|
The Day After Tomorrow ++ เรื่องจริงที่ควรรู้ | |
ผู้ตั้ง | ข้อความ |
---|---|
Johnny Fever FF>>Member Cool
เข้าร่วม: 03 Nov 2006 ตอบ: 1549 ที่อยู่: Facebook |
The Day After Tomorrow : หายนะที่ไม่ต้องการฮีโร่ เมื่อโลกที่ 1 ต้องพึ่งใบบุญโลกที่ 3 "เฮ้อ หนังแนวหายนะ โลกวิบัติอีกแล้วหรือ" อาจมีหลายท่านกล่าวประโยคนี้ออกมาด้วยความรู้สึกเบื่อหน่าย จะว่าไป หลายอย่างใน The Day After Tomorrow (TDAT) ก็ประกอบไปด้วยสูตรสำเร็จแบบเดิมๆ ชนิดหลับตาก็มองเห็นก็จริง แต่ TDAT เองก็มีแง่มุมน่าสนใจหลายอย่าง ถ้าไม่ปิดกั้นมันก่อนนะครับ และสำหรับเรื่องนี้ ยิ่งคนดูมีความรู้ทางวิทยาศาสตร์หรือความรู้รอบตัวมากเท่าไร ก็ยิ่งดู TDAT ได้สนุกมากขึ้นเท่านั้น เช่น สารคดีเกี่ยวกับกายวิภาคพายุหมุนช่อง Discovery หรือสารคดีของ National Geographic คุณจะรู้ว่า ในหนังไม่ได้ทำเกินจริงไปสักเท่าไรเลย (ส่วนความรู้พื้นฐานอื่นๆ เดี๋ยวจะเคาะสนิมให้ตอนท้ายนะครับ) เข้าเรื่องต่อ ประเด็นแรก "ผลจากการกระทำบางอย่างของมนุษย์" สามารถเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่ทำให้ "ปรากฏการณ์ธรรมชาติบางประเภท ให้เกิดขึ้นรวดเร็วกว่าที่คิดและรุนแรงกว่าที่คาด ต่างจากดาวหางใน Armageddon หรือ Deep Impact ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาตินอกโลก สุดวิสัยที่มนุษย์จะเข้าไปเร่งปฏิกิริยาอะไรได้ แต่งานนี้อย่าฝันถึงแพะรับบาป เพราะคุณ คุณ คุณ และคุณทั้งหลายในประเทศด้อยพัฒนาและประเทศพัฒนาแล้ว ล้วนมีส่วนร่วมในการเป็นตัวเร่งปฏิกิริยานี้ทั้งนั้น เว้นเสียแต่ว่าคุณจะออกบวช ลดการบริโภคอาหาร ลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ และลดการใช้บริการและสินค้าฟุ่มเฟือย นอกเหนือจากปัจจัย 4 ประเด็นที่สอง งานนี้ไม่มีอเมริกันฮีโร่ ต่างจากหนังหายนะโลกวิบัติเรื่องอื่นๆ โดยสิ้นเชิงที่มักจะมีคนอเมริกันเป็นหัวหอกหรือโต้โผใหญ่ ทำอะไรสักอย่างเพื่อพลิกวิกฤติเสมอๆ (คนชาติอื่นเป็นแค่ตัวประกอบ) จนหลายคนเอียนและถือเป็นเหตุให้พาลเลิกดูหนังแนวนี้ไปเลย แต่ TDAT นั้นออกจะตบหน้าขาใหญ่อย่างอเมริกาเสียด้วยซ้ำไป เพราะตอกย้ำว่า ทุกวันนี้ที่อเมริกา (อาจรวมถึงชาติอื่นในยุโรปด้วย) ทำตัวกร่างเหนือประเทศด้อยพัฒนาในโลกที่สามได้นั้น เนื่องมาจากการถลุงใช้ทรัพยากรของประเทศในโลกที่สามอย่างไม่บันยะบันยังนั่นเอง สุดท้ายก็กลายเป็นมุขแสบๆ คันๆ ในหนังที่เป็นอุทาหรณ์สำหรับผู้บูชาตะวันตกแบบหน้ามืด ประเด็นที่สาม หายนะใน TDAT เป็นที่เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และไม่มีทางแก้ไขในระยะเวลาสั้นๆ ประเภทเอานิวเคลียร์ขึ้นไประเบิดดาวหาง หรือส่งระเบิดลงไปบอมบ์โลกแบบในการ์ตูน Legend of Mother Sarah ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในระดับปัจจุบัน เลิกคิดได้เลยครับ และข้อจำกัดในประเด็นนี้เองที่เชื่อมโยงไปยังการไม่มีฮีโร่กู้วิกฤติในประเด็นที่สอง ดังนั้นใครจะมีชีวิตรอดในช่วงเวลาที่โลกกำลังปรับสมดุลพลังงาน (ในหนังกินระยะเวลาประมาณ 1 สัปดาห์) ขึ้นอยู่กับทักษะส่วนบุคคล คนที่พึ่งตัวเองมากกว่าวัตถุ ย่อมมีโอกาสรอดชีวิตมากกว่า ตัวอย่างเช่นจะทำอย่างไรเมื่อเจอสภาพไฮโปเธอร์เมีย, พายุหิมะ ฯลฯ จุดอ่อนของ TDAT ที่เห็นได้ชัดก็เป็นจุดที่ไม่ต่างจากหนังโลกวิบัติก่อนหน้านี้แต่อย่างใด เช่น การแนะนำตัวละครให้คนดูรู้จักแล้วก็ปล่อยเคว้งคว้าง (หนังแอ็คชั่นปราบผีอย่าง Van Helsing ยังทำในจุดนี้ได้ดีกว่าเสียอีก) บางคนก็ว่าเนื้อหาไม่กินใจเท่าไร (ก็จริง แต่ TDAT ไม่ใช่หนังดราม่า เพราะฉะนั้นอย่าคาดหวังให้มากเกินแนวทางของหนัง) ฉากแอ็คชั่นไม่มีอะไรหวือหวา แน่นอนครับ ก็ตัวละครเป็นคนธรรมดาๆ (ที่เผอิญเก่งและทำงานทางด้านวิทยาศาสตร์) แล้วหลงมาติดแหง่กอยู่แถวๆ นี้พอดีเท่านั้นเอง หนังจึงเน้นที่ฉากการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม (และขอบอกเลยว่า นี่ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอย่างที่หลายๆ ท่านคิด การดำเนินเรื่องหลักธรรมดาไปหน่อย เพราะหลักๆ ก็คือ การที่คุณพ่อ ซึ่งเป็นนักอุตุนิยมวิทยาที่ผ่านงานวิจัยขั้วโลกมานักต่อนัก ออกเดินทางไปช่วยคุณลูกที่ติดค้างอยู่ในเขตภัยพิบัติ ลองหาแผนที่สหรัฐอเมริกามากางดูนะครับ เส้นทางจาก วอชิงตัน ดีซี ไปยัง แมนฮัตตัน ระยะทางราวๆ 200 กิโลเมตร รถยนต์จะใช้เวลาไม่นานนัก แต่สถานการณ์ขณะนั้นเลิกพูดถึงการใช้รถยนต์ไปได้เลย และการเดินทางด้วยเท้าบนหิมะหนาๆ นั้นสาหัสอย่าบอกใคร แค่สภาพปรกติมนุษย์ก็เดินด้วยความเร็วเฉลี่ย 4 กิโลเมตรต่อชั่วโมงอยยู่แล้ว ต่อให้ GPS ยังใช้งานได้อยู่แบบในหนังก็เดินทางได้ไม่เร็วกว่านี้ ต่อให้จ้ำสุดชีวิตก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3-4 วัน ต่อไปเป็นส่วนรื้อฟื้นความรู้พื้นฐานของนักเรียนสายวิทยาศาสตร์นะครับ 1. น้ำท่วมโลก เกิดจากการละลายของน้ำแข็งบนบก ไม่ใช่การละลายของน้ำแข็งบนน้ำ อีกความหมายหนึ่งคือ น้ำท่วมโลกเพราะการละลายของน้ำแข็งขั้วโลกใต้ ไม่ใช่เหนือ ทดสอบได้ง่ายๆ โดยการเทน้ำเปล่าลงในแก้วที่ใส่น้ำแข็งจนเต็ม รอจนน้ำแข็งละลายจะพบว่าน้ำไม่ล้นออกจากแก้ว เป็นเพราะว่าแม้น้ำแข็งจะมีปริมาตรมากกว่าน้ำอุณหภูมิปรกติ แต่ตัวน้ำแข็งเองมีความหนาแน่นน้อยกว่า (ประมาณ 0.9) ดังนั้น เมื่อ น้ำแข็งที่อยู่ในน้ำอยู่แล้ว ละลายกลับไป จึงมิได้เพิ่มปริมาณของน้ำแต่อย่างใด ปัญหาที่แท้จริงคือน้ำแข็งขั้วโลกใต้ ซึ่งเป็น น้ำแข็งบนบกที่ยังไม่ได้ผนวกรวมเข้ากับน้ำ น้ำแข็งบนบกในโลก 90% อยู่ที่ขั้วโลกใต้ (6% อยู่ที่กรีนแลนด์ 4%อยู่ที่อื่นๆ) น้ำแข็งขั้วโลกใต้มีมากขนาดไหน? ทวีปแอนตาร์กติกามีขนาดใหญ่กว่าทวีปออสเตรเลียราวๆ 2 เท่า จุดที่น้ำแข็งปกคลุมมากที่สุดนั้นหนากว่า 3 กิโลเมตร! (ฉากเปิด TDAT ที่เห็นว่ายิ่งใหญ่เหลือเกินนั้น เป็นเพียงหิ้งน้ำแข็งขนาด จิ๊บๆ เองนะครับ) ถ้าละลายน้ำแข็งขั้วโลกใต้ได้หมด น้ำทะเลจะสูงขึ้นจากเดิมประมาณ 70 เมตร แต่ไม่ต้องห่วงครับ ด้วยตำแหน่งละติจูด ถ้าไม่มีดาวหางตกใส่ขั้วโลกใต้หรือภูเขาไฟระเบิดทั้งทวีป น้ำแข็งขั้วโลกใต้ไม่สามารถละลายได้หมดหรอก ความเข้าใจผิดข้อนี้เป็นเรื่องปรกติของมนุษย์ที่มักจะรู้สึกว่า พูดถึง เหนือ ต้องหนาว พูดถึง ใต้ ต้องร้อน ไม่ว่าจะเป็นอเมริกาใต้เอย แอฟริกาใต้เอย ออสเตรเลียเอย แต่ลืมนึกถึงทวีปแอนตาร์กติกา ก็เพราะวิชาสังคมภูมิศาสตร์มันน่าเบื่อและแทบไม่ได้ใช้ในชีวิตประจำวัน ความแตกต่างทางกายภาพของอาร์กติกกับแอนตาร์กติกจึงถูกมองข้ามไป แต่เรื่องที่น่าเป็นห่วงมากกว่าก็คือ อัตราการปลดปล่อยและเผาผลาญพลังงาน ถ้าไม่ลดลงเช่นปัจจุบัน ระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้น แน่นอน 1-2 เมตรใน 2 ทศวรรษหน้า ถ้าปี 2560 กรุงเทพมหานครยังไม่มีโครงการก่อสร้างพนังกั้นน้ำที่สมบูรณ์แบบแล้วล่ะก็ ขอแนะนำ ย้ายบ้านหนีเถอะครับ หมายเหตุ ในข้อ 1 นี้ ผมพูดถึงน้ำแข็งขั้วโลกเฉพาะกรณีผลกระทบต่อการเพิ่มของระดับน้ำทะเลปานกลางเท่านั้นนะครับ ส่วนการละลายของน้ำแข็งขั้วโลกเหนือที่มีผลกระทบต่อความเค็มและการแลกเปลี่ยนประจุของกระแสน้ำอย่างรวดเร็ว จนเกิดคลื่นสึนามิยักษ์ถล่มนิวยอร์กนั้น เป็นอีกปรากฏการณ์หนึ่ง 2. พื้นผิวโลก ประกอบไปด้วยน้ำถึง 70% ระบบการถ่ายเทพลังงานความร้อนเพื่อสร้างสมดุลสิ่งแวดล้อมโลกส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับกระแสน้ำอุ่นและกระแสน้ำเย็นในมหาสมุทร 3. พื้นที่แผ่นดิน 2 ใน 3 ของโลก วางตัวอยู่ในซีกโลกเหนือ จากหลักฐานทางธรณีวิทยาตรวจพบร่องรอยของธารน้ำแข็งในอดีต เคยลงมาต่ำกว่าเส้นละติจูด 40 องศาเหนือ ข้อ 2 กับข้อ 3 นั้นเป็นกลไกของโลกที่เชื่อมต่อกัน (จริงๆ แล้ว ทุกระบบนิเวศในโลกล้วนมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกัน ไม่สามารถแบ่งแยกได้) การที่โลกเรามีอุณหภูมิไม่แปรปรวนมากไปกว่านี้ เป็นเพราะกลไกการถ่ายเทพลังงานระหว่างกระแสน้ำร้อนกับเย็น (การถ่ายเทพลังงานของกระแสน้ำในมหาสมุทร 1 ชั่วโมง เท่ากับพลังงานจากน้ำมัน 400,000 ตัน) ย้อนกลับไปเรื่องภูมิศาสตร์อีกนิด เปิดแผนที่ดูตำแหน่งที่กระแสน้ำเย็นผุดขึ้นมาแทนกระแสน้ำอุ่นที่หมดแรง เช่นฝั่งตะวันตกของอเมริกาใต้ ฝั่งตะวันตกของแอฟริกา ฝั่งตะวันตกของออสเตรเลีย จะมีทะเลทรายอยู่หย่อมหนึ่ง (ที่แต่ละที่ขึ้นชื่อว่าแล้งแบบสุดๆ) โผล่มาประหลาดต่างจากพื้นที่โดยรอบ เป็นตัวอย่างว่าอิทธิพลของกระแสน้ำภาคพื้นมหาสมุทรนั้นมีผลต่อภูมิอากาศภาคพื้นดินสูงขนาดไหน ในหนังได้เปิดประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับ ภาวะโลกร้อน เหนี่ยวนำให้ เกิดยุคน้ำแข็ง เอ ฟังชื่อแล้วดูขัดๆ กันไหมครับ ระบบนิเวศของโลกมันมีความสัมพันธ์กันน่าสนใจแบบนี้แหละครับ และเมื่อระบบนิเวศมัน Crash ไปแล้ว จะทำให้ปรากฏการณ์หลายอย่าง (ที่ปรกติไม่น่าจะเกิดขึ้นพร้อมกันได้โดยความรู้สึกสามัญสำนึกทั่วไป) เกิดขึ้นซ้ำซ้อนกันอย่างโกลาหลอลหม่าน ถ้าจะให้อธิบายถึง Paradox ตัวนี้ โดยตัดสารพัดปรากฏการณ์ข้างเคียงที่แถมมาราวกับสินค้าลดกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์ อย่างง่ายที่สุดก็คือ สภาวะโลกร้อน > เหนี่ยวนำให้น้ำแข็งขั้วโลกใต้ละลาย > ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น > น้ำทะเลที่เจือจางลง ส่งผลกระทบต่อกระแสน้ำอุ่นในมหาสมุทรทางซีกโลกใต้ > ระบบการถ่ายเทพลังงานความร้อนจากซีกโลกใต้สู่ซีกโลกเหนือ ทางกระแสน้ำอุ่นหยุดชะงัก > เกิดการสร้างสมดุลพลังงานใหม่ มวลความเย็นพัดเข้ามาแทนที่ > เริ่มต้นเข้าสู่ยุคน้ำแข็งใหม่ > ระดับน้ำทะเลลดต่ำลง ขั้นตอนดังกล่าวอาจไม่รวดเร็วทันใจเท่าภาพยนตร์ แต่ก็ไม่ต่างจากนี้เท่าไร ( ขั้นตอนท้ายๆ หาดูได้จากวีดีโอสารคดีของ NHK) หมายเหตุ การถ่ายเทพลังงานความร้อนจากซีกโลกใต้สู่ซีกโลกเหนือหยุดชะงักนั้น ไม่ได้แปลว่าโลกไม่มีความร้อนเหลืออยู่นะครับ ความร้อนยังมีอยู่ การที่ซีกโลกเหนือ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผืนแผ่นดิน เข้าสู่ยุคน้ำแข็ง ไม่ได้แปลว่าโลกจะหนาวเย็นไปเสียหมด ตรงกันข้าม จากการที่ระบบถ่ายเทพลังงานความร้อนหยุดชะงัก กลับทำให้ซีกโลกใต้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผืนแผ่นน้ำ ร้อนมากขึ้น แต่ก็เป็นในแนวละติจูดที่แคบกว่าเดิม แม้ประเทศไทยจะรอดพ้นจากน้ำแข็ง ก็มีสิทธ์เจอสภาพอากาศที่ร้อนขึ้น (ยังดีกว่าหนาวตาย หรือเปล่าเอ่ย ?) อีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้โลกเป็นน้ำแข็งหมดก็คือ การเขยิบวงโคจรของโลกออกไปสักเล็กน้อย ครับผม (แข็งหมดแน่) ถ้ามนุษย์มีสติพอที่จะลดการล้างผลาญทรัพยากรธรรมชาติได้จริง กระบวนการนี้อาจจะหยุดอยู่เพียงการเพิ่มของระดับน้ำทะเลเล็กน้อยเท่านั้น แต่ทว่า ระบบนิเวศน์ในโลกใบนี้นั้นเปราะบางกว่าที่หลายคนคิด บวกกับความสามารถในการสร้างสรรค์ (หรือทำลาย ?) อย่างยิ่งยวดรวดเร็วของมนุษย์ จึงไม่มีหลักประกันอันใดว่ามันจะหยุดแค่ขั้นตอนนี้ หลายคนอาจสงสัยว่า Global Climate Shift เกิดขึ้นเร็วอย่างใน TDAT หรือไม่ ขอตอบว่า มีความเป็นไปได้ ครับ การเข้าสู่ยุคน้ำแข็งอาจค่อยเป็นค่อยไป หรือจะเปลี่ยนกะทันหันเลยก็ได้ (แต่นี่คือภาพยนตร์ ไม่ใช่สารคดี ก็เลยมีการตอกไข่ใส่สีให้ดูตื่นตาตื่นใจมากกว่าทฤษฎี) แต่ถ้าจะอธิบายเรื่องการล่มสลายของระบบนิเวศแบบวิชาการ คนอ่านหลับแน่ เลยยกตัวอย่างใกล้ตัวมาดัดแปลงอธิบายแทนก็แล้วกัน สมมุติให้ร่างกายของมนุษย์แทนโลกใบหนึ่ง เส้นเลือดใหญ่เส้นเลือดฝอยแทนระบบนิเวศใหญ่เล็กลดหลั่นกันไปซึ่งล้วนมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกัน ร่างกายนี้บริโภคสารอาหารล้นเกินจนกลายเป็นโรคอ้วน เส้นเลือดฝอยเล็กๆ บางส่วนถูกไขมันอุดตัน (ระบบนิเวศเล็กๆ ที่ถูกทำลาย) แต่เนื่องจากยังมีปริมาณที่น้อยและยังมีเส้นเลือดส่วนที่ดีอยู่ (ระบบนิเวศใหญ่ๆ ที่ไม่ถูกทำลาย) คอยลำเลียงออกซิเจนทดแทน (ค้ำจุนห่วงโซ่อาหาร) ได้อยู่ ร่างกาย (โลก) นี้จึงยังคงดำเนินกิจกรรมต่อไปได้เรื่อยๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ถ้ายังไม่มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค (ทรัพยากร) เส้นเลือดฝอยจะอุดตันมากขึ้นและค่อยๆ ออกไปอุดตันยังเส้นเลือดที่ขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ (ระบบนิเวศย่อยๆ ที่เสียหาย นำมาซึ่งความไร้เสถียรภาพของระบบนิเวศขนาดใหญ่โดยไม่รู้ตัว) เมื่อถึงจุดๆ หนึ่งเกินกว่าจะทนไหว หัวใจมันก็วายตายดื้อๆ ไปเลย เมื่อร่างกาย (ระบบนิเวศ) เสื่อมโทรมถึงขั้นนี้แล้วก็ใช้เวลาเพียง ไม่กี่นาที เท่านั้นที่ทำให้เสียชีวิต เหมือนระบบนิเวศล่มสลาย ปรับสภาพเข้าสู่สมดุลใหม่ เห็นไหมครับว่าเราใช้เวลานับสิบปีบริโภคล้นเกินเพื่อมาเจอกับช่วงเวลาเพียงไม่กี่นาทีหัวใจวาย ถ้าเราบริโภคอย่างเหมาะสม ร่างกายก็จะมีชีวิตที่ยืนยาว แล้วท่านผู้อ่านคิดว่าการถลุงใช้ทรัพยากรโลกอย่างไม่บันยะบันยังใน 2 ศตวรรษล่าสุด จะนำไปสู่ความเจริญยืนยาว หรือความล่มสลายครับ ? โลกที่ถูกล้างผลาญก็ไม่ต่างอะไรไปจากร่างกายมนุษย์ที่ไม่ดูแลรักษา โลกและมนุษย์ล้วนส่งสัญญาณเตือนล่วงหน้า ก่อนจะก้าวเข้าสู่สภาวะวิกฤติ ขึ้นอยู่กับว่ามนุษย์จะยอมลดความสะดวกสบายและใส่ใจในสัญญาณเตือนพวกนั้นหรือเปล่า ไม่รู้สิ ผมคิดว่าตอนนี้สัญญาณเตือนภัยของโลกมันดังขึ้นมาแล้วล่ะครับ หรือคุณๆ คิดว่าอย่างไร ? ปล. ญี่ปุ่น เป็นประเทศที่มีสัดส่วนประชากรวัยเด็ก น้อยที่สุดในโลก (18%) และมีสัดส่วนประชากรผู้สูงอายุมากที่สุดในโลก ดังนั้น ใครที่อยากเห็นสาวญี่ปุ่นหนีน้ำแข็งมาอยู่เมืองไทย คิดดีๆ นะครับ อย่าให้ตัวอย่างสาวญี่ปุ่นในหนัง AV มาบังตาล่ะ อ่านแล้วเป็นยังงัยกันบ้าง คับผม ได้อะไรหลายอย่างเลยมะ ภาวะโลกร้อนในปัจจุบันมันไม่ใช่เรื่องไกลตัวเหมือนที่เราคิดกันแล้ว เพราะฉะนั้น เราควรที่จะเข้าไปและแก้ไขเท่าที่เราทำได้นะคับผม ฝากเรื่องนี้ให้ทุกคนเอากลับไปคิดด้วยคับ credit : Chubby Review ++ _________________ I can make the bad guy good for a weekend. |
Mon Jul 23, 2007 12:35 am | |
Johnny Fever FF>>Member Cool
เข้าร่วม: 03 Nov 2006 ตอบ: 1549 ที่อยู่: Facebook |
เด๋วจะหา รีวิว An Inconvenient Truth มาลงอีกนะคับ
_________________ I can make the bad guy good for a weekend. |
Mon Jul 23, 2007 12:41 am | |
พิม (ลุงนีล) FF>>Member Cool
เข้าร่วม: 30 Oct 2006 ตอบ: 1415 ที่อยู่: อยู่หอจ๊ะ ตลอดปีและชาติ |
กะทู้น่าสงสารชิบหาย
สาระเต็มหน้าไปหมด เอาเป็นว่า ลุงให้กำลังใจไปก็แล้วกัน โอเค ??? |
Tue Jul 24, 2007 2:09 am | |
VJ FF>>Member Cool
เข้าร่วม: 05 Apr 2006 ตอบ: 1989 ที่อยู่: หน้าคอม 555 |
กำลังงงว่าตกลงจะรีวิวหนังหรือยกประเด็นอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม อิอิ ล้อเล่นค้าบ
ดีคับ น่าสนใจดีข้อมูลแน่นปึ้กจนผมตาลาย ฮ่าๆ ตอนนี้ที่ผมพอจะทำได้ก็เวลาซื้อของก็พยายามใช้ถุงหนึ่งใบใส่ของให้ได้มากที่สุด เช่นซื้อหนังสือร้านแรกมา พอมาร้านที่สองก็ไม่เอาถุงเอาหนังสือใส่ถุงที่มีอยู่เดิมหรือซื้อขนมก็เอาใส่ลงไอ้ถุงหนังสือที่ซื้อมาจากร้านแรกนั่นแหละ จนมันไม่มีที่ใส่ ค่อย...หาทางเอาของที่พอจะยัดเข้ากระเป๋ากางเกงได้มาใส่แล้วเอาอย่างอื่นใส่ในถุงใบเดิมแทน เคยเสียใจที่ขายรถใช้หนี้ไป แต่ตอนนี้(แอบปลอบใจตัวเอง) ก็รู้สึกว่า เออ ยืดอกได้ว่ากรูก็ช่วยลดมลภาวะนะ ฮ่าๆ T_T เวลาซาวข้าว ผมก้อเอาน้ำที่จะเททิ้งไปรดน้ำต้นไม้ ขวดเปล่าเหลือใช้จากผลิตภัณฑ์ผมก็เอามาปลูกต้นไม้บ้าง เอามาล้างสะอาดกรอกน้ำไว้ดื่มบ้าง ของเหลือใช้ที่เป็นขยะก็ขายทิ้งแยกประเภท ก็คิดว่าผมก็มีส่วนช่วยในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมนะ อิอิ _________________ |
Tue Jul 24, 2007 9:01 am | |
Johnny Fever FF>>Member Cool
เข้าร่วม: 03 Nov 2006 ตอบ: 1549 ที่อยู่: Facebook |
You're very good ... yeah I glad to say on you ++ _________________ I can make the bad guy good for a weekend. |
Tue Jul 24, 2007 9:05 am | |
เตอเรสสุดหล่อ i love you FF>>Member Cool
เข้าร่วม: 17 Jul 2006 ตอบ: 1728 ที่อยู่: Visible noise Record with Bring me the horizon |
โอ๊ย เฮียคะ คือแบบว่าติดตามรีวิวของทุกคนมานะคะ แต่ว่า นี่เหมือนหนังสือทางวิชาการเล่มหนาๆเลยคะ แต่ว่าเราก็ต้องเริ่มตื่นตัวกับปัญหาโลกร้อนกันได้แล้ว เพราะมันไม่ใช่เรื่องไกลตัวมากอีกต่อไป เมื่อก่อนเรานั่งดูเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิค เนี่ย เห็นน้ำแข็งขั้วโลกละลาย ยังคิดว่า อ้าว ขั้วโลกเหนืออยู่ห่างกับเราตั้งไกล คงจะไม่ถึงเราหรอก แต่มันไม่ใช่อีกต่อไป เราทุกคนเนี่ยเป็นตัวที่ทำให้โลกร้อนทั้งนั้น เราใช้ทรัพยากรธรรมชาติมากมายแบบไม่ทะนุถนอมกันเป็นเวลานานมาแล้ว ถึงเวลาที่ธรรมชาติจะให้บทเรียนกับเราบ้าง เพราะฉะนั้นเรื่องเล็กๆน้อยๆที่เราสามารถช่วยโลกได้ก็น่าจะทำ เช่น ปลูกต้นไม้ ลดการใช้ถุงพลาสติกอะไรทำนองนั้นอะคะ ไม่งั้นอีกไม่นาน the day after tomorrow อาจจะไม่เป็นแค่หนังอีกต่อไป มันอาจจะเกิดขึ้นจริงก็ได้ใครจะไปรู้
ปล. รีวิว อัดแน่นด้วยสาระจริงๆคะเฮีย ว่าไปๆ เฮียนี่ก็....... ชักจะแอบชอบแล้วหละคะ อร๊ายยย เขิน _________________ >>>...Blink 182...<<< |
Tue Jul 24, 2007 10:42 pm | |
Stereosonic FF>>Member ระดับเริ่ด
เข้าร่วม: 26 Feb 2007 ตอบ: 21914 |
กระทู้นี้ได้ใจไปเต็มๆ เนื้อหาแน่นเอียด ไม่ต้องไปติวให้เสียเวลา
_________________ |
Wed Oct 24, 2007 3:06 pm | |
หน้า 1 จาก 1 |
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่ คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ คุณไม่สามารถลงคะแนน |
|