Reviwe Of The Years : Blackout - Britney Spears
ลุงนีล :
Blackout - Britney Spears ( 7.5/10 )
เกริ่นนำ
ปลายศตวรรษที่ 20 ผู้คนทั่วทั้งโลกยังคงตื่นตาตื่นใจกับกระแส Bubble Gum Pop, Boy band, Latin ฯลฯ ที่จัดได้ว่า มาแรงในช่วงนั้นอย่างมาก แต่วงการเพลงก็ยังมีไม้ตายคลอด 4 สาวมหากาฬมาประดับโลกไว้ อย่าง นังแมนดี้ มั่ว นังเจส นังหรี่ และคนที่แข่งขันชิงความเป็นหนึ่งกับนังหรี่อยู่เสมอ นั้นก็คือ นางหอกบริท นั้นเอง ซึ่งปัจจุบัน ก็เป็นคำตอบให้กับคนฟังทั้งโลกได้รู้ซึ้งถึงสถานการณ์ของแต่ละคนได้เช่น นังแมนดี้ มั่วก็เงียบฉี่ นังเจสก็ร้องไห้ไปร้องเพลงไป กินบุญอาศัยซีรี่ย์ตัวเองดัง หรือ นังหรี่ ที่กลายเป็นอีสมทรงยุคใหม่พยายามโซล แต่สำหรับหอกบริทแล้ว ด้วยอนิจสงฆ์ที่ตัวเองมีจุดยืนขายในวงกว้างได้มากที่สุด ก็ย่อมเป็นที่จับตามองสำหรับแฟนคลับอยู่เสมอว่า แม่บริทของตัวเอง จะมีเพลงขึ้น อันดับ 1 BB อีกเมื่อไหร่ เพลงใหม่จะดังเทียบเท่ากับ Baby One More Time อีกหรือไม่ อัลบั้มจะเริ่ดที่สุดหรือเปล่า ซึ่งในขนาดที่คนทั่วไปมักมองว่า หอกเป็นคนดังค้างฟ้า และชอบมีข่าวออกมาอยู่เสมอๆ ก็ถือว่า เป็นเรื่องที่ขายได้ตลอด
จนกระทั่ง จุดหักเลี้ยวครั้งใหญ่ของหอกมาถึง เริ่มจากการเลิกความสัมพันธุ์กับหยอย ซึ่งตั้งแต่นั้นมา พฤติกรรมหอกก็ดูไม่ค่อยเต็มเท่าไหร่ ทั้งการแต่งงาน 56 ชั่วโมง ได้แมงดามาเป็นสามี คลอดลูกสอง รวมถึง อาการจิตหลุดวีนแตก ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยมาก ในช่วงที่คบกับแมงดา และหลังจากหย่าเรียบร้อย แต่ดูเหมือนช่วงนี้ จะเป็นปัญหาให้กับหอกว่า งานเพลงของเธอ และ ชีวิตของเธอ จะกลับมาดีได้อีกหรือไม่ บัดนี้ งานเพลงที่ถูกวิกฤติศรัทธาเสื่อมถอย ตามข่าวที่ออกมา ก็ได้เสร็จแล้ว ในการทิ้งช่วงออกอัลบั้มที่นานที่สุดในชีวิตเธอ
รูปแบบเพลง
โปรดิวเซอร์หลักของอัลบั้มนี้ จะอยู่ที่ Danja สมุนมือขวาของ Timberland ซึ่งดนตรีจะให้ความสำคัญกับอิเล็กโทรนิคยุคต่างๆผสมปนมั่วเป็นส่วนใหญ่และแน่นอน ฮิปฮอป ดังนั้น อัลบั้มนี้ ถือเป็นการสร้าง Credit ให้กับ Timberland ต่อไป นับแต่ดังกับ "Promiscuous" ของ Nelly Furtado ตั้งแต่ปีที่แล้ว สิ่งที่น่าสนใจในอัลบั้มนี้ คือ ดนตรีแบบ 8-Bit ที่เป็นเสียงเกมกด Nintendo ที่เราๆรู้จัก ดังปรากฏใน Gimme More, Piece of Me, ฯลฯ ในขณะที่ ภาพรวมจะเป็นโปรแกรมมิ่งที่ใช้ตามงาน Hiphop หรือ Electronica พรรค์นั้น แต่ในความมั่วของสองแนวหลักๆนี้ ก็ทำให้อัลบั้มนี้ มีเอกภาพที่ว่า เพลงแต่ละเพลงให้ความรู้สึกไม่ต่างกันมากอย่างฟังเพลงแรก Deja Vu แต่เลือกฟัง Irreplacable เป็นเพลงต่อไปประมาณนั้น
ข้อเสีย
ด้วยที่เป็นเอกภาพดังกล่าว ทำให้เกิดความน่าเบื่อมาก เพราะจุดพีคติดหูที่อัลบั้มเร้าให้เกิดความตื่นใจอยู่ตลอดเวลาเหมือนใน In The Zone ดูจะไม่มีในอัลบั้มนี้ ที่ความติดหูแทบจะต้องฟังเกินห้ารอบ แถมกินกาแฟ Espresso 3-4 Shot ไม่เติมน้ำตาลเข้าไปอีก ถึงจะพอจับจุดของแต่ละเพลงได้ ที่ห่วยมากกว่านั้น ก็คือ ความน่าเบื่อของ ซาวน์ Timberland ที่กรอกหูมาปีกว่าๆจนเบื่อแล้ว ทำให้ใครที่ฟังเพลงสากลจะเกิดอาการหน่าย รวมถึงความน่าฟังของอัลบั้มนี้ก็ลดลง เว้นเสียคนที่ฟังจะชอบซาวน์ดังกล่าวอยู่แล้ว
แน่นอนว่า ภาพลักษณ์ของหอกมักนำหน้างานเพลงอยู่ไกลโข ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็ได้กลุ้มใจลุ้นชีวิตเปิดหวอของชีว่า เมื่อไหร่จะทำอย่างเจเน็ตบ้าง แต่เปิดรู ชีก็ทำมาแล้ว โกนผมก็โกนแล้ว ปัญหาที่ตามมาก็คือ มันกลายเป็นผลกระทบให้งานเพลงในอัลบั้มถูกมองข้ามไปอย่างน่าเสียดาย แม้ว่า อัลบั้มนี้ จะไม่ถือเป็นอัลบั้มระดับ Must Have แต่ก็มีความน่าฟังกว่าตามตลาดทั่วๆไป
การโปรโมตและ Present ทำได้แย่เข้าขั้น นับแต่ การแสดงส้นหักกลาง VMA หรือโปสเตอร์ต่างๆ ที่ตอนแรกดูท่าจะมีแค่รูปเดียว รวมถึง หน้าปกอัปยศเชิ่ดหรากลางร้านซีดี และ MV ถุงน่องขาด ซึ่งแสดงถึงความห่วยแตกของโปรดักชั่น Jive ได้เป็นอย่างดี พลางนึกว่า จะรณรงค์ไม่ให้ซื้อซีดีศิลปินค่ายตัวเองสิ้นเรื่องสิ้นราว แค่หน้าปกก็เป็นยันต์ชั้นดี ปลูกเสกกัน แฟนคลับยังกลัวเลย คิดดู
ปัญหาแก้ไม่ตกอีกอย่าง ก็คือ เสียงมันนั้นแหละ อัลบั้มแรกเป็ดยังไง อัลบั้มนี้ก็เป็ดเหมือนเดิม แถมอัลบั้มนี้ ได้เพิ่มดีกรีเสียงกระซิบกระซ่านกำลังสอง กว่าที่ผ่านๆมา คิดๆไป นึกว่า อีนี้ Take ยาอี รวมถึงความไร้พลังของเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ก็ยังคงเหมือนเดิมตามที่บอก แสดงถึงพัฒนาการที่เยี่ยมยอดของชีได้เป็นอย่างดีมากๆ ส่วนใครที่อยากได้ยินการร้องเพลงที่อยากให้เกิดขึ้นอีกอย่าง เพลง "Where Are You Now" หรือ "Everytime" ที่ยังร้องเป็นผู้เป็นคนบ้าง มาฟังในอัลบั้มนี้ก็ลืมไปซะ เพราะขนาด Why Should I Be Sad ก็เหมือนนั่งฟังกอริล่าร้องพึมพำด่าผัว อย่างไงอย่างงั้น เสียกระไรนั้นก็ไม่แย่ทั้งหมด
ข้อดี
เพลงต่างๆในอัลบั้มดูจะทำให้หอกหลุดจากแนวเดิมๆที่ต้องร้องลากเสียงเออออออ อยู่ตลอด อย่างเช่น เพลงจิตป่วง "Radar" ที่เสียงแหลมปึ้ด หรือที่ฟังชัดเจนก็คือ "Toy Soldier" ซึ่งอย่างน้อย หอกก็ได้ลองอะไรใหม่ๆดูบ้าง ถึงแม้ เสียงยัย Lisa "Left Eyes" Lopez จะหลอนหูลุงอยู่บ้าง แต่ก็มีส่วนให้ Blackout ดูไม่น่าเบื่อเกินไปที่ต้องฟังเสียงกระซิบกระซ่านยาว 40 กว่าๆนาทีก็ตาม
ภาคดนตรีในอัลบั้มนี้ ดูจะเป็นจุดแข็งที่โปรดิวเซอร์ตั้งใจเน้นเป็นพิเศษ ตั้งแต่เรื่องบีทที่แน่นเข้าขั้น หรือ โปรแกรมมิ่งที่เสริมต่อ มิกซ์ตั้งแต่ โหลดฟัง Demo จนหลุดออกมาแล้ว แฟนคลับไม่ชอบ ก็ต้องไปมิกซ์ใหม่ ประมาณนั้น แต่ผลสรุปออกมา กลายเป็น อิเล็กโทรนิค ที่มีความสนใจ และพร้อมที่จะเปิดในผับ RCA ร้านไฮโซได้สบายๆ เพลงอย่าง Heaven on Earth ที่เป็นอิเล็กโทรนิคย้อนยุคในแบบน้าไข่ ก็ให้ความรู้สึกเหมือนลอยอยู่ในสวรรค์ได้จริงๆ หรือ Perfect Lover ที่แม้จะให้ความสำคัญกับการร้องท่อนคอรัสของหอกมากกว่าดนตรี แต่ก็ให้ความรู้สึกที่เพลงต้องการสื่อได้อย่างเต็มเปี่ยม จัดว่า อัลบั้มนี้ เป็นโปรแกรมมิ่งเพียวๆ ที่ให้ความสำคัญกับความรู้สึกให้การฟังเพลง เพื่อการตอบโจทย์เพลงที่เพลงต้องการสื่อได้ดีมาก
Tracklist
กินหมี่หมอ ( 9/10 )
หลังจากหอกปัดใส่ไล่ส่งเพลง Umbrella หรือ El! Nin-Yo ให้นักร้องบรรดาศักดิ์ต่ำกว่าเธอไป สิ่งที่เธอควรจะได้รับจากเพลงนี้ ก็คือ บีทที่หนักแน่น และรายละเอียดดนตรีที่ต้องโจ๊ะหมอลำกันเต็มที่ อย่างที่ควรจะเป็น ผลลัพธ์ออกมาก็เป็นที่น่าพอใจในระดับนึงทีเดียว เสียงกระซิบการซ่านของหอกเป็นฐานรองให้ดนตรีตรึงๆๆเร่งให้อาการอยากเต้นบังเกิดขึ้นมา รวมถึงการย้ำคอรัสซ้ำไปมา ในท่อนท้าย ก็ไม่ต่างจาก ปาร์ตี้เฮโรอีนกลางผับตะวันแดง เชกเช่นนั้น ถือว่า เพลงนี้เหมาะสมที่จะเปิดอัลบั้มได้ดี และชวนให้คนฟังเต้นกันไม่รอฟ้าตกกันเลย แต่ฟังไปนานๆ ความน่าฟังที่เปรียบเทียบต่อครั้งแรกดูจะไม่มีความเปลี่ยนแปลงมากนัก เพราะรายละเอียดดนตรีก็จัดว่า ไม่ได้มีชั้นเชิง อย่างที่ Umbrella มี แต่ กินหมี่หมอ ไม่มี นั้นคือ กลองโปรแกรมมิ่ง ที่กินหมี่หมอควรจะใส่เพิ่มเติมในเพลง ซึ่งจะทำให้เพลงดูมีมิติมากขึ้น แต่คิดๆไป ถ้าให้เปลี่ยนดนตรีของ Danja ไปใส่ใน Umbrella สงสัยเพลงดังกล่าวจะไม่ดังเท่าตอนนี้หรอก แต่ก็ถือว่า Danja ทำได้ตามมาตราฐานของตัวเองได้ดี แต่ Jay-Z ก็อาจจะเหมาะกับเพลงแบบนี้กว่าหรือเปล่า
พีช ออฟ หมี่ ( 8 / 10 )
ฟังครั้งแรกก็ชอบเลย กับโปรแกรมมิ่งไฟฟ้าลัดวงจรเลียนแบบเสียงกีต้าร์สาดๆและ 8-Bit โป่งๆ ที่แอบมีท่อนโซโลกับเสียงผิวปากอีก แอบเริ่ดอยู่ พร้อมกับเนื้อหาชวนหยิกปนตบนังหอก ที่จำใจต้องเป็นข่าวขายขี้หน้าประชาชี แต่ก็ยังได้รับการเอ็นดูจากแฟนคลับอยู่เหมือนเดิม เสียงหอก ที่ฟังเหมือนบ่นๆ เพ้อถึงชีวิตน่าลำเค็ญของลูกผู้หญิง แลดูจะรำคาญกับที่มันร้องมากกว่าเนื้อหาเพ้อเจ้อในเพลงซะอีก ส่วนดนตรี แอบย้ำ Line เดิมอยู่ ก่อนมาแก้ตัวในท่อนโซโล่ที่มีลูกเล่นตามที่บอก แต่โดยรวมๆ เข้ากันกับเนื้อหาดี ถึงแม้จุดพีคจะไม่มีในเพลงนี้ก็ตาม
เกย์ด้าร์ ( 6.5/10)
เพลงที่มี Pattern เสร่อๆแบบนี้ มักหาได้ทั่วๆไปของเพลงป๊อปตลาดๆของนักร้องนักรอเพลงเหมือนนังทาทา เป็นต้น นังหอกร้องท่อน Verse1,2 ก็เหมือนท่องกลอนหกแบบเร็วๆ พยายามทำเก๋เข้าไว้ แต่ฟังอย่างไงก็เข็นไม่ขึ้นเหมือนจงใจจะร้องให้มันจบๆไปทั้งงั้น แถมอารมณ์เพลงที่ต้องการสื่อก็ดูไร้ทิศทางสิ้นดี โดยเฉพาะท่อน ลาลาลา ตอนใกล้จบเพลง ก็ไม่รู้ว่าจะร้องมาทำหอกอะไร แต่คงต้องยอมรับว่า เพลงนี้ ดนตรีจัดว่า อ่อนไปหน่อย เพราะคงจะให้ความสำคัญกับการร้องของหอกที่ป่วยเอาการอยู่ไม่น้อย แต่สิ่งที่ดีของเพลงห่วยๆเพลงนี้ คือ ความติดหูของการร้องที่กระแดะตั้งแต่ Bridge มา จนถึง On My Radar รวมถึงท่อน Hi Baby ที่ร้องเหมือนสาวปัญญาอ่อนอัลบั้มแรกเหมือนเดิมจนได้ รู้สึกมันติดอยู่ในสมองอย่างไงก็ไม่รู้ ถึงกล้าพูดได้ว่า จะเกลียดเพลงนี้ที่สุดในอัลบั้ม แต่คงจำอีท่อน On My Radar ว่า ร้องอย่างไงได้แน่นอน
เบรค ดิ ไอซ์ ( 9/10 )
คนที่ร้องเพลงนี้ได้ต้องบรรลุนิติภาวะและต้องเป็นคนที่ใจกล้าพอสมควร เพราะสำนวนสบัดการร้องของเพลงนี้ ช่างมั่นได้ใจมาก ขึ้นต้นมา เอากอฟเพลเก๊ๆมาเรียกหอกอย่างก่ะจะบวชนาคไฟ แถมบอกด้วยน่ะ "ได้เวลาเจ๊แล้ว" ดนตรีตึงๆโป๊ะๆ มีซินนิไซเซอร์เสียงกวนๆ พลางนึกไปว่า หอกเดินเชิ่ดๆแถวปากคลองตลาดแล้วชี้เอาผักเอาเนื้อ ไม่ได้ที่ต้องการก็เรื่องมาก ด่าแม่ค้า ด่าไปด่ามา ตบกันเหมือนละครอั้ม ประมาณนั้น แบบว่า เจ๊จะเชิ่ดอ่ะ มีไรไหม เจ๊สวยอ่ะ ไม่แคร์ใคร... ชอบอารมณ์เพลงแบบนี้อ่ะ แต่คิดๆดู ถ้าเกิดเราเป็นผู้ชายเงียบๆแล้วมีสาวฮอตมาละลายด้วยวีธีต่างๆนี่ คงฝันดีไปหลายวันเลย อิอิ สรุปว่า เริ่ดนะ เพลงนี้ ถ้าเพลงนี้ เป็นของป้าแพตตี้ โลกคงจมใต้น้ำแล้วมั้ง
เฮย์แวน ออน เอิร์ล ( 5/10 )
ยูโรแดนซ์ย้อนยุค เอาแค่ช่วงแรกก็หน้าน้าไข่ลอยมาแต่ไกล แถมดีไซน์เสียงของหอกดูจะเคารพท่านน้าอยู่ โปรแกมมิ่งหน้าเดิมๆที่ขนกันข้ามศตวรรษ ทั้งซินนิไซเซอร์ บีทแตกๆ และLooping อันคุ้นเคย เป็นองค์ประกอบที่ถูกจัดแจงได้สวยงามอยู่ทีเดียว พาอารมณ์เพลงซึมรากแห่งความหลงใหลของเนื้อเพลงและการร้องที่แสดงถึงแก่นความตราตรึงใจแห่งอารมณ์ลุ่มลึก ให้ความรู้สึกหลังเสร็จกิจกรรมดุจประหนึ่งครั้งนี้เยี่ยมยอดที่สุดในชีวิตทีเดียว แต่หารู้ความแน่นอนไม่ ด้วยองค์ประกอบชั้นดีที่หล่อมได้ลงตัวเช่นนี้ กลับปรากฏข้อด้อยอย่างเลี่ยงไม่ได้ เช่น ความลอยของเพลงที่ไร้ซึ่งความหนักแน่นของดนตรีปรุงแต่งอยู่ในระดับ มั่ว ไปหน่อย สักแต่บรรจุในเพลงพรรค์นั้น และเสียงร้องของหอกก็ขาดการเน้นคำ แม้นรู้ว่า จุดพีค มันไม่มีแล้ว รู้สึกยังเมายาเหมือนเดิม ถ้าหากคนทั่วไปฟัง คงจะมองข้ามไป เพราะองค์ประกอบมันดีอยู่ แต่ข้อด้อยชวนน่าหลับเป็นยิ่งนัก
เก็ท แน็ต ( ไอ กอด อะ แพน ) (3.5/10)
รสสูตร Timberland หนักมากสุดในอัลบั้มนี้ จนใครที่ชอบ สงสัยต้องบินไปจดทะเบียนสมรสกับอี Timberland ได้แล้วกระมัง หลังจากนังหอกรีเควสอยากได้เพลงมันส์พี้ยาเกินกำลัง แต่คงจะไม่รู้ว่า เป็นเพลงตกทอดมาจากไอ้หยอย อารมณ์เลยดูๆป่วงไปมากซะ จนน่าเป็นห่วง ทั้งๆที่ หากเพลงนี้ หยอยร้อง ก็จะฟังเหมือน หนุ่มคาสิโนว่า ชวนสาวเล่นจั้กจี้ แต่เป็นหอกอย่างที่ฟังกัน นึกว่า อีบ้าที่ไหน มาชวนแก้ผ้ากลางกรงลิงในเขาดิน ประมาณนั้น โปรแกรมมิ่งลอยๆ คงจะคิดไม่ถึงว่าอนุภาพเสียงหอก จะพาเพลงลอยมากจนความน่าฟังจะเลยเถิดไปขนาดนั้น รวมถึงเสียงคอรัส น่ารำคาญก็ถูกใช้กับศิลปินที่ไม่เหมาะสมกับตนเข้าไปอีก พาความรื่นรมย์ในการฟังจมดิ่งถึงระดับทะเลเดียวกับระดับซากเรือไททานิคจมนั้นแหละ จะให้ดี คงต้องฟังตอนอยากให้ตัวเองเมาโดยที่ไม่โด๊ปยาอะไรมั้ง คงจะแปลกๆดี แต่มันไม่เพราะเลย ใครให้คะแนนเยอะก็พิจารณาตัวเองได้
ฟรีแมนโชว์ ( 7/10 )
เสาหลักของเพลงนี้ อยู่ที่ การเรียบเรียงทำนอง ซึ่งมาถึงจุดนี้ อัลบั้มที่ขายดนตรีและการมิกซ์ก็ดูไม่มีบทบาทมากเท่าไหร่ในเพลงนี้ ดังนั้น หากใครจะบอกว่า เพลงนี้ ฟังไม่เข้าหู หรือห่วยก็ตาม ก็จะแบ่งเป็นสองกรณี คือ คนฟังจะคิดว่า หอกร้องอะไรไม่รู้เรื่อง แปลกเกิน รู้สึกไม่เข้าหูชอบกล กับ ภาคดนตรีจะอ่อนมาก เรียกว่า เพลงนี้ เข้าหูไม่เข้า ก็วัดกันไปเลย กับภาคเรียบเรียงที่หลายคนค่อนข้างส่ายหน้าพอสมควร แต่ส่วนตัวชอบน่ะ ออกจะเด่นมาก เพราะละเมียดคล้ายการเรียบเรียงของพวกอิเล็กโทรนิคก้า ที่เคยรู้จักและชอบมาก่อน เห็นหอกร้องแบบนี้ ครั้งแรกก็ตรบมือกันยกใหญ่ และเพ้อเจ้อถึงขนาดเอาเป็นซิ้งเกิ้ลที่สองไปเลยดีกว่า แต่วางเป็นกลาง มันก็เป็นอย่างที่ว่า ทำให้คะแนนในสำนักนี้ ค่อนข้างมากหน่อย เพราะชอบในสไตล์การเรียบเรียงทำนองแบบนี้อยู่แล้ว แต่ก็คงไม่แปลก หากคนอื่นจะยกให้เป็นเพลงห่วยที่สุดในอัลบั้มนี้ แต่
ก็มันชอบนี่
ทอย โซเจอร์ ( 8/10)
เป็นธรรมเนียมของเพลงที่มีคำว่า ทหาร จะมีจังหวะ March ประกอบด้วย แต่ยอมรับว่า ตอนแรก นึกว่า เพลงนี้ จะ Cover ยัย Martika มาอีกราย แต่ผิดคาด ดนตรี บีทแรงๆไม่อ้อมค้อม เข้ากับจังหวะ March หยั่งก่ะยืนกลางสงครามเอธิโอเปีย ส่วนเนื้อหา หอกก็ไม่มีอะไรมาก แค่ต้องการผู้ชายถึกๆ ปราศจากของเล็กๆ อ่อนแอ ไม่เร้าใจ รวมถึง ทีเด็ดในเพลง คือ การร้องยานๆ ท่อน Verse ก่อนใส่เต็มแรงกับท่อนฮุค บางทียังคิดว่า แรงกว่าตอนร้อง I Love Rock n Roll ท่อนฮุคอีก ผสมผสานได้เพลงมันส์ๆ เต้นสนุกๆ อีกเพลงแบบไม่ต้องคิดมาก เว้นแต่ ฟังเนื้อหาก็ต้องเข้าใจหอกหน่อยน่ะ ว่า หอกต้องการแบบนั้นจริงๆ ไม่ใช่ขนาดแบบหยอย
แข็งยั่งก่ะร้อน (7.5/10)
ความน่าผิดหวังมาก่อนเป็นอันดับแรก เมื่อฟังรอบแรกเสร็จ พร้อมกับเห็นโปรดิวเซอร์ของเพลงนี้ T-Pain ซึ่งเห็นแล้ว อาจจะบอกว่า เป็นงานที่ออกมาไม่สวยนัก เมื่อเทียบกับดีกรีที่เพลงควรเป็นฮิปฮอปโยกมันส์ๆ แต่ไม่ใช่ปัญญาอ่อนแบบนี้ ฟังๆแบบไม่คิดมาก ก็ถือว่า ติดหูดีน่ะ สนุกดี แต่ดนตรีมันตลกไปหน่อย คือ กลองโป๊ะๆซึ่งๆ อีกนิดเดียวก็จะเหมือน El-Nin Yo แล้ว ซินนิไซเซอร์ ก็ดูตลาดๆไปหน่อย เลยรู้สึกว่า แต่เทียบกับระดับ Heaven on Earth กับเพลงนี้ เพลงนี้เต้นใน MV ทาทา คงจะส่ายหัวได้พอๆกัน แต่ค่อนข้างไร้รสนิยมไปหน่อยสำหรับหอก แต่ก็ถือว่า ไม่เป็นปัญหามาก เพราะเพลงนี้ อยู่ในแทร็กหลังๆของอัลบั้ม เหมือนกับอัลบั้ม Britney ที่เพลงนางซิน ค่อนข้าง RCA เหมือนกัน เพลงมันส์จ๊ะ แต่มันบอกรสนิยมได้ว่า พอๆกับเสื้อผ้าที่หอกใส่อยู่เลย อัลบั้มแบบนี้ ไม่น่าจะมีเพลงแบบนี้แล้วน่ะจ๊ะ จำไว้ ทำเพลงดีดี มันไม่ยากสำหรับหอกอยู่แล้ว แต่ล้าหลังแถมไม่เหมาะไปหน่อย แค่นั้นแหละ
อู้วววว เบบี้ ( 5/10 )
มันมาอีกแล้ว อีเสียงหัวเราะจากกินหมี่หมอ ตอนต้นๆ แต่คราวนี้ แอบไฮโซกว่า ด้วยกีต้าร์สแปนิช มาแบบอีหรอบเดิมกับ Like it or Not ของเสด็จของมิปาน แต่รายนั้น จะออกไปทางซิลลี่ และดูไฮโซกว่า ในขณะที่อีหอก กลับมาแก้ตัวด้วยการเป็นเพลงที่ร้องรู้เรื่องที่สุด ไม่มีบ่นวู้ว้าวกระซิบกระซาบ จนฟังแทบไม่ออกว่า บ่นอะไรอยู่ สงสัยตอนอัดเพลงนี้ เพิ่งได้สิทธิคุ้มครองลูกมาดูแลมั้ง เลยรู้สึกหอกจะร้องเพลินกว่า หลายๆเพลงในอัลบั้มนี้ อารมณ์เพลงที่เนื้อหาเพลงส่วนใหญ่ในอัลบั้มที่เน้นไปทางชื่นชมผู้ชายและเหมือนฉันต้องได้แท่งอยู่ตลอดเวลา กลับกลายเป็นสาวขี้เล่น ลดอายุหอก เหลือประมาณช่วง Oop I Did it Again ที่หอกใส่ความสุขไปในเพลงอยู่เต็มเปี่ยม ไม่จิตหลุดเหมือนตอนนี้ กีต้าร์สแปนิชคลอตามตลอดเพลงไม่ให้หลุดคอนเซ็ปต์ กับโปรแกรมมิ่งยกจังหวะที่ฟังดูเข้าท่า ก็ถูกเล่นให้เพลงมีความสมบูรณ์ไม่ป่วงเหมือนเพลงอื่น แต่แน่นอนว่า จุดเด่นที่น่าจดจำในเพลงนี้ แทบจะไม่มี กีต้าร์ก็ไม่ได้มีส่วนดึงอารมณ์เพลงให้เร้าใจหรือมีจุดขายเท่าที่ควร ฟังไป ง่วงนอนไป เพลงต่อไปดีกว่า
เพอร์เฟ็ค เลิฟเวอร์ ( 8/10 )
เพลงนี้เป็นเพลงที่เซ็กซี่ที่สุดในอัลบั้มตามความเห็นส่วนตัว เปี่ยมไปด้วยลูกเล่นของคอรัส เสียงหอก และซินนิฯวูบวาบขึ้นไปมา เหมาะกับเปิดตามแฟชั่นโชว์ เป็นอย่างยิ่ง ส่วนอื่นๆเช่น การเรียบเรียงก็ไฮโซเหลือทน นึกถึง การเปลี้ยงผ้าทีละน้อย เผยส่วนเว้า และรู้สึกว่า มันสุดยอด แม้ว่า ยังไม่ได้เปิดหวอหรือเปิดของส่วนตัวใดๆเลย เสียอย่างที่เพลงนี้ ควรจะมีบีทที่แรงๆเหมือน BTI ไปเลย ก็ดูจะไม่เลว ถึงขณะตัดเป็นซิ้งเกิ้ลและมี MV ถ่ายที่น้ำตกเอราวัณแต่ล้อมรอบไปด้วยผู้ชายและผู้ชาย ก็คงจะดี แต่เพลงที่มีการจัดองค์ประกอบดี ก็เหมาะดีในแง่จัดในแหร็กหลังๆ เพราะคอนเซ็ปต์ของหอก คือ ป่วงเข้าไว้ หอกไม่สน ในขณะที่ เพลงนี้ ไม่ป่วงเหมือนคอนเซ็ปต์ แล้วยังร้องได้เนือยๆไปหน่อย ดูยังไงก็ไม่เหมาะกับหอกอยู่แล้วที่จะตัดเป็นซิ้งเกิ้ลเหมือนที่ผ่านๆมา โดยรวม ถือว่า เพลงนี้ สติดีพอๆกับ อู้ว เบบี้ อันนี้ขอชื่นชม หรือ ท่อนฮุคที่เซ็กซี่ได้ใจ รู้แล้วว่าหอกฮอต ก็ถือว่า เป็นเพลงดีอีกเพลงที่หอกทำได้ดี
วาย อาย ชู้ต บี แซ้ ( 7.5/10)
ฟาแรล เป็นเพื่อนคู่คิดของนังหอกมาตลอด ตั้งแต่ตัวเองสามารถสร้างชื่อใน Im Slave 4 เพลงนี้ ก็ถือว่า เป็นการกลับมาร่วมงานอีกครั้งของทั้งคู่ หลังจาก In The Zone ไม่ได้เรียกใช้บริการ ทิ้งช่วงไปอัลบั้มนึง จังหวะและดนตรีคุ้นเคยของฟาแรล ที่เคยดังแบบสุดใครจะต้านทาน ร่ายเสน่ห์สไตล์ R&B ให้หอกร้องระบายอารมณ์กับเนื้อหาแอบน่ากลัวเล็กน้อย จากคนที่เลวและติดใจในเวลาเดียวกันของหอก เหนือสิ่งอื่นใด เพลงนี้ก็เป็นตัวแทนบอกลาโดยสมบูรณ์กับแมงดาและความสัมพันธ์ที่ทิ้งไว้เดิมพันกับลูกทั้งสองและเงินของหอก รวมถึงเหมาะสมที่จะปิดอัลบั้มได้ดีที่สุดด้วย ท่อน Good Bye ก็ดูจะสรุปเนื้อหาได้ไม่ยากว่า หอกคิดอย่างไงกับชีวิตหอก แต่คงจะดีกว่าไหม ถ้าตัวเองร้องท่อน Britney Let Go เอง เพราะให้ฟาแรลร้องเหมือนเธอต้องพึ่งพาคนอื่นต่อไป นั้นแหละปัญหาของหอก เพราะหอกยังคิดเองไม่ค่อยเข้าท่า ก็หวังว่า หอกจะดูแลตัวเอง ดูแลชีวิตลูกให้ดี ร้อง ซัมเดย์ หอกจะเข้าใจ ตอนนี้ ยังไม่เข้าใจอีกหลอ หัดดูตัวเองได้แล้วมั้ง ใครๆก็ห่วงนา
MV (เอ็กทาร์)
กินหมี่หมอ (-99/10)
แก่นสารของเอ็มวีนี้ ก็ไม่ต่างจากเอ็มวีทั่วๆไป เสียเท่าไหร่ แต่ความน่าสนใจของเอ็มวีนี้ นอกจากจะไม่มีเนื้อเรื่องเป็นเรื่องเป็นราว (ก็เนื้อเพลงเป็นอย่างงั้น จะให้หอกทำไง ?? ) ท่าเต้นก็ไม่มี ( หอกโยกแล้ว ไม่เรียกว่า เต้นหลอ หอกประหยัดงบน่ะคร่ะ ) ถุงน่องก็ขาด ( หอกมองไม่เห็นคร่ะ หอกไม่รู้ ) เทคนิคก็ไม่มีอะไรเด่น ( ตัดภาพไปมา ก็ไฮโซสำหรับหอกแล้วคร่ะ ) โทนสีดำก็ชวนง่วง ( ลึกลับดีออกคร่ะ) เลือกสถานที่ใช้อะไรคิด ( เออ บ่นอยู่ได้ ) อ้วนก็อ้วน ( ลดไม่ทันนี่คร่ะ ) ตัวประกอบมาทำหอกอะไร ( เพื่อนๆเค้าอยากมันส์เองคร่ะ ) ฉากตัดผมบลอนด์สวยๆเอามาเติมเวลาให้เต็มใช่ไหม ไม่เห็นเกี่ยวกับเพลงเลย ฯลฯ เอ็มวีนี้มีความพิเศษก็คือ ... ห่วยกว่าของ AF ไง น่าดีใจไหมล่ะ ออกจะให้คะแนนดีสุดๆแล้วน่ะ วันหลังก็ทำให้ดีเข้าไปอีกสิ จะรอของ พีช ออฟ หมี่ หวังว่า จะดีกว่านี้น่ะจ๊ะ เว้นว่า เพราะผมบ๊อบสวยน่ะนั้น
บทส่งท้าย
ในเวลานี้ ก็ไม่รู้ว่า จะมีอะไรให้ทิ้งท้ายมากมายหรอก เพราะบอกไปเยอะแล้ว เมื่ออัลบั้มนี้ เป็นโอกาศพลิกวิกฤตของหอกได้ดีที่สุด เพราะหอกทำเพลงได้เหนือกว่าเพลงป๊อปกะโหลกกะลาตลาดปัจจุบันอยู่โดยตลอด และเป็นจุดแข็งที่สุด ที่จะต่อกรกับกระแสปัจจุบัน แต่บางที หอกต้องฉลาดบ้างในเรื่องควบคุมอารมณ์ยามเมื่อเวลาต้องแสดงต้องระวังตัวมาถึง แนะนำว่า หาหมอ Phil หรือหมอจิตแพทย์ ก็จะทำให้ชีวิตสุขขีราบรื่นขึ้นนะหอก เกิดสื่อ discredit มาจะหนักกว่านี้นะหอก สำหรับใครที่ยังลังเลว่า ซื้ออัลบั้มนี้ดีไหม ก็ดีน่ะ คุ้มค่า แม้ว่า จะน่าเบื่อบ้าง แต่ฟังเป็นเพลงๆจะดีกว่าฟังรวดเดียว เอาแบบนี้ พูดอีกรอบแล้วกัน ว่า ขอให้หอก through the rain ไปได้แล้วกัน โชคดีน่ะจ๊ะ จุ๊บๆ
***หมายเหตุ : แทร็กอื่นอย่าง Outta This World, Stace of Grace, Get Back, Everybody ฯลฯ รีเควสอยากให้เขียนเพิ่ม ก็บอกมาน่ะจ๊ะ
Da Nastina :
Britney Spears : Blackout : 3.5/5
รูปแบบเพลง
Blackoutคือการกลับมาทวงบัลลังก์เจ้าหญิงเพลงพ็อพครั้งใหม่ของบริทนีย์ สเปียร์สพร้อมกับงานดนตรีพ็อพที่มีพัฒนาการขึ้นจากเดิมมาก ซึ่งภาคดนตรีของงานชุดนี้ยืนพื้นที่แดนซ์-พ็อพเสริมทัพด้วยภาคดนตรีที่หลากหลายอย่างอาร์แอนด์บี อิเล็คโทรนิค คลับแดนซ์ เทคโนและฮิพฮอพได้อย่างลงตัว ภาพรวมของอัลบั้มถูกกลั่นกรองออกมาเป็นงานพ็อพเต้นรำที่ค่อนข้างมีเอกภาพดำเนินไปในทิศทางเดียวมากขึ้น รวมถึงความชัดเจนและความแรงของตัวงานมาในระดับที่เหนือกว่าอัลบั้มก่อนหน้านี้ค่อนข้างมากโดยส่วนตัวรู้สึกว่าเป็นอัลบั้มที่ภาคดนตรีมีความน่าสนใจมากที่สุดแล้วในทุกงานของเธอ
จุดด้อย
แม้ว่าBlackoutอาจจะเป็นอัลบั้มที่ภาคดนตรีลงตัวและเหนือระดับที่สุดของบริทนีย์แต่อย่างไรก็ตามเดี๊ยนไม่แน่ใจว่าจะสามารถเรียกอัลบั้มนี้ได้ว่าเป็น "อัลบั้มที่ดีที่สุดของเธอ" ได้อย่างเต็มปากหรือไม่ กล่าวคือ ถึงแม้ว่าจะมีหลายแทร็คที่ค่อนข้างแรงและสมบูรณ์แบบมากๆ (โดยเฉพาะครึ่งแรก) รวมถึงแสดงให้ผู้ฟังเห็นถึงพัฒนาการทางดนตรีที่ก้าวไปในระดับที่สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดของเธอแต่สำหรับเดี๊ยนนี่ไม่ใช่อัลบั้มที่จะสามารถเปิดฟังได้ตลอดรอดฝั่งทั้งชุดเนื่องจากมีบางเพลงที่ฟังแล้วทำให้เดี๊ยนรู้สึกว่า "เธอยังไปไม่ถึงจุดที่จะเรียกว่าดีที่สุดจริงๆ" แม้ว่าเพลงที่แย่จะเป็นส่วนน้อยในอัลบั้มก็ตามแต่เมื่อย้อนกลับไปฟังอัลบั้มก่อนหน้านี้ของเธอจะเห็นได้ว่าไม่มีอัลบั้มไหนที่สมาชิกส่วนเกินของเธอให้ความรู้สึกที่น่ารังเกียจเท่าอัลบั้มนี้มาก่อน นึกแล้วเสียดายนะคะเพาะก่อนหน้านี้ได้ฟังเดโมหลายๆเพลงของเธอที่ไม่ได้นำมารวมในอัลบั้มนี้อย่าง Get Back,State Of GraceหรือBaby Boyซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้แค่เพียงแทร็คเดียวมีศักยภาพสูงกว่าแทร็ค7-10รวมกันเสียอีก ซึ่งแน่นอนคงไม่ต้องสาธยายให้มากความว่าสมควรจะนำมาใส่ในอัลบั้มมากกว่าเพลงเหล่าดังกล่าวแค่ไหน
ป.ล. หล่อนนี่มีกรรมนะคะเพลงดีมากแท้ๆแต่ไม่ยักจะทำให้มันดีทั้งอัลบั้ม
อีกประเด็นที่เคยเกริ่นไว้ตอนรีวิว In The Zone คือในส่วนของ "พฤติกรรมในปัจจุบันของบริทนีย์" ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องส่วนตัวก็ตามแต่ก็ต้องยอมรับนะคะว่ามีผลกระทบต่อฐานแฟนเพลงของเธอมากแน่ๆแม้ว่าฐานแฟนคลับเธอจะกว้างและแข็งกว่าศิลปินหญิงหลายๆนางก็ตามแต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่ามีแฟนเพลงกลุ่มหนึ่งทีหมดศรัทธาและความสนใจในตัวเธอซึ่งบางคนถึงขั้นหันหลังให้ไม่เป็นแม้กระทั่งขาจรเลยทีเดียวก็มี (แล้วผู้ฟังคนอื่นๆที่ไม่ใช่แฟนเพลงเธอล่ะจะคิดอย่างไร) อย่างไรก็ตามนี่อาจจะไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวลที่สุดสำหรับเธอเนื่องจากแฟนคลับที่ยังรักและพร้อมที่จะติดตามให้กำลังใจเธอทุกฝีก้าวไม่ว่าเธอจะเหลวเป๋วเละเทะขนาดไหนก็ตามก็ยังมีอยู่อีกเกินค่อนโลกยิ่งไปกว่านั้นอย่างที่รู้ๆกันอยู้ว่าชื่อ บริทนีย์ สเปียรสได้กลายเป็นแบรนด์ติดตลาดโลกไปแล้วไม่ว่าจะย่างก้าวไปไหนจะทำอะไรกมีแต่คนหันมาสนใจหยิบมาเป็นกระแสทั้งนั้นตั้งแต่สะก๊อยไทย ยัน วงการมวยปล้ำเลยนั่นแหละนับประสาอะไรกับเรื่องการออกอัลบั้ม ระดับนี้แล้วไม่มีทางหรอกที่จะไม่มีใครสนใจเลยสักคนจริงมั้ย มาถึงตรงนี้แล้วคงจะพอสรุปได้แน่นอนว่ายังมีผู้ฟังหลายท่านที่จะยังคอยหนุนหลังเธออยู่ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวเธอมากกว่าว่าจะสามารถกลับมาสร้างแรงผลักดันตัวเองได้มากเท่าเดิมหรือไม่ สปิริตที่ยังฝังอยู่ในตัวจะสามารถเปลี่ยนออกมาเป็นความตั้งใจที่จะทุ่มเทและโปรโมตงานให้โลกเป็นปรากฏการณ์ที่พัดพาให้โลกทั้งใบหยุดชะงักกับเธอได้เช่นเดิมหรือเปล่า ความสำเร็จมันอยู่ตรงหน้าเธอแล้วค่ะขึ้นอยู่กับว่าเอจะยังไม่สูญสิ้นศรัทธาที่จะยื่นมือออกไปคว้ามันไว้หรือเปล่า
ซิงเกิ้ล
Gimme More (5) ซิงเกิ้ลแรกที่ขึ้นสูงถึงอันดับ3บนบิลบอร์ดชาร์ตซึ่งถือว่าเป็นเพลงที่ทำอันดับได้สูงที่สุดเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์การทำเพลงของบริทนีย์บนฝั่งอเมริกา มาที่ตัวเพลงภาพรวมยืนพื้นที่แดนซ์-พ็อพ อิเล็คโทรคละเคล้ารูปแบบการนำเสนอแบบคลับแดนซ์ อาร์แอนด์บีเทคโนและพ็อพแทรนซ์บางๆได้อย่างลงตัว ส่วนตัวรู้สึกว่าค่อนข้างจะเนิบนาบและโฉ่งฉ่างน้อยที่สุดในบรรดาซิงเกิ้ลเปิดตัวทั้งหมดของเธอ แต่อย่างไรก็ตามในเรื่องของพัฒนาในการนำเสนออย่างมีชั้นเชิง ความลงตัวและความล้ำลึกของภาคดนตรีที่ทำให้เดี๊ยนต้องคำนับซิงเกิ้ลนี้ในฐานะซิงเกิ้ลที่ดีที่สุดของเธอ สมบูรณ์แบบในหลายๆด้านจนไม่อยากจะหาเรื่องหักคะแนนเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังเป็นบทพิสูจน์ตัวเธอได้ชัดเจนว่ามาถูกทางและมาได้แรงเหนือเมฆเหนือระดับกว่าหลายๆนางที่เคยรวมหัวกันครหาเธอไว้
Piece Of Me (5) ต๊ายยยย!เริ่ดมากๆค่ะ ฟังครั้งแรกตบอกผางเลยว่า "ตายแล้ว!ต้องให้มันได้อย่างนี้สิบริทนีย์" เพิ่งรู้นะคะเนี่ยว่าจะเป็นซิงเกิ้ลที่สองจริงๆ ภาคดนตรีเป็นอิเล็คโทรนิคพ็อพเสริมทัพด้วยสรรพสำเนียงอาร์แอนด์บีฮิพฮ็อพและแดนซ์ ส่วนตัวฟังแล้วรู้สึกถึงอิทธิพลที่ได้รับจากมาดอนน่าอย่างเด่นชัดเลยเพียงแต่ประทับใจที่ครั้งนี้บริทนีย์เลือกที่จะนำเสนอในรูปแบบที่มีความเป็นตัวเธอเองมากกว่าจะติดอยู่ใต้อิทธิพลของมาดอนน่าไปทุกอย่าง แม้ว่าความเก๋ล้ำและความแรงจะสู้เพลงอีเจ๊แม่ไม่ได้แต่โดยส่วนตัวเห็นว่าบริทนีย์ทำออกมาได้ลงตัวและเข้าถึงง่ายกว่ามากๆเลยทีเดียวนะคะ ส่วนตัวเห็นว่าเป็นเพลงที่ภาพรวมแรงที่สุดของอัลบั้มนี้แล้ว
แทร็คอื่นๆ
ประกาศเจตนารมณ์ในการกลับมาทวงความเป็นที่หนึ่งได้อย่างดีด้วย Break The Ice (4.5/5) แดนซ์-พ็อพ อิเล็คโทรเจือสรรพสำเนียงเทคโนและอาร์แอนด์บีฮิพฮอพรวมถึงหยอดลูกเล่นกอสเพลแซมเข้ามาในตัวเพลงด้วย เก๋มากๆ แม้ส่วนตัวจะประทับใจเวอร์ชั่นเดโมมากกว่าแต่เมื่อฟังนานไปแล้วเริ่มรู้สึกว่าเวอร์ชั่นมีเสน่ห์และเซ็กซี่ไปอีกแบบที่สำคัญความมีมิติในภาคดนตรีถือว่าสูงขึ้นมากๆ เรียกได้ว่าภาพรวมเหนือระดับกว่าแทร็คเต้นรำหลายๆแทร็คก่อนหน้านี้ของเธออย่างกินขาดเลยทีเดียว เชื่อว่าถ้าตัดเป็นซิงเกิ้บมีสิทธิ์สูงมากที่จะดังและได้รับการต้อนรับอย่างดีจากผู้บริโภคหลายฝ่ายแน่นอน มาที่ Radar (2.5/5) จากสูงสุดคืนสู่สามัญทันที ตัวเพลงเป็นพ็อพเต้นรำเจืออาร์แอนด์บีและบีทอิเล็คโทรนิคไม่เถียงค่ะว่าฟังแล้วติดหูชะงัดในรอบแรกเลยแต่ส่วนตัวคิดว่าเมื่อเทียบกับเพลงอื่นแล้วมันค่อนไปทางน่ารำคาญและเสร่อเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามก็เป็นควมเสร่อที่มีชั้นเชิงขึ้นมากกว่าจะเสร่อแบบกะโหลกกะลากระเปิ๊บกระป๊าบแบบก่อนๆนะคะ ต่อด้วย Heaven On Earth (4/5) เปิดตัวด้วยบีทไซคลีเดลิกพ็อพหนักๆตึ๊บๆก่อนที่จะมิกซ์ผสมผสานเป็นแบ็คกราวนด์กับเข้ากับภาคดนตรีอื่นๆ ภาพรวมของเพลงนี้ถ่ายทอดบนความเป็นพ็อพเต้นรำอ่อนๆเจือด้วยอารมณ์อาร์แอนด์บีพ็อพหวานๆที่ตบเข้ากับบีทนิวเวฟดิสโก้ที่เป็นพื้นหลังลอยละล่องทั้งเพลงได้อย่างลงตัว ผลลัพธ์ออกมาอบอุ่นน่ารักมากๆส่วนตัวคิดว่าเป็นแทร็คที่เพราะที่สุดในอัลบั้มแล้วนะ มาที่ Toy Soldier (2/5) ฟังเสียงหล่อนในเพลงนี้เล่นเอาเดี๊ยนปล่อยก๊ากเลยทีเดียว ประสาทแดกสุดๆแต่ฟังไปฟังมาก็ทำให้คิดถึงสรรพสำเนียงการแร็พของเจ๊เกว็น สเทฟานี่เหมือนกันนะคะนอกจากนี้เดี๊ยนยังประทับใจภาคดนตรีที่ผสมผสานฮิพฮอพอาร์แอนด์บี แดนซ์ เรโทร อิเล็คโทรนิคและจังหวะสวนสนามลงสู่ความเป็นพ็อพได้อย่างโกลาหลสุดๆ ฟังไปนานๆก็อุบาว์ก็กลายเป็นเก๋นิดๆโดยปริยายแต่เสียงคุณพี่เน่าอลังการเหลือที่คุณน้องจะรับมากๆค่ะ มาที่สองแทร็คที่สำหรับเดี๊ยนเห็นว่าป่วยสุดๆแล้วในอัลบั้มนี้กับ Hot As Ice (1.5/5) กับ OOh OOh Baby (1.5/5) เลือกที่จะไม่พูดถึงนะคะเนื่องจากไม่ก่อให้เกิดแรงบันดาลใดๆให้เขียนสรรเสริญ ต่อด้วย Perfect Lover (3) พ็อพอาร์แอนด์บีเต้นรำที่บริทนีย์สามารถนำเสนอได้น่าฟังตามมาตรฐานของเธออยู่แล้ว ส่วนตัวเห็นว่าไม่มีอะไรแตกต่างไปจากเพลงเต้นรำก่อนหน้านี้ของเธอมากแต่สำหรับเดี๊ยนเมื่อทนฟังตั้งแต่แทร็คที่7ลงมายัน10ติดต่อกันแล้วขอเทิดทูนให้ยิ่งกว่าสวรรค์เลวทีเดียว เฮ้อ เลวร้ายแบบไม่เคยพบเจอ
มาที่ Get Naked (I Got A Plan) (4.5/5) ไม่เขียนถึงมิได้นะคะ ส่วนตัวคิดว่าเป็นแทร็คที่ภาคดนตรีและการนำเสนอเก๋เป็นแนวหน้าของอัลบั้มเลยทีเดียว ตัวเพลงเป็นเออร์บันพ็อพกึ่งคลับแดนซ์ผสานฮิพฮอพอาร์แอนด์บีและอิเล็คโทรนิคได้อ่างมีชั้นเชิง ฟังแล้วนึกถึงบางแทร็คในอัลบั้ม Futuresex/Lovesounds ของจัสตินอยู่เหมือนกัน เซ็กซีและล้ำลึกสุดๆ แทร็คถัดไป FreakShow (2) เคยมีข่าวลือว่าจะได้เป็นไทเทิ่ลแทร็คก่อนหน้านี้นะคะ ตัวเพลงเป็นพ้อพอิเล็คโทรนิคบนสรรพสำเนียงแร็พแล้วตบด้วยบีทเต้นรำ อาร์แอนด์บีและฮิพฮอพอ่อนๆ ดนตรีแน่นดีค่ะแต่ว่างั้นๆแหละ ปิดอัลบั้มด้วย Why Should I Be Sad (3.5/5) แทร็คส่งท้าย เริ่ดนะคะภาครวมเป็นพ็อพอาร์แอนด์บีติดลูกเล่นกอสเพลและโซลแบบเบามากๆในตัวเพลงภาคการร้องเก๋มาในแนวเหมือนจะนำเสนอเป็นบัลลาดแต่ดนตรีกับเป็นอัพบีทเสียนี่ ค่อนข้างแปลกหใหม่พอตัวอย่างน่าชื่นชมในงานของเธอเลยทีเดียว
สรุป
สำหรับเดี๊ยนBlackoutอาจจะไม่ใช่อัลบั้มที่เนื้องานโดยรวมออกมาดีที่สุดแต่อย่างไรก็ตาม อัลบั้มนี้เป็นงานที่เดี๊ยนรู้สึกภูมิใจมากที่สุดงานหนึ่งของเธอเนื่องจากมันแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการในการทำดนตรีที่สามารถลบข้อครหาในฐานะศิลปินพ็อพบับเบิ้ลกัมก่อนหน้านี้ได้อย่างดี บริทนีย์เป็นอีกหนึ่งศิลปินพ็อพที่เป็นตัวอย่างในการตอกย้ำที่ดีค่ะว่าเมื่อถึงบทที่จะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อความอยู่รอดในวงการเพลงแล้วล่ะก็ ศิลปินจากแขนงพ็อพแขนงที่ถูกยี้มากที่สุดเอาจริงๆแล้วเป็นศิลปินที่ทำได้เหนือชั้นและอยู่รอดได้นานกว่าแขนงอื่นๆ จากบทพิสูจน์ที่ดีอีกครั้งแม้ว่าสภาพจิตใจของเธอจะตกต่ำถึงขีดสุดก็ตามในBlackoutเดี๊ยนเชื่อว่าบริทนีย์ สเปียร์สยังคงเป็นหนึ่งในศิลปินที่ยืนอยู่ระดับแนวหน้าของวงการอย่างไม่ต้องสงสัย ความเป็นพ็อพไอค่อนอันดับหนึ่งยังคงเป็นเธอ ตำแหน่งเจ้าหญิงเพลงพ็อพของวงการยังเป็นของเธอ และเหนือสิ่งอื่นใดโลกทั้งใบยังคอยจับตามองและพร้อมที่จะก้าวไปกับเธอตลอดทั้งเส้นทางเพื่อตามจารึกความเป็นตำนานของศิลปินหญิงคนนี้แก่ประวัติศาสตร์เพลงพ็อพในอนาคต
มาดาม :
Britney Spears : Blackout 3.5 / 5
ก่อนไฟจะดับ
กาลครั้งหนึ่งไม่นานมานี้ วงการเพลงพ็อพบัมเบิ้ลกัมอุตสาหกรรมดนตรีโลกที่มีดิว่าและวงบอยแบนด์เกริ์ลกรุ๊ปกับหลายนักร้องสารพัดสารพาลล้านชีวิตเวียนว่ายตายเกิดกันไปหลายช่วงโชติอายุคน ในที่นี้เราจะไม่ไปพูดถึงก่อนยุคมิเลเนี่ยมหรือก่อนปี 2000เราจะขอยกข้ามมาตรงช่วงปลายยุค 90 มาจนถึงยุคโลกโลกาพินาศ ยุคที่การสื่อสารไร้พรมแดน ผู้คนหวาดกลัวการก่อการร้าย ความเห็นแก่ตัวกลายมาเป็นปัจจัยหลักในการเอาชีวิตรอดและเรื่องประชาธิปไตยกับสังคมรอบตัวเหมือนเป็นแค่เครื่องมือที่รัฐใช้บงการควบคุมอำนาจในการตัดสินใจใช้ชีวิตของประชาชน เมื่อโลกมันเข้าสู่จุดเยือกเเข็งใกล้เคียงกับคำทำนายของมอสตราดามุสเข้าไปทุกข้อทุกข้อ หลายๆชีวิตก็เลยต้องหาที่พึ่งพึงทั้งทางกายและทางใจ แต่ถ้าหากคุณเป็นแค่สสารเล็กๆที่รอคอยการค้นพบของใครซักคนบนโลกแน่นอน คุณต้องรู้สึกเหมือนโลกนี้มันมืดมนอนธการเหลือเกิน และแน่นอน ดนตรีคือหนึ่งในหนทางการเยียวยาที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งในโลก (ยืนยันหลัการนี้จาก Dermark Hemiton นักวิทยาศาสตร์องค์กร Unoff U.S. 2001)
หลายปีก่อนที่โลกจะเบลอมึนทึบเป็นนครสีดำอย่างทุกวันนี้ วงการเพลงมีทั้ง The Beatle , Elvis , Michael Jackson / Red Zappellin , Madonna , James Brown , Aretha Franklinไปจนถึงตำนานที่ยังมีชีวิตอยู่ Stevie Wonder ทุกคนล้วนเล่าเรื่องราวน่ารันทดโหดร้ายของชีวิตและบนผืนแผ่นดินเดียวกันนี้ผ่านดนตรีที่ตัวเองรัก ผ่านยุคสมัยกาวข้ามอุปสรรคเรื่องภาษาและความแตกต่างต่างๆจนกลายเป็นสถิติตำนานเล่าผ่านกันมาเป็นประวัติศาตร์ แต่ก็ยังมีนักร้องอีกหลายคนที่ไม่ได้พูดถึงในที่นี้ที่สร้างสรรค์งานดีๆที่เป็นมรดกทางดนตรีอีกมากมาย ถึงบางคนอาจจะถูกมองเป็นแค่ สวะสังคมที่หากินกับเรื่องสกปรก ก็ตามแต่มีใครบ้างที่ไม่เคยเกลือกกลั้วอยุ๋กับความชั่วสิ่งโสมม ถ้ามีคนแบบนั้นจริงๆหรือใครที่กล้าพูดแบบนั้น ฟันธงได้เลยว่าคุณโกหกแล้วล่ะ เพราะชีวิตนี้มันมีแต่เรื่องเศร้าเคล้าน้ำตาทั้งนั้น สิ่งดีๆในชีวิตมันจะมีค่าก็ต่อเมื่อคุณได้ลิ้มรสชาติของความล้มเหลวแล้วต่างหาก
หนึ่งเอนเตอร์แทนเนอร์อีกคนที่น่าจะตระหนักได้ถึงทฤษฎีนั้นได้อย่างถึงแก่นในวงการเพลงพ็อพสากลก็น่าจะเป็นเจ้าหญิงแห่งบัลลงค์เพลงพ็อพนี่แหล่ะ จะเป็นใครที่ไหนได้อีกเล่าถ้าหากไม่ใช่ นังหน้าด้าน บริทนี่ย์ กับอัลบั้มล่าสุดของมรสุมลูกใหญ่ของชีวิต Blackout ย้อนกลับมาก่อนหน้าที่เธอจะเพิ่งรู้สึกว่าอะไรๆมันช่างเลวร้ายและโลกไม่ได้เป็นสีชมพูอย่างที่คิดไว้ นักร้องรุ่นเดียวกับเธอที่ถือเป็นคู่แข่งที่สูสีและถูกยกมาเปรียบเทียบตลอดเวลาอย่าง Christina Aguilera ก็ชิงตัดหน้าท้าชนความอัปปรีย์อัปยศอดสูทุกลู่ทางบนโลกนี้ไว้แล้วในอัลบั้ม Stripped เธอครวญครางกรีดร้องให้โลกได้รู้ถึงชีวิตที่บัดซบของเธอผ่านดนตรีที่มืดมนไม่แพ้ชื่ออัลบั้มใหม่ของบริทนี่ย์ ซึ่งอัลบั้มนั้นก็พิสูจน์ให้หลายๆคนเห็นกันเป็นประจักษ์พยานไปแล้วว่า คริสติน่าเป็นของจริงในวงการไปแล้ว แต่ไม่ใช่แค่คริสติน่าเท่านั้น กระทั่งอัลบั้มใหม่ของ Mandy Moore : Wild Hope ก็ยังถูกนักวิจารณ์ชื่นชมกันเกินหน้าเกินตา ซึ่งเท่าที่ได้ฟังไปแล้วก็ขอออกตัวเลยว่า ไม่คิดไม่ฝันเลยที่จะได้ยินเพลงดีๆเนื้อหาหนักๆแบบนี้จากนักร้องเพลงงี่เง่าเรียกหาผู้ชายให้เดินกลับบ้านด้วยจากเธอ หรืออย่างอเมริกัน ไอดอลปีแรก Kelly Clarkson : My December ที่หลายคนไม่เข้าใจว่าเธอต้องการจะสื่ออะไรผ่านเพลงดิบๆฟังเกรี้ยวกราดและป่วยๆแบบนี้ แต่หลายๆคนที่ช่ำชองและเข้าใจก็ชี้ให้เห็นว่าเธอกล้าแล้วที่จะเข้าสู่ด้านมืดของชีวิตและเล่าผ่านบทเพลงกับดนตรีที่ดิบห่าม โอดครวญไปกับสิ่งรอบกายที่วุ่นวายและความรู้สึกไร้ตัวตนเข้าครอบงำ จนกลับมาตั้งคำถามอีกครั้งกับ ศรัทธา และ ความเชื่อ ต่อศาสนาและสามัญสำนึกของมนุษย์ ใช่แล้วถึงหนูหอกหร่อนจะตามคนอื่นช้าไปซักนิดและเธออาจจะโตอย่างเรื่อยเปื่อยเอื่อยเอ่อยฉื่อยแฉะค่อยเป็นค่อยไปมากไปซักหน่อย แต่มาช้ายังดีกว่าไม่มาจริงไหม ?
เมื่อไฟริบหรี่และกำลังใกล้จะดับ
อัลบั้มล่าสุดลำดับที่ 5 ของหนูหอก ต้นสังกัดและบรรดาโพรดิวซ์เซอร์รวมไปถึงฝ่ายการผลิตและทุกๆคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอัลบั้มชุดนี้ต้องทำการบ้านกันหนักหนาสาหัสเป็นเท่าตัว เพราะหนึ่งหนูหอกเธอหายไปจากวงการเพลงนานพอสมควร นานพอที่จะทำให้หลายๆคนจดจำเธอในฐานะศิลปินแทบไม่ได้ บวกกับตลาดเพลงพ็อพที่โดนดนตรีฮิพฮอพครอบคลุมพื้นที่เกือบเกินครึ่ง ทั้งชั่วโมงบินของบรรดาดิว่าที่ถดถอยต่ำเข้าสู่กลียุคทำให้โจทย์เพลงของอัลบั้มชุดนี้ค่อนข้างต้องชัดเจนและเด่นขับเอาตัวตนในด้านที่โตขึ้นแจนจัดและจริงจังของบิรทนื่ย์ออกมาให้จับต้องได้ ง่ายต่อการเข้าถึงตลาดบนตลาดล่างตลาดหุ้นตลาดสด และเเน่นอนมันต้องเป็นของดีพอสมควรไม่ให้ถูกคำครหานักวิจารณ์ด่ากราดไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด
หวยตกลงไปอยู่ที่ Danja มือขวาของตา Timbaland ที่ป๋าทิมปลุกปั้นมากับมือดำๆใหญ่ๆตลอดเกือบ10กว่าปีในวงการ ซึ่งหัวหอกเรือใหญ่ของอัลบั้มก็คุมโดยเดนจาเป็นส่วนมากจะมีโฏพรดิวซ์เซอร์ คนอื่นๆมาช่วยในแทร็คนู่นแทร็คนี้แก้เลี่ยนโชว์ของเพิ่มความน่าสนใจในอัลบั้มอยู่นิดหน่อยทั้ง Freecsha , Blooshy & Avant , Keri Hitson (นี่ก็อีกหนึ่งลูกสมุนของทิมบาแลนด์อีคนที่ร้องคอรัส Way I Areนั่นแหล่ะ) รวมไปถึงเพื่อนเก่าแก่เก๋าเกมส์แต่เริ่มจะมือตกอย่าง The Neptunes ที่มาทั้ง Chad Hugo กับ Pharelle Williams ที่มาช่วยมิกซ์กับปรับแต่งภาพรวมๆในอัลบั้มก่อนอัดลงแผ่นซะเป็นส่วนใหญ่มีโผล่มาโพรดิวซ์เต็มๆเพลงเพลงเดียวเท่านั้นก็เพลงช้าปิดอัลบั้มนั้นแหล่ะ
แนวดนตรีในอัลบั้มนี้ยังยืนอยู่บนเมนสตรีมพ็อพหลากหลาย ที่มีกลิ่นอายของทั้งแบล็คมิวสิคและแดนซ์ฮอลล์ มีทั้ง อาร์แอนด์บี ฮิพฮอพกลายๆที่เน้นบรรยากาศและการเรียบเรียงแบบหม่นหมองเนิบนาบด้านกระด้างและหยาบๆเดินบีทกระชับรัดกุมเรื่อยๆสลับกับพวกเสียงสังเคราะห์ทั้งหลายแหล่ บวกพวกเสียงอิเล็คโทรนิคและโพรแกรมมิ่งเป็นรายละเอียดครอบทับ เพิ่มลูกเล่นพวกซินธ์ เพอร์เคสชั่น และเครื่องสายกับเสียงประสานคอรัสแบบกอสเพลย่อมๆ(ที่ใช้ในหลายๆเพลง)เอามามิกซ์เนียนๆกลืนเข้ากับดนตรี ไม่กระโชกโฮกฮากหรือฟังดูแล้วฮึกเหิมเหมือนพวกเพลงวอร์ชิพหรือเพลงโซลโมทาวน์อะไรเเนวๆนั้น ส่วนโดยรวมๆแล้วงานในอัลบั้มชุดนี้ไม่ถึงกับขาดปัจเจกในตัวตนของหนูหอกแต่อย่างใดแต่ต้องยอมรับว่าอิทธิพลทางดนตรีของทิมบาแลดน์กับงานของทั้งอัลบั้มล่าสุดของจัสตินและเนลลี่ย์ ฟูร์ทาโด้กลืนทั้งอัลบั้มจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน ดีที่ทิศทางของทั้งเนื้อหาโทนธีมดนตรีและรายละเอียดปลีกย่อยยังชัดในความเป็นบริทนี่ย์อยู่บ้าง(อย่างพวกเพลงเนื้อหาเเรงๆที่จิกกัดตัวเองหรือเพลงละลายน้ำแข็ง)ก็เลยทำให้ยีนส์ด้อยตรงนี้พออนุโลมกันได้บ้าง
เมื่อไฟค่อยๆดับลง
Gimme More 4 / 5
แค่ Its Britney Bitch ! ตั้งแต่อินโทรที่เธอทำเสียงกระซิบการซาบเรียกร้องความสนใจมาตั้งแต่ต้นก็ทำเอาหลายๆคนอยากฟังต่อว่าเพลงนี้มันจะมีดีที่ตรงไหน และมีดีซักแค่ไหน แน่นอนเพลงนี้บีทเเน่นดนตรีกระชากจังหวะสุดๆไล่มาตั้งแต่แซมเพิ่ลที่เอา James Bond Themes มาใส่เป็นแบล็คกราวนด์โพรแกรมมิ่งข้างหลังไว้คลอตลอดเพลงแล้วบีบเป็นเสียงสังเคราะห์แบบแอมเบี้ยนลอยไปลอยมาเข้ากับเสียงปรบมือเข้าจังหวะกับบีทหนักๆและเสียงคอรัสย่อมๆแค่นี้ก็เเรงและเอาอยู่ เหมาะสมที่จะเป็นเพลงเปิดอัลบั้มและซิงเกิ้ลแรกเป็นที่สุด ก็ต้องขอบคุณตาแดนจาที่รังสรรค์ของดีๆแบบนี้ให้บริทนี่ย์นะ แต่ถึงของมันจะดีแค่ไหนก็เถอะ ถ้าเพลงนี้ไม่ใช่นังหอกร้องอาจจะออกมาไม่โดนอย่างนี้ก็ได้ ไม่ต้องพูดถึงเพลงนี้มากก็ได้เพราะอตนนี้เพลงนี้มันก็ส้รางสถิติห่าเหวอะไรต่อมิอะไรให้อาชีพการเป็นนักร้องของเธออีกหนึ่งคำรบอยู่แล้ว
Piece Of Me 3.5 / 5
อินโทรขึ้นมาก็แอบทำเปรี้ยวด้วยการ Covert เสียงของพวก S&M Film มาใช้เป็นบีทตัวเดินจังหวะกับเสียงแส้เฆี่ยนกับโซ่ล่ามเทียนลนที่มิกซ์เข้ากะเสียงผู้ไม่ประสงค์จะออกนามที่กระเส่าและครวญครางได้อารมณ์ไซโคมิสสุดๆ ยังไม่หมดแค่นั้นเสียงซินธ์ที่บีบอัดเกลาเข้ากับโพรแกรมมิ่งจนกลายเป็นเสียงเบสกีต้ารไฟฟ้าหลอกๆแบบพวกเพลงฮาร์ทคอร์ก็สาดใส่บีทให้อารมณ์เสียดสีประชดประชันสะใจยัยหอกมัน เนื้อหาก็เหมือนเพลง Rescues Me ของเจ๊แม่ช่วงอัลบั้มแรกๆที่จิกกัดตัวเองสนุกปากและมีภาษีดีกว่าพวกเพลงวัยรุ่นทีนควีนใจแตกเที่ยวร้องเพลงเชิ่ดใส่สื่อว่าอย่ามายุ่งกะกูกูดังกูเริ่ดอย่ามายุ่งกะกู (AKAนังลินด์,นังแอชลีย์ ทิดเดล เป็นต้นโดยเฉพาะรายหลังเพลงเสร่อกว่าแกรมมี่ย์รวมค่ายกามมิกามซู่ทั้งค่ายอีกนะเทอ)มากอยู่โข อย่างแรกคือดนตรีอย่างที่สองคือเนื้อหาที่โบ้ยว่า เออกุผิดเองแหล่ะที่เงือก So You Want A pieces Of ME ?แล้วมึงจะเอาอะไรกับกู ?? ,กูก็แค่คนธรรมดาเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนนึงแล้วจะเอาอะไรกาบบกู เป็นหนึ่งในแทร็คที่ทุกอย่างคุมอยู่เอาอยุ่ไม่มากไปไม่น้อยไป และแรงพอที่จะดังได้และแรงพอที่จะถูกเอามาใส่ไว้ต่อจากอีตัวเพลงแรงมากๆก่อนหน้า เป็นอิเล็คโทรนิก้าลูกผสมที่ท่าเอาไปริมิกซ์หนักๆล่ะก็ ซ่องแตกแน่นอนค่ะ
Radar 2 / 5
ต่อมาด้วยแทร็คยูโรแดนซ์เจือกลิ่นอาร์แอนด์บีบางๆที่ใช้โพรแกรมมิ่งยืนพื้นหลักเป็นนางเอกของเพลงกับเสียงสังเคราะห์หนืดๆเนิบๆที่ตี๊ต่างให้เป็นเสียงเรด้าร์ (แต่เพื่อนชะนีของเจ๊มันบอกว่าเหมือนเสียงหวอปอเต๊กตึ๊งมากกว่าค่ะ ก็เหมือนนะ แร๊วก้น่าจะให้มูลนิธืร่วมด้วยช่วยกันเก็บอีเพลงแบบนี้ไปเผาซะให้เร็วๆเลยเชียวอะ) เรื่อยๆโยกๆ เหมาะสมที่จะเอามาใส่ไว้ในอัลบั้มอยู่เพราะมันช่วยทำให้ภาพรวมอัลบั้มดูมีมิติและชัดเจนขึ้น ถึงจะธรรมดา(เกิน)ไปหน่อยและดูจะตลาดเกินไปนิด(เหมือนยังเป็นเดโม่อยู่เลยนะเหมือนเพลงที่ยังทำไม่เสร็จน่ะเพลงแปลกประหลาดให้อารมณ์เหมือนเด็กกระเทยม.ปลายนั่งใช้แลปท๊อปทำเพลงส่งตามค่ายเพลงก็ไม่ปาน)แต่ต้องขอบใจยัยหอกที่มีเพลงง่อยกระรอกแบบนี้ไม่มากนักอยุ่ในอัลบั้มนี้และเพลงนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น
Break The Ice 3.5 / 5
เพลงนี้เป็นเพลงที่เป็นตัวตนบริทนี่ย์เฉิดฉายชัดเจนมากที่สุดทั้งในภาคของดนตรีและเนื้อหาซนๆแก่นๆท้าทายๆแบบเด็กไร้เดียงสาแต่ก็ฉลาดพอที่จะพูดในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ดนตรียืนพื้นเป็นอาร์ แอนด์ บี ฮิพฮอพด้วยบีทหนักๆกระฉึกกระฉักชวนโยก บวกเข้ากับเสียงสังเคราะห์ฟิ้วฟ้าวปิ๊วป๊าว กับแซมเพิ้ลแบล็คกราวนด์บีทแน่นๆจากเพลง Idiot Rem ของวงดิสโก้อันเดอร์กราวน์อย่าง Decoder Rings ก่อนจะเบรคจังหวะด้วยการใช้ลูกเล่นของคอรัสกับโพรแกรมมิ่งช่วงท่อนไบรจ์ไปจนเฟดเอาท์จบเพลง ถ้าตัดโพรโมทแล้วรีมิกซ์เพลงนี้โดยไปจิกเอาอีตัวแรงๆดำๆทะมึนๆมาแร๊พหยาบโลนเพิ่มดีกรีความแรงพอที่จะฟาดฟันกับตลาดบิลบอร์ทได้ เชื่อเหอะน่ะว่าแค่ Top 5 BB ยังน้อยเกินไปด้วยซ้ำมันต้องอันดับ 1 เท่านั้น
Heaven On Earth 5 / 5
หนึ่งในแทร็คที่ดีที่สุดในอัลบั้มและเป็นหนึ่งในเพลงที่เป็นเครดิตที่ดีที่สุดในชีวิตการเป็นนักร้องของยัยหอกมา ดนตรีแบบยูโรแดนซ์ฮอลล์แทรนซ์เลื้อยๆกับเสียงสังเคราะห์เสียงโหวงๆอีเล็คโทรนิคลอยๆแบบดนตรีแอมเบี้ยนคลอเข้ากับเสียงเครื่องสายและเพียโนรับกับคลอรัสและเเซมเพิ้ลเพลงเดียวกันคือแซมเพิ้ลเพลงตัวเองอัดลงไป 2 3 รอบซ้อนทับกันซึ่งเป็นเทคนิคที่ไม่เลวเลยสำหรับเพลงเต้นรำธรรมดาๆที่ยกตัวเองให้ดูมีระดับขนาดนี้ กอปรกับการเรียบเรียงที่ปาณีตและเบรคบีทที่ติดหูน่ารักโดยเฉพาะพรีคอรัสนั่นยัยหอกบริทนี่ย์ร้องได้น่ารักมากกสลับสร้อยไปกับคอรัสที่ร้องทับกันไปตอบกันมา เนื้อหาก็ไปกันได้ดีกับตัวเพลงเพ้อๆชวนฝันสับสนๆเหมือนคนกึ่งหกลับกึ่งตื่นเห็นภาพนิมิตในฝันจนเล่าเรื่องออกมาเป็นภาพได้ฉากต่อฉาก อารมณ์เพลงมืดหม่นหดหู่ขัดกับเนื้อหามากๆเป็นพาราด็อกซ์ที่ขัดกันแบบที่กลายเป็นเสน่ห์ของเทคนิคการทำเพลงเต้นรำหม่นๆของยุคนี้ไปแล้ว
Get Naked (I Got A Plans) 4 / 5
เพลงเจ้าปัญหาของไอ้หยอยและตาทิมบาแลนด์ซึ่งจริงๆแล้วเพลงนี้เป็นเพลงของอีหยอยแล้วมันก็เป็นเพลงที่ทิมมันเต่งให้หยอยในอัลบั้ม FutureSex/Lovesound ดูเพ็กซ์อิดิชั่น ใช่แล้วค่ะมันคือภาค2ของเพลงฮิตติดลมบนประจำบิลบอร์ทปีนี้อีกเพลง Way I Are นั่นเอง ตอนแรกเนื้อเพลงจะเป็นชายป้อหญิงแต่พอโอนกรรมิสทธิ์มาเป็นของยัยหอกก็เลยปรับเนื้อหามาเป็นหญิงจิกชายมันส์ๆเนื้อหาไม่ต้องพูดถึงเดนจากับอีทิมแล้วก็อีหยอยหยาบได้ต่ำช้าแบบมีระดับชวนกรี๊ดสุดๆโดยเฉพาะท่อนเด็ดในเวอร์ชั่นไม่เซนเซอร์ Im Crazy As Your Mother Fucker ! Bet It On Ya Damn ! โอ๊ยยย ถูกใจอีเจ๊หลายๆ ส่วนบีทก็เป็นอาร์แอนด์บีแรงๆเสียงอิแเล็คโทรนิคลอยๆหนาๆซ้อนทับกันโหวกเหวกโวยวายตามประสาเพลงของอีตาทิมมัน ลูกเล่นแพรวพราวระยิบระยับไม่แพ้ชื่อหนังสุดห่วยแห่งทศวรรษ Glitter ของอีมาลัยเลยเชียว เชื่อได้เลยเหอะว่า เพลงบีทฮิพฮอพอวกาศของอีป๋าทิมจะต้องตามหลอกหลอนพวกเราๆท่านๆกันไปอีกนานสองนานในช่วงระยะนี้ เพราะของเค้าดีจริงนี่จ๊ะ ใครไม่เก็ทไม่ชอบก็อดทนกันหน่อยนะ ยุคBlack Musicครองเมืองก็งี้แหล่ะพอมีคนจับเอาพวกดนตรีย้อนยุคเรโทรๆบีทดิสโก้แรงๆมาปั้นเข้ากับดนตรีฮิพฮอพมันก็เป็นของเก๋แปลกไปได้เป็นธรรมดา ก็ในเมื่อตลาดฮิพฮอพมันมีแต่เพลงบีทวนไปมาเนื้อหาโง่ๆหยาบไพร่ด่ากันซ่องแตก ทางเลือกมันก็ต้องมีให้เห็นกันเป็นปรกติ
Freak Show 2 / 5
เพลงป่วยๆกับบีทโหวงเหวงเอาแน่เอานอนไม่ได้แต่ฮุคเด็ดกลับเป็นเทคนิคการร้องกระซิบกระซาบกึ่งพูดกึ่งร้องของยัยหอกที่ให้อารมณ์ตอแหลเซ็กซี่ย์พอได้อยู่ในระดับเรียกน้ำย่อย บวกกับเนื้อหาส่อกระเส่าสะเด็ดเผ็ดมันส์ติดเรทแบบเบลอๆก้ำกึ่งๆ ก็ถือว่าโอเคนะถ้าจะเอาเพลงนี้ไปโชว์ในอคนเสริ์ตคั่นเวลาเพื่อนำเข้าสู่เพลงเด็ดๆเพลงอื่นแต่เมื่อมันอยู่ในอัลบั้ม
มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากนักเพราะตัวจังหวะก็หนักชวนโยกพอกรึ่มๆ ถือว่าช่วยเสริมภาพรวมอัลบั้มให้มันแกร่งยิ่งขึ้นไปอีกด้วยซั้า แต่แฟนคลับหนูหอกก็ไม่ต้องหงอไปเพราะเพลงป่วยๆเตรียมตายโหงแบบไม่ต้องพึ่งความต้มงานศพเพลงนี้ ยังดีกว่าหลายๆเพลงในอัลบั้ม อีสาวบ้านนอก แรงแปลงกะหรี่ ยัยห่านอยู่เท่าตัว แต่ต้องยอมให้เพลง ร่ม นะ อันนั้นมันกลายเป็นเพลงของทศวรรษไปแล้วอ่ะนะคะ อีเดอะดรีมแนส คนแต่งนี่คงไม่มีปัญญาแต่งเพลงเทือกๆนี้ออกมาได้อีกเป็นครั้งที่ 2 แน่นอน (เพลงนี้อี เดอะ ดรีม แนส ก้แต่งให้บริทนะ ฟรีค โชว์น่ะ)
Toy Soldier 2.5 / 5
กระหน่ำเสียงกลองรัวระริกด้วยเพอร์เคสชั่นกับดนตรียืนพื้นบนโพรแกรมมิ่งแบบกลองสวนสนาม มาร์ช ทหารต่อด้วยสรรพเสียงบุรุษอีกหนึ่งคู่เป็นลูกสร้อยร้องรับกับเสียงหนูหอกแล้วอัดปูเสียงสังเคราะห์น้อยๆเข้าไปหน่อยก็เอาอยู่แล้วกับเพลงที่เนื้อหาโดดและเด่นออกหน้าหน้าดนตรีแบบเกินให้อภัย แต่ก็ยังดีที่รวมๆแล้วก็เป็นหนึ่งในแทร็คเรื่อยๆที่ไม่ไร้สาระเท่าอีเพลงก่อหน้า ด้วยการเรียบเรียงกับลูกเล่นหลายๆอย่างที่ใส่เข้ามาบวกกับการอัดเสียงแบบผ่านไพโลสโค็ปให้อารมณ์หน่วยสวาทกับท่อนที่เธอร้องว่า Cause Brand New Britney , Itson the Session ! , Sick of Those Toy Soldier , Who dont knows How to take care of meน่าจะถูกใจใครหลายๆคน แต่สำหรับเจ๊มัน . . . ง่ายเกินไปหน่อยมั๊ย ??
Hot As Ice (Cold As Fire) 3 / 5
เพลงแปลกๆในรอบแรกๆของการนั่งฟังในอัลบั้ม ตอนเเรกเจ๊นึกว่าเพลงโหลยโท่ยๆแบบนี้จะเป็นฝีมือโพรดิวซ์ของตาเดนจา กับ ทิมบ้าซะอีกด้วยเพราะบีทและจังหวะจะโคนไม่ได้หนีๆอะไรกันไปกับเพลงที่อี2คนนี้ช่วยกันทำ แต่ไม่ใช่เลย คนที่จัดการดูแลประคบประหงมเพลงนี้ทั้งเพลงคือมือทองแห่งยุคประจำปีนี้อีกคนที่มาช่วยสังฆกรรมอัลบั้มนี้ด้วยกะเค้าตา T-Painนั่นเอง ด้วยฝีไม้ลายมือกับชื่อเสียงที่สั่งสมมาของตาขันฑี เจ๊ก็เลยต้องกลับมาลองนั่งตั้งใจฟังเพลงนี้แบบใจจดใจจ่ออีกรอบ ก็ถึงได้เก็ทว่านายขันฑีต้องการจะสื่ออะไร ตัวเพลงเป็นอาร์แอนด์บีออเรนจ์แบบดาดดื่นแต่ลูกเล่นของคอรัสแบบกอสเพลและบีทบ๊อกซ์กับฮิวเมน จู๊ฟบ๊อกซ์จัดจ้านที่เอามาประสานเข้ากับโพรแกรมมิ่งไม่เนียนที่ตั้งใจแบบพวกเสียงเพลงของเกมส์แฟมมิคอมจากนินเทนโด้รุ่นแรกๆ ทำให้เพลงนี้มีดีที่เทคนิคการนำเสนอบนพื้นฐานธรรมดาๆบวกกับเนื้อหาที่กล้าเล่นถึงขั้นเรื่องศาสนากับเรื่องบนเตียงจิกกัดชีวิตบัดซบในรอบ3-4ปีของตัวเองคละเค้ลากันออกมาได้สกปรกไม่แพ้เพลงI Wanna Fuck you ของ Akon ร้ายน่ะยะอีหอก เฮ๊ย ร้ายนะยะอีขันฑี มาแบบโสมมมีของแบบนี้ ก็ชอบสิค่ะ
Ohh Ohh Baby 3.5 / 5
อีกหนึ่งในแทร็คที่ดีที่สุดในอัลบั้มทั้งความลงตัวทางภาคดนตรีที่กำลังพอดีกัยเนื้อหาที่บ่งบอกสภาพจิตใจของหนูหอกอย่างชัดเจนต่อเจตนารวมของภาคเนื้อหาในอัลบั้มนี้ การเฝ้ารอใครซักคนที่พร้อมจะมายืนเคียงค้างให้พาดพิงบ่ากุมมือคอยผลักดันคอยประคับประคองอยู่ข้างหลัง คนที่เป็นคู่ชีวิตจริงๆที่ไม่ใช่แค่ความรักแบบฉาบฉวยของสังคมโลกยุคโลกาภิวัฒน์ ที่ทุกอย่างบิดเบือนความจริงเป็นแค่การศรัทธาในคงามว่างเปล่าของความนึกคิด ความรู้สึกไร้ตัวตนอยู่บนที่ตรงนี้และรอคอยการถูกค้นพบจากใครซักคน คนที่รอมาทั้งชีวิตและคนที่รับเราได้ทุกอย่างไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นไม่ว่าในช่วงเวลาแบบไหนของมรสุมชีวิต แต่บางทีคู่ชีวิตที่เรารอมาทั้งชีวิตอาจจะไม่มีอยู่จริงก็ได้ ? อินโทรขึ้นมากับริฟกีต้าร์แบบเซาธ์เธริ์นมิวสิคติดกลิ่นบลูส์นิดๆจากแซมเพิ่ลสกอร์เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Out of Africa ของซิดนี่ย์ พอลเเล็คแน่นอนดนตรียังยืนยันเกาะอยุ่บนรากของอาร์แอนด์บีดาวน์เทมโพเนิบนาบมิกซ์เข้ากับเสียงทึบๆทะมึนๆกับโพรแกรมมิ่งยวบๆบางๆเค้ลาคลอตลอดเพลง และเมโลดี้ย์แบบพ็อพกะขายแบบไม่น่าเกลียดจนเกินไปก็ทำให้เพลงนี้โดดเด่นและกินขาดเพลงอื่นๆในอัลบั้มอย่างช่วยไม่ได้ ถ้ามันจะเป็นซิงเกิ้ลและมันจะเป็นเพลงที่เหมาะสมกับยัยหนูหอกมากที่สุด ดูชื่อโพรดิวซ์เซอร์ ไม่ใช่เดนจาหรือทิมบาแลนด์แต่เป็นตา ฟรีช่าส์ นั่นเอง เก่งนะนายที่ตอบโจทย์เพลงง่ายๆให้ออกมาดีโด่ขนาดนี้
Perfect Lover 3 / 5
อัพเทมโพอาร์แอนด์บีลอยๆเนิบๆที่โดดเด่นมากตรงลูกเล่นคอรัสและเพอร์เคสชั่นกับเสียงปรบมือเข้าจังหวะและเบรคบีทกระชั้นกระชับ โดนเฉพาะท่อนคอรัสที่รายละเอียดของคอรัสแบ็คอัพที่ซ้อนทับกันและการเล่นเสียงแบบอิมโพรไวซ์กดคีย์ทำให้มันเตะหูสุดๆ ก่อนที่ยัยหนูหอกจะทำซ้ำเก๋ด้วยการดึงคีย์กลับมาแบบสูงลอยๆเหมือนไม่ตั้งใจร้องแต่เซ็กซี่ย์ชะมัด การกระซิบกระซาบจิกเสียงกระเส่ากระเง้ากระงอดสารพัดที่จะสรรหามาใส่คลอตลอดไปทั้งเพลงทำให้เพลงธรรมดาๆอีกเพลงโดดเด่นด้วยลูกเล่นเล็กๆน้อยๆขึ้นมาได้ ขอออกตัวนิดนึงว่าชอบเพลงนี้สุดๆแต่ติดใจอยู่นิดเดียวทำมาสั้นๆแค่ 2 นาทีกว่าๆเองงั้นขอรีวิวสั้นๆตามเพลย์ไทม์เพลงล่ะกันค่ะ
Why Should I Be Sad ? 2 / 5
บัลลาดอาร์แอนด์บีแบนๆที่เป็นชิลล์แจ๊สหยาบๆสไตล์ฟาเรลล์ แห่งวงดาวนอกโลกเดอะเนปจูนส์ก็ไม่มีอะไรใหม่และไม่มีอะไรแย่มากมายจนต้องด่าสาดเสียเทเสียติดแต่เพียงแค่ว่านี่เป็นอัลบั้มเพลงที่ทุกๆเพลงมีความเป็นปัจเจกและเอกเทศหลอมรวมกันได้เป็นหนึ่งในทุกๆห้องดนตรีกับเนื้อหาที่ร้อยออกมาเป็นเรื่องราวลื่นไหลและเพลงๆนี้เป็นหนึ่งในเพลงที่ถูกเลือกมาลงอัลบั้ม ยอมรับว่าเพลงนี้เนื้อหาและดนตรีมันเหมาะมากที่จะเป็นเพลงปิดอัลบั้มแต่ด้วยความที่มันธรรมดาและไม่มีอะไรเลยมากที่สุดในอัลบั้มก็เลยกลายเป็นเพลงที่ขาดพลังที่จะส่งหรือสรุปเจตนารมณ์ความรู้สึกของการส่งท้ายปิดอัลบั้มให้ทรงพลังแบบที่มันควรจะเป็น แต่ก็เอาน่าเพลงนี้เธอร่วมเเต่งเองกับตาฟาเรลล์ เชียวนะ ถือว่าเป็นเครดิตเริ่มต้นที่ไม่มีอะไรเสียหายละกัน เพราะยังไงเพลงนี้มันก็ทำให้อัลบั้มนี้ยังดูมีเรื่องราวที่ให้จับต้องได้บ้างไม่ใช่แค่ออกมาร้องเพลงเปิดจิ๋มหรือเรียกร้องให้ใครมาสนใจ เป็นอีกร้านโลกที่อยากให้สังคมยอมรับในจุดยืนของตัวเองอยู่อย่างเดียว
Bonus Track
Outta This World 3 / 5 พ็อพอิเล็คโทรนิคชิลล์เลาจ์เบาๆลอยๆเรื่อยๆเอื่อยเพราะใช้ได้แต่ไม่เหมาะสมที่จะใส่เข้ามาในอัลบั้มอย่างยิ่งด้วยความโดดแบบไม่เข้าพวกจากเพลงอื่นๆทั้งดนตรีและเนื้อหาที่ดูสดใสออกนอกหน้าเพื่อนๆ
Get Back 3.5 / 5 ถ้าไม่แน่จริง ก็ถอยไป กลิ่นอายดนตรีแบบอาร์แอนด์บีฟอร์เรี่ยนแบบอีเนลลี่ย์ ฟูร์ทาโด้ร์เวอร์ชั่นผสมพันธุ์แปลงร่างกับอีทิมแร๊วลอยมาแต่ไกลแต่รวมๆแล้วนี่เป็นเพลงที่น่าจะใส่เข้าอัลบั้มนะทั้งดนตรีเนื้อเพลงกับรายละเอียดก็เข้ากับธีมอัลบั้มดี แถมยังฟังดูมีราษีมีราคากว่าหลายๆเพลงในอัลบั้มด้วยซ้ำ เออ เพลงนี้เคยมีเครดิตเป็นถึงอดีตเพลงเปิดตัวอัลบั้มนี้เชียวนะ แต่ก็ต้องโดนGimme more เบียดปาดหน้าเค้กไป
Everybody 3.5 / 5 แซมเพิ่ลเพลงอะไรซักเพลงของลุงบ็อบมาเลย์ใส่อินโทรและเอาท์โทรกับอิเล็คโทรนิคยูโรแดนซ์แบบเก๋ไก๋พอตัวเนื้อหาชวนให้มาสนุกกันออกจะเหมือน Holidayเจ๊แม่ไปหน่อยและมันก็ไม่เห็นจะแบล็คเอาท์ตรงไหนก็เลยอัปเปหิมาอยู่เป็นเพลงแถมซะเสีย เสียดายอะเพลงดีๆอย่าง 3 4 เพลงนี้กลายเป็นเพลงเหลือๆหมดเลย ถ้าปรับเนื้อปรับทิศทางดนตรีอีกหน่อยเอาใส่เข้าอัลบั้มขายได้เลยนะ อีหอกมันคิดอะไรอยู่
State Of Grace 4 / 5 แซมเพิ่ลท่อนพรีคอรัสจากเพลง Frozenเจ๊แม่มาดอนน่ากับท่อนหอนครางสุดรัญจวนกับดนตรีทริปฮ๊อปอ่อนๆ(ไม่ใช่ฮิพฮอพนะคะ)ติดอิเล็คโทรนิคลอยๆเอื่อยๆเย็นๆที่เข้าท่ามากๆเนื้อหาก็ดูเหมาะสมกับตัวอัลบั้มดีแต่ที่ตัดออกมาเป็นเพลงแถมก็คงเพราะ. . . . เพลงมันดีเด่นเกินหน้าเพื่อนๆเกินไปก็เลยโดนกำจัดจุดอ่อน !
ก่อนไฟจะสว่างจ้าขึ้นอีกครั้ง
ด้วยตัวเพลงกับภาพรวมของทั้งอัลบั้มแล้วมันแน่นและมีศักยภาพมากพอที่จะดึงให้เธอกลับขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งได้ไม่ยากอยู่แล้วอีกทั้งเนื้อหาก็โดนตลาดและแรงพอที่จะถูกใจในหลายๆกลุ่มคนฟัง โดยเฉพาะทิศทางดนตรีที่น่าจะจับตลาดอยู่ ทำการโพรโมทดีๆวิดิโอเข้าท่าๆแรงแบบขอมีสมองฉลาดคิดฉลาดทำนิดนึง การที่เธอจะเดินก้าวอย่างสง่าสงามขึ้นไปบนจุดสูงสุดของอาชีพในวงการนี้อาจไม่ใช่เรื่องที่เกินไปนัก แต่มันก็อาจจะฟังดูตีโพยตีพายและอ่อนต่อโลกเกินไปซักหน่อยถ้าหากจะบอกว่า เธอจะกลับมาดังได้เหมือนเมื่อก่อนแบบง่ายๆไม่ต้องทำอะไรเลยแค่เพลงกับแผนการตลาดยัดเยียดโพรโมทมันไม่พอแล้วสำหรับธุรกิจดนตรีในทุกๆวันนี้ อุตสาหกรรมวงการดนตรีที่นักร้องทุกคนที่มีชั่วโมงบินสูงๆแทบเดินชนกันตาย มีหน้าใหม่ผุดออกอัลบั้มกันเป็นเด็กเล่นขายของไหนจะพวกหน้าเก่าลายครามที่ออกอัลบั้มใหม่ๆมาชะหรือพวกบิ๊กๆที่โผล่มาแบบไม่ตั้งใจจะชนใครยังไม่นับรุ่นใหม่ไฟแรงที่ขึ้นมาแทนที่พวกรุ่นเก่าไฟมอดอีกนะ ปัจจัยหลายๆอย่างที่มันจะทำให้ศิลปินคนหนึ่งกลับมาประสบความเร็จในระดับตำนานสถิติที่เคยส้รางสมไว้ได้ มันเกินที่ทางสตูดิโอหรือใครๆเพียงไม่มีกี่คนจะไปเดาสุ่มควบคุม มันอาศัยทั้งเวลา ความอดทนความสามารถ การโพรโมท และอีกหลายๆอย่างในการทำการตลาดทุกอย่างสำคัญหมดแม้กระทั่งแค่การมีข่าวทุกอย่างเกี่ยวกับการแสดงออก สื่อการให้สัมภาษณ์มันเป็นอะไรเล็กๆน้อยๆที่สำคัญหมดไม่มีอะไรมากน้อยเกินหน้าเกินตาไปกว่ากัน ทีนี้สำหรับอัลบั้มใหม่ของบิรทนี่หนูหอกหักทุกอย่างพร้อมแล้ว คราวนี้ก็ต้องมารอดูผลลัพธ์กันต่อไปว่าเธอจะทำได้ตามที่หลายๆคนอยากให้เป็นหรือเปล่า หรือเธอจะกลับไปเหลวเหลกไร้สาระอีกรอบ อย่าลืมว่ามีนักร้องหลายวงที่เคยตกอยึ่ในที่นั่งเดียวกันและนักร้องหลายคนที่หมดหนทางที่จะกลับมาเป็นแบบเดิมได้อีกครั้งพยายามกระเสือกกระสนที่จะกลับมาหายใจอยุ่ในวงการได้อีก บางคนก็ได้แค่ออกอัลบั้มต่อชีวิตแล้วขายรวมฮิตจบอนาคต แต่ก็มีอีกหลายคนที่ทำได้และกลับมาอยุ่ในจุดที่สมควรจะได้อยุ่ อย่างแม่มาลัยสายสมร ที่แทบจะเป็นปาฏิหาริย์ ทั้งๆที่อัลบั้มมิมี่ห่าอะไรนั่นก็ใช่ว่าเพลงจะดีกว่าอัลบั้มกลิทเตอร์แต่อย่างใด ตอนนี้ไม่ใช่แค่บริทนี่ย์หรอกที่อยากทำได้แบบมาลัย แต่มีอีกเป็นสิบเป็นร้อยในวงการที่อิจฉาแล้วอยากกลับมาแบบ Greatest Comeback แบบอีพะยูนดาวอังคาร ปีหน้าจะมีทั้ง ป๋าไมเคิล ป้าวิท และเอลตันกับ The Eagle รวมไปถึงอีกหลายๆวงหลายๆคนที่ไม่ได้พูดถึง เราจะรอดูกันว่าใครจะหลุดออกมาจากความมืดมนอนธการที่ถูกจองจำไว้ได้ แบบที่อีอ้วนเคยทุรนทุรายแหวกว่ายจมกองน้ำเงี่ยนเกิดใหม่จนหายเสียสติมาแล้วได้บ้าง . . .
แก้ไขล่าสุดโดย มาดามจ๊อกกาโล่ เมื่อ Mon Nov 19, 2007 8:03 pm, ทั้งหมด 9 ครั้ง
_________________