รีวิวชิ้นนี้ขอมอบให้เป็นของขวัญวันเกิดล่วงหน้าแก่คุณน้องโฟร์ Dhoom Girl หลังจากที่หนูมีความพยายามสูงส่งรีเควสรีวิวชิ้นนี้พร้อมกับตั้งหน้าตั้งตารอคอยชนิดข้ามปีเลยทีเดียว เจ๊ขอโทษนะคะที่เอามาลงให้ช้ามากๆแต่อย่างไรก็ตามเชื่อนะคะว่าการรอคอยบางสิ่งนี่คุ้มค่าเสมอ รวมถึงของมอบรีวิวชิ้นนี้เป็นของขวัญคริสมาสต์และปีใหม่ล่วงหน้าให้เพื่อนๆชาวบอร์ดและผู้อ่านทุกท่านด้วยนะคะ ขออาราธนาพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลกช่วยคุ้มครองทุกๆท่านให้มีความสุข สมหวังกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ตั้งใจ ปลอดภัยแคล้วคลาดจากอันตรายและเริ่มต้นก้าวใหม่ที่สวยงามของชีวิตในวาระปีใหม่ที่กำลังจะก้าวมาถึงในไม่ช้านี้พร้อมๆกันนะคะ
เริ่ม!!!
"ทีนดิว่า" คำนี้อาจจะเป็นศัพท์ที่เด็กยุคใหม่บางคนไม่รู้จัก คุ้นๆหรืออาจจะลืมไปแล้วนะคะว่ามันหมายถึงอะไร แนวดนตรีแนวใหม่หรือ?คำนี้มีความสำคัอย่างไรและมันคืออะไรกันแน่ก็บอกมาสิคะ? ค่ะคุณๆจะร้องอ๋อนะคะหากย้อนกลับไปในช่วงปลายยุค90ช่วงปี1999ที่บริทนีย์ สเปียรส์แจ้งเกิดอย่างสง่างามชั่วข้ามคืนกับซิงเกิ้ลฮิตBaby One More Timeส่งผลให้เธอสามารถก้าวไปสู่ความเป็นพ็อพไอค่อนคนใหม่ของยุคนั้น เจ้าหญิงเพลงพ็อพและที่สำคัญซูเปอร์สตาร์แนวหน้าของวงการขวัญใจอันดับหนึ่งของปาปาราสซี่จนถึงทุกวันนี้ หลังจากความสำเร็จของบริทนีย์และซิงเกิ้ลดังกล่าวส่งผลให้เกิดกระแสสาววัยรุ่นผมบลอนด์ทยอยออกอัลบั้มยึดอาชีพเป็นศิลปินกันมากหน้าหลายตาภายใต้คอนเส็ปท์บลอนด์ ใส คิกขุ อินโนเซนต์ พ็อพบับเบิ้ลกัมและโคลนนิ่งความสำเร็จจากบริทนีย์ให้ได้ใกล้เคียงที่สุดเท่าที่จะใกล้ได้ แต่อย่างไรก็ตามออริจินัลก็คืออริจินัลแม้ว่าเพลง การนำเสนอและภาพลักษณ์จะโขลกจะโคลนอีหอกมาเยี่ยงไรก็ตามคนที่มาเป็นคนแรกได้เปรียบเสมอค่ะ จนกระทั่งสวรรค์มีตากลั่นแกล้งอีหอกด้วยการส่งคริสทิน่า อากิเลรามาเป็นคู่แข่ง ด้วยภาพลักษณ์และการตลาดที่ฉีกออกไปรวมถึงความสามารถในการร้องเพลงและพลังเสียงที่เหนือกว่าจัดจ้านกว่าอย่างเห็นได้ชัด อีกะหรี่ในวัยเยาว์เปรียบเสมือนหอกข้างแคร่ที่คอยชิงดีชิงเด่น สกัดดาวรุ่งและสร้างข้อเปรียบเทียบระหว่างเธอกับบริทนีย์อยู่ร่ำไป ถึงแม้ว่าในช่วงนั้นยอดขายและชื่อเสียงจะตามหลังอีหอกอยู่มากก็ตามแต่ก็ต้องยอมรับว่าเธอสามารถถ่ายโอนฐานแฟนเพลงส่วนหนึ่งของอีหอกส่วนหนึ่งไปสยบเป็นสาวกเดนตายของหล่อนตั้งแต่วันแรกที่ปรากฏตัวสู่โลกมายาไหนจะเรื่องอันดับเพลงบนบิลด์บอร์ดที่เหนือกว่ารวมถึงยังได้รับคำวิจารณ์ในเรื่องของผลงานจากคนดนตรีหลายสถาบันในแง่ดีมากกว่าซึ่งเป็นบ่อเกิดแรกๆต่อการมีข้อครหาความสามารถของเจ้าหญิงเพลงพ็อพผู้น่าสงสารว่า "อีนี่เจ๋งจริงรึเปล่า" และด้วยความสามารถบวกกับพัฒนาการอันโดเด่นทั้งดนตรี ภาพลักษณ์และการตลาดทำให้คริสทิน่า อากิเลาสามารถฉีกตัวเองออกมาได้กว้างกว่า ไกลกว่าและส๔งกว่าในระดับที่เธอกับบริทนีย์และคู่แข่งนางอื่นๆเคยยืนอยู่ ต่อด้วยสาวอีกสองนางคือเจสซิก้า ซิมป์สันและแมนดี้ มัวร์ซึ่งเดี๊ยนจำไม่ได้ว่าใครมาก่อนใครกันแน่ นางแรกมาคอนเส็ปท์เดียวกับนางติ๊นาค่ะคือพยายามที่จะแจ้งเกิดเข้าสู่สายดิว่าอย่างเห้นได้ชัดด้วยการนำเสนอที่หักเหความสนใจของผู้ฟังไปที่พลังเสียงและความสามารในการร้องเพลงแบบน้องๆป้าวิทนีย์ ฮุสทันดิว่าตลอดกาลและเจ๊มารายห์ แครีย์ดิว่าขาสวยเพื่อนสาวของเดี๊ยนเพียงแต่หล่อนค่อนข้างจะโชคร้ายที่การตลาดไม่ถึง ตัวเพลงไม่ได้รับการโปรโมตพอและที่สำคัญภาพลักษณ์ที่ไม่ขลังแรงกล้าสยบผีทุกป่าช้าพอที่จะชึ้นไปฟัดไปเหวี่ยงตบตีกระชากฐานคนฟังได้เทียบเท่ากับสองศิลปินที่สร้างความสนุกสนานบันเทิงเริงใจแก่อุตสาหกรรมบันเทิงก่อนหน้านี้ชนิดมันส์หยดติ๋งๆๆๆๆๆๆๆๆ ผลก้คืออีเจสเปรี้ยงพอตัวในอัลบั้มแรกค่ะแล้วก็ค่อยๆเงียบลงเรื่อยๆๆๆๆๆๆๆจนใกล้ดับเต็มที สุดท้ายแมนดี้ มัวรืนางคนนี้น่าเวทนาเนื่องจากเป็นคนที่ท้ายสุดของกลุ่มในทุกๆเรื่องไปทั้งชื่อเสียง ยอดขายหลายสิ่งอย่าง สำหรับเดี๊ยนเธอเป็นคนที่ตัวเพลงมีความเป็นบริทนีย์แรงสุดแต่ภาพลักษณ์เรียบสนิทชนิดที่ขาดมิติและความน่าสนใจ (ทุกวันนี้ก็ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นนะคะ) แล้วจะขุดฤทธิ์เดชไปสู้อะไรอีบริทมันได้ เพลงอาจจะเรียกได้ว่ากล้อมๆแกล้มๆดังอยู่บ้างแต่ในแง่ของการสัมผัสความสำเร็จเป็นกอบเป็นกำเป็นี่น่าพอใจแบบเพื่อนสาวอีกสามนางที่เหลือก็ เอ่อ เห็นๆอยู่ว่าหล่อนสู้เขาไม่ได้ เฮ้อๆๆๆๆๆๆบริทนีย์ สเปียรส์เจ้าหญิงเพลงพ็อพ คริสทิน่า อากิเลราดีพอที่จะเป็นคู่แข่งอันดับหนึ่งแถมทุกวันนี้ก็ภาพลักษณ์แข็ง ดนตรีเริ่ด การฉลาดเฉี่ยวซะจนฉีกตัวเองออกจากกระแสอี3-4ตัวนี่ไปผุดไปเกิดในภพที่ดีกว่าแล้ว เจสซิก้า ซิมป์สันไม่มีอะไรเด่นแต่พลังเสียงของเธอก็ยังเป็นที่จดจำและก็ได้รับการยกย่องเข้าทำเนียบดิว่าไปแล้ว เอ่อ.....แล้วหล่อนมีอะไรบ้างคะแมนดี้ เรียกได้ว่าดับตั้งแต่เริ่มต้นเลยก็ว่าได้นะเธอ! เอาล่ะค่ะจากที่ได้กล่าวมา4นางนี้เคยเป็นปรากฏการณ์ที่สั่นสะเทือนอุตสาหกรรมดนตรีพ็อพและเป็นที่จับตามองของผ้ฟังทั่วโลก ขณะนี้เวลาล่วงเลยสู่ปี2007ก็ล่อเข้าไป7-8ปีกว่าๆแล้ว งานของพวกเธอจะเป็นอย่างไร พัฒนาไปได้น่าประทับใจถึงขั้นไหน รีวิวชิ้นนี้จะกล่าวถึงอัลบั้มล่าสุดของทีนดิว่าทั้ง4นี้ดดยรวมจากความเห็นเดี๊ยนล้วนๆค่ะ
Christina Aguilera : Back To Basics : 5
เธอเป็นคนที่เดี๊ยนสัมผัสสิ่งพิเศษในตัวได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้รู้จักเธอ (และเป็นคนเดียวในบรรดา4คนที่ทำได้) มันเหมือนกับมีสัญญาณบางอย่างกระซิบข้างหูว่า "จับตาดูผู้หญิงคนนี้ไว้นะ เธอไม่ธรรมดา" แม้ว่าการเริ่มต้นในช่วงแรกๆของเธอจะไม่มีอะไรแปลกแหวกแนวน่าตื่นใจไปกว่าคนอื่นอาจจะค่อนข้างจืดด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับบริทนียื แต่พลังบางอย่างที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงของเธอมันสะกดให้เดี๊ยนเชื่อและรอคอยที่จะติดตามวันที่ผู้หญิงคนี้ฉายศักยภาพที่แท้จริงออกมา และเดี๊ยนก็มองคนไม่ผิด คริสทิน่าเธอให้พัฒนาการทางดนตรั แรงบันดาลใจและการเปลี่ยนแปลงทางภาพลักษณ์ที่น่าจับตามองมากที่สุด จากสาวบับเบิ้ลกัมพ็อพสู่สาวละทิน คณิกามูแลงรูจถ้าวไปอีกระดับกับภาพลักษณ์ที่แรงขึ้น แพศยา โสมม สกปรกแต่แฝงด้วยเสน่ห์และความน่าค้นหาในอัลบั้ม Stripped จวบจนBack To Basic อัลบั้มล่าสุดงานดนตรีที่ดีที่สุดที่เคยได้รับจากเธอซึ่งย้อนรอยกลับมานำเสนอภาคดนตรีะฝังลึกอยุ่ในกมลสันดานของเธอในแนวทางที่ผสานเข้ากับดนตรียุคใหม่ รวมถึงสลัดภาพลักษณ์ตรั้งใหญ่สู่ไอค่อนฮอลลีวูดย้อนยุคอย่างมาริลีน มอนโร/จีน ฮาร์โลว์ ฯลฯ ที่เธอหยิบรัศมีของตำนานเหล่านั้นขึ้นมาฉายสู่สายตาสาธารณชนยุคปัจจุบันอีกครั้ง
จุดด้อย
.ในเรื่องของตัวเพลงและภาพรวมจัดว่าไม่มีปัญหานะคะ เนื่องจากงานชุดนี้เรียกได้ว่าดีมากๆเข้าขั้นอัลบั้มมาสเตอร์พีซของคริสทิน่าเลยทีเดียวซึ่งแน่อนว่าในงานชุดหน้าเอจะต้องเผชิญความคาดหวังที่สูงขึ้นอีกลิบชนิดที่ถ้าสะดุดแม้แต่ก้าวเดียวอีติ๊อาจจะดดนบรรดานักวิจารณืน็อคสลบไปเลยทีเดียว แต่นั่นเป็นเรื่องของอัลบั้มหน้าค่ะไว้ค่อยว่ากัน มาที่จุดด้อยอันใหญ่หลวงของอัลบั้มนี้ไม่ใช่ที่เพลงไม่ใช่ที่เอกภาพไม่ใช่ที่เธอยังเข้าไม่ถึงความดิบของยุคโซลจริงๆแต่เป็นในเรื่องของแผนการโปรโมตที่เดี๊ยนคิดว่าเหลวเป๋วมั่วซั่วขาดระบบอย่างรุนแรงเหมือนกับไม่ได้มีการวางแผนการตัดซิงเกิ้ลอย่างรอบคอบมาก่อนเลยล่วงหน้า ส่วนตัวเดี๊ยนว่าเลิกเถอะค่ะมุขที่ทิ้งช่วงไปนานๆแล้วค่อยมาโปรโมตซิงเกิ้ลถัดไปเนี่ยในยุคที่หาเสถียรภาพทางการไหลเวียนของดนตรีได้ยากยิ่งแบบนี้ทำอย่างนี้เท่ากับหล่อนขุดหลุมฝังตัวเองชัดๆ นอกจากนี้ที่พลาดอย่างน่าเกลียดมาๆคือการเลือกตัดHurtออกมาเป็นซิงเกิ้ลที่สองซึ่งช่วงนั้นกระแสของCandy manกำลังแรงมากๆแต่กลับสวนกระแสไม่โปรโมตซะงั้น แต่เดาะมาโปรโมตเอาตอนเพลงมันซาไปแล้วเพื่ออะไรอ่ะอีคริสทิน่า นอกจากนี้เพลงดีๆอีกหลายเพลงที่ประโคมข่าวหลอกๆว่าจะโปรโมตอย่างUnderstand/Back In The DayหรือSlowdown Babyที่เอ่ยๆมานี่ช่วงกระแสแรงๆตัดทำอันดับหรุๆได้ทั้งนั้นค่ะ แต่ก็ไม่ตัดดันมาใจเสาะตัดเอาอีตอนนี้แล้วมันจะไปขับเคี่ยวอะไรได้เข้มข้นได้ใจเท่าช่วงแรกๆ หล่อนเล่นอะไรอยู่คะเนี่ย
รูปแบบเพลง+แทร็คเด็ด
Back To Basics ถูกแบ่งภาคการนำเสนอออกเป็นสองซีดี แผ่นแรกเป็นการปรุงแต่งดนตรีโบราณอย่างโซล บลูส์และแจ๊ซซืเข้ากับจังหวะจะโคนสมัยใหม่อย่างอาร์แอนด์บี ฟังค์ โอลด์สคูลฮิพฮอพและพ็อพได้อย่างลงตัวมีชั้นเชิง โดยไม้เด็ดประจำแผ่นนี้ขอเริ่มต้นที่เด็ดสุดๆอย่าง Ain't No Other Man (5) ซิงเกิ้ลแรกที่ลอยไปแตะได้ถึงอันดับ6บนบิลด์บอร์ดซึ่งสร้างความประหลาดใจแก่บรรดานักเก็งชาร์ตหลายท่านเนื่องจากก่อนหน้านี้หลายสำนักฟันธงว่าอีติ๊นาแป๊กแน่นอน นอกจากจะทำอันดับได้สูงเกินความคาดคะเนของหลายๆคนแล้ว (ซึ่งน่าจะรวมทั้งคริสทิน่าเอง) เพลงนี้ยังได้รับคำวิจารณืในแง่บวกจากนักวิจารณืดนตรีหลายสถาบันรวมถึงยังไปสอยเอารางวัลแกรมมี่ครั้งที่ผ่านมาในสาขาศิลปินพ็อพหญิงยอดเยี่ยมไปครอบครองโดยผลิกความคาดหมายอย่างหน้าตาเฉยอีกครั้ง อู๊ยยยย!เอาเข้าไปค่ะหล่อน มาที่ตัวเพลงยืนพื้นที่พ็อพโซลเสริมทัพด้วยอารมณืโอลด์สคูลอาร์แอนด์บีฮิพฮพ บลูส์ แจ๊ซซ์ ฟังค์และสวิงได้อย่างเหนือชั้น ถิอว่าสมบูรณ์แบบในแง่ที่จะเลือกเป็นซิงเกิ้ลเปิดตัวและประกาศภาพรวมของอัลบั้มได้อย่างดี
Still Dirrty (4/5) นำเสนอได้อย่างชัดเจนและเก๋ไก๋บนพื้นฐานของดนตรีฮิพฮอพโซลผสานฟังค์ บลูส์ แจ๊ซซ์ โอลด์สคูลและพ็อพอาร์แอนด์บี เดมากๆในส่วนของภาคเนื้อหายังตอบความเป็นติ๊นาได้ดีทั้งในเรื่องของการสานต่อความเป็นขบถทางความคิด ทัศนคติแบบปัจเจกชนสุดโต่ง การจิกกัดเสียดสีสื่อมวลชนกลับอย่างเหนือชั้นและที่สำคัญไม่เคยที่จะหายไปจากการยืนหยัดอันแน่นหนักในสิทิสตรีของตัวเธอ ขอยกให้เป็นภาคต่อของCan't Hold us Downเลย มาที่ Understand (4/5) แซมเพิ่ลเพลงNearer To Youของ เบ๊ตตี้ ฉฮร์ริสมาแปะอยู่บนตัวเพลงได้อย่างลงตัว ภาคดนตรีเป็นพ็อพโซลอาร์แอนด์บีบัลลาดหวานๆเย็นๆที่ไพเราะและเก๋ๆสุดๆ ถ้าตัดออกมาเดี๊ยนเชื่อว่าจะต้องกระแทกกลางใจชาวมะกันแน่ค่ะแต่อีติ๊ไม่ตัดนะคะ ตลกดี ตามมาติดๆกับ Slowdown Baby (3.5/5) อีกหนึ่งโอลด์สคูลฮิพฮอพอาร์แอนด์บีเริ่ดๆที่ภาคเนื้อหาดุดันได้ใจมากๆ ใช้ภาษาดอกไม้ด่ากราดสาดกระสุนชนิดที่คู่กรณีพรุนไม่มีชิ้นดีตั้งแต่หัวจรดปลายตีนเลยทีเดียว เจ้าที่แรงนะคะเพลงนี้ ส่วนตัวฟังแล้วนึกถึงเพลงของDestiny's childเหมือนกัน ต่อด้วย Back In The Day (4/5) เริ่ดค่ะเป็นอีกแทร็คที่เด็ดดวงมากๆของอัลบั้มนี้แต่ฟังนานไปแล้วเบื่อค่ะขอลดคะแนนจากเดิมซัก.5 การนำเสนอน่าสนใจนะคะกวาดมารวมกันหมดทั้งพ็อพ แดนซ์ ฟังค์ โลและโอลด์สคูลฮิพฮอพผลลัพธ์โขลกออกมาเป็นอาร์แอนด์บีเริ่ดๆที่ภาคเนื้อหากล่าวสรรเสริญศิลปินที่เป็นรงบันดาลใจในฐานะผู้สร้าง บุกเบิกและเผยแพร่วัฒนธรรมดนตรีอเมริกันให้สามารถเป็นที่ยอมรับและเจริญเติบโตได้ดังจุดที่ยืนอยู่ในปัจจุบันนะคะ ถือว่าอัจริยะในการรู้จักใช้ความเป็นพ็อพไอค่อนของเธอสานต่อเจตนารมณืทางดนตรีและประกาศให้ผู้ฟังรุ่นใหม่รู้คุณค่าของดนตรีเหล่านี้ ปิดทีเด็ดแผ่นแรกด้วยแทร็คเปิดอัลบั้ม Make Me Wanna Pray Feat' Steve Winwood (5) ฮิพฮอพอาร์แอนด์บีเจิมด้วยพ็อพบนภาคการนำเสนอแบบกอสเพลโซลขลังๆอารมณ์ประมาณยุค60-70น่ะค่ะ อลังการมากๆ เนื้อหาก้าวถึงการตระหนักถึงความมีศรัทธาที่สวยมาต่อก้าวเดินครั้งใหม่ ถือเป้นการเอาฤกษ์เอาชัยอย่างดีในการจับมาเป็นแทร็คเปิดอัลบั้ม (ไม่นับอินโทร)
สำหรับแผ่นที่สองเป็นการปลุกวิญญาณย้อนยุคทั้งโซล บลูส์ กอสเพลและแจ๊ซซ์ระบายลงสู่พ็อพได้อย่างมีมิติ ตัวเพลงได้แรงบันดาลใจมาจากดนตรียุค30-50แต่การนำเสนอของอีติ๊นี่ให้อารมณ์แบบ70หลายแทร็คนะคะ เริ่มต้นที่ Candy Man (5) เริ่ดสุดๆเด็ดดวงที่สุดในงานชุดนี้แล้วล่ะค่ะ ตัวเพลงหยิบแซมเพิ่ล Tarzan&Jane Swingin' On A Vine จาก Run To Candence With The U.S. Marine Vol.2 มาใส่ได้อย่างลงตัว ภาพรวมของการนำเสนอได้แรงบันดาลใจมาจากดนตรีสวิงยุคป้าบิลลี่ ฮอลิเดย์กับเพลง Boogie Woogie Buggle Boy ของ แอนดรูวส์ ซิสเตอร์ ในปี1941 ภาคดนตรีขนมาทั้งพ็อพ แด๊นซ์ แจ๊ซซ์และใส่จังหวะจะโคนสวิงคลุมอย่างลงตัว เริ่ด! ต่อด้วย Nasty Naughty Boy (5) กรี๊ดดดดดดดดดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เริ่ดมากๆๆๆๆๆค่ะ ร่างทรงมาริลีน มอนโรนี่ลอยมาแต่ไกลเลยทีเดียว อีติ๊ล่อคาบาเร่ต์แจ๊ซซ์ยุค40-50กว่าๆเลยทีเดียวย้อนยุคมากๆอีกทั้งยังพ่วงด้วยสรรพสำเนียงการร้องที่กระเส่ากระสันยั่วยวนเซ็กซี่ผนวกเข้ากับภาคเนื้อหาแบบสองแง่สามง่ามอย่ามีวาทะศิลป์ตามธรรมเนียมปกติของดนตรีแนวแจ๊ซซ์ทั่วไป ให้อารมณืเหมือนลากผู้ฟังเข้าไปนั่งชมการแสดงตั้งแต่ซ่อง ฮาเร็ม คลับแจ๊ซซ์ยันเวทีบรอดเวย์ยุควินเทจเลยทีเดียว แต่คิดไปคิดมาซ่องนี่น่าจะเหมาะกับอีติ๊สุดน่ะค่ะ I Got Trouble (5) บลูส์แจ๊ซซ์ดิบๆหม่นๆผ่านกรรมวิธีบันทึกเสียงแบบอนาล็อกให้อารมณืเหมือนตัวเพลงกำลังเปล่งออกมาจากเครื่องเสียงแบบโบราณในภาพยนตร์ขาวดำเลยทีเดียว ขอชมป้าลินดานะคะว่าอัจฉริยะเข้าขั้นและเข้าถึงอารมณืการนำเสนอเพลงในยุคนั้นมากๆ ทั้งในส่วนของเนื้อหาที่ร้อยเรียงออกมาอย่างมีวาทะศิลป์ เหนือชั้นและล้ำลึกนรูปแบบเดียวกันกับวัฒนธรรมการประพันธ์เพลงยุค20-30มากๆ ฟังแล้วนี่หน้าป้าเบสซี่ราชินีเพลงบลูส์ลอยมาแต่ไกล บรื๋อออออ มาที่ Mercy On Me (5) กอสเพลโซลบัลลาดอลังการ บริสุทธิ์ งดงามและทรงพลังจัดทุกองค์ประกอบฟังแล้วขนลุกค่ะ แต่น่าคิดนะคะว่าพลังเสียงเริ่ดระดับนี้ถ้าอีติ๊เอามาร้องสดจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ร้องล่มก็คงตายคาไมค์ไปเลย หึหึหึ ปิดอัลบัมอย่างอลังการด้วย The Right Man (4.5/5) พ็อพโซลบัลลาดออเครสตร้าผสานภาคดนตรีกอสเพลที่ช่วยยกระดับศักยภาพของเพลงให้วิจิตรและยิ่งใหญ่เหนือระดับบัลลาดทั่วไปมากๆ ภาคเนื้อหากล่าวถึงศรัทธาที่งดงามที่ช่วยให้เะอหลุดพ้นจากด้านมืดของชีวิตรวมถึงฝ่าฟันอุปสรรคแสนสาหัสทุกประการเพื่อที่จะไปให้ถึงวันหนึ่งที่ชีวิตของเธอจะได้รับการเติมเต็มทุกอย่าง วันที่เธอจะได้พบคนที่ใช่ รู้จักรักที่บริสุทธิ์ปราศจากเงื่อนไขจากชายคนที่เธอสามารถจะฝากความหวัง ความฝัน รัทธาและชีวิตทั้งหมดไว้กับเขาได้ ดีใจด้วยนะคะที่ในที่สุดชีวิตของเธอก็เดินมาถึงจุดหมายนี้แล้ว
สรุป
พูดกันตามตรงอย่างที่เห็นนะคะว่า คริสทิน่า อากิเลรา คือคนที่นำเสนอผลงานออกมาได้ดีที่สุด น่าสนใจที่สุด มีพัฒนาการมากสุดแลฃะแลดุจะมีอนาคตในวงการนานที่สุดในบรรดาทั้งหมด เธอรู้จักหล่อหลอมภาพลักษณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอด ความยากที่จะคาดเดาและศักยภาพพิเศษส่วนตนหลายๆสิ่งเข้ากับการนำเสนอดนตรีแต่ละชุดได้เนียนมากๆซึ่งถือว่าฉาบฉวยจริงแต่ก็เป็นหัวใจแห่งความอยู่รอดในอุตสาหกรรมนี้ของศิลปินยุคนี้นะคะ แม้ในเรื่องยอดขายและชื่อเสียงถ้าจะเทียบกับบริทนีย์แล้วทุกวันนั้คริสทิน่าก้ยังคงตามหลังอยู่ ต้องยอมรับค่ะว่าเรื่องความเป็นแบรนด์ ความเป็นไอค่อนนี่เธอยังไม่สามรถที่จะเทียบชั้นบริทนีย์ได้ในขณะนี้และคงยากอยุ่ล่ะค่ะที่จะขึ้นมายืนในระดับที่คลาสสิคเทียบเท่าบริทนีย์ได้ แต่อย่างไรก็ตามStripprdกับBack To Basics ก็เป็นบทพิสูจน์ที่ยิ่งใหญ่แล้วนะคะถึงการวิ่งมาราธอนอันไม่มีวันจบสิ้นบนถนนสายดนตรีระหว่างเธอกับบริทนีย์ว่าเธอมีศักยภาพที่สูงกว่า เธอฉีกเส้นทางออกไปได้กว้างกว่าและอาจจะมั่นคงกว่า เธอหยุดการแข่งขันครั้งนี้และพิสูจน์ให้ทุกคนได้ประจักษ์ว่าใครกันแน่ที่จะหายใจต่อในอุตสาหกรรมนี้ยาวนานกว่ากัน ส่วนตัวเดี๊ยนภูมิใจนะคะที่เธอสามารถฝ่าฟันคำครหานานัปประการมาได้ เธอฉีกตัวเองออกจากเงาคนอื่นๆได้ เธอมายืนอยู่สูงสุดของกลุ่มในแง่คุณภาพได้ เป็นตัวอย่างที่ดีอีกคนค่ะที่แสดงให้เห็นว่า คนเราละครชีวิตนี่มันต้องดูกันยาวๆ ยินดีด้วยที่คว้านาทีแห่งความสำเร็จนี้มาได้นะคะติ๊
Jessica Simpson : A Public Affair : 2.5/5
สำหรับเธอคนนี้เคยสร้างความประจักษ์แก่วงการว่าเนื้อเสียงที่ไพเราะและพลังเสียงที่อลังการระดับพระเจ้าปั้นในอัลบั้มแรก Sweet Kisses เป็นอีกหนึ่งนางที่ฉีกตัวเองออกจากบริทนีย์ได้อย่างเห็นได้ชัดในช่วงแรกๆกับซิงเกิ้ลเปิดตัวสุดอลังการอย่าง I Wanna Love You Forever ที่ปีนขึ้นไปแตะถึงอันดับ3บนบิลด์บอร์ดยิ่งไปกว่านั้นคือการที่ดึงความสนใจผู้ฟังไปสู่ความสามารถในการร้องเพลงและพลังเสียงของเธอ แต่เสียดายนะคะที่หลังจากอัลบั้มแรกเราๆก็ไม่สัมผัสการแสดงศักยภาพในการใช้เสียงและการทำเพลงระดับนั้นได้จากเธออีก แต่ใครจะสนในเมื่อวันนี้เธอกลับมาแล้วพร้อมกับอัลบั้มล่าสุด A Public Affair ที่มาท้าพิสูจน์โลกดนตรีอีกครั้งว่าเจสซิก้ายังคงเป็นที่ต้องการของประชาชน (ต๊ายยย คิดงั้นก็ตามใจค่ะช่างมั่น) แม้ว่าเพลงของเธออาจจะ เอ่อ อ่านในรีวิวได้นะคะ หึหึหึ
รูปแบบดนตรี
A Public Affair เป็นงานพ็อพที่ผสมผสานภาคดนตรีที่หลากหลายอย่างอาร์แอนด์บี โฟล์ค คันทรีย์ แจ๊ซซ์ เรโทรและอื่นๆโดยสามารถจำแนกให้ผู้ฟังเห็นความแตกต่างและหลากหลายชนิดแทร็คต่อแทร็คได้อย่าง เอ่อ โอเคก็ดี ชนิดที่แม่เล่นเหวี่ยงแหทอดทั้งแปซิฟิก เหมาะมากนะคะสำหรับคนที่ชอบอะไรคุ้มๆหรือขี้เบื่อชอบครบรสในราคา320-399หยิบไปเลยค่ะซีดีชุดนี้
จุดด้อย
ง่ายที่สุดและชัดที่สุดนะคะคือถ้าจะหางานบัลลาดชนิดที่ทรงพลังถึงตายแบบอัลบั้มแรกนี่ไม่ต้องเสียเงินมาซื้อหรอกค่ะเนื่องจากไม่มีแต่ถ้าเป็นเพลงช้าแบบชิลล์ๆเพราะๆล่ะก็เชื่อว่าไม่แทร็คใดแทร็คหนึ่งจะต้องถูกใจพวกคุณๆนะคะ มาที่เนื้องานแม้ว่าจะน่าชมในส่วนของความหลากหลายของแต่ละแทร็คที่เด่นชัดและมีให้เลือกหยิบจับมากกว่างานแก่าๆแต่อย่างไรก็ตามในส่วนของเอกภาพชิ้นงานนี่ค่อนข้างมั่วซั่วและเละนะคะประดังเข้ามาหมดแบบว่าสักแต่ยัดๆๆๆๆมาให้เห็นความหลากหลายแต่ไม่สนใจเรื่องการเรียบเรียงภาคอารมณ์ให้ประติดประต่อรวมถึงหากรอบในอัลบั้มนี้ไม่เจอเนื่องดนตรีจากกว้างหลากแนวมากๆ แต่ไม่ใช่ว่ามันจะดีเหมือนอีติ๊นาหรืออีหอกที่เขาสื่ออกมาให้ผู้ฟังทราบอย่างชัดเจนว่าคอนเส็ปท์คืออะไร ส่วนเจสนี่ออกมาแบบสะเปะสะปะไร้ทิศทางน่ะค่ะหรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือวาดกรอบคุมเกมส์ไม่ได้เพราะมันเดินหมากมั่ว เพลงก็ไม่ใช่ว่าจะดีอะไรแถมยังโดนอิทธิพลทางดนตรีและของผู้อื่นกลืนซะสนิทขนาดนี้ก็ออกมาอย่างที่เห็นนั่นแหละค่ะ จนป่านนี้แล้วยังหาตัวเองไม่เจออีกเหรอหล่อน?
แทร็คเด็ด
จะเป็นไปไม่ได้ถ้าขาด A Public Affair (2.5/5) ไทเทิ่ลแทร็คที่ทุกองค์ประกอบแข็งที่สุดในอัลบั้มสมควรอย่างยิ่งที่ได้รับการตัดโปรโมตเป็นซิงเกิ้ลแรก ตัวเพลงเป็นพ็อพเต้นรำผสานกลิ่นอายเรโทรแบบพ็อพแด๊นซ์ยุค80โดยแฝงกลิ่นอายดิสโก้อ่อนๆฟังแล้วนึกถึงเพลง Holiday ของอีเจ๊แม่มากๆ มาต่อด้วยอีกแทร็คอารมณ์ใกล้เคียงอย่าง If You Were Mine (2.5/5) ที่องค์อีเจ๊แม่ยุค80แรงชัดมากๆ โครงสร้างการนำเสนอเป็นพ็อพเต้นรำยุค80ที่ใส่จังหวะมิดเทมโพและอารมณ์โอลด์สคูลเข้ามาได้อย่างลงตัว มาที่ Back To You (3.5/5) พ็อพบัลลาดเพราะๆหยอดกลิ่นอายอคูสติคอาร์แอนด์บีและการนำเสนอละเมียละไมแบบโฟล์คนะคะ ส่วนตัวรู้สึกว่าเป็นหนึ่งในแทร็คที่ดีที่สุดของอัลบั้มเลยทีเดียว เวลาตัวเองทำอะไรดีๆออกมาก็หัดลืมตาดูบ้างนะคะไม่ใช่ดูแต่งานดีของคนอื่นตะพัดตะพือแล้วเอามาทำตาม
Fired Up (1.5/5) ต๊ายยยยยยยยยยยย อีเจสทำฮิพฮอพค่ะ ไม่ไหวแล้วขอขำนิ๊ดนึง หึหึหึ ฟังแล้วรู้เลยว่าได้แรงบันดาลใจมาจาก Dirrty ของอีคริสทิน่าแต่มาในภาคที่สวนทางกันอย่างแรงด้านคุณภาพนะคะ ก่อนหน้านี้เคยหมายมั่นปั้นมือจะตัดโปรโมตเป็นซิงเกิ้ลแรกแต่บุญที่เคยทำไว้ทำให้อีเจสและทีมงานไหวตัวทันไปเลือกตัดเพลงอื่นแทน ภาคดนตรีเป็นพ็อพคลับแดนซ์ปะทะอาร์แอนด์บีฮิพฮอพแรงๆเจือกลิ่นอายภารตะนิดๆ ถอดแบบเดียวมาจากฉบับบของสาวอาร์แอนด์บียุคโลกาวินาศอย่างบียอนเซ่/คริสทิน่า มิลเลียน/อเมรี/เนลลีย์/บริทนีย์ สเปียรส์ไปจนถึงอาร์แอนด์บีด้อยพัฒนาอย่างแคทรียา อิงลิชน่ะค่ะ สรุปแล้วคงทราบนะคะว่าไม่ใช่เพลงที่ดีแต่ความแย่ของมันเด่นจนโดดออกนอกจอเกินหน้าเพลงดีๆเลยทีเดียว เด็ดสะใจมิละแทร็คนี้
You Spin Me Around (Like A record) (3/5) ตัวเพลงคัฟเวอร์มาจาก Dead Or Alive นะคะจริงๆแล้วก่อนหน้านี้ถูกวางไว้เพื่อโปรโมตเป็นซิงเกิ้ลที่สาม รู้สึกจะเข้าบิลด์บอร์ดมาแล้วด้วยถ้าจำไม่ผิดได้92หรืออะไรนี่แหละแต่พิษจากยอดขายทำให้โปรเจ็กต์นี้แท้งไปอย่างน่าเสียดาย ตัวเพลงเป็นแดนซ์พ็อพผสานแทรนซ์อ่อนๆติดดิสโก้นิดๆและอาร์แอนด์บีจางๆ ต๊ายยย บริทนีย์ สเปียรส์มากค่ะหล่อนเพลงนี้ประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวงแต่ยังไงก็ขอยอมรับนะคะว่าทำเพลงเต้นรำบางเพลงได้ดีเข้าขั้นอยู่ แทร็คติดกัน B.O.Y (3/5) ต๊ายยยย แอบเริ่ดอยู่นะคะ ใครจะไปคิดว่าอีเจสซิก้าจะทำยูโรพ็อพให้ฟัง ขนมาหมดค่ะทั้งพ็อพทั้งแดนซ์ติดฟังค์อ่อนๆ ริปกีตาร์ซอฟต์พังค์ร็อคนิดๆ อินดี้ บีทดิสโก้ตึ้บๆ อาร์แอนด์บีจางๆแล้วตบอิเล็คโทรนิคอ่อนๆคลุมอีกที การผสมผสานดนตรีถือว่าเข้าขั้นค่ะแต่ความลงตัว ความจัดจ้านและการนำเสนอยังไม่สนใจเท่าที่ควรยิ่งเมื่อเทียบกับศิลปินจากสหราชอาณาจักรอีกหลายชีวิตที่เซียนเพลงแนวนี้แล้ว อีเจสจืดไปเลยทีเดียวแต่เอาเถอะค่ะให้คะแนนความตั้งใจ
Walkin' Round In A Circle (3.5/5) กับ The Lover In Me (3/5) สองเพลงเพราะๆแทร็คแรกเป็นพ็อพน่ารักๆหวานๆผสานโฟล์คอ่อนๆการนำเสนอไหลระรื่นเรื่อยเปื่อยไปนิดแต่เพราะขาดใจค่ะรับรอง แทร็คหลังนี่เข้าข่ายซิคเนเจอร์ซองอีเจสไปแล้วพ็อพใสๆง่ายๆแต่เพราะดูดหูหนึบแบบนี้ ตัวเพลงทำเป็นพ็อพเจือโซลและกอสเพลอ่อนๆติดหูตั้งแต่ครั้งแรกที่ฟัง แต่แหมพลังเสียงระดับเจสนี่จะทำโซลทั้งทีไหงมันออกมาปวกเปียกเยี่ยงนี้เล่าคะ แถมช่วงอินโทรดนตรีก็เชยมากๆมุขแบบนี้พี่ไทยค่าย Exact เขาเอามาทำเป็นเพลงประกอบละครไม่รู้กี่เรื่องต่อกี่เรื่องแล้วแต่ก็เหมาะกับหล่อนดีนะ ปิดด้วย Let Him Fly (4/5) พ็อพโฟล์คคันทรีย์บัลลาดที่เธอคัฟเวอร์มาจากแพ็ทธี กริฟฟินส์ ภาคการนำเสนอนุ่มละมุนและเนื้อหาเชือดเฉือนใจผู้ฟังมากๆ เพราะขาดใจและดีสุดแล้วในงานชุดนี้สำหรับเดี๊ยน ชอบสุดค่ะเริ่ด
สรุป
เมื่อฟังเทียบกับบรรดาคู่แข่งแล้วคงต้องบอกล่ะค่ะว่าในเรื่องการทำเพลงถ้าวัดกันที่อัลบั้มล่าสุดเจสเป็นคนที่ด้อยที่สุดทั้งในเรื่องเอกภาพ คุณภาพและศักยภาพทางดนตรี พัฒนาการยอมรับค่ะว่ามีความเปลี่ยนแปลงขอบอกค่ะว่าเห็นได้ชัดแต่ความก้าวหน้าที่จะทำให้ผู้ฟังประทับในจุดสูงสุดนี่เมื่อเทียบกับคนอื่นแล้วเธอชะงัก แม้ว่างานชุดนี้อาจจะไม่ใช่บทพิสูจน์ที่น่าประทับใจสำหรับเธอแต่ก็ไม่มีใครลืมหรอกค่ะว่าเธอมีศักยภาพที่สูงอยู่แล้วอยู่กับตัวเพียงแต่เมื่อไรเท่านั้นแหละ ที่เธอจะกล้าฉายศักยภาพและความเป็นตัวเธอที่แท้จริงออกมาให้โลกเห็น
Mandy Moore : Wild Hope : 3.5/5
อย่างที่ได้กล่าวไปว่าเธอเป็นคนที่ด้อยที่สุดในกลุ่มตั้งแต่แรกเริ่มทั้งด้านอันดับเพลง ชื่อเสียง ยอดขาย ภาพลักษณ์และอีกมากมายที่ส่งผลให้เธอกลายเป็นอีรั้งท้ายหรือเรียกแบบใจร้ายหน่อยก็คือพวกปลายแถวน่ะค่ะ แต่วันนี้เธอกลับมาพร้อมกับอัลบั้มใหม่Wild Hopeซึ่งแสดงหลายสิ่งออกมาให้ผู้ฟังประจักษ์ว่าตลอดเวลาที่เธออยู่ภายใต้เงาของสาวคนอื่นๆ เธอได้เจียระไตนฝีมือตัวเองและก้าวหน้าไปมากกว่าหลายคนจะคาดถึงเชื่อว่ารีวิวนี้จะช่วยให้ผู้อ่านหลายๆท่านเกิดความรู้สึกอยากที่จะลองลงไปพิสูจน์ศักยภาพของเธอในครั้งนี้ดูนะคะ
รูปแบบเพลง
การนำเสนอรอบด้านของแมนดี้ในWild Hopeถือว่าเธอพัฒนาขึ้นไปอย่างเห็นได้ชัดทั้งภาคดนตรีที่ละเมียดละไมแบบพ็อพร็อคผสานด้วยโฟล์คเจืออัลเทอเนทีฟรวมถึงกลิ่นอายแจ๊ซซ์บางๆและคลาสสิคอ่อนๆแซมเข้ามาเป็นกระสัยในบางแทร็ค ภาคเนื้อหาเป็นการปลดปล่อยด้านที่มืดหม่นรวมถึงระบายความอัดอั้นตันใจจากชีวิตส่วนตัวและสภาพแวดล้อมรอบข้างลงสู่ตัวเพลง นับว่าเป็นการถ่ายทอดให้ผุ้ฟังได้สัมผัสถึงอีกด้านที่คุณไม่เคยได้เห็นจากเธอก่อนหน้านี้ ด้านที่เป็นของแมนดี้ มัวร์อย่างแท้จริงหาใช่ด้านที่เป็นเงาจางๆของเจ้าหญิงเพลงพ็อพแบบก่อนหน้านี้ไม่ สำหรับเดี๊ยนนี่คือผลงานที่ดีที่สุดและฉายแสงในฐานะศิลปินมืออาชีพที่เจิดจรัสที่สุดที่วงการเคยได้รับจากเธอ
จุดด้อย
ก่อนอื่นต้องขอชมนะคะสำหรับพัฒนาการที่ฉายออกมาให้เห็น ยอมรับว่าสูงขึ้นดีขึ้นมีชั้นเชิงขึ้นมากๆชนิดที่เบียดงานแกนๆของเะอก่อนหน้านี้ตกหลืบกระเดนไปเลย ส่วนดีมีให้เห็นเยอะขึ้นมากๆจากมาตรฐานเก่าๆของแมนดี้แต่อย่างไรก็ตามจะดังรึเปล่านี่สิปัญหาใหญ่เลยทีเดียว เนื่องจากเมื่อเทียบกับเพื่อนสาวอีกสามคนที่ค่อนข้างวโฉ่งฉ่าง่องแตกกว่าหลายเท่าตัวแล้ว ไหนจะมาเจอกับศิลปินที่ภาพลักษณ์แรงๆดนตรีปึ้กๆร่วมวงการอีกหลายนางนายอีกทำเอาWild Hopeกับแมนดี้นี่จืดไปโขจากแต่เดิมก็จืดพอตัวอยู่แล้ว ถึงเพลงจะพัฒนาขึ้นมากจนถึงขั้นที่เรียกได้เต็มปากว่า "ดี" แต่งานเรียบนิ่งและรรมดาขนาดนี้จะมีซักกี่คนล่ะที่สนใจอยากจะลงมาฟังกัน บุญมีแต่กรรมที่บังนี่มันหนาเนอะ
แทร็คเด็ด
แน่นอนที่สุด Extraordinary (3.5/5) ซิงเกิ้ลแรกพอพเจือร็อคผสานอัลเทอเนทีฟอ่อนๆโฟล์คสวยๆคลุมพอเป็นพิธีตบด้วยคลาสสิคละเมียดละไมแบบที่ได้ยินกันจาก Be Not Nobody ของวาเนสซ่า คาร์ลทัน เพียงแต่กลิ่นอายของแมนดี้ค่อนข้างจะจางกว่ามากๆ ภาคเนื้อหาสวยงามมีวาทะลป์อ่อนหวานแต่เปี่ยวไปด้วยพลังเป็นเข็มทิศที่ช่วยบอกทิศทางอัลบั้มและประกาศเจตนารมณ์ในการกลับมาแก่แฟนๆได้เป็นอย่างดี กลับมาได้อย่างธรรมดาเรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยความพิเศษเหนือชั้นทุกอณูสมชื่อ แทร็คถัดไป All Good Thing (4/5) เยี่ยมมากๆนะคะแทร็คนี้ ทั้งในส่วนของเนื้อร้องที่ใช้คำได้อย่างเรียบง่ายแต่ผูกคำออกมาได้อย่างสละสลวยภาคดนตรีเป็นบัลลาดพ็อพร็อคอ่อนๆเจือโฟล์คเหงาๆที่ถ่ายทอดภาคอารมณืของแมนดี้ออกมาได้ดีมากๆ เป็นอีกแทร็คที่ระเบิดด้านที่เราไม่เคยได้สัมผัสจากแมนดี้ออกมาบนศักยภาพที่ก้าวขึ้นไปอย่างเห็นได้ชัดอีกระดับของเธอโดยแท้ พิสูจน์ได้อีกเพลงกับ Wild Hope (4/5) ไทเทิ่ลแทร็คที่ตัวเพลงเป็นบัลลาดเครื่องสายเจือกีตาร์อคูสติค เป็นอีกแทร็คที่สามารถนำเสนอภาคเนื้อหาได้อย่างล้ำลึกมีชั้นเชิงและคมคายมากๆบนภาคการนำเสนอที่เรียบง่ายแต่คงไว้ซึ่งเสน่ห์และพลังบนความมืดหม่นอนธกาลอ้างว้างแต่ให้ความรู้สึกแลบะอารมณืร่วมที่เข้มข้นทุกองค์ประกอบ ฟังแล้วนึกถึงเพลงของโจนี่ มิเชลมากๆ เริ่ดนะ
Few Days Down (4.5/5) แทร็คที่ชอบที่สุดในอัลบั้มและส่วนตัวเห็นว่าเป็นหนึ่งในแทร็คที่น่าสนใจที่สุดในชุดนี้ ภาคดนตรีเป็นบัลลาดพ็อพร็อคเจือโฟล์ค อัลเทอเนทีฟและแจ๊ซซ์อ่อนๆผสมผสานได้อย่างลงตัวมีชั้นเชิง พิเศษในความรู้สึกสุดๆด้วยความเจ็บปวดที่แทรกบนวาทะศิลป์ที่สวยงาม ความอ้างว้างที่ทรงพลังและที่สำคัญความว่างเปล่าที่กระแทกกระทั้นไปด้วยความรู้สึกที่รุนแรง ดีที่สุดเท่าที่ฟังมาแล้ว ลองขยับมาฟังเพลงสนุกๆกันดูบ้างดีมั้ยคะ ลองฟัง Nothing That You Are (2.5/5) ซิงเกิ้ลที่สองพ็อพร็อคใสๆสนุกๆอารมณืใกล้เคียงกับเพลงใน Hotel Paperของมิเชล แบรนซ์น่ะค่ะ ที่ชอบคือภาคเนื้อหาแสบสันและมีสีสันเกินความเป็นแมนดี้มากๆฟังแล้วรู้เลยว่าแต่งผูกโบว์กะมอบให้ใคร เนื้อหาแรงเกินกว่ามาตรฐานหลายๆเพลงก่อนหน้านี้ของแมนดี้นะคะเสียดายที่ความชัดเจนมีให้น้อยไปนิด ต่อด้วย Can't You just Adore Her? (3.5/5) แทร็คนี้ภาคเนื้อหาค่อนข้างเป็นส่วนตัวสำหรับแมนดี้มากๆ ตัวเพลงเป็นบัลลาดโฟล์คร็อคผสานพ็อพและกลิ่นอายคันทรีย์แบบเจือจางมากๆ ส่วนตัวชอบที่แมนดี้สื่ออกมาได้อย่างทรงพลัง ทรงเสน่ห์และกระแทกความรู้สึกสุดๆ ปิดท้ายด้วย Ladies' Choice (4/5) ต๊ายยย! เพลงนี้ร่วมงานกับราเชล ยามากาตะด้วยค่ะ เริ่ด ภาคการนำเสนอนี่แตกต่างเด่นเด้งและดดสุดในอัลบั้มแล้ว ตัวเพลงเปิดที่ออเครสตร้าเครื่องสายอลังการก่อนจะเข้าสู่ธรรมเนียมพ็อพร็อคตบด้วยเพียโนแจ๊ซซืเก๋ๆที่ทิศทางทั้งหมดถูกคลุมไว้บนอารมณืคลาสสิคพ็อพอ่อนๆอีกที เนื้อหายืนหยัดในสตรีเพศจนน่าตกใจเมื่อได้รู้ว่าเป็นเพลงของแมนดี้ หึหึหึ ขอบนะคะ
สรุป
ถือเป็นม้าตีนปลายของกลุ่มอย่างถ่องแท้นะคะ เพิ่งจะมาฉายศักยภาพเอาอีตอนที่ชาวบ้านเขาแย่งกันดังตัดหน้าเธอไปก่อนหน้านี้ร่วม10ปี อย่างไรก็ตามงานชุดนี้เข้าตาเดี๊ยนค่ะแม้ว่าจะรู้อยู่เต็มอกว่ายากที่เธอจะดังและประสบความสำเร็จเทียบเท่าอีก3นางที่เหลือ เนื่องจากทุกวันนี้แมนดี้ก็ยังดูเรียบๆธรรมดาๆที่สุดในกลุ่มไม่มีภาพลักษณ์แรงๆที่ฉาบติดตัวเป็นอาวุธให้ผู้บริโภคอยากจะกล่าวถึงหรือจดจำ เรียกแบบใจร้ายเลยก็คือต่อให้งานดีแต่เธอก็ยังดูเหมือนจะไม่มีตัวตนในวงการแต่อย่างไรก็ตามบางทีเราต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์นะคะอะไรๆก็เปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิงได้ทุกๆสิ่ง อย่างน้อยตอนนี้เพชรในตมเม็ดนี้ก้ฉายแสงเจิดจรัสออกมาแล้วว่าเธอมีพัฒนาการที่ดีและคู่ควรกับคำว่าศิลปินซึ่งนั่นถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่จะซื้อใจผู้ฟังในระยะยาว แม้ว่าจะฉายแสงให้เหนช้าไปนิดแต่สำหรับคนที่ตั้งใจจริงและมีศรัทธาอย่างแรงกล้าในการลงมือทำในสิ่งที่รักอย่างเต็มหัวใจแบบเะอ ไม่มีอะไรสายเกินไปแน่นอน
Britney Spears : Blackout : 3.5/5
หลังจากแจ้งเกิดอย่างสง่างามกับซิงเกิ้ลฮิต Baby One More Time ที่เป็นปรากฏการณ์พัดอาณาจักรดนตรีพ็อพเสียกระจุย จนส่งผลให้บริทนีย์ สเปียร์สกลายเป็นซูเปอร์สตาร์หน้าใหม่ที่เจิดจรัสที่สุดในวงการชั่วข้ามคืน เธอก้าวสูงขึ้นเรื่อยๆสู่ความเป็นพ็อพไอค่อน ทีนดิว่าและเจ้าหญิงเพลงพ็อพจนถึงทุกวันนี้ เธอเป็นผู้นำกระแสทีนดิว่าในยุคนั้นที่บรรดาสาวผมบยลอนด์แข่งกันออกอัลบั้มจนคับวงการซึ่งเธอก็พิสูจน์ตัวเองว่าดีพอและแตกต่างที่จะยืนอยู่ในฐานะตัวเลือกอันดับหนึ่งของกลุ่ม เธอเป็นออริจินัล เป็นแบรนด์ติดตลาดโลกและที่สำคัญเป็นหนึ่งในสุภาพสตรีที่ทรงอิทธิพลต่ออุตสาหกรรมดนตรีทั่วโลกและนี่คือBlackoutกับการคืนสู่บัลลังก์ครั้งใหม่ของเธอ
รูปแบบเพลง
ภารกิจทวงบัลลังก์ในครั้งนี้ยังคงยึดมั่นที่แดนซ์พ็อพที่ถูกพัฒนาขึ้นให้มีชั้นเชิง หีบห่อและความล้ำลึกสูงกว่าบรรดาเพลงเต้นรำก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาของเธอผสมผสานไปกับภาคดนตรีที่หลากหลายเช่น อาร์แอนด์บี อิเล็คโทรนิค เทคโนและฮิพฮอพได้อย่างลงตัว ในขณะเดียวกันความเป็นคลับแดนซืที่ได้ยินกันตั้งแต่อัลบั้มBritneyในงานชุดนี้ถูกพัฒนาให้ก้าวไปถึงศักยภาพขีดสุดตั้งแต่ที่เคยได้ยินมา ภาคดนตรีในBlackoutมีชั้นเชิงสูงขึ้น มีระดับมากขึ้นและมีมิติสูงขึ้นจนแถบจะรู้สึกว่าหลายแทร็คมีชีวิต จะเรียกได้ว่าเพลงเต้นรำของบริทนีย์ก้าวมาถึงขั้นที่นำเสนออกมาให้เห็นลึกไปถึงสายเลือดและลมหายใจของศิลปินดังเช่นมาดอนน่าและไคย์ลีย์ มิโน้กก็คงไม่ผิด นี่คืองานที่ก้าวไปในระดับที่สูงที่สุดของบริทนีย์
จุดด้อย
งานชิ้นนี้เป็นงานที่เอกภาพสูงมากๆเลยทีเดียวของบริทนีย์นะคะ เป็นอัลบั้มที่มีเพลงแข็งพอที่จะเป็น.ซิงเกิ้ลอยู่เยอะมากๆและเป็นอัลบั้มที่ให้เพลงที่ดีที่สุดหลายเพลงอย่างต่อเนื่องก็จริง แต่ก็มีบางแทร็คที่เป็นตัวฉุดรั้งศักยภาพของตัวงานให้ไม่สามารถก้าวไปสู่จุดที่เริ่ดสุดๆได้อย่างน่าเสียดายทั้งๆที่หลายเพลงได้คะแนนเกินกว่าคำว่าเริ่ดๆมากๆสำหรับมาตรฐานของเดี๊ยน คิดแล้วเสียดายนะคะถ้าได้เพลงดีๆอย่าง State Of Grace/Get Back/Baby Boy อะไรพวกนี้เข้ามาแทนที่บางแทร็คนี่ไม่อยากจะคิดเลยว่าศักยภาพของอัลบั้มนี้จะกระโดดไปได้ไกลกว่าที่เป็นอยู่ขนาดไหน อีกเรื่องคืออัลบั้มนี้เอกภาพสุงจริงๆค่ะแต่น่าแปลกที่เป็นการยากมากๆที่จะรับฟังให้มันซึมซับหมดทุกแทร็ครอบเดียวในการฟังครั้งแรกของเดี๊ยน อึดอัดจนถึงขั้นต้องแยกฟังเป็นแทร็คๆไปน่ะค่ะถึงจะรื่นหูหน่อยแต่พอนานไปก็ไม่เกิดปัญหาแต่อย่างใด
มาอัพเดทปัญหาใหม่ในอัลบั้มนี้กันค่ะ คือในกรณีที่ "บริทนีย์ไม่ค่อยตั้งใจที่จะดปรดมตอัลบั้ม" ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องน่าเสียดายมากๆนะคะเนื่องจากศักยภาพของผลงานก็เอื้ออำนวยเปิดทางให้เธอทุกอย่าง เรียกได้ว่าเป็นสะพานที่วางทอดไปสู่ความสำเร้จรอให้เธอข้ามกลับบัลังก์สบายๆเลยทีเดียว แต่เมื่อไรล่ะที่เธอคิดจะข้ามมัน?เหมือนกับทุกวันนี้บริทนีย์ค่อนข้างเลื่อนลอยกับชีวิตการทำงานมากๆ โชคดีนะคะที่บารมีเก่าๆของเธอมีสั่งสมไว้มากเรียกได้ว่ากินไปอีก2-3อัลบั้มได้สบาย เอาจริงๆแค่แปะชื่อบริทนีย์ สเปียรส์นี่ก็ยิ่งกว่าโปรโมตแล้วจริงมั้ย? แต่ไม่เอาน่าแฟนๆทุกคนอยากเห็นบริทนีย์คนเดิมที่สร้างปรากฏการณือันน่าตื่นตาตื่นใจได้เสมอ ทุกคนยังรอคอยที่จะดูเอ็มวีเริ่ดๆและไลฟ์เพอร์ฟอร์มเมนท์อลังการงานสร้าง
จากเธออย่างใจจดใจจ่อนะบริทนะ เชื่อว่าเธอน่าจะสัมผัสศรัทธาจากแฟนๆที่ไม่เคยห่างหายไปไหนได้นะดังนั้นอย่าทิ้งให้มันสูญเปล่า กลับมาได้แล้วเจ้าหญิงแห่งเพลงพ็อพผู้ยิ่งใหญ่
แทร็คเด็ด
เปิดอัลบั้มด้วย Gimme More (5) 1ซิงเกิ้ลแรกที่พุ่งแรงไปแตะถึงอันดับ3บนบิลด์บอร์ดชาร์ตหลังจากที่เธอไม่ได้แตะท็อป5อีกเลยหลังจากที่Baby One More Timeได้อันดับหนึ่งเมื่อปี1999น่ะค่ะ มาที่ตัวเพลงเป็นแดนซ์พ็อพอิเล็คโทรเจือการนำเสนอแบบคลับแดนซ์ แทรนซ์และอาร์แอนด์บีเทคโนนิดๆ ภาพรวมออกมาเด้งได้ใจมากๆค่ะสำหรับเดี๊ยนขอยกให้เป็นซิงเกิ้ลที่ดีที่สุดและเพลงที่ดีที่สุดเพลงหนึ่งของเธอเลยทีเดียว สมบูรณ์แบบสมศักดิ์ศรีซิงเกิ้ลเปิดตัวคืนบัลลังก์ของเจ้าหญิงแห่งเพลงพ็อพมากๆ เริ่ด
ป.ล. อู๊ยยยย ตอนนี้ดีเจซอย2/Luminiousซอย4/G.O.Dยันอะโกโก้น้ำแถบสุรวงศ์พร้อมใจเปิดกันเป็นเพลงชาติกะเทยเลยทีเดียว
มาที่ Get Naked (I Got A Plan)(5) ยืนพื้นที่ฮิพฮอพอาร์แอนด์บีเสริมทัพด้วยเทคโน เออร์นพ็อพ คลับแดนซ์และอิเล็คโทรนิคได้อย่างเหนือชั้น รูปแบบการนำเสนอยืนอยู่ระหว่าง Futuresex/Lovesoundsของจัสติน กับ Looseของเนลลีย์ ฟูร์ทาโด้นั่นแหละค่ะ (ให้เครดิตพี่มาดามจ๊อกกาโล่นะคะ) เพียงแต่ทิมบาแลนด์สามารถผสมผสานความเก๋ทั้สองนี้และนำเสนออกมาได้อย่างเป็นตัวบริทนีย์สุดๆทุกองค์ประกอบ แรงและชัดเจนมากๆจนขอยกนิ้วให้ เหนือชั้นและล้ำลึกมากๆขณะนี้กลายเป็นเพลงที่ชอบที่สุดในอัลบั้มไปแล้ว ดังนั้นตัดเป็นซิงเกิ้ลพร้อมเอ็มวีเริ่ดๆเลยเถอะนะหอกนะ ตามมาติดๆกับ Freakshow (3/5) พ็อพแดนซ์ประสานอิเลคโทรนิคตีคู่มากับฮิพฮอพอาร์แอนด์บีบนสรรพสำเนียงการนำเสนอแบบแร๊พในตัวเพลง ฟังมากรอบเข้านี่ติดหูติดใจชะงัด เปรี้ยวนี่หว่า ต่อด้วย Heaven On Earth (4.5/5) ในระยะยาวนี่คืออีกแทร็คที่พิสูจน์พัฒนาการของบริทนีย์ได้ดีที่สุด ลักษณะการนำเสนอทุกสิ่งทุกอย่างในเพลงนี้รวมถึงความเป็นพ็อพที่เปล่งออกมาจากตัวมันเป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดีว่า บริทนีย์ สเปียรส์คนเดิมที่เราทุกคนตกหลุมรักยังคงอยู่ไม่ได้หายไปไหนเพียงแต่หีบห่อที่หุ้มเธอไว้มันเหนือระดับขึ้น มาที่ตัวเพลงเปิดตัวสวยด้วยบทไซคลีเดลิกพ็อพหนักๆตึ้บๆก่อนที่จะต่อยอดด้วยบีทอาร์แอนด์บีหวานๆ พ็อพแทรนซ์บางๆและจังหวะเต้นรำแบบนิวเวฟดิสโก้อ่อนๆ เพราะสุดในอัลบั้มแล้ว
Break The Ice (4/50 อีกหนึ่งแทร็คที่น่าสนใจมากๆซึ่งภาคเนื้อหาเปรียบเสมือนการที่เธอประกาศการกลับมาทวงบัลลังก์ในฐานะแนวหน้าและเบอร์หนึ่งตลอดกาล ได้ใจมาก ในขณะที่ภาคดนตรีก็สามารถนำเสนอออกมาได้อย่างน่าสนใจไม่แพ้กันตัวเพลฝงเป็นพ็อพเต้นรำที่ถูกพัฒนาขึ้นมาให้ดูแรงและมีมิติกว่าเพลงเต้นรำก่อนหน้านี้ของเธอ ผสานไปด้วยจังหวะจะโคนแบบอาร์แอนด์บีฮิพฮอพ เทคโนรวมถึงหยอดลูกเล่นกอสเพลเก๋ๆแทรกไว้ด้วย อีแบบนี้ถ้าบอกว่าเหมาะสมอย่างยิ่งต่อการเป็นซิงเกิ้ลนี่จะมีใครเถียงมั้ย ต่อด้วยอีกแทร็คหนึ่งที่เด็ดดวงมากๆ Piece Of Me (4.5/5) ซิงเกิ้ลที่สองนะคะ ภาพรวมเป็นอิเล็คโทรนิคแดนซ์พ็อพฟังแล้วสัมผัสได้ถึงอิทธิพลที่ได้รับจากมาดอนน่าอย่างเห็นได้ชัดเลยทีเดียว องคอีเจ๊แม่แรงมากๆค่ะแต่ส่วนตัวแอบประทับใจนะที่บริทนีย์นำเสนออกมาในแบบฉบับที่ดูเป็นเธอมากกว่า จัดว่าเป็นแทร็คที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง ปิดท้ายด้วย Why Should I Be Sad (3.5/5) อาร์แอนด์บีจังหวะกลางๆที่นำเสนอในรูปแบบบัลลาดบนจังหวะจะโคนอัพบีทซึ่งถือว่าเก๋และแปลกใหม่พอตัวสำหรับงานของบริทนีย์ เริ่ดนะคะใส่ทั้งพ็อพใส่ทั้งฮิพฮอพอ่อนๆอดัลท์คอนเทมโพลารีย์รวมถึงความเป็นโซลและกอสเพลจางๆแทรกทิ้งไว้ด้วย ปิดอัลบั้มได้ฉีกและเฉี่ยวที่สุดในประวัติศาสตร์การทำงานของเธอเลยทีเดียว
สรุป
แม้ว่าปัญหาชีวิตจะรุมเร้าหรือพฤติกรรมส่วนตัวของเธอจะเป็นสิ่งที่ลดทอนศรทธาของผู้ฟังที่มีต่อเธอก็ตาม แต่เธอก็สามารถพิสุจน์ให้เห็นในBlackoutแล้วว่ามันไม่เป็นอุปสรรคเลยต่อพัฒนาการที่น่าชื่นใจและการรังสรรค์ดนตรีที่ดีขึ้นของเธอให้แก่ผู้ฟัง ในบรรดาคู่แข่งอีก3คนถ้าจะพูดถึงคนที่ฟัดเหวี่ยงกับเธอได้มันส์เนื้อๆที่สุดก็ยังหนีไม่พ้นอีติ๊นาเพื่อนซี้อยู่ดี ซึ่งต้องยอมรับกันนะคะว่าตอนนี้เป็นช่วงขาลงในวงการของบริทนีย์ขณะที่ติ๊นากำลังเป็นที่ยอมรับมากขึ้นติดตลาดโลกมากขึ้นและพุ่งแรงยิ่งขึ้นชนิดที่ต่อไปถ้าบริทยังเลื่อนลอยแบบนี้อยุ่ล่ะก็คริสทิน่านี่แหละจะเป็นโต้โผใหญ่ในบรรดาศิลปินที่จะลบชื่อบริทนีย์ สเปียรส์ออกจากแผนที่ในอนาคต แต่นั่นไม่เป็นไรเลยค่ะถึงแม้ว่าเดี๊ยนจะเป็นสาวกของคริสทิน่าแต่เมื่อมองไปที่ฝากแฟนๆของบริทแล้วก็รู้สึกประทับใจนะคะที่หลายๆคนยังรักและเชื่อมั่นในตัวไอดอลคนนี้อยู่อย่างเหนียวแน่น เห็นได้ชัดว่าสำพหรับแฟนๆบริทนีย์ก็ยังคงเป็นที่หนึ่งเสมอ ยังคงเป็นแรงบันดาลใจและแรงขับเคลื่อนที่สำคัญต่ออุตสาหกรรมดนตรีและยังคงยืนอยู่ในสถานะเจ้าหญิงเพลงพ็อพตลอดกาล แค่นี้ก็เพียงพอแล้วล่ะที่ผู้หญิงที่ชื่อ บริทนีย์ สเปียรส์จะพิอสูจน์ให้เดี๊ยนเห็นว่าเธอเป็นศิลปินที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหน
สรุป
ไม่ว่าภาพรวมของแต่ละคนจะออกมาดีเริ่ดหรือล้มเหลวก็ตามนะคะ แต่เดี๊ยนต้องขอคำนับในความสุดยอดของทุกๆคนที่สามารถยืนหยัดอยู่ในวงการนี้ท่ามกลางกระแสความเปลี่ยนแปลงที่เชี่ยวกรากบ้าคลั่ง ขอชมที่กล้าเปลี่ยนแปลงและกล้าก้าวไปสัมผัสสิ่งใหม่ๆแล้วนำเสนออกมาให้แฟนๆได้เห็นและรู้จักตัวตนของพวกเธอไปอีกระดับกับก้าวเดินครั้งใหม่ทุกครั้งที่พวกเธอมอบให้และขอบคุณสำหรับการเป็นปรากฏการณที่ยิ่งใหญ่และแรงบันดาลใจที่ดีแก่แฟนๆและผู้ติดตาดนตรีสากลเสมอมา ดีใจนะคะที่มีโอกาสได้กล่าวถึงพวกเธอทุกๆคนโดยพร้อมเพรียงกัน สุดท้ายนี้คงต้องขอยืยันอีกครั้งค่ะว่า เมื่อจะถามหาความอยู่รอด ความเปลี่ยนแปลงและพัฒนาจากศิลปินในวงการทุกแขนงแล้วล่ะก็ กรุณาเล็งไปหาศิลปินที่มาจากแขนงพ็อพ "แขนงที่ถูกครหาที่สุด" จากรีวิวทีนดิว่าทั้ง4นี้คงจะเห็นได้ชัดนะคะว่าศิลปินพ้อพนี่แหละที่มีความพิเศษ ศักยภาพและความน่าค้นหาอยู่ทั้งในตัวตนและผลงานให้คุณลิ้มรสสัมผัสอยู่แล้ว อยู่รอดกันมาถ้วนหน้าจนถึงทุกวันนี้ภายใต้การเปลี่ยนแปลงนานัปประการในอุตสาหกรรมดนตรีที่ไร้เสถียรภาพยิ่งขึ้นทุกวันๆแค่นี้ก็ตอบได้แล้วล่ะว่า4คนนี้เจ๋งหรือไม่เจ๋ง
สำหรับอีเจสรอหน่อยนะคะ เมื่อคืนเพิ่งไปแดนซ์เป็นกะหรี่ที่สีลมมา เจ๊จะตายแล้นค่ะขอแว่บไปหลับก่อนและจะได้อ่านเมื่อถึงวันนั้นแน่นอนค่ะ หึหึหึ
แก้ไขล่าสุดโดย Da Nastina เมื่อ Sat Dec 22, 2007 2:57 am, ทั้งหมด 32 ครั้ง
_________________