10. Ultraviolet
ท่ามกลางหนังแนวยอดมนุษย์ที่ประดังเข้ามาฉายในเวลาเดียวกัน สาวเก่งเกินไปอย่าง อุลตร้าไวโอเล็ท ดูเหมือนจะเป็นตัวเลือกสุดท้ายที่เราจะไปดูกัน นั่นเป็นเพราะการวางพล็อตเรื่องเดิมๆ ซ้ำซาก ให้ตัวเอกซึ่งก็คือยัยอุลตร้าไวโอเล็ต ทำภารกิจต่างๆที่ถูกมอบหมายให้เสร็จสิ้น สาวมิลล่าเธอช่างเก่ง เปลี่ยนสีผม กระโดดเตะ ขับรถ ฟันดาบ ได้ดั่งใจ โดยไม่ต้องพึ่งตัวช่วยใดๆ เก่ง และเก่งจนเกินไป จึงทำให้ไม่น่าติดตาม สีสันในเรื่องก็แสบทรวง แสบในที่นี้คือ เสร่อ ไร้รสนิยม มั่ว เลอะเทอะ ในเวลานี้มิลล่าคงจะมีแต่ RE3 เท่านั้นที่จะมากู้หน้าให้เธอได้
9. DOA : Dead Or Alive
เห็นตัวอย่างหนังครั้งแรกก็พอจะเดาแนวทางและจุดขายของหนังเรื่องนี้ได้ นั่นคือ ความเซ็กซ์ซี่ และศิลปะการต่อสู้ที่มีชั้นเชิง พอได้ดูเข้าจริงๆ ถึงกับต้องตีอกชกพุง สาวๆแต่ละนางเล่นกันได้จืดสนิท ลีลาการต่อสู้ของแต่ละคน ยึกยักเหมือนหุ่นยนต์ บ้างก็ดูเวอร์เกินความเป็นจริง ความเซ็กซ์ซี่ก็ดูจะขายซะเหลือเกิน ด้วยความที่เนื้อเรื่องมันกระชับ รวดเร็ว และไม่รอใคร เลยเกิดความไม่เข้าใจในหลายๆตอน ใครว่าหนังที่สร้างจากเกมส์จะต้องดีเสมอไป นี่ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างเน่าเฟะของคนทำหนัง ที่ทำออกมาผิดกาลเทศะไปหน่อย
8. Super Man Return
อันว่านำของเก่าที่หายไปนานมาสานต่อใหม่ ยากนักที่จะต่อให้ติดเหมือนเดิม ซูปเปอร์แมนภาคนี้จึงเป็นของว่างที่ใครจะกินก็ได้ ไม่กินก็ไม่ว่า เสมือนหนังฟอร์มใหญ่ ที่เนื้อในเละเป็นโจ๊ก หนังพยายามใส่ความเป็นดราม่า ท่ามกลางความเป็นซูปเปอร์ฮีโร่ของคนทั้งโลก แต่รูปแบบที่นำเสนอนั้น ยังขาดอะไรอีกตั้งเยอะ ด้วยความที่พ่อพระเอกเป็นนักแสดงหน้าใหม่ ที่มีจุดกำเนิดมาจากการเป็นพระเอกมิวสิควีดีโอ ฝีมือจึงไม่เข้าขั้น และยากที่จะทำให้อารมณ์มันคล้อยตาม ผู้ร้าย เป็นแค่คนธรรมดาแต่รวยจึงคิดจะสร้างประเทศเป็นของตัวเองความจริงคือ พวกมันไม่มีอะไรจะสู้พ่อพระเอกของเราได้ นอกจากแร่พิลึกอันนั้น มันดูโง่ ไร้สาระ และขาดน้ำหนักในการทำให้คนเชื่อ ว่าไอ้คนที่ใส่กางเกงในนอกกางเกง อันแสนจะเก่งกาจเนี่ยนะ มาทำบ้าสู้กับบอดี้การ์ดของคนรวย(แต่เลว) ที่เป็นแค่คนธรรมดาๆ ปัญญาอ่อนว่ะ
7. Wedding Crashers
ชื่อหนังก็พอจะเดาได้ว่า เรื่องนี้มีแต่จะรังให้อารมณ์เสีย พ่วงชื่อ โอเว่น วิลสัน มาก็พอจะลดน้ำหนักความน่าเชื่อถือของหนังได้เยอะเลยทีเดียว แต่ก็ไม่นึกว่า วินซ์ วอห์น จะมาเหลวกับเรื่องนี้ ปากมาก น่ารำคาญ และน่าหงุดหงิด สองคู่หูเป็นนักป่วนงานแต่ง ด้วยการปลอมตัวเป็นคนในงานเพื่อแค่จะมาแอ้มสาวๆ โถ่ถังกาละมัง แค่นี้เองหรือที่พวกเขาต้องการ ทั้งๆที่ในเรื่องทั้งคู่ออกจะมีงานมีการที่มั่นคง สุดท้ายก็ดันมาหลงรักลูกสาวเจ้าพ่อซะงั้น แล้วไงล่ะ เนื้อเรื่องที่ไม่มีอะไรต้องขบคิด สนุกกับมุกต่างๆที่สรรหามา จนทว่า พอตอนจบคนเค้าถึงได้รู้ว่า ไอ้ที่ขำๆกันมาตั้งแต่ต้นเรื่องเนี่ย มันดูโง่แค่ไหน
6. Snakes On The Plan
เบื่องูยักษ์ งูประหลาด งูบนหัว ลองมาดูงูโดนสารเสพติดดูซิ เนื้อเรื่องจริงๆคือไอ้หนูคนหนึ่งเกิดไปเห็นเหตุการณ์ฆาตกรรมขึ้น เลยโดนสั่งเก็บ แต่มีตำรวจผู้ใจดีคอบช่วยเหลือ ครั้นจะนั่งเครื่องบินก็ต้องอยู่ในความดูแลอย่างดี แต่เผอิญผู้ร้ายหัวใส แอบเอางูเป็นโขยงยัดไปกับเครื่องบิน ดันทะลึ่งฉีดสารเสพติดใส่ลงไปอีก เป็นไงล่ะเจ๊ ก็บ้า อาละวาด กันหมดน่ะสิ เนื้อเรื่องท่าทางน่านใจ แต่พอเอาเข้าจริงๆ กลับต้องมาตายเพราะความทะลึ่งของคนเขียนบท ที่ดันให้งูไปกัดโดน จู่ นม ก้น ผิดธรรมชาติของงูที่อย่างมากก็ไม่เกินหัวเข่า งูเรื่องนี้พิศดารกว่าเรื่องไหนๆ เพราะลำตัวเป็นสปริง สามารถกระโดดไปไกลได้ดั่งใจ เห็นอะไรขยับเข้าหน่อยต้องรี่เข้าไปกัดให้สมใจอยาก แหม พอตอนใกล้จะจบคงหามุกอะไรใส่ไม่ทันกับเวลาที่กำหนด เลยมั่วๆให้ไอ้อ้วนที่บ้าเล่นเกมส์มาขับเครื่องบินแทน เอาเถอะนะ หนังงูๆจะเอาอะไรมาก
5. Night At The Museum
เบน สติลเลอร์ ยังคงตั้งหน้าตั้งหน้า รับบทแต่หนังที่เบาสมอง สมองเบาก็ว่ากันไป ครั้งนี้ดูท่าจะฝืด และสิ้นคิดไปหน่อย เมื่อของสต๊าฟในภิพิธภัณฑ์ เกิดมีชิวิตขึ้นมาในยามค่ำคืน และหน้าที่ของยามคือต้องดูแลรักษาความสงบ ในความเป็นจริง ทั้งช้างแมนมอธ โครงกระดูกไดโนเสาร์ สิงโต จะเดินเกินขึ้นบันไดพร้อมกัน นั่นก็เกินความเป็นจริงที่บันไดจะรับน้ำหนักไหว นั่นไม่ใช่ประเด็น มันอยู่ที่เสียงอึกทึกครึกโครม ข้างนอกจะไม่ได้ยินเชียวหรือ พอหนังจะเข้าสู่ความสนุกสนานเข้าหน่อยก็ดันให้มีปัญหาขึ้นมา และปัญหานั่นก็ปัญญาอ่อนสิ้นดี (อ่อนยังไงไปดูกันเอง) และวิธีแก้ปัญหาก็พาลให้หงุดหงิด หนังชูความไม่เป็นจริงมาเป็นขาย ซึ่งก็จะดูสนุกท่าความไม่เป็นจริงนั้น มันจะมีเรื่องจริงรองรับอยู่บ้าง
4. Lady In The Water
คุณผู้กำกับนั้นได้ชื่อว่าเป็นจอมลวงโลกของวงการภาพยนตร์ ก็กลัวเหลือเกินว่า หนังเรื่องนี้จะลวงคนดู ให้เสียเวลาทำมาหาหากิน แต่หนังเรื่องนี้ไม่ใช่ มันมีจริงๆ ย้ำ มีจริงๆ ไม่ได้หลอกใครอีกแล้ว ดูท่าทางผู้กำกับจะทำหนังให้ลึกลับ และใช้อารมณ์มาดำเนินเรื่อง แต่อารมณ์นั้นไม่ใช่ทุกคนจะเข้าถึงได้ หนังจึงดูโง่ๆในสายตาใครบางคน หนังพยายามจะให้คนดูถลำลึกเข้าไป เพื่อที่อยากจะไปดูโลกอีกด้าน แต่ไม่มี เรื่องทั้งหมดก็คือ จะทำยังไงเพื่อที่จะส่งตัวหญิงลึกลับคนนี้กลับไปยังโลกที่เธอมา แต่มิยักกะบอกว่าเธอมาทำไม แอบแว๊บๆได้ยินว่า มาเพื่อติดต่อมนุษย์ แล้วไงล่ะ ติดต่อได้แล้วไม่เห็นจะมีอะไรเลย ดูจะเป็นหนังดี แต่ดันขาดรายละเอียดไปหน่อย เรื่องหน้าค่ายหนังจะไว้ใจจ้างผู้กำกับคนนี้อยู่รึเปล่าเนี่ย
3. You, Me & Dupree
เนื้อเรื่องดูจะเป็นที่น่าสนใจ จะจัดการกับเจ้าเพื่อนสนิทตัวแสบนี่ยังไง ถ้ามันมาอยู่ กิน ในบ้านของเราและหญิงที่เราเพิ่งจะแต่งงานด้วย เรื่องนี้มีเจ๊ เคท ฮัดสัน มาดึงดูด และยังมีตัวดูดความสนุกอย่าง โอเว่น วิลสัน คนอะไร๊จะหน้าด้านหน้าทน เปลือยในบ้านคนอื่น เรียกเพื่อนๆมากินเบียร์ ดูบอล ทั้งๆที่ไม่ใช่บ้านของตัวเอง แต่ตัวละคนก็ยังแสร้งว่าไม่รู้ ทำหน้าอินโนเซ็นซ์ และเหมือนจะมีสมองแต่ยกให้ลิงไปหมด ตอนแรกยัยนางเอกอยากจะขับไล่ไสส่งไอ้เพื่อนตัวแสบคนนี้ไปซะให้ได้ พ่อพระเอกก็ไม่รู้จะไล่เพื่อนไปยังไง แต่ยังไงก็ไม่ทราบ ป้าเคทของเราเกิดเปลี่ยนใจ เรียกไอ้เพื่อนคนนี้กลับมานอนบ้าน ทั้งๆที่เมื่อกี้มันเพิ่งจะเผาไปไปครึ่งหลัง เรื่องเริ่มมั่วกันไปใหญ่ เพราะสุดท้ายปัญหาจริงๆคือไอ้พระเอกที่มันงอนหนีออกจากบ้านไปนั่นเอง ไปได้น้ำขุ่นๆ และมั่วได้อย่างเนียนๆจนถึงน่าเกลียดจริงๆ
2. Material Girl
หนังใหม่ของ ฮิลารี่ย์ ดัฟฟ์ แค่นี้ทุกคนก็ส่ายหน้าหนีกันหมดแล้ว แต่เรายังแอบหวังไว้ลึกๆว่า ถึงจะไร้สาระไปบ้าง แต่ก็น่าจะมีอะไรขบคิดบ้างแหล่ะ ที่ไหนได้ ไม่พ้นต้องมาดูหน้ายัยแม่มดนี่แอ๊บแบ๊วอยู่ตลอดเวลา ส่วนแม่พี่สาวก็พากันมาลงเหว ดูท่าว่าน้องสาวเล่นหนังแล้วดัง เลยอยากดังตาม แต่ไม่ยักกะสนใจว่าไอ้ที่เล่นแล้วดังเนี่ย มันคุ้มกับที่เค้าด่าหนูๆกันรึเปล่า เนื้อเรื่องประหนึ่งละครไทยตอนเย็น เมื่อแม่สาวไฮโซถึงคราวตกอับ หล่อนจะอยู่เฉยๆไม่ได้ ต้องเรียกร้องสิ่งที่เป็นของตัวเองกลับคืนมา ตอนจบเป็นยังไงถึงตอนนี้คงไม่ต้องเดาก็น่าจะรู้ เรื่องนี้เน่าตลอดหัวยันท้าย โทษใครไม่ได้ก็นอกจากยัยฮิลเองที่ไม่เค๊ยจะสรรหาบทดีๆเพื่อพัฒนาการแสดงของตัวเอง
1. The Da Vin Ci Code
อื้อฉาวมาตั้งแต่เป็นหนังสือเล่มหนาๆ จนกลายมาเป็นหนังให้กับคนขี้เกียจอ่านอย่างข้าพเจ้า แล้วก็เจอดีเข้าจนได้ ด้วยความที่คนดูทั้งครึ่งโลกมิได้นับถือศาสนาคริสท์ และ คนที่นับถือคริสท์เองก็ยังมิอาจเข้าใจ บวกกับหน้าตาซื่อบื้อๆของ ทอม แฮงค์ หนังเลยดูอืด ง่วง และไม่มีอะไรน่าติดตาม หนังควรจะจบ แต่ดันไม่จบ มีต่อเรื่อยๆ ความอดทนคนมีไม่มากพอ จึงเห็นคนเดินออกจากโรงไปบ้าง แต่ก็ยังตั้งมั่นจะดูให้จบ ทั้งๆที่ในใจเรียกร้องขอหมอนและผ้าห่มเต็มที เมื่อถึงคราวเฉลยปม ก็แสนจะธรรมดา รู้แล้วก็เท่านั้น ไม่รู้ก็ไม่ว่ากัน อะไร๊ นั่งทนดูหนังกันสามขั่วโมง เพื่อจะมาดูแค่ ยัยนางเอกสุดท้ายหล่อนคือ ทายาทของพระเยซู
แก้ไขล่าสุดโดย MR.MuSic เมื่อ Sun Jan 21, 2007 4:42 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
_________________
