กำกับ J.J. Abrams
แสดงนำ Tom Cruise, Lawrence Fishburne, Phillip Seymour Hoffman
แนว แอ๊คชั่น, ทริลเลอร์
คะแนน 8 / 10
ถ้าคุณเคยผิดหวังกับ M:I:II ที่สลัดคราบสายลับไปเป็นหนังตำรวจจับผู้ร้ายแบบฮ่องกงแล้วล่ะก็ M:I:III ได้นำบรรยากาศคลาสสิคกับชั้นเชิง และกลยุทธ์สายลับฉบับ Mission Impossible กลับคืนมาอีกครั้งอย่างไม่ตกหล่นและมากกว่าเดิมเสริมด้วยความเข้มข้นบวกอารมณ์โรแมนติกดราม่าอีกต่างหากเรียกได้ว่าหนังภาคสามนี้มาพร้อมกับรสชาติที่ครบถ้วนสำหรับหนังแอ๊คชั่นฟอร์มยักษ์สักเรื่องนึงที่ทอม ครู๊ซ จะเป็นดารานำก็ว่าได้
จากภารกิจแรกของฮันท์เราได้เห็นการชิงไหวชิงพริบที่แยบยล ในภารกิจที่สองของเขาเราได้เห็นการประจัญหน้ากับผู้ร้ายชนิดตัวต่อตัว ซึ่งทั้งสองภารกิจของเขาล้วนแสดงถึงศักยภาพความเป็นสายลับมือหนึ่งของฮันท์ทั้งสิ้น และในภารกิจล่าสุดนี้เราก็ได้เห็นว่าฮันท์ต้องนำความสามารถและประสบการณ์ทั้งหมดที่ผ่านมาช่วยคนที่เขารัก หากจะบอกว่า M:I:III เป็นภาคที่ครบทุกอารมณ์และตรึงคนดูได้อยู่หมัดก็คงจะไม่ผิด หนังภาคแรกโชว์ชั้นเชิงหักเหลี่ยมสายลับของฮันท์ ภาคสองโชว์ชั้นเชิงต่อสู้เต็มรูปแบบของฮันท์และในภาคสามเราก็ได้เห็นว่าชีวิตของฮันท์ที่ต้องรับมือกับการเป็นสายลับสองหน้าเป็นอย่างไร

ในภาคสาม ฮันท์ วางมือจากการเป็นเจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินและหันมาเป็นเจ้าหน้าที่ฝึกสอนสายลับใหม่ เนื่องจากการตัดสินใจมีครอบครัวของเขา แต่แล้วด้วยสายลับที่เขาฝึกเองกับมือถูกวายร้ายตัวเอ้จับตัวไป ฮันท์จึงต้องกลับมาปฏิบัติภารกิจอีกครั้งและครั้งนี้มันนำเขาไปสู่ภารกิจชำระแค้นส่วนตัวที่มีคนรักเป็นเดิมพัน
การที่หนังเปิดเรื่องด้วยเหตุการณ์ปัจจุบันที่กำลังล่อแหลมถือเป็นจุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ของผู้กำกับซีรี่ส์ Alias ที่แฟนๆ คุ้นกันดี เพราะมันทำให้หนังน่าติดตามและชวนลุ้นว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป แต่ขณะเดียวกันมันก็ทำให้คนดูไม่ต้องลุ้นกับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นก่อนหน้าสักเท่าไหร่ เพราะรู้ว่ายังไงก็ต้องลงเอยอย่างที่เห็นตอนแรกแน่ๆ
แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความมันส์ลดน้อยไปแต่อย่างใด หนังเดินเรื่องอย่างกระชับรวดเร็วและไม่มีฉากเยิ่นเย้อ ทั้งยังมีบทหนังที่เข้าท่าเข้าที และยังโชว์เทคนิคปลอมตัวเอกลักษณ์ของ MI ที่คนดูไม่เคยเห็น ให้ได้เกิดความรู้สึกน่าเชื่อถือมากขึ้นแถมยังมีลุ้นกันอีกด้วย
นอกจากบทบูมันส์ๆ แล้วหนังภาคนี้ยังมีบทโรแมนติกอบอุ่นให้ครู๊ซได้เค้นสีหน้าหลากอารมณ์แต่พิมพ์เดียวกันทั้งเรื่องด้วย ต้องขอบคุณนางเอก มิเชล โมนาแฮน ในบทจูเลียแฟนสาวของอีธานที่ส่งอารมณ์ให้ครู๊ซได้อย่างดี

หนังได้ทีมนักแสดงที่แข็งมาก โดยเฉพาะลอวเรน์ ฟิชเบิร์น และ ฟิลลิป ซีมัวร์ ฮอฟแมนที่สวมบทตัวร้ายได้อย่างยอดเยี่ยมและน่ากลัวที่สุด เรียกได้ว่าเป็นคู่ปรับที่น่ากลัวที่สุดของอีธาน ฮันท์ก็ว่าได้ ฉากบทสนทนาเฉียบๆ บนเครื่องบินยืนยันข้อนี้ได้เป็นอย่างดี เขาปรากฏตัวในเรื่องไม่กี่ครั้ง ทว่าแต่ละครั้งมันมีพลังและส่งผลต่ออารมณ์หนังได้อย่างยอดเยี่ยมที่สุด ในขณะที่ฟิชเบิร์นก็รับหน้าที่ของตนได้อย่างสมบูรณ์ ตัวละครลูกทีมของฮันท์ก็ดูเหมาะกับบทบาททุกคน ตั้งแต่วิง เรมส์คู่ซี้ที่ภาคนี้ไม่ได้มีบทบาทเท่าไหร่ แถมมุกตลกของเขาหลายครั้งที่คนดูไม่เก็ท ซึ่งก็เป็นเพราะคนดูไม่คุ้นกับตัวละครตัวนี้มากพอนั่นเอง ส่วนแม็กกี้ คิว สาวหมวยสุดฮ็อทที่เปลี่ยนลุคได้ตลอดทั้งเรื่องก็ดูเซ็กซี่หลายอารมณ์ดี บทบู๊เธอก็ดูน่าเชื่อถือว่าเป็นสายลับมือดีเช่นกัน
หนังแบ่งตัวละครและเวลาให้แต่ละคนได้มีบทบาทสำคัญทัดเทียมกันหมด แม้จะเน้นที่ความเก่งกาจของอีธาน ฮันท์แบบวันแมนโชว์อยู่ก็ตาม ซึ่งถือเป็นข้อดีของหนังสายลับปฏิบัติการหมู่ บิลลี่ ครูดัพมารับบทเป็นหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการที่อายุยังน้อย การเลือกหนุ่มหน้าตาใสแบบเขามารับบทนี้ไม่ได้ต้องการให้เขามาเป็นลูกไล่ของลอวเรนซ์ ฟิชเบิร์นเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่เพื่อผลลัพธ์อย่างที่ปรากฏในหนังด้วย ซึ่งเขาก็ดูน่าเชื่อถือดีกับบทที่ได้รับ แต่ขณะเดียวกันบทของเขาก็กลายเป็นจุดอ่อนในหนังด้วย

เพราะในขณะที่ดูเหมือนว่าบทหนังจะไม่มีช่องโหว่เลยด้วยความกระชับฉับไวและบทพูดเรื่องราวที่ลำดับตัดตอนอย่างไม่เยิ่นเย้อและเข้าใจง่ายนั้น การให้บทของบิลลี่ ครูดัพในตอนจบทำให้เกิดข้อกังขาว่าทำไมเขาต้องทำแบบนั้นในเมื่อเขาสามารถหาทางรู้ความลับหรือข้อมูลอะไรก็ได้
แต่ยังไงก็ตามนั่นก็เป็นเพียงข้อสงสัยเล็กน้อยเท่านั้นและแทบไม่มีผลอะไรกับเนื้อเรื่องโดยรวมทั้งหมดที่ทั้งสนุกทั้งมันส์สะใจและมีอารมณ์ขันเหลือเฟือซึ่งรวมเข้าด้วยกันอย่างลงตัว
การที่ครู๊ซเลือกให้เจเจ อบรามส์มารับหน้าที่กำกับหนังภาคต่อชุดนี้ถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกมากๆ โดยพาะอย่างยิ่งเมื่อมองว่านี่คืองานกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกและยังเป็นงานระดับบล็อกบัสเตอร์แล้ว อบรามส์ปฏิบัติภารกิจนี้ไปได้อย่างสวยงาม
_________________
