่อพวกเขาลงไปแทนที่เพื่ออุทิศงานเขียนวิจารณ์ชิ้นนี้สดุดีแด่วงร็อคที่ดีที่สุดวงหนึ่งของทศวรรษ90s

Mellon Collie And The Infinite Sadness ถือกำเนิดทันทีหลังจากที่ทางวงเสร็จสิ้นการทัวร์ตลอด13เดือนเพื่อโปรโมตอัลบั้ม Siamese Dream ชุดก่อนหน้าที่วางขายในปี1993โดย “บิลลี่ คอร์แกน” นักร้องนำและหัวหอกผู้จัดแจงทุกสิ่งทุกอย่างเบ็ดเสร็จในSPได้กล่าวหลังจากระดมสมองปรึกษาหารือกับสมาชิกวงจนหาข้อสรุปได้ว่าพวกเขาต้องการให้อัลบั้มชุดที่สามนี้ออกมาเป็นอัลบั้ม Double Disc ด้วยความจุกว่า28แทร็ค (ตัดออกจาก50กว่าๆ) หลังจากที่ก่อนหน้านี้พวกเขามีวัตถุดิบมากพอที่จะออกขาย Siamese Dream ออกมาถึงสองแผ่นได้เลยทีเดียวโดยในอัลบั้มนี้พวกเขาได้ขยับขยายขอบเขตุศักยภาพของทางวงขึ้นไปทดลองกับรูปแบบการนำเสนอที่หลากหลายและสุดโต่งขึ้นตั้งแต่กรรมวิธีการบันทึกเสียงที่แตกต่างออกไปจากสองชุดก่อนหน้า กระบวนการการทำงานที่ดูเหมือนว่าพี่บิลลี่จะยอมปล่อยวางไม่บ้าความสมบูรณ์แบบจนแบกโลกไว้ทั้งใบเมื่อตอนอัลบั้มที่แล้วนำมาสู่เนื้องานที่ดูผ่อนคลายความกดดันและมีอิสรภาพในการสื่อสารกับผู้ฟังมากขึ้นซึ่งก็ไม่น่าเชื่อว่าภายใต้เนื้องานที่ดูทำกันแบบบ้าๆรั่วๆปราศจากความกดดันแบบนี้จะดันออกมาเป็นอัลบั้มที่มีความสมบูรณ์แบบสูงเสียดฟ้าขนาดนี้อีกทั้งในแง่ของดนตรีที่ดูเหมือนว่าอิทธิพลจากมิติและลูกเล่นอันหลากหลายที่น่าจะกลืนกินบดบังอัตลักษณ์ของพวกเขากับหลอมรวมสมานเข้ากับจิตนาการทางดนตรีทั้งหมดทั้งมวลที่พวกเขาตั้งใจจะนำเสนอหลอมรวมลงสู่ Mellon Collie And The Infinite Sadness ชุดนี้ได้อย่างมีเอกภาพอย่างถึงขีดสุด

“The human condition of mortal sorrow” เป็นประโยคสั้นๆอันแสนคมคายที่พี่ “บิลลี่ คอร์แกน” หัวหอกของทางวงได้ใช้นิยามอัลบั้มชุดนี้ซึ่งมีสาส์นทางดนตรีอุทิศให้แก่ผู้ฟังในช่วงวัย14ถึง24โดยตัวเขาหวังว่าผลงานชุดนี้จะเป็นหนึ่งในเสียงที่ขับขานตรงกับเสียงกรีดร้องในใจของวัยเยาว์หลายๆคนที่ต้องเผชิญกับมรสุมกรรโชกและความมืดหม่นอนธกาลที่แผ่ครอบคลุมชีวิต ภาพรวมของ Mellon Collie And The Infinite Sadness โดยรวมแล้วดิฉันขอจัดให้เป็นงานที่ยืนพื้นอยู่บนแขนงดนตรี “อัลเทอเนทีฟร็อค” ที่ผสานลูกเล่นสารพันสิ่งแพรวพราวระยิบระยับเข้ามาทดลองตลอดจนขยับขยายยกระดับผลงานของ The Smashing Pumpkins ขึ้นไปสูงกว่าเดิมอีกหลายระดับกับการนำเสนอเรียบเรียงในระดับที่ต้องเรียกว่าเป็นชิ้นงานที่ทำขึ้นเพื่อจะก้าวสู่ความเป็นตำนานโดยแท้ตั้งแต่ไทเทิ่ลแทร็คเปิดอัลบั้ม Mellon Collie And The Infinite Sadness (4.5/5) ที่พรมเพียโนคลาสสิคกึ่งๆมินิมัลลิสท์ผสานกับเครื่องสายงดงามกรีดใจเล่นเอาหลุดลอยกันไปข้างทีเดียวก่อนจะก้าวเข้าสู่วัฒนธรรมของดนตรีซิมโฟนิคร็อคเนียนๆในเพลงเก่งของวงอย่าง Tonight,Tonight (4.5/5) อันผสานเอาอัลเทอเนทีฟร็อคเข้าชนกับวงมโหรีออเครสตร้าสดๆฟาดฟันปะทะความงดงามกันประดุจพายุโหมกระหน่ำ เชื่อว่าคอร็อคหลายท่านรู้ดีว่าชั้นเชิงการเรียบเรียงเสียงประสานและเครื่องสายของเพลงนี้เป็นอะไรที่ไม่ธรรมดาจริงๆ ต่อด้วยJellybelly(5/5)และZero(4.5/5)ที่สับรางเป็นงานสไตล์พั้งค์ร็อคสับกีต้าร์มันๆติดกลิ่นกรั๊นจ์ในแบบที่ได้ยินจากงานของ Nirvana ขอชมว่าท่อนคอรัสท่านแม่งหลอนหัวและเมโลดี้เจ๋งติดหูสุดๆ ในขณะที่ความหนักหน่วงของริฟฟ์ในเพลงหลังนี่เข้าขั้นเป็นน้องๆอัลเทอเนทีฟเมทัลอยู่รอมร่อ

มาถึงเพลงที่ดิฉันโปรดปรานที่สุดของทางวงอย่าง Bullet With Butterfly Wings (5/5) ซิงเกิ้ลเปิดอัลบั้มที่ส่วนตัวขอยกให้เป็นหนึ่งในเพลงร็อคที่มีฮุคที่อัจฉริยะที่สุดเพลงหนึ่งของประวัติศาสตร์เลยทีเดียวอันนี้มีรางวัล Best Hard Rock Performance จากงานแกรมมี่ประจำปี1997ยืนยัน ตัวเพลงเป็นงานกรั๊นจ์ร็อคที่มีเมโลดี้ที้ทรงพลังและความสมบูรณ์แบบในตัวสูงมากๆจนทุกวันนี้ก็ยังยากที่จะหาเพลงร็อคของศิลปินยุคใหม่ๆหน้าไหนมาเทียบเคียงยิ่งมาพิสูจน์ภาคเนื้อหาที่ระเบิดความมืดหม่นเกรี้ยวกราดประชดโลกอันแสดงถึงทัศนคติและสภาพจิตใจที่บิดเบี้ยวได้อย่างชัดเจนยิ่งทำให้เราหลงรักเข้าอย่างจังไม่ว่าจะตั้งแต่ท่อนแรกอย่าง “The World Is A Vampire,Sent To Drain.Secret Destroyers,Hold You Up To The Flame.” ที่แค่ขึ้นต้นมาก็อดขบคิดตีความไม่ได้แล้ว “ช่างสวยงามอะไรอย่างนี้หนอ!” ไปจนถึง “Tell me I’m the only one.Tell me I’m The Chosen One.Jesus Was An Only Son For You.” แค่นี้ก็ขโมยใจไปหมดดวง Love(4.5/5) เทียบกับสมัยนี้ก็เป็นเพลงแนวอัลเทอเนทีฟร็อคติดโลไฟงานจำพวกวงร็อคโพสท์พั้งค์โพสท์กรั๊นจ์สายใต้ดินทั้งหลายนิยมทำน่ะค่ะเพลงนี้แค่สรรพสำเนียงการร้องหม่นๆเท่ห์ตีเข้ากับซินธิ์ดิบเถื่อนลากไส้ที่กรีดเสียงทั่วเพลงแค่นี้ก็ได้ใจดิฉันละ เหม่งแม่งเท่ห์ว่ะ! Muzzle (4.5/5) งานร็อคสูตรสำเร็จที่เชื่อว่าเป็นเพลงที่จะสามารถจับผู้ฟังได้อยู่หมัด ไม่ต้องอะไรมากมายแค่เอาแค่ฮุคเพราะๆกับดนตรีงามๆฟังง่ายเคี้ยวง่ายย่อยง่ายไม่ต้องปีนกะไดเหมือนกับอีกหลายเพลงในอัลบั้มนี้คงฟังก็ตายในกำมือแล้วค่ะคอร์แกนขา

จบจากแผ่นแรกDawn To Duskแล้วมาต่อด้วยแผ่นที่สองTwilight Starlightกันเลย น่าจะถูกใจคนชอบของหนักตั้งแต่ Where Boys Fear To Tread (5/5) ที่หยิบมาเปิดอัลบั้มได้อย่างเกรี้ยวกราดระทึกขวัญกับงานอัลเทอเนทีฟร็อคดิบๆที่ประสานเอาความดุดันดิบหยาบแบบกรั๊นจ์มาชนกับท่วงทำนองของอเมริกันฮาร์ดร็อคแท้ๆยันโปะความเป็นพั้งค์หนักหน่วงโรยหน้าได้มันส์ระยับพิสูจน์กันอีกเพลงใน Bodies (4/5) ที่ดูจากฮุคและการนำเสนอแล้วน่าจะเข้าหูคนฟังได้มากกลุ่มกว่า 1979(4.5/5) อันนี้สลับจากความดิบหยาบมาหาท่วงทำนองสวยๆด้วยโพรแกรมมิ่งซินธ์น่ารักๆลอยละล่องคลอไปกับลูพกลองกระฉึกกระฉักฟังได้เพลินๆก่อนจะกลับมาตาเหลือกอีกครั้งใน Tales Of A Scorched Earth (4.5/5) ที่ดิฉันว่าคุณพี่เหยียบเข้าสู่ความเป็นเมทัลได้เต็มตัวแล้วล่ะค่ะ ส่วน Stumbleine (4/5) อันนี้เขยิบมาลองร้องคลอกับกีต้าร์อคูสติคดูบ้างเรียบง่ายแต่เข้มข้นทรงพลังทีเดียว แค่ริฟฟ์กีต้าร์ที่ขึ้นต้นมาใน X.Y.U. (4.5/5) ก็ทำเอาดิฉันอดสนใจเพลงนี้ไม่ได้ขอบอกว่าเป็นงานที่เข้าทางดิฉันเป็นการส่วนตัวจริงๆพวกสายอัลเทอโหดๆเหยียบเมทัลเหยียบฮาร์ดคอร์พั้งค์แบบนี้แหละชอบเลยและ By Starlight (4.5/5) สั้นๆแต่งดงามประดุจบทกวีชั้นสูงหมองหม่นเย็นยะเยือกและเปี่ยมไปด้วยในมนตร์เสน่ห์อันหาตัวจับยาก

เอาล่ะเขียนมาถึงตรงจุดนี้ก่อนอื่นคงต้อง “กราบขอโทษ” คงอ่านที่คงต้องยอมรับว่านี่ยังไม่ใช่งานเขียนที่ดีพอสำหรับวงร็อคระดับตำนานและมากความสามารถอย่าง The Smashing Pumpkins ส่วนตัวแทบจะไม่ได้ทำการบ้านกับงานเขียนชิ้นนี้เลยอาศัยที่ฟังงานอัลบั้มนี้มาค่อนข้างนานและเขียนไปตามความรู้สึกซึ่งอาจจะมีหลายจุดที่ดิฉันยังไปได้ไม่ถึงงานของพวกเขา แต่อย่างไรก็ตามดิฉันเขียนงานนี้ขึ้นจากความเคารพจึงขอเขียนงานนี้ด้วยความจริงใจและ “เขียนเท่าที่รู้” ส่วนตัวจะไม่พยายามโอเว่อร์ตัวเองว่าเป็นคนเขียนวิจารณ์เพลงที่รู้ไปเสียทุกเรื่องจนต้องมานั่งพยายามเขียนในสิ่งที่เราไม่รู้เพื่อโชว์ว่ามีภูมิซึ่งก็ไม่ใช่วิสัยของดิฉันเลยแม้แต่น้อยรวมถึงนั่นก็หมายถึงว่าคุณไม่ได้คิดที่จะให้เกียรติศิลปินจริงๆ ดังนั้นหวังว่าจะมี “บางท่าน” อ่านแล้วเข้าใจนะคะว่าเขียนแต่ในสิ่งที่รู้ค่ะ! ^ ^ ท้ายที่สุดส่วนตัววันนี้ก็ดีใจนะคะที่ได้รวบรวมความกล้าพอที่จะเขียนรีวิวอุทิศให้แก่อัลบั้มขึ้นหิ้งชิ้นนี้เสียทีหลังจากที่รอเวลามานาน “สุขสันต์วันเกิด Mellon Collie And The Infinite Sadness” ขอบคุณความมืดหม่นและทุกข์ระทมอันเป็นปัจจัยที่หล่อหลอมงานศิลปะดีๆหลายชิ้นงานออกมา ขอบคุณความวิปริตเกี้ยวกราดระทึกขวัญและท้ายที่สุดขอบคุณร็อคแอนด์โรล…ที่คุณสร้าง The Smashing Pumpkins ขึ้นมา


ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  


ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
ตอบ หน้า 1 จาก 1
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
  


copyright : forwardmag.com - contact : forwardmag@yahoo.com, forwardmag@gmail.com