
Jamie Cullum : Catching Tales : 4/5
รูปแบบเพลง
งานของเจมี่ คัลลัมยืนอยู่ความเป็นแจ๊ซซ์ร่วมสมัยประสานพ็อพซึ่ง อ๊ะๆๆๆๆๆ! ขอร้องอย่าเพิ่งยี้เพียงเพราะเขาทำดนตรีแจ๊ซซ์นั่นอาจจะทำให้คุณพลาดของดีไปอย่างน่าเสียดายเลยทีเดียวอยากบอก งานของตาฮ็อบบิทแจ๊ซซ์คนนี้จากที่ได้กล่าวไปในข้างต้นแล้วว่าเเป็นโมเดิร์นแจ๊ซซ์โดยผสานลูกเล่นลูกล่อลูกชนและภาคดนตรีที่หลากหลายอย่างพ็อพ ฟังค์กีย์ บริทพ็อพ เรโทร อาร์แอนด์บี อินดี้ไปจนถึงหยิบร็อคและฮิพฮอพมาผสมผสานลงสู่การนำเสนอได้อย่างละเมียดละไม ชนิดที่เรียกได้ว่าหยิบอัลบั้มนี้ขึ้นมาเพียงอัลบั้มเดียวคุณจะได้เปิดรสนิยมทางดนตรีแจ๊ซซ์ที่หลากหลายตั้งแต่แจ๊ซซ์โบราณๆช่วงยุค50ไปจนถึงแจ๊ซซ์ยุคโลกาภิวัฒน์ตามแบบฉบับดนตรียุคฟิวชั่นที่การนำเสนอออกมาโฉบเฉี่ยวมากพอตัวเลยทีเดียว
จุดด้อย
เพียงแค่เอ่ยคำว่า "แจ๊ซซ์" ขึ้นมานี่คงทำให้หลายคนคงหลับก่อนที่จะลองลงไปสัมผัสกับมันจริงๆเสียอีก ยิ่งในกรณีคนไทยนี่เดี๊ยนว่าจับมาฟังแจ๊ซซ์ซัก100คนนี่จะผ่านถึง20คนรึเปล่ายังเป็นประเดนที่น่าคิดเลย ซึ่งวเป็นอะไรที่น่าตกใจนะคะเนื่องจากแจ๊ซซ์เป็นรากฐานของดนตรีทุกประเภทแต่อย่างไรก้ตามต้องทำความเข้าใจอย่างยิ่งยวดด้วยในส่วนของรสนิยมส่วนบุคคลของผู้บริโภค ความเคยชินไปจนถึงต้องตระหนักว่าแจ๊ซซืนี่ไม่ใช่ดนตรีที่เข้าถึงได้ง่ายอยู่แล้วเลยต้องนับเป็นแต้มเสียไปสำหรับบางท่านน่ะค่ะ อีกประเด็นเมื่อฟังอัลบั้มนี้แล้วส่วนตัวเดี๊ยนรู้สึกว่าในเรื่องของเอกภาพนี่สู้งานชุดที่แล้วไม่ได้แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับว่างานชุดนี้มอบความหลากหลาย ความเป็นธรรมชาติในเนื้องานและความน่าสนใจในการติดตามไปได้อาจจะตลอดรอดฝั่งกว่าซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ตัวศิลปินและผู้ฟังรู้กันดีนะคะในฐานะหัวใจสำคัญของการเสพย์งานดนตรีในระยะยาว
ป.ล. ถ้าจำไม่ผิดอัลบั้มนี้โปรโมตสองซิงเกิ้ลเองอ่ะไม่รู้ว่าแป๊กรึเปล่า แต่เสียดายเพลงดีๆอีกหลายเพลงจัง
ซิงเกิ้ล
Get Your Way (4/5) ซิงเกิ้ลแรกที่ได้ แดน ดิ ออโตเมติคจากGorillazเข้ามาร่วมโปรดิวซ์ซึ่งผลงลัพธ์ออกมา ต๊ายยย!เก๋นะคะเพียโนพ็อพแจ๊ซซ์ยืนพื้นตบด้วยบีทฮิพฮอพ (ค่ะฮิพฮอพค่ะ) ใส่สรรพสำเนียงแบบร็อคและผสานความเป็นสแตนดาร์ดเข้ามาได้อย่างมีชั้นเชิง ฟังครั้งแรกอาจจะรู้สึกแปลกๆนะคะแต่ฟังนานไปนี่เปรี้ยวแรดล้ำเลยทีเดียว ส่วนตัวถือว่าบ่งบอกถึงพัฒนาการทางภาคดนตรีที่สูงขึ้น หลากหลายขึ้น อิสระและน่าสนใจมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเลยทีเดียว
Mind Trick (3.5/5) ซิงเกิ้ลที่สองและเป็นซิงเกิ้ลปิดตัวของอัลบั้มนี้นะคะ (ถ้าเข้าใจไม่ผิดนะ) ภาคดนตรีเป็นพ็อพผสานดนตรีฟังค์กีย์และจังหวะจะโคนแบบเรโทรซาวนด์ช่วงยุค70-80 ภาคนำเสนอธรรมดาเรียบง่ายแต่เข้มข้นและเฟี้ยวฟ้าวจนกลายเป็นความเก๋เฉี่ยวบนความธรรมดาๆอย่างน่าดูชม ส่วนตัวรู้สึกว่าเป้นหนึ่งในซิงเกิ้ลที่เพราะและฟังง่ายที่สุดของตาฮ็อบบิทแจ๊ซซ์เลยทีเดียว คิดถุกแล้วค่ะที่ตัดเป็นเพลงขายน่ะ
แทร็คเด็ด
I Only Have Eyes For You (4/5) คัฟเวอร์มาจากเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องFilmในปี1934นะคะ ต้นฉบับขอยอมรับว่าไม่เคยฟังมาที่เวอร์ชั่นของตาฮ็อบบิทเป็นสแตนดาร์ดแจ๊ซซ์บัลลาดช้าๆอารมณ์แบบเพลงที่เล่นโชว์ในคลับแจ๊ซซ์ยุค50น่ะค่ะ เพลงดีแต่ถ้าไม่ใช่คอแจ๊ซซืนี่หลับแน่ขอเตือนไว้ล่วงหน้าด้วยความหวังดี มาที่ London Skies (5) เป็นแทร็คที่เดี๊ยนชอบที่สุดในอัลบั้มนี้นะคะส่วนตัวคิดว่าเป็นเพลงที่สุดยอดและน่าประทับใจมากๆในภาคเนื้อหาที่บรรยายออกมาได้บรรเจิดมีวาทะศิลป์ถ่ายทอดผ่านบนพ็อพเมโลดีย์หวานๆพริ้วๆผสานความเป็นร็อค อินดี้ บัลลาดและแจ๊ซซ์ก่อนที่จะตบด้วยท่วงทำนองบริทพ็อพสวยๆได้อย่างลงตัว เป็นแทร็คที่แทนความงดงาม เยือกเย็น หวานซึ้งสุนทรีย์จับขั้วหัวใจของศิลปินอังกฤษได้ดีเลยทีเดียว ตามมาติดๆกับ Photograph (4/5) โมเดิร์นแจ๊ซซ์หวานๆเพราะๆที่ฟังแล้วติดหูติดใจชะงัด ถ้าใครคิดอยากจะเริ่มฟังโดยจิ้มแทร็คที่เพราะที่สุดก่อนเป็นอันดับแรกล่ะก้ แนะนำแทร็คนี้แล้วจะไม่ผิดหวังค่ะ สำหรับคอพ็อพแจ๊ซซ์ยุค50-70กว่าๆนี่น่าจะชอบ Nothing I Do (3.5/5) ได้ไม่ยาก ภาคดนตรีคละเคล้าไปด้วยพ็อพ ฟังค์ แจ๊ซซ์กับบีบ็อพเข้ากันได้อย่างลงตัว ส่วนตัวคิดว่าภาคการนำเสนอรวมถึงลูกล่อลูกชนค่อนข้างน่าสนใจเลยทีเดียว ต่อด้วย Oh God (4.5/5) กรี๊ดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เริ่ดค่ะ ยืนพื้นที่กอสเพลเสริมทัพด้วยอารมณ์พ็อพโซลอ่อนๆ อาร์แอนด์บีและแจ๊ซซ์ได้อย่างมีชั้นเชิง ภาคการนำเสนอเรียบง่ายแต่ ทรงพลังสุดแล้วในอัลบั้มนี้ ลองฟังดูสิคะ! แทร็คถัดไป Catch The Sun (3/5) ต๊ายยยยยย เริ่ดนะเธอใครจะไปคิดว่าจะได้ยินเพลงพ็อพอินดี้วัยรุ่นจากศิลปินที่แจ้งเกิดด้วยการทำแจ๊ซซ์คนแก่อย่างตาฮ็อบบิทแจ๊ซซ์ ถ้าคิดจะสับรางมาทำพวกอินดี้ ร็อค อัลเทอเนทีฟพวกนี้นี่มีแววรุ่งมากมายนะหล่อน ปิดท้ายด้วย Back To The Ground (3/5) ฟังๆไปก็ตลกดีนะคะเพลงนี้แม้ว่าภาคดนตรีจะโกลาหลไปนิดมีตั้งแต่พ็อพร็อคปะทะสแตนดาร์ดแจ๊ซซ์เพียโนไปๆมาๆเธอก็ไปจิก This Love ของมารูนไฟว์มาแปะไว้กลางเพลงอีกก่อนจะปิดท้ายด้วยการแปลงร้างกลายพันธุ์เป็นฮาร์ดคอร์ตะคอกแผดเสียงก่อนจบอีก อู๊ยยยยยคนอะไรทะเล้นบ้าพลังสุดๆ
สรุป
สำหรับเดี๊ยนอัลบั้มนี้ก็ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในงานของศิลปินยุคใหม่ที่ช่วยสืบสานดนตรีคนยุคเก่ารวมถึงพัฒนาและยกระดับดนตรีเหล่านั้นให้สามารถเป็นสิ่งที่จับต้องและเข้าถึงได้ง่ายสำหรับคนยุคนี้ ซึ่งเหมาะนะคะสำหรับผู้อ่านผู้ที่รักดนตรีแต่อาจจะยังอยุ่ในช่วงเริ่มต้นที่จะไต่ระดับขึ้นไปฟังเพลงที่เข้าถึงยากขึ้นลึกขึ้นเรื่อยๆ สำหรับคุณๆที่อยากจะลองเริ่มต้นฟังแจ๊ซซ์โดยเริ่มต้นที่งานชุดนี้ก็ถือเป็นการเริ่มที่ดีในการเปิดโลกทัศน์ทางดนตรีของคุณเลยทีเดียว เนื่องจากมีความร่วมสมัย หลากหลายและฟังได้ไม่ยากจนเกินไปถือว่าเป็นการออกกำลังกายทางรูหูที่ดีก่อนที่จะปีนขึ้นไปพบพานกับศิลปินรุ่นใหญ่อีกหลายชีวิตที่มีให้ดาหน้าเข้าไปทำความรู้จักอีกไม่หวาดไม่ไหวนะคะ ดนตรีนี่สวยงามและไม่มีขอบเขตจริงๆ

Madonna : True Blue : 4/5
รูปแบบเพลง
ยืนพื้นอยู่ที่ความเป็นพ็อพยุค80ล้วนๆ เพลงส่วนใหญ่ในอัลบั้มเป็นเพลงแนวเต้นรำที่ผสานกลิ่นอายมิดเทมโพรวมไปถึงนำเสนอสรรพสำเนียงที่หลากหลายอย่างละทินฟลาเมงโก้,ร็อคแดนซ์,เร็กเก้,ฟังค์กีย์,เรโทรและบัลลาด ชนิดที่มีให้ได้ยินกันแบบแบ่งแทร็คต่อแทร็คเลยทีเดียว โดยส่วนตัวคิดว่านี่เป็นอัลบั้มที่ติด1ใน5อัลบั้มที่ดีที่สุดของเจ๊เลยทีเดียว
จุดด้อย
จุดด้อยที่ด้อยได้น่าเกลียดมากๆเลยคือเพลงเจ๊น้อยเข้าขั้นอุบาทว์เลยค่ะ โอ้โห 9 แทร็คเจ๊ขาทำมาอีกซักแทร็คสองแทร็คคงไม่ยากเกินความสามารถใช่มั้ย อย่างไรก็ตามขอใช้มุขเดียวกับรีวิวที่แล้วนะคะคือเมื่อมามองที่คุณภาพในการฟังระยะยาว ความแรงของตัวเพลงและอัลบั้มรวมไปถึงพัฒนาการด้านการร้องของเจ๊แล้วก็คุ้มค่ากับทุกบาททุกสตางค์ที่ซื้อไป สมค่ากับที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในอัลบั้มเพลงพ็อพที่สุดแสนจะคลาสสิคที่สุดอัลบั้มหนึ่งของโลกและคนที่รักดนตรีควรจะมีไว้ น่ะค่ะ
ซิงเกิ้ล
Live To Tell (5) ซิงเกิ้ลแรกของอัลบั้ม เป็นธีมประกอบภาพยนตร์เรื่อง At Close Range ที่ฌอณ เพนน์ อดีตสามีของเธอแสดง แต่เอาจริงๆในซาวดน์แทร็คกลับไม่มีบรรจุไว้ ในส่วนของตัวเพลงนับเป็นครั้งแรกที่มาดอนน่าตัดซิงเกิ้ลแรกเป็นบัลลาด เนื้อหาว่าด้วยการบอกเล่าบทเรียนและพิพากษาความทุกข์ระทมที่ผู้หญิงคนหนึ่งได้ประสบมาขอชมจากใจที่เจ๊แต่งเนื้อเพลงและถ่ายทอดออกมาได้อย่างมีชั้นเชิงมากๆ เป็นหนึ่งในเพลงที่ภูมิใจเจ๊ที่สุดค่ะ เริ่ด!
Papa Don't Preach (5) ซิงเกิ้ลที่สอง พ็อพแดนซ์เจือกลิ่นอายมิดเทมโพ โดยส่วนตัวเดี๊ยนขอยกให้เป็นตัวแทนของพ็อพยุค80 ที่เด็ดมากๆก็คือเนื้อหาที่ว่าด้วยการสารภาพกับพ่อว่าตัวเองท้อง เพลงนี้ถือว่ามาดอนน่าได้ทำสิ่งที่ท้าทายผู้ปกครองชาวอเมริกันและสิทธิสตรีในช่วงนั้นมากๆ สังคมตั้งคำถามกับเธอค่ะว่า จำเป็นแค่ไหนที่หล่อนจะต้องเอาเรื่องแบบนี้มาทำป็นเพลง ในขณะที่อีกฝ่ายเกรงว่าจะเกิดกระแสเลียนแบบในหมู่วัยรุ่นสาว หลายคนอาจจะมองว่ามาดอนน่าเป็นตัวอย่างที่จะนำอนาคตของชาติให้ก้าวไปสู่หายนะ แต่สำหรับเดี๊ยนผู้ไม่เคยเชื่อว่าดาราหรือนักร้องนั้นเป็นวิศวกรของสังคมและค่อนข้างจะเชื่อมั่นว่าคนเรามีสติปัญญาเพียงพอที่จะใคร่ครวญหลายๆสิ่งให้แก่ตนเองได้นั้น ขอชมเธอในฐานะที่กล้าลุกขึ้นมาตีแผ่ความเป็นปัจเจกในเพลงนี้ ถ้ามองในมุมกลับ พ่อขาหนูท้องค่ะ หนูจะรับผิดชอบเด็กไว้ มันก็ยังดีกว่า เฮ้ สาวๆเราท้องได้ก็ทำแท้งได้ ซึ่งอีอันหลังสังคมควรจะวิ่งไปเป็นห่วงมากกว่านี้เยอะน่ะค่ะ
Trueblue (3/5) ไทเทิ่ลแทร็ค ใช้ลูกเล่นเรโทรพ็อพยุค50เข้ากับจังหวะจะโคนของมิดเทมโพยุค80 ถือว่าเป็นเพลงที่น่ารักดีเลยทีเดียว แต่ปัญหาใหญ่ของเพลงนี้ก็คือแม้ว่ามันจะฮิตในช่วงนั้นมากๆแต่ถ้ามาในยุคนี้มันก็จะเป็นแค่เพลงเคยฮิตที่ถูกลืม โครงสร้างเพลงแบบนี้ในยุคเราไม่พ้นจะถูกมองว่าเสร่อและจะถูกเด็กรุ่นใหม่พาลเกลียดอีกต่างหาก ไม่มีอะไรน่าสนใจถ้าเทียบกับเพลงฮิตเพลงอื่นๆของเจ๊ที่แข็งกว่าและอยู่เหนือกาลเวลาได้มากกว่า
ป.ล. เพลงนี้เจ๊อุทิศให้ ฌอณ์ เพนน์ อดีตสามีแล้วเป็นไงคะ
Open Your Heart (5) แรดมากๆค่ะเจ๊เพลงนี้! ก่อนหน้านี้เพลงนี้เคยเป็นเวอร์ชั่นร็อคซึ่งจะได้เป็นเพลงของป้า ซินดี้ ลอเพอร์ น่ะค่ะ แต่ไปๆมาๆดันกลายเป็นของเจ๊ไปซะได้ เพลงนี้เป็นเพลงที่เจ๊ลงเสียงเป็นเพลงแรกในอัลบั้มแถมยังปัดฝุ่นมาทำเป็นแดนซ์กระจายล้างซวยซะเลย เริ่ด! โดยส่วนตัวเป็นหนึ่งในเพลงและเอ็มวีของเจ๊ที่เดี๊ยนโปรดปรานที่สุดค่ะ คลาสสิค!
La Isla Bonita (5) ต๊ายย! เจ๊ล่อกวาด5ไปสี่ซิงเกิ้ลเลยนะคะ เพลงนี้เป็นซิงเกิ้ลปิดอัลบั้ม ตัวเพลงเป็นละทินพ็อพหวานๆเนิบๆผสานกับจังหวะของ*ยิปซีรุมบ้า เซ็กซี่มากๆ สิ่งที่ชอบในเพลงนี้คือเจ๊วาดเพลงออกมาได้อย่างมีศิลป์รวมไปถึงถ้าพิจารณาในแง่ความแปลกใหม่จากบรรดาซิงเกิ้ลก่อนๆถือว่าเป็นตัวที่เจ๊ฉีกออกจากเพื่อนไปค่อนข้างมาก เก๋แค่ไหนไม่รู้แต่ก็ขึ้นแท่นเพลงโลโก้ของเจ๊ไปแล้ว
ป.ล. * ยิปซีรุมบ้า คือฟลาเมนโก้แขนงหนึ่งมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า รุมบ้า ฟลาเมนก้า ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจาก คิวบารุมบ้าซึ่งเข้าสู่ประเทสสเปนและกลายเป็นหนึ่งในดนตรีกระแสหลักเมื่อ ค.ศ. 19
แทร็คอื่นๆ
Where's The Party (3.5/5) พ็อพแดนซ์สนุกๆที่มาดอนน่าเอาขึ้นไปโชว์บนคอนเสิร์ตหลายครั้งอยู่เหมือนกัน ล่าสุดก็เอาไปแปะไว้ในเพลง Music Inferno ในทัวร์ล่าสุด โดยส่วนตัวคิดว่ามีศักยภาพพร้อมที่จะเป็นซิงเกิ้ลน่าเสียดายนะคะที่เจ๊ไม่ได้ตัด มาที่ Jimmy Jimmy (2/5) เพลงพ็อพสไตล์สองอัลบั้มแรกน่ะค่ะ ฟังแล้วติดหูชะงัดแต่โดยส่วนตัวชอบน้อยสุดแล้วในอัลบั้มนี้ ต่อด้วย White Heat(3/5) เก๋ด้วยการแปะไดอาล็อคไว้ตอนต้นและกลางเพลง ตัวเพลงเป็นสตรีทพ็อพเจือมิดเทมโปและสรรพสำเนียงกรร้องที่ให้อารมณ์แบบฟังค์กีย์นิดๆ เท่ห์ดีค่ะ แต่โดยส่วนตัวเจ๊น่าจัะทำเพลงระดับนี้ได้เข้มข้นกว่านี้นะคะ ปิดอัลบั้มด้วยเพลงความหมายดีๆอย่าง Love Makes The World Go round (3.5/5) เพลงนี้เธอเอาขึ้นไปโชว์บนไลฟ์เอดส์ปี1984หรือ1985นี่แหละ ตัวเพลงสดใสมากๆค่ะเก๋ด้วยการเอาลูกเล่นของจังหวะจะโคนแบบเร็กเก้มาใช้ ปิดอัลบั้มได้น่ารักมากๆค่ะเจ๊
สรุป
อีกหนึ่งตัวแทนอัลบั้มเพลงพ็อพจากยุค80ที่อยากให้ทุกคนได้ฟัง อีกหนึ่งอัลบั้มเพลงเต้นรำดีๆที่จะนำคุณหวนคืนสู่ความหอมหวานและชีวิตชีวาของจังหวะจะโคนแบบเรโทรได้เป็นอย่างดี อีกหนึ่งอัลบั้มประวัติศาสตร์ที่มาดอนน่าและสาวกภูมิใจนำเสนอ เหนือสิ่งอื่นใดอีกหนึ่งอัลบั้มเพลงพ็อพที่พิสูจน์ให้เห็นกันแล้วว่าพ็อพดาดๆแบบนี้มีดีและเป็นที่นิยมได้มากมายขนาดไหน

Decca Broadway 1935-1946 : A Time Of Hope : 5
รูปแบบเพลง
A Time Of Hope คืออัลบั้มรวมเพลงบรอดเวย์จากค่าย Decca(ค่ายเพลงแนวบรอดเวย์และแจ๊ซซ์ที่ดีที่สุดค่ายหนึ่งของโลก)ตั้งแต่ช่วงปี1935จนถึงปี1946 โดยหยิบงานเด็ดเด่นๆจากซาวน์แทร็คบรอดเวย์ยอดนิยมในอดีตต่างๆ อาทิ Annie Gets Your Gun/Porgy And Bess/Oklahoma!/Streets Of ParisและThis Is The Army เป็นต้น โดยภาคดนตรีได้รวบรวมการนำเสนอเสน่ห์ของภาคดนตรีอลังการๆแบบบรอดเวย์ในรูปแบบที่หลากหลายทั้งคลาาสิค/โอเปร่า/แจ๊ซซ์/บลูส์/สวิง ไปจนถึงภาคดนตรีอลังการที่เปี่ยมไปด้วยความฝันอันยิ่งใหญ่และความบริสุทธิในศรัทธาอย่างทรงพลังรวมถึงอารมณ์แฟนตาซีเทพนิยายแบบโลกเหนือจินตนาการที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่เราคุ้นเคยจากการรับชมละครเวทีแบบมิวสิคคัลบรอดเวย์ เป็นต้น
จุดด้อย
ด้วยความที่งานชุดนี้เป็นอัลบั้มรวมเพลงบรอดเวย์ย้อนไปตั้งแต่60-70ปีกว่าโน่น แม้ว่าจะเพราะทรงพลังและอลังการพิเศษในความรู้สึกเหนือคำบรรยายก็ตามแต่เมื่อมาพิจารณาในความเป็นจริงแล้วอัลบั้มนี้ก็คงไม่ใช่อัลบั้มที่ผู้ฟังส่วนใหญ่ยนิยมเปิดรวมถึงคงจะไม่ใช่อัลบั้มสำหรับความเป็นที่นิยมในระยะยาวของใครหลายๆคนด้วย ก็แหม!นี่มันบรอดเวย์นี่คะไม่ใช่มาดอนน่าหรือเอมิเน็มที่เราสามารถเปิดฟังกรอกหูได้เกือบทุกวัน ยากค่ะที่จะหาคนที่มีอารมณ์สุนทรีย์ดื่มด่ำไปกับดนตรีแนวนี้ได้ทุกวันจนถึงในระยะยาวได้ยกเว้นแต่จะเป็นผู้ฟังที่ตกหลุมรักในมนต์ขลังของดนตรีบรอดเวย์เท่านั้นแหละ แล้วในยุคสมัยนี้ทางเลือกในการเสพย์ดนตรีมีมากมายหลายแนวจะมีผู้ฟังกลุ่มดังกล่าวเหลืออยู่อย่างเหนียวแน่นจริงๆซักกี่คนกัน จริงมั้ยคะ?
แทร็คเด็ด
ต้อนรับผู้ฟังเข้าสู่โลกแห่งความสวยงามของบรอดเวย์ด้วย Oh What a Beautiful Mornin' (5) แทร็คเปิดอัลบั้มจากละครบรอดเวย์เรื่อง Oklahoma! ในปี1943 ที่มีรอบการแสดงสูงถึง2,212รอบ ตัวเพลงถูกขับขานโดยอัลเฟรด เดรคในแนวคลาสสิคคัลบรอดเวย์ที่ให้อารมณ์ยิ่งใหญ่อลังการแบบแฟนตาซีสุดจะพรรณนาประหนึ่งว่ากำลังหลุดลอยเข้าไปผจญภัยในจินตนาการสุดบรรเจิดแห่งโลกเทพนิยาย ฟังกี่ครั้งก็ขนลุกค่ะส่วนตัวแล้วความไพเราะบริสุทธิ์งดงามจัดๆของแทร็คนี้ส่งอิทธิพลต่อเดียนอย่างมากในแง่ของการช่วยเติมเต็มสภาพจิตใจในยามที่เหี่ยวแห้งหดหู่ให้รู้สึกสดชื่นและมีพลังจนพร้อมที่จะลุกขึ้นมาสัมผัสกับรุ่งอรุณที่สวยงามของโลกที่แสนจะมืดหม่นโหดร้ายนี้ในทุกๆวัน ก่อนจะก้าวต่อไปอย่างมุ่งมันด้วยใจที่ปรารถนาลึกๆอย่างแรงกล้าว่าสักวันชีวิตเราคงจะต้องงดงามเหมือนแสงทองที่ส่องประกายเจิดจรัสอยู่เบื้องหน้า ต่อด้วย Summertime (4/5) โดย แอน บราวน์จาก Porgy And Bess ละครบรอดเวย์เลื่องชื่อในปี1935ของจอร์จ เกอร์ชวิน ที่ตัวเพลงถูกถ่ายทอดในแนวโอเปร่าหลอนๆจากพลังเสียงโซพราโน่ทรงพลังบาดขั้วหัวใจให้อารมณืฤดูร้อนที่สุดแสนจะอ้างว้าง มืดหม่นและลึกลับอย่างเป็นรูปธรรมโดยแท้ แถมเป็นเกร็ดแก่ผู้อ่านเล็กน้อยนะคะว่าหลายเพลงในละครบรอดเวย์เรื่องนี้ได้ถูกหยิบยกไปเป็นแรงบันดาลใจในการทำคัฟเวอร์ของศิลปินแจ๊ซซ์หลายท่านมากๆแต่ที่ประสบความสำเร็จสร้างชื่อสุดๆก็คงจะหนีไม่พ้นการคัฟเวอร์เพลงอมตะถล่มทลายอย่าง I Love You,Porgy ของเจ้าป้านีน่า ซีโมนส์ ราชินีเพลงแจ๊ซซ์ระดับโลกในแบบฉบับอาร์แอนด์บีโซลหวานๆอบอุ่นๆในช่วงปี1964ที่ฮิตถล่มทลายจนสามารถขายทะลุล้านซิงเกิ้ลสร้างชื่อให้เจ้าป้าลอยลมบนในยุคโมทาวน์ประดับประวัติศาสตร์มาได้จนถึงทุกวันนี้ เพราะสุดๆลองหามาฟังกันดูเถิด
ช่วงนี้ขออุทิศให้แก่ผู้ฟังที่หลงรักบทเพลงของดิว่าย้อนยุคเป็นชีวิตจิตใจนะคะ โดยเฉพาะกะเทงานนี้มีกรี๊ดแตกแน่ๆเพราะแต่ละแทร็คที่หยิบมาแนะนำนี่รับประกันว่าเด็ดดวงทั้งสิ้น มาเริ่มกันที่พ็อพบัลลาดเครื่องสายที่เจือภาคดนตรีคลาสสิคและจังหวะเต้นรำแบบวอล์ทหวานๆใน I Could Write Book (4/5) จากเรื่องPal Joeyโดยวิเวียน เบลน ที่ยอดเยี่ยมทั้งในภาคเนื้อหาและการนำเสนอ กะเทยนางโชว์ที่กำลังสาละวนหาเพลงใหม่ๆมาลิพซิงค์นี่ได้โปรดอย่ามองข้ามแทร็คนี้นะคะเพราะมันจะช่วยขับขานให้โชว์ของคุณดูคลาสสิคและมีเสน่ห์ในเวลาเดียวกันเลยทีเดียว ตามมาด้วยเพลงจากเรื่อง Higher Higherในปี1940กับ It Never Entered My Mind (5) ที่ได้เชอร์รี่ รอสมาขับกล่อมภาคดนตรีละเมียดละไมในแนวบลูส์หวานๆผสานแจ๊ซซ์สวยๆได้อย่างน่าขนลุก ใครที่เป็นแฟนของดิว่าแนวแจ๊ซซ์และบลูส์อย่างป้าบิลลี่ ฮอลิเดย์/เอลล่า ฟิทซ์เจอรัลด์/แอนนิต้า โอเดย์/คาร์เม็น แม็คเรย์/ซาร่าห์ วอห์นและดิน่า วอชิงตันอะไรพวกนี้นี่น่าจะชอบได้ไม่ยาก ส่วนตัวขอยกให้เป็นหนึ่งในแทร็คที่คลาสสิคที่สุดของอัลบั้มนี้ไปเลย สลับมาฟังสวิงกันดูดีมั้ยคะขอแนะขำแทรคจากOn The Townในปี1944กับ I Can Cook Too (4.5/5) บรอดเวย์แจ๊ซซ์ผสานสวิงสนุกๆและบลูส์หอมๆจางๆจากแนนซี่ วอล์คเกอร์ที่ถ่ายทอดความเปรี้ยวปราดของภาคเนื้อหาได้อย่างไพเราะและน่ารักจนอดอมยิ้มไม่ได้ ฟังแล้วอารมณ์ดีบันเทิงใจมากๆทีเดียว มาที่ Make It nother Old Fashion,Please (4/5) และ My Heart Belongs To Daddy (5) สองเพลงจากปลายปากกาของโคล พอร์เทอร์ หนึ่งในบรมครูแห่งวงการบรอดเวย์ โดยแทร็คแรกมาจากละครบรอดเวย์ในปี1940เรื่อง Panama Hattie ซึ่งได้ซูเปอร์สตาร์บรอดเวย์ชื่อก้องโลกอย่างเอ็ธเทล เมอร์แมนมารับหน้าที่ขับขานในแบบฉบับแฟนตาซีคลาสสิคคัลบรอดเวย์บัลาดใครนึกอารมณ์ไม่ออกลองนึกถึงบรอดเวย์แบบเจ้าป้ามาริลีน มอนโรดูนะคะจริตจะก้านในการบรรเลงนี่เหนือชั้นไม่แพ้กันเลยทีเดียว สำหรับแทร็คหลัง กรี๊ดๆๆๆๆๆๆๆๆ กะเทยหามาฟังกันด่วนจี๋นะคะ เหนือชั้นกว่าหนึ่งช่วงตัวด้วยการผสานแจ๊ซซ์หรูๆลงไปได้อย่างมีชั้นเชิงประกอบกับน้ำเสียงอันทรงพลังหวานใสและลีลาการขับขานอันทรงเสน่ห์ร้อนแรงเชือดเฉือนประดุจไฟของแมรี่ มาร์ทิน ที่ได้ร้องไว้ใน Leave It To Meบรอดเวย์ในปี1938 ที่ช่วยขับขานความลุ่มลึกอลังการของภาคเนื้อหาที่โรแมนติคเหนือชั้นจนลอยลำติดทำเนียบหนึ่งในเพลงบรอดเวย์สุดคลาสสิคเหนือกาลเวลาทุกยุคทุกสมัยได้อย่างสมศักดิ์ศรีปราศจากข้อกังขาใดๆทั้งสิ้น
ปิดท้ายด้วยเพลงบรอดเวย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์และคงความเป็นอมตะตลอดกาลกับ There's No Business Like Show Business (5) ที่เป็นการรวมพลังกันถ่ายทอดความอลังการระหว่างวิลเลี่ยม โอ' นีล/มาร์ตี้ เมย์และเรย์ มิดเดิลทัน นักแสดงจากละครบรอดเวย์เรื่อง Annie Gets Your Gun ในปี1946 โดยเอิร์ฟวิ่ง เบอร์ลินนักประพันธ์เพลงบรอดเวย์ระดับปรมาจารย์ที่เป้นแรงบันดาลใจให้แก่ศิลปินในอุตสาหกรรมดนตรีมาหลายยุคสมัย โดยภาคเนื้อหาเปรียบเสมือนภาพสะท้อนหลังม่านของวัฒนธรรมแห่งอุตสาหกรรมบันเทิงทุกยุคทุกสมัยก่อนที่จะถูกเจียระไนออกมาเป็นภาพที่สวยงามเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาบรรดาผู้ชม ส่วนตัวขอคารวะผู้แต้งในฐานะที่สามารถระบายสิ่งที่ตนอุทิศชีวิตลงสู่โลกแห่งเสียงเพลงได้อย่างมีเสน่ห์ สีสันและเป็นรูปธรรมจับจนยืนประดับอยู่ในหัวใจของคนรักดนตรีมากว่าหลายทศวรรษ
สรุป
จากจุดเริ่มต้นของการใช้ดนตรีบรอดเวย์เป็นเครื่องมือให้ความบันเทิงพร้อมทั้งแทรกสื่อกลางในการกระจายสัญญาณแห่งความหวังพร้อมและอิสรภาพสู่มนุษยชาติ สู่การเดินทางกว่า7ทศวรรษของการเติมเต็มทางปัจเจกภาพอย่างสมบูรณ์แบบในปัจจุบัน A Time Of Hope คือหนึ่งในตัวแทนที่นำเสนอร่องรอยทางประวัติศาสตร์ดนตรีที่ส่งอิทธิพลอย่างยิ่งยวดต่อสภาพการดำเนินชีวิตของบรรดาผู้คนในสมัยก่อน ซึ่งตีแผ่สู่วัจักรแห่งเสียงเพลงอีกครั้งเพื่อตอบข้อพิสูจน์แก่อนุชนรุ่นหลังให้กระจ่างถึงอำนาจของเสียงดนตรีสื่อกลางที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการจุดประกายความหวังได้อย่างเจิดจรัส ซึ่งเป็นปัจจัยที่สามารถประคับประคองมนุษยชาติและโลกให้ก้าวหน้าจากยุคปฏิวัติหลายๆสิ่งมาสู่ยุคโลกาภิวัฒน์ที่อารยธรรมมนุษย์พบกับความเจริญรุ่งเรื่องถึงขีดสุดโดยเคียงคู่กันมาจวบจนปัจจุบันโดยปราศจากร่อยรอยที่จะล่มสลายหรือเลือนหายไปเหมือนอารยธรรมอื่นๆที่ถูกกลืนหายไปตามกาลเวลาแต่อย่างใด

มาช่า วัฒนพานิช : Let's Have Fun...Tonight : 2/5
เมื่อพูดถึงมาช่า
คงไม่มีอะไรนอกจากจะต้องยอมรับว่าพี่ช่าเธอเคยหนึ่งในไอดอลประจำดวงใจของเดี๊ยนสมัยยังเด็ก เดี๊ยนโตมากับเพลงของเธอฟังเพลงของเธอมาตั้งแต่อายุ4ขวบและเคยนำเพลง "เจ้ากางเขน" ของเธอขึ้นไปใช้ประกวดร้องเพลงสมัยอนุบาลชนะเลิศมาแล้วด้วย ถึงแม้ว่าทุกวันนี้เดี๊ยนจะไม่ได้เป็นแฟนเพลงที่เหนียวแน่นของเธออีกต่อไปแต่อย่างไรก็ตามก็ไม่เคยปฏิเสธว่าเคยผูกพันกับงานเพลงของเธอ - -ผู้เป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจทางดนตรี - - มากมายขนาดไหน รีวิวนี้เป็นรีเควสของหญิงต้อมและนังมาเชาวน์เพื่อนสาวที่คณะถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการรีวิวอัลบั้มเพลงไทยเป็นครั้งแรกและอาจจะเป็นครั้งเดียว
รูปแบบเพลง
Let's Have Fun...Tonight เป็นสตูดิโออัลบั้มลำดับที่สิบในชีวิตการเป็นนักร้องของมาช่า (ไม่นับอัลบั้มพิเศษนอกรอบอื่นๆอย่างเซเว่น,The Special Four,ลงเอย ฯลฯ) และครั้งนี้เป็นครั้งแรกในรอบ16ปีที่มาช่าได้ขึ้นแท่นเป็นโปรดิวซ์เซอร์หลักควบคุมการทำงานในอัลบั้มทุกกระบวนการด้วยตนเอง (ต๊ายยย!ไม่น่าเชื่อแหะ) มาที่ภาคดนตรีหากคุณตัดสินจากหน้าปกหรือบุ๊คเล็ทส์แล้วล่ะก็คงจะตั้งความหวังไว้เริ่ดหรูทึกทักเอาว่างานนี้คุณพี่ช่าของเราต้องมาเปรี้ยวทำแดนซ์กระจายแรงๆพร้อมหอบสารพัดกลิ่นอายเต้นรำเริ่ดๆทั้งคาบาเร่ต์ เฮาส์ ดิสโก้รวมถึงกลิ่นอายแบบเรโทรแดนซ์ยุค70ชัวร์ ซึ่งคุณเข้าใจผิดและจะทำให้คุณผิดหวังมากๆเนื่องจากเพลงแดนซ์แรงๆดังกล่าวมีอยู่เพลงเดียวเท่านั้นแหละ อันที่จริงภาพรวมของอัลบั้มนี้ก็นำเสนอในรูปแบบวาไรตีย์พ็อพที่เราพบเห็นหาซื้อได้จากศิลปินแกรมมี่ทั่วไปในยุคนี้ตั้งแต่ระดับ ไอซ์ ศรัณยู,กอล์ฟ-ไมค์ ไปถึงระดับดิว่าแนวหน้าอย่างใหม่ เจริญปุระ,คริสทิน่า อากีลาร์ยันเบิร์ด ธงไชยนั่นแหละค่ะ โดยตัวเพลงในอัลบั้มนี้มาช่าเน้นการลดวัยไปทำเพลงพ็อพใสๆจังหวะสนุกๆซาวนด์สังเคราะห์วิ่งกันเกลื่อน (ซึ่งเกินวัยคุณพี่ไปเยอะนะคะดนตรีแบบนี้) นอกจากนี้ก็แซมด้วยอิทธิพลของความเป็นอาร์แอนด์บี พ็อพที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้นตั้งแต่งานชุดIn Love บัลลาดเพราะๆหวานๆซึ้งๆที่หายไปไหนไม่ได้แน่ๆไปจนถึงย้อนกลับสู่รากฐานทางดนตรีไปทำบัลลาดพ็อพร็อคโดยใช้กรรมวิธีการนำเสนอแบบที่เราเคยฟังกันใน Room No. 3 เรียกว่ากะจะรักษาทั้งฐานแฟนเก่าที่แข็งมากๆอยู่แล้วและก็กะจะกวาดฐานแฟนเพลงวัยรุ่นใหม่ๆแข่งกับศิลปินรุ่นลูกด้วยภาพรวมเลยออกมาค่อนข้างยุ่งเหยิงอย่างที่เห็น โดยส่วนตัวคิดว่าเป็นงานที่ขาดความลงตัวมากที่สุดแล้วในชีวิตมาช่า อย่างไรก็ตามก็ต้องเข้าใจเธอหน่อยนะคะยุคที่เด็กวัยรุ่นส่วนใหญ่ฟังเพลงไทยสากลแบบเน้นใสเน้นกลวงเข้าว่า ยุคที่กะเทยหัวโปก กะเทยสะก๊อยและเกย์สาวเบ่งบานกันถึงขีดสุกขนาดนี้ ถ้าจะต่ออายุมันก็ต้องงัดไม้นี้เข้าสู้นั่นแหละค่ะ
จุดด้อย
เอาล่ะค่ะ ก่อนอื่นเดี๊ยนคงต้องขอเริ่มต้นที่จุดด้อยที่สุดสำหรับการรีวิวอัลบั้มครั้งนี้นั่นคือ "ตัวเดี๊ยนเอง" ทั้งนี้เนื่องจากการที่เดียนได้เลิกฟังเพลงไทยมาเป็นการถาวรร่วมเจ็ดแปดปีเข้าให้แล้ว ซึ่งสำหรับเดี๊ยนการจมอยู่กับเพลงสากลนานขนาดนี้มันได้หล่อหลอมมุมมองและทัศนคติของเดี๊ยนใหม่โดยสิ้นเชิง ให้กลายเป็นคนที่มองอะไรกว้างขึ้นลึกขึ้นและที่สำคัญมาตรฐานในการตัดสินบางสิ่งสูงขึ้น ซึ่งการตัดสินที่กล่าวมามันเกินกว่าเจตนาที่ศิลปินไทยส่วนใหญ่ต้องการจะสื่อลงไปในงานเพลงของเขาหรือเธอเหล่านั้นพูดง่ายๆคือเรามองอะไรที่ลึกเกินไปคาดหวังอะไรที่สูงเกินไปจนลืมตระหนักว่า "วงการเพลงไทยมันก็แค่นี้แหละ" ดังนั้นถ้าแฟนเพลงคุณพี่ช่าคนใดมาอ่านตรงไหนแล้วเกิดไม่พอใจรับไม่ได้หรือแรงเกินไปต้องกราบขออภัยไว้ล่วงหน้า ณ ที่นี้เลยค่ะ แล้วไม่ต้องมาก่นด่าจิกสาปแช่งเดี๊ยนกันล่ะ
มาที่เรื่องของตัวเพลงอย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้นแล้วว่าส่วนตัวเห็นว่าเป็นอัลบั้มที่ "ขาดความลงตัวที่สุดแล้ว" ของมาช่า บอกตามตรงว่าตอนที่ฟังจบครั้งแรกแล้วรู้สึกว่า "ตายแล้วทำไมเพลงคุณพี่ช่าถึงได้ เอ่อ แย่ได้อย่างน่าตกใจขนาดนี้" มันเริ่มมาตั้งแต่ภาพรวมของอัลบั้มที่ขาดเอกภาพและไร้ทิศทางสุดๆเหมือนกับแต่งเพลงอะไรได้ก็ร้องๆๆๆๆๆยัดๆๆๆๆลงแผ่นขายโดยไม่ได้สนใจที่จะมอบความประติดประต่อทางอารมณ์แก่ผู้ฟัง ยิ่งไปกว่านั้นภาคเนื้อหาส่วนใหญ่ออกมาอ่อนยวบยาบเข้าขั้นไร้สาระและหาความเป็นตัวมาช่าเจอได้น้อยมากๆทุกองค์ประกอบ แต่เมื่อให้เวลาในการฟังอัลบั้มนี้มากขึ้นความเปิดใจก็เริ่มตามมามากขึ้นเนื่องจากพิจารณาในแง่ความแปลกใหม่แล้วก็ถือว่ามาช่าสามารถฉีกตัวเองออกจากสารบบการนำเสนอแบบเดิมๆได้มากมายอยู่รวมถึงความเพราะติดหูมันก็ตามติดมาเรื่อยๆ ฟังไปฟังมาก็รู้สึกประมาณ อุ๊ย!เพลงนี้ก็เพราะเนอะ เออ!เพลงนี้ก็ใช้ได้นี่น่า แอร๊ยยย!ทำไมตอนแรกฉันถึงไม่ชอบเพลงนี้ได้นะ เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งอัลบั้มที่ต้องใช้กาลเวลาพิสูจน์สำหรับเดี๊ยนโดยแท้ แม้ว่าเอาจริงๆแล้วจนถึงตอนพิมพ์อยู่จะเห็นว่ามันมีดีอยู่แค่3-4เพลงก็เถอะ ยังไงก็ตามมาช่าก็ได้ผ่านจุดมาสเตอร์พีซมาแล้วในอัลบั้ม Fine Day บางทีการที่เราไปคาดคั้นความสมบูรณืแบบจากเธอโดยเอาสิ่งที่สูงที่สุดดีที่สุดเป็นบรรทัดฐานในการตัดสินก็คงไม่ยุติธรรมกับพี่ช่านักเนื่องจากศิลปินระดับโลกก็มีน้อยคนที่จะทำผลงานเหนือมาสเตอร์พีซชิ้นเก่าของตัวเองได้ สุดท้ายบางทีการนั่งเก้าอี้โปรดิวเซอร์เต็มตัวเป็นครั้งแรกเราๆก้คงต้องให้เวลาเธอในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆมากกว่านี้ จับทิศทางที่ตัวเองต้องการและนำเสนออกมาอีกครั้งเมื่อทุกสิ่งอย่างมันลงตัวแล้ว และเมื่อถึงตอนนั้นถ้าอัลบั้มคุณพี่ยังเหลวอีกเราๆค่อยมาด่ากันก็จะยังยุติธรรมสำหรับทุกฝ่ายมากกว่า
ประการสุดท้ายที่ขัดใจที่สุดคือเรื่องการตลาดของอัลบั้มนี้ซึ่งถือว่าฉาบฉวยอย่างน่าเกลียด แต่ก่อนจะด่าก็ขอชมคุณพี่มาช่ากับทางค่ายก่อนนะคะว่าฉลาดมากในเรื่องของการปรุงแต่งภาพลักษณ์ การนำเสนอคอนเซ็ปท์ต่างๆรวมถึงอีเพลงรักยังไม่ต้องการนั่นด้วย แยบยลมากจนเดี๊ยนขอคำนับ คือมันสามารถทำให้บรรดาขาจรทั้งหลายรวมถึงผู้ซื้อท่านอื่นๆเข้ามาติดหลุมพรางซื้อเพราะชอบเพลงนี้เพลงเดียว ซื้อเพราะถูกหลอกโดยภาพลักษณ์แต่เมื่อกลับมานั่งพิจารณาเนื้อในแล้วจะพบว่าสิ่งที่เราเห็นจากเปลือกนอกกับตัวงานมันคนละเรื่องกันเลยทีเดียวเรียกได้ว่านำแผนการตลาดแบบต้มผู้บริโภคซึ่งมีให้เห็นอย่างแพรวพราวในอุตสาหกรรมบันเทิงเอามาใช้อย่างเกิดประสิทิภาพสูงสุดโดยแท้ จริงๆแล้วไอ้กลยุทธการฉาบเปลือกนอกที่แข็งแกร่งแต่เนื้อในกลวงนั้นไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่น่ามหัศจรรย์ใดๆในอุตสาหกรรมเพลงไทยสากล จะด่ามาช่าคนเดียวก็ไม่ถูกเพราะความฟอนเฟะนี้ก็มีให้เห็นกันเกลื่อนจากศิลปินทุกระดับนักร้องอีกค่อนประเทศก็ทำใหม่ก็ทำ ทาทาก็ทำ เบิร์ด ธงไชยก็ทำแต่ตอนนี้เมื่อมีโอกาสรีวิวคุณพี่มาช่า วัฒนพานิชแล้วก็ขอถือโอกาสด่าคุณพี่มาช่าให้เป็นตัวแทนรับโดยทั่วกันเลยนะคะ โดยเฉพาะไอ้/อีที่ชั่วโมงบินสูงระดับแนวหน้าแล้วยังมาหากินกันง่ายๆแบบนี้ไม่อายกันบ้างเหรอไงคะเข้าใจค่ะว่าการตลาด ภาพลักษณ์มันสัมพันธ์ต่อความอยู่รอดแต่ไม่คิดจะกลับไปขายคุณภาพกลับไปขายปัญญาแบบที่เคยสร้างความตื่นตาตื่นใจแก่วงการสร้างความภูมิใจแก่ผู้ฟังแบบก่อนๆเลยเหรอคะรู้นะคะว่าทำกันได้แต่ไม่ทำกัน แต่อย่างไรก็ตามผลสรุปก็คือผู้บริโภคที่เป็นคนธรรมดาอย่างเราๆที่โง่หลงไปซื้อเพราะภาพลักษณ์มิสอัลคาซ่าร์ (ในกรณีพี่ช่า) แล้วเอามาฟูมฟายเสียค่าโง่ที่หลังนั่นแหละผิด เสือกโง่กันเองนี่คะ หาใช่ศิลปินผู้วิเศษวิโสตัวเลี่ยมทองไม่
ป.ล. ถึงตรงนี้เดี๊ยนรู้แล้วล่ะค่ะว่าจะต้องสร้างความเคืองให้แก่สาวกเดนตายหลายๆท่านที่เข้ามาอ่าน เดี๊ยนไม่ได้มีเจตนาที่จะลบหลู่ศิลปินอันเป็นที่รักของพวกเธอนะคะเพียงแค่อยากจะฉายมุมมองส่วนตนให้รู้กันไว้ ถ้าอยากจะด่าเดี๊ยนก็เชิญตามสบายค่ะแต่ขอนะคะอย่ามาพ่นมุขเสร่อๆประมาณ "หล่อน อีแนสไปว่าเขาแล้วทำได้อย่างเขาป่าวล่ะ" อู้ยยย คุณขาไม่มีปัญญาทำได้หรอกค่ะ มากสุดก็มีแค่ปัญญาที่จะซื้อมาวิพากษ์วิจารณ์ออกความเห็นด่าตามประสาผู้บริโภคที่มีปัญญาเสียเงินซื้อแล้วไม่สบอารมณ์น่ะค่ะ ดังนั้นมุขนี้ไม่เจริญนะคะตั้งสติก่อนที่จะสตาร์ทด้วยนะยะขอเตือน หรือไม่งั้นก็ไปขอทุนพวกบรรดาศิลปินที่หล่อนๆเคารพบูชามาให้เดี๊ยนทำอัลบั้มนะคะจะได้ทำให้เห็นว่าเพลงที่มันออกมาดีน่ะเขาทำกันยังไงเป็นการสอนพวกมืออาชีพไปด้วยในตัวนะคะ หึหึหึ
แทร็คเด็ด
รักยังไม่ต้องการ (4/5) ซิงเกิ้ลแรกของอัลบั้มซึ่งเปรียบเสมือนไทเทิ่ลแทร็คที่นำเสนอคอนเซ็ปท์ที่มาช่าต้องการจะสื้อผ่านทางหน้าปกอัลบั้มและบุ๊คเลทส์ (ซึ่งไปกันคนละทิศละทางกับตัวเพลงทั้งหมดในอัลบั้ม) ตัวเพลงเป็นพ๋อพเต้นรำที่ผสมผสานไปด้วยกลิ่นอายฟังค์กีย์แดนซ์เฮาส์ บีทไลท์เทคโนจางๆ เรโทร ลูกเล่นการนำเสนอแบบคาบาเร่ต์ที่ให้อารมณ์ดิสโก้ยุค70ควบคุมทิศทางตัวเพลงโดยรวมทั้งหมด เริ่ด! ส่วนตัวฟังแล้วรู้สึกถึงอิทธิพลตั้งแต่ศิลปินดิสโก้หญิงผิอวดำยุค70หลายๆนาง รูพอล โชว์กะเทยที่อัลคาซ่าร์ สีลม ไปยันหลายๆเพลงของคุณเจ๊ไคย์ลีย์ มิโน้กที่วิ่งดาหน้าเข้ามาหลอกหลอนกันเพลงนี้สนุกสนานเลยทีเดียว แม้ว่าฟังไปฟังมาจะเหมือนเป็นการจับเอาซิงเกิ้ลเปิดตัวจากอัลบั้มที่แล้วมายำใหม่แต่อย่างไรก็ตามเดี๊ยนขอยอมรับค่ะว่ารู้สึกประทับใจในแง่ของควมแปลกใหม่ซึ่งถือว่ามาช่าสามารถฉีกตัวเองออกจากการนำเสนอรูปแบบเดิมๆได้อย่างหมดจด เก๋มากๆส่วนตัวเห็นว่าสมบูรณ์แบบสุดในอัลบั้มแล้วค่ะ เสียดายนะคะที่ทำเพลงดีๆแบบนี้ออกมาแค่เพลงเดียว
ผู้ชายห่วยๆ (3/5) เพลงช้าซิงเกิ้ลที่สอง ก่อนหน้าที่จะได้ฟังเพลงนี้เดี๊ยนได้ยินเพื่อนๆหลายนางนายต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์การใช้เสียงของคุณพี่อย่างเผ็ดร้อนเลยพาลทำให้เกิดอคติก่อนลงสนามอยู่มากโข ขอสารภาพค่ะว่าตอนฟังครั้งแรกรู้สึกเกลียดมากๆตั้งแต่ดนตรี เสียงร้อง สรรพสำเนียง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนถูกนำเสนออกมาได้อาร์เอสสุดๆ ชนิดที่น่าจะโยนไปให้อีลิเดียหรืออีเบเบ้อะไรนั่นร้องมากกว่า แต่พอเข้าท่อนคอรัสเท่านั้นแหละความรู้สึกถูกเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเนื่องจากเริ่มจับทางพี่ช่าได้ว่าใช้วิธีการนำเสนอแบบเดียวกับที่เคยทำในอัลบั้ม Room No. 3 ทั้งในเรื่องของน้ำเสียง การสื่อสารทั้งภาคเนื้อหาและภาคอารมณ์ สรรพสำเนียงการร้องอาจจะต่างกันตรงกรรมวิธีการบันทึกเสียงที่เดี๊ยนคิดว่าอัลบั้มสามของคุณพี่นั้นเป็นในรูปแบบอนาล็อคแล้วใช้การบันทึกเสียงแบบค่อนข้างสดกว่านี้มาก พอจนความเข้าใจตรงกันเท่านั้นล่ะเดี๊ยนชอบเพลงนี้เลยเนื่องจากมันนำเสนอโดยย้อนกลับไปหารากฐานทางดนตรีของเธอให้เราเห็นทั้งความสละสลวยของการเรียบเรียงภาคเนื้อหาที่ที่หาฟังได้ยากแล้วในเพลงไทยยุคนี้ คุณพี่ช่านี่แบ็คทูเบสิคกว่าอีติ๊อีกนะคะ
ป.ล.ต้องขอบคุณพี่ช่ามากๆด้วยค่ะเพราะในที่สุดเดี๊ยนก็มีเพลงเริ่ดๆเอาไว้เปิดไล่แห่พวกบรรดาแฟนเก่าที่ขยันมาตามตื้อจะขอคืนดี ด้วยเหตุผลที่เลี่ยนๆ น่ารำคาญและเห็นแก่ตัว ชนิดที่เอาให้หน้าหงายไปเลยทีเดียว
ต่อไปเป็นแทร็คที่เดี๊ยนรู้สึกชอบเป็นพิเศษแล้วคิดว่าดีพอที่จะหยิบยกมากล่าวถึงในรีวิวนี้นะคะ เริ่มที่ โรคภูมิแพ้ (2/5) พ็อพน่ารักๆจังหวะสนุกๆฟังแล้วนึกถึงเพลงพ็อพช่วงยุค90 แม้ว่าจะเกินวัยคุณพี่ไปมากอยู่แต่อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาเรื่ององค์ประกอบหลายๆด้านแล้วคิดว่าเด็กวัยรุ่นไทยสมัยนี้น่าจะชอบกันได้ไม่ยากรวมถึงแฟนๆพี่ช่าเองที่ชอบเพลงอารมณ์หวานๆแบบตอนรีเอ็นทรีนี่ก็น่าจะเปิดรับเพลงนี้เป็นหนึ่งในเพลงโปรดได้อย่างไม่ขัดเขิน แต่สำหรับเดี๊ยนรู้สึกขัดเขินแทนสรรพสำเนียงการร้องของคุณพี่มากๆค่ะ "จาย มัน เยย โต้ง แป๊ เตอ" นี่ถ้าเดี๊ยนไม่เปิดเนื้อร้องอ่านตามนี่ก็คงทึกทักเอาว่าคุณพี่ค้นพบและบุกเบิกเอาภาษาโลกที่ห้ามาร้องเลยทีเดียว ไม่เอานะคะคุณพี่อะไรที่คุณพี่เคยทำได้ดีอยู่แล้วก็ไม่ต้องทิ้งมันไปเพื่อเอาใจเด็กๆยุคใหม่หรอกค่ะ เช่น การร้องเพลงชัดถ้อยชัดคำที่ก่อนหน้านี้คุณพี่เคยทำได้ดีกว่านักร้องที่เป็นคนไทยแท้ๆบางคนเสียอีก รวมถึงไม่ต้องทำเป็นเก๋โก้แทรกเนื้อร้องภาษาอังกฤษลงบนในตัวเพลงด้วยนะคะ ความบัดซบทางภาษาเหล่านี้ให้พวกศิลปินรุ่นลูกอย่างอีลิเดีย,โฟร์-มด,กอล์ฟ-ไมค์,อีเฟย์ฟางแก้ว,อีเบเบ้กับคณะBUZZ MUSICของหล่อน ฯลฯ ให้มันสืบสานกันต่อไปเป็นวงจรอุบาทว์กันอยู่แค่นี้เถิด ขอเตือนก่อนที่คุณพี่จะไม่รอดเหมือนป้าติ๊นา อากีลาร์ ดิว่าฟันจอบเพื่อนร่วมรุ่นนะคะ ต่อด้วย ฝันกลางคืน(3.5/5) อาร์แอนด์บี พ็อพหวานๆลอยๆที่เมโลดี้และท่อนคอรัสติดหูชะงัดรวมถึงจังหวะจะโคนที่มีความร่วมสมัยค่อนข้างสูงที่สำคัญเพลงแบบนี้แหละที่เป็นมาช่า ส่วนตัวเห็นว่าเป็นหนึ่งในเพลงที่ดีที่สุดและเพราะที่สุดของอัลบั้มเสียอย่างเดียวตรงเสียงแร็พอันจืดชืดของหนุ่มตี๋กิ๊กล่าสุดเจ๊นั่นแหละค่ะ เก็บมันไว้เป็นดีเจอย่างวเดิมและอย่างเดียวดีกว่านะคะ ปิดท้ายด้วย เหตุสุดวิสัย (3/5) อีกหนึ่งอาร์แอนด์บีที่ลูกเล่นการนำเสนอคล้ายกับอาร์แอนด์บีของลิเดีย เพียงแต่ชั้นเชิง ภาพรวมและหีบห่อสูงกว่ามากๆ เข้มข้นกว่าทั้งภาคดนตรี เสียงร้องและการนำเสนอ
สรุป
บ่ยครั้งที่เดี๊ยนได้ยินว่า "ในบรรดาดิว่ารุ่นเดียวกัน มาช่า คือคนที่ด้อยที่สุดในหมู่คณะ" ถ้าเป็นในเรื่องเสียงร้องและการแสดงสดเดี๊ยนคิดว่าจริง แต่ถ้าจะเหมาว่าเธอเป็นคนที่ด้อยที่สุดทุกๆเรื่อง เดี๊ยนไม่เชื่อ เพราะเมื่อพิจารณาคุณสมบัติหลายๆด้านของเธอแล้วจะเห็นได้ว่าเธอมีหลายสิ่งอย่างที่ดิว่าที่เหนือกว่าเธอนั้นไม่มี สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือ "พัฒนาการ" ซึ่งในที่นี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องของเสียงร้องหรือการแสดงสดแต่เป็นพัมฯาการรอบด้านที่มาช่าแสดงให้เห็นตลอด16ปีที่เธอทำหน้าที่เป็นศิลปินมา เธอไม่เคยยืนอยู่กับที่ เธอไปข้างหน้าตลอด เธอคือหนึ่งในผู้ที่โดนครหามากที่สุดเคยอยู่ท้ายสุดในตอนแรกเริ่มแต่ทุกวันนี้เธอกลับฝ่าฟันและมายืนอยู่แถวหน้าสุดเช่นเดียวกับดิว่าท่านอื่นๆ ในขณะที่ตอนนี้เป็นช่วงขาลงของดิว่าหลายๆท่านแต่ส่วนตัวเดี๊ยนเห็นว่ายังไม่ใช่สำหรับมาช่าอย่างแน่นอนเชื่อสิว่าเธอจะยังไม่หมดยุค เธอจะยังขายได้และเธอจะยังอยู่รอดในแวดวงบันเทิงทั้งการเป็นศิลปิน ดาราและนางแบบแถวหน้าอีกนาน แม้ว่าอัลบั้มนี้จะไม่ใช่บทพิสูจน์ที่ดีนักแต่ความพิเศษที่เดี๊ยนสัมผัสจากตัวผู้หญิงคนนี้ต่างหากที่มันเป็นตัวยืนยันและมันยังไม่เคยหายไปไหน มาถึงตอนนี้คงต้องคิดกันใหม่แล้วล่ะว่า "มาช่าร้องสดแย่สุดแต่ศักยภาพไม่ด้อยกว่าใครหน้าไหนแน่นอน" หรือใครจะเถียง

Britney Spears : In The Zone : 3.5/5
In The Zone เป็นสตูดิโออัลบั้มอันดับสี่ของบริทนีย์ สเปียร์ส ซึ่งสามารถสร้างสถิติให้เธอเป็นศิลปินหญิงคนแรกที่มีสตูดิโออัลบั้มขึ้นเป็นอับดับหนึ่งติดต่อกันถึงสี่อัลบั้ม (ถ้าจำไม่ผิดขึ้นด้วยยอด609,000ก็อปปี้) ได้3แพลตตินัมจากR.I.A.A ด้วยจำนวนยอดขาย3.1ล้านแผ่นเฉพาะในอเมริกา (ถ้าข้อมูลด้านสถิติผิดพลาดช่วยโต้แย้งด้วย)
รูปแบบเพลง:
บริทนีย์สามารถแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของความเป็นศิลปินที่มีศักยภาพยิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับงานชุดก่อนๆ โดยที่เธอสามารถฉีกรูปแบบการนำเสนอดนตรีและภาพลักษณ์ของตนเองให้หลากหลาย และมีชั้นเชิงกว่าเดิม เธอก้าวไปอีกระดับจากการทำเพลงพ็อพตามแบบฉบับทีนดิว่าสู่งานดนตรีพ็อพเต้นรำที่ผสานไปด้วยสรรพสำเนียงและกลิ่นอายของดนตรีที่หลากหลายเช่น อาร์แอนด์บี (ซึ่งมีอิทธิพลในหลายแทร็ค) แดนซ์ฮอลล์ แทรนซ์ นีโอ-อิเล็คโทร ดีฟเฮาส์ เทคโน ฮิพฮอพ รวมไปถึงบัลลาด (ทำไมเยอะจังคะ) นอกจากนี้การที่เธอได้ร่วมงานกับโปรดิวซ์เซอร์ระดับแนวหน้าอย่าง อาร์ เคลลี่ มาดอนน่า โมบีย์ เดอะแมทริกซ์และอีกมากมายทำให้ผลผลิตที่ถูกคัดเลือกอยู่ในอัลบั้มค่อนข้างแข็งกล่าวคือมีประสิทธิภาพและแรงพอที่จะตัดขายได้เกือบทุกเพลง
ป.ล. เป็นครั้งแรกที่เธอไม่ได้ร่วมงานกับแม็ก มาร์ติน โปรดิวเซอร์คู่บุยที่สร้างชื่อและความสำเร็จให้เธออย่างมากมายเมื่อสามอัลบั้มที่แล้ว
จุดด้อย :
แม้ว่าอัลบั้มนี้จะสามารถขึ้นอันดับหนึ่งและขายได้มากมายอยู่ (เมื่อเทียบกับหลายๆศิลปิน) ก็จริง แต่เมื่อมาวัดกันโดยใช้บรรทัดฐานความเป็นบริทนีย์โดยส่วนตัวเดี๊ยนคิดว่างานที่มีศักยภาพค่อนข้างพร้อมระดับนี้สมควรที่จะขายได้มากกว่านี้ (ชุดนี้กลับขายได้น้อยที่สุดของเธอ) แต่อันนี้จะโทษที่ตัวบริทก็ไม่ได้เนื่องจากเธอได้รับบาดเจ็บที่เข่าทำให้ไม่สามารถโปรโมตอัลบั้มนี้ได้อย่างเต็มที่ในแบบที่ควรจะเป็น โปรโมตได้ครึ่งๆกลางๆแต่สามารถทำยอดขายในระดับนี้ได้ถือว่าเธอเก๋าพอสมควร (จริงๆแล้วมีโควต้าโปรโมตไว้หกซิงเกิ้ล เสียดายเพลงดีๆที่ไม่ได้โปรโมตจัง)
นอกจากนี้เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบพัฒนาการทางดนตรีระหว่างเธอกับคริสทิน่า อากิเลรา เดี๊ยนว่าอัลบั้มนี้มีย่างก้าวที่คล้ายกับ Stripped ในแง่ของดนตรีที่หลากหลายมากๆเหมือนกับเป็นอัลบั้มทดลองเพื่อหาแนวดนตรีที่เหมาะสมต่อตนเอง ก่อนอื่นขอชมว่าทั้งคู่สามารถทำอัลบั้มที่มีเอกภาพคือหลากหลายแต่ไม่มั่วซั่ว สามารถฟังได้อย่างต่อเนื่อง ไพเราะและที่สำคัญลงตัวเป็นเนื้อเดียวกัน (ลองดูPublic Affair ของอีย์เจสสิคะ) เมื่อมาพิจารณาด้านเนื้อหาคิดว่าคริสทิน่าได้ถ่ายทอดสิ่งที่จรรโลงสังคมและเป็นประโยชน์ควรค่าแก่การฟังในระยะยาวและมีอิทธิพลต่อความรู้สึกมากกว่าในขณะที่บริทนีย์ยังไม่ได้สื่อสิ่งที่เป็นสาระอย่างเป็นจริงเป็นจังนัก เนื้อหาโดยรวมของอัลบั้มเน้นไปถึงเรื่องเซ็กส์ การตะลุยราตรีอะไรพวกนั้นมุขแบบนี้มาดอนน่าทำมาแล้วอย่างเหนือชั้นใน Erotica คิดจะเล่นเรื่องแบบนี้เธอเจอคู่แข่งที่น่ากลัวกว่าเยอะพอตัวนะคะหอกทั้งเจ๊แม่ เจ๊เจเน็ต และสาวฮิพออพอาร์แอนด์บีดาวรุ่งอีกกี่สิบชีวิต พูดกันง่ายๆคือถ้าเทียบกับคนอื่นๆแล้วไม่เห็นจะมีอะไรน่าสนใจ อย่างไรก็ตามบริทนีย์ยังโชคดีที่ยังเหลือบารมีเก่าให้กินอยู่มากจะยังไงถ้าพะยี่ห้อบริทนีย์ สเปียร์สใครๆก็สนใจนะคะ
ป.ล. สำหรับประเด็นเรื่องส่วนตัวของเธอไว้เดี๊ยนจะกล่าวยาวๆในรีวิวอัลบั้มชุดใหม่ของเธอเมื่อมีโอกาสนะคะ
ซิงเกิ้ล :
Me Against The Music Feat. Madonna (4.5/5) ซิงเกิ้ลแรกและถือเป็นไทเทิ่ลแทร็คของอัลบั้ม จริงๆก่อนหน้าเวอร์ชั่นที่จะร่วมงานกับเจ๊เพลงนี้เคยใช้ชื่อว่า Get In The Zone (ซึ่งเป็นชื่อของอัลบั้มก่อนหน้าที่จะวางขายเช่นกัน) ก่อนหน้านี้เพลงที่ถูกวางเป็นซิงเกิ้ลแรกคือ Outrageus เนื่องจากต้นสังกัดเห็นว่ามีความเป็นเออร์บันสูงพอที่จะตอบสนองอุปสงค์ของตลาดเพลงปัจจุบันได้ แต่อีหอกมองการณ์ไกลค่ะเห็นว่าถ้าตัดเพลงนี้ไม่ต้องรอให้เข่าหักเดี๊ยนก็ไม่รอดแน่ก็เลยส่ง Me Against The Music ไปให้มาดอนน่าพิจารณาก่อนที่จะมาบันทึกเสียงใหม่ ด้วยชื่อเสียงและความอัจฉริยะของทั้งคู่ทำให้เพลงอาร์แอนด์บีเต้นรำธรรมดาๆเพลงนี้ดูมีพลังมากขึ้นทีเดียวเมื่อตัวเลือกที่มาร่วมงานด้วยคือสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของอุตสาหกรรมดนตรีสากล โดยส่วนตัวคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดามากๆแน่ค่ะสำหรับการที่ตัวแทนพลังจากสองยุค (ที่มีอิทธิพลสุดๆต่อตลาดเพลงพ็อพ) มาดวลเพลงกัน นอกจากนี้ที่น่าสนใจคือเพลงนี้เป็นซิงเกิ้ลเปิดตัวเพลงแรกของบริทนีย์ในฐานะ Co-WritingและCo-Producingด้วยนะคะ
ป.ล. ไปๆมาๆดูเหมือนจะเป็นมาดอนน่า ฟีท บริทนีย์มากกว่านะคะเพราะอีเจ๊เล่นแผดเสียงกลบอีหอกสุดพลัง เริ่ดชิงๆ
Toxic (4/5) ซิงเกิ้ลที่สองพ็อพแดนซ์เจือสรรพสำเนียงความเป็นบอลลีวูดด้วยเครื่องสายแบบอินเดียที่เล่นตามแบบฉบับหนังสายลับ (ได้ข่าวว่ามีแรงบันดาลใจมาจากเจมส์ บอนด์สักภาคนี่แหละคะ) ที่น่าประทับใจแทนหอกคือเพลงนี้สามารถขึ้นอันดับ9บนชาร์ตบิลด์บอร์ดได้หลังจากที่เธอไม่ได้มีเพลงฮิตมาถึง2ปี นอกจากนี้ยังชนะรางวัลแกรมมี่เป็นตัวแรกสาขา Best Dance Recording นะคะ (ต๊ายยย เพิ่งรู้นะคะ) แถมโพลจากการสอบถามลูกค้ากว่า66ประเทศของบริษัท โซนี่ อิริคสันเกี่ยวกับเพลงที่โดนใจลูกค้ามากที่สุดจากตัวเลือกเจ็ดแสนกว่าเพลง Toxicของบริทนีย์ได้เป็นอันดับที่สองเชียวนะคะ เป็นรองแค่ We Are The Champion ของ Queen น่ะค่ะ ดีใจด้วยนะเธอ
Everytime (2.5/5) พ็อพบัลลาดโดยใช้เพียโนแสดงลูกเล่นแบบกล่องดนตรีน่ะค่ะ เพลงนี้แต่งที่เยอรมนีโดยที่เธอได้ร่วมแต่งกับ Annette Artan นักร้องแบ็คอัพของเธอ มาดูที่ตัวเพลงเดี๊ยนว่าเพลงนี้มองได้สองแง่นะคะคือถ้าไม่ห่วยไปเลยก็จัดว่าดีในระดับที่รับได้ ขอตบหัวก่อนแล้วกันนะคะที่ว่าห่วยเนื่องจากความรู้สึกส่วนตัวคิดว่าเป็นบัลลาดแห้งๆเนือยๆขาดจุดน่าสนใจซึ่งจริงๆบรืทนีย์ก็ไม่ใช่นักร้องที่มีเสียงทรงพลังอะไรอยู่แล้วฟังแล้วไม่ค่อยรู้สึกถึงอารมณ์ร่วมเท่าไร แต่ถ้ามองในแง่พัฒนาการสังเกตได้ว่าบัลลาดก่อนๆของเธอจะเน้นดนตรีและท่อนคอรัสกลบเสียงเธอเป็น่วนใหญ่แต่เพลงนี้กลับเน้นที่จะโชว์พัฒนาการของการใช้เสียงเธอเป็นหลักโดยที่มีดนตรีเป็นแบ็คกราวนด์บางๆ ซึ่งขอบอกว่าเธอใช้เสียงได้ดีขึ้นจริงขอชมในความกล้าเสี่ยงค่ะ
Outrageous (2/5) จากที่กล่าวไปข้างต้นนะคะว่าเกือบจะได้เป็นซิงเกิ้ลเปิดตัวเสียแล้ว บริทนีย์คิดถูกแล้วค่ะที่ไม่เลือกปล่อยเพลงนี้มาเป็นซิงเกิ้ลแรกโดยส่วนตัวตกใจนะคะที่รู้ว่า อาร์ เคลลี่ย์โปรดิวซ์เพลงนี้เพราะไม่คิดว่าจะทำออกมาได้อย่างขาดชั้นเชิงเสียชื่อขนาดนี้ เหมือนกับอาร์แอนด์บีตลาดๆในปัจจุบันที่หามุขแปลกใหม่ๆไม่ได้ก็ใส่ความเป็นตะวันออกเอาสำเนียงภารตะมาเป็นลูกเล่นไว้ก่อน ส่วนเนื้อเพลง เฮ้อ อย่าให้พูดเลยดีกว่านะคะสัญญากับตัวเองไว้ว่าจะพยายามไม่หยาบคายในงานรีวิวเหมือนแบบก่อนๆแล้ว เอาเป็นว่า เสร่อ นะคะสั้นๆง่ายๆไทยๆดีค่ะ แต่ภาพรวมเมื่อมองในแง่ของความแปลกใหม่แล้วถือว่าเป็นเพลงสูตรสำเร็จที่เพราะนะคะและสามารถขายได้ง่ายๆ ดดยรวมก็ยังถือว่าไม่แย่เกินไปที่จะรับ
เพลงอื่นๆ :
Breath On Me (5) ขอยกให้เพลงนี้เป็นเพลงที่ดีที่สุดของอัลบั้มนะคะ พ็อพแทรนซ์แบบเก๋ๆลอยละล่อง การนำเสนอถือว่าเหนือชั้นและแปลกใหม่ๆมากๆสำหรับบริทนีย์ โดยส่วนตัวฟังแล้วนึกถึง Confide In Me ของ ไคย์ลีย์ มิโน้กน่ะค่ะ อารมณ์เพลงเต้นรำเก๋ๆเซ็กซี่เชิญชวนประมาณนั้น จริงๆแล้วจะถูกตัดโปรโมตเป็นซิงเกิ้ลที่สี่นะคะก่อนที่จะถุกเลือนออกไปเป็นตัวที่ห้าแต่เสียดายที่เธอได้รับบาดเจ็บเสียก่อนเพลงดีๆเพลงนี้เลยอดโปรโมตไปซะอย่างนั้น เห็นว่ามีซิงเกิ้ลขายเฉพาะในญี่ปุ่นกับเยอรมันนี่คะ
(I Got That) Boom Boom Feat. Ying Yang Twins (3/5) เออร์บันพ็อพโดยมีการแซมฮิพฮอพเข้ามาเป็นสีสัน ฟังครั้งแรกชอบมากๆค่ะคิดว่าเป็นเพลงที่สนุกและเก๋มากๆเพลงหนึ่งของเธอเลยทีเดียว แต่เวลาผ่านไปนานๆ (บวกกับทักษะการฟังเพลงแนวเออร์บันพัฒนาขึ้น) คิดว่าเป็นเพลงที่นำเสนอได้ไม่ค่อยมีชั้นเชิงเท่าไรนะคะ ดาดไปเลยก็ว่าได้แต่ถ้าวัดกันที่มาตรฐานของบริทนีย์ขอบอกเลยค่ะว่าเพลงนี้แรงมากๆเพลงหนึ่งเลยทีเดียว และก็เป็นอีกเพลงนึงนะคะที่พลาดจากการถูกตัดเป็นซิงเกิ้ลเคยถูกวางไว้ว่าจะใช้เป็นซิงเกิ้ลปิดอัลบั้ม
Touch Of My Hand (4/5) พ็อพอิเล็คโทรนิคเจือความเป็นเวริลด์มิวสิคเข้ามาด้วยโพรแกรมมิ่งเครื่องสายแบบจีน เป็นอีกหนึ่งเพลงที่แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการทางดนตรีที่ดีของบริทนีย์ เพลงนี้เด็ดตรงเนื้อหาที่ว่าด้วยเรื่องของการช่วยตัวเองค่ะ เซ็กซี่มากๆ ต๊ายยยยได้เพลงสำหรับเปิดระหว่างมีเซ็กส์อีกเพลงแล้วค่ะ Showdown (2/5) เพลงเต้นรำที่มีกลิ่นอายคลับแดนซ์แบบในอัลบั้ม Britney น่ะค่ะ แต่ดนตรีแรงกว่ามากๆสรรพสำเนียงการร้องทำให้นึกถึง Boys ไม่ก็ Im Slave 4 U ที่มีลักษณะการร้องกึ่งแร็พและก็กระซิบกระซาบหน่อยๆแต่เพลงนี้มันกระซิบทั้งเพลงเลยนะคะไปฮุคเอามากๆก็ท่อนคอรัส เก๋มั้ยเก๋ค่ะเปิดในฟลอร์นี่เหวี่ยงได้เริ่ดๆเลยแต่ไม่ค่อยถูกใจวิธีการนำเสนอเท่าไรนะคะ The Hook Up (2/5) แหมอัลบั้มนี้เพลงเต้นเยอะจังนะคะนี่เป็นเพลงสนุกๆชวนโยกอีกหนึ่งเพลงค่ะ พ็อพอาร์แอนด์บีที่ประสานเสน่ห์ของจังหวะแบบแดนซ์ฮอลล์เข้าไว้ได้อย่างลงตัวเสียอย่างเดียวที่เสียงร้องและลุพเดิมๆที่วนไปวนมาทั้งเพลงแบบนี้อัลบั้มหน้าทำท่อนคอรัสอย่างเดียวเพลงนึงเต็มๆไปเลยรู้แล้วรู้รอดไปนะคะ Early Morning (4/5) เพลงนี้เป็นเพลงที่เธอร่วมงานกับโมบีย์ค่ะ ตัวเพลงออกมาเป็นเพลงเต้นรำแบบเทคโนดีพเฮาส์เก๋ๆที่โมบีย์ชอบทำแหละค่ะ (แต่ของโมบีย์ดีกว่านี้มาก) โดยส่วนตัวชอบลักษณะการร้องของบริทเพลงนี้นะคะดูล้ำอวกาศๆดี หลุดลอยไปกับโลกส่วนตัวของเธอนะคะ
Brave New Girl (2/5) ความพยายามของบริทนีย์ที่จะทำเพลงแบบมาดอนน่าหรือเจเน็ตนะคะ โดยส่วนตัวคิดว่าเพลงนี้มีองค์ประกอบที่หลากหลายดี แต่มันมากเกินไปจนนำเสนออกมาได้ค่อนข้างมั่วนะคะกวาดมาหมดตั้งแต่พ็อพซินธ์กับบีทแบบอัพเทมโปยุค80 การวางโครงสร้างดนตรีแบบนีโอ-อิเล็คโทรคคุมคู่ไปกับพ็อพแดนซ์ การร้องแบบทั้งร้อง ทั้งแร็พ ทั้งผ่านเครื่องแปลงเสียง โอ๊ย สนุกสนาน ว่างๆยัดทุกแนวบนโลกเข้าไปในเพลงๆเดียวให้หมดและตั้งคำถามชิงบัตรคอนเสิร์ตเลยนะคะ
Shadow (3/5) แม้ว่าจะดูฉาบฉวยและสูตรสำเร็จไปนิดนะคะ แต่ขอชมบริทนีย์ที่สามารถทำบัลลาดที่มีชั้นเชิงออกมาได้ น่าประทับใจที่เธอสามารถเชื่อมโยงทุกสิ่งทุกอย่างในเพลงนี้เข้าด้วยกันและนำเสนอออกมาได้อย่างดี ที่ชอบมากๆคือลีลาการใช้น้ำเสียงที่สามารถถ่ายทอดเนื้อหาและสอดรับกับภาคดนตรีอย่างดี ที่สำคัญคือเธอสามารถเข้าถึงอารมณ์และสื่อสิ่งที่ต้องการออกมาเป็นรูปธรรมได้ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของศิลปินน่ะค่ะ
โบนัสแทร็คที่แถมมาเดี๊ยนไม่ขอพูดถึงและไม่นำมาตัดเป็นคะแนนนะคะ
สรุป :
นี่เป็นอัลบั้มที่ดีที่สุดของเธอรองจาก Baby One More Time แม้ว่านี่อาจจะไม่ใช่อัลบั้มที่ดีที่สุดสำหรับใครหลายๆคน แต่ก็เป็นอัลบั้มที่ทำให้เราเห้นในความสร้างสรรและพัฒนาการของเธอ ไม่ว่าใครจะมองเธออย่างไรอย่างน้อยบริทนีย์ก็ไม่เคยให้อัลบั้มที่ต่ำกว่ามาตรฐานแก่ผู้ฟัง ซึ่งนั่นเป็นหนึ่งในสิ่งที่พิสูจน์แล้วว่าเธอคือศิลปินที่ดีเพียงแต่ถูกมองข้ามข้อนี้ไปอย่างน่าเสียดาย

Christina Aguilera Back To Basics Tour Live In Bangkok 2007
รูปแบบคอนเสิร์ต :
ทาง RSI ได้นิยามคอนเซ็ปท์ของงานนี้ว่าเป็น แฟนตาซีบรอดเวย์คอนเสิร์ต ตอนแรกขอบอกว่าเดี๊ยนฟังแล้วขำค่ะดูเกินจริงไปหน่อย แต่พอได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของบรรยากาศยอมรับค่ะว่าโพรดัคชั่นและการนำเสนอบางส่วน (ซึ่งเป็นส่วนใหญ่) ของงานอลังการเข้าขั้นนั้นจริงๆ หลายคนที่เขาเป็นเซียนคอนเสิร์ตจากศิลปินต่างประเทศอกปากชมให้เดี๊ยนฟังหลังงานว่า "เป็นหนึ่งในคอนเสิร์ตที่ดีที่สุดจากคอนเสิร์ตของศิลปินทั้งหมดที่เขาเคยได้ดู" ยกเปรียบไปถึงขั้น ไมเคิ่ล แจ็คสัน,มาราย แครีย์,แฟตบอยสลิมโน่นแน่ะค่ะ สำหรับอีกส่วนของคอนเสิร์ตก็ยังรักษาอัตลักษณ์ความเป็นของเสิร์ตแบบติ๊นาๆที่เราได้เคยเห็นผ่านกันทางดีวีดีไว้อย่างครบครันค่ะ เอาเป็นว่ารายละเอียดโดยรวมข้ามไปอ่านกันได้ในส่วนบรรยากาศนะคะ
จุดด้อย :
1. มาที่เรื่องเสียงของคริสทิน่าเป็นอันดับแรกถ้าเทียบกับตอน My Reflection เห็นได้ชัดค่ะว่าเสียงของเธอบางลงจากตอนนั้นมาก แต่ส่วนตัวยังอยู่ในระดับที่ทรงพลังมากๆเช่นกัน พิจารณาที่การร้องโดยรวมของเธอขอซูฮกเลยค่ะว่าเยี่ยมและหาตัวจับยากมากๆในการเพอร์ฟอร์มเพลงระดับนี้ (จะตบปากให้หากใครหาว่าเข้าข้างนะคะ) สำหรับเดี๊ยนไลฟ์นี้การเพอร์ฟอร์มของเธอไม่เป็นปัญหาอ่ะค่ะ เธอรอด (คิดว่าเริ่ดกว่าในยุโรปบางที่มากๆอ่ะค่ะ) อันนี้ไม่รู้เป็นเพราะเสียงในอิมแพ็คอลังการจนนั่งจับผิดได้ไม่หมดหรือเป็นเพราะความประทับใจในตัวเธอมันพุ่งพล่านจนลืมสนใจก็ไม่ทราบนะคะ มุมมองของเดี๊ยนคิดว่าลงตัว แค่นั้นอ่ะค่ะ
2. ขัดใจเซ็ตลิสท์อ่ะค่ะ เพลงNasty Naughty Boy อยากดูมากๆก็ไม่เล่นซะงั้น (ทั้งที่ราคาบัตรหล่อนแพงม๊ากกกกกกก เอามีดมาแทงกันไปเลยดีกว่า) เอาเถอะค่ะแค่นี้เดี๊ยนก็รู้สึกคุ้มจนไม่รู้จะว่าไงแล้วแต่คนอื่นเดี๊ยนไม่ทราบนะคะติ๊ว่าเขาจะยอมคุ้มแบบเดี๊ยนด้วยรึเปล่า เอ่อ! ถ้ามีโอกาสมาครั้งหน้าก็กรุณาร้อง Genie In A Bottle ด้วยจะเป็นพระคุณอย่างสูงค่ะ เดินผ่านคน60คนบ่นซะ48น่ะค่ะ หล่อน
3. ถ้าอยากให้บัตรขายดีกว่านี้ครั้งหน้ากรุณาจัดงานในวันดีๆนะคะ วันที่ชาวบ้านชาวช่องเขาไม่ต้องรีบแหกจากที่เรียน ที่ทำงานไปอิมแพ็คกัน วันดีๆๆๆๆๆๆน่ะค่ะ ไม่ใช่วันพฤหัสบดี มีคนเขาฝากบอกมาด้วยความแค้นค่ะ แล้วเดี๊ยนละขำอีย์ซุ้มที่ขายซีดีน่ะค่ะเอาแต่ละอย่างมา วู้ยยยยยยยย!อีวอก กูจะเป็นลม อัลบั้มอีย์ติ๊เดี๊ยนว่าเกินร้อยละ97ในงานเขามีครบเซ็ตกันไปถึงไหนแล้วค่ะ สงสัยค่ะว่าทำไมคนจัดซุ้มนี้ไม่รู้จักมองการณ์ไกลบ้างถ้าเอาซีดีหายากๆของอีติ๊ที่มีขายเฉพาะในโซนยุโรป อเมริกา เอาแผ่นซิงเกิ้ล หรือทำเป็นรวมวิดีโอเฉพาะกิจพิเศษๆขายวันนี้วันเดียว มันจะไม่เรียกเงินพวกเดี๊ยนๆกว่ารึไงคะ ไม่ก็เอาบู๊ทซีดีศิลปินต่างประเทศจากค่ายโซนี่บีเอ็มจีมาลงเลย (อีติ๊อยู่ขายนี้มิใช่เหรอคะ) เอาเป็นซีดีโซล บลูส์ แจ๊ซซ์ที่อีติ๊มันบอกว่าเป็นแรงบันดาลใจมาก็ได้
ป.ล. แต่ซีดีของศิลปินค่ายอาร์เอสกับทาทา ยังมิต้องก็ได้นะคะ
4. เดี๊ยนละเบื่ออีย์พวกผู้ดีโซนเดี๊ยนมากๆ (เดี๊ยนนั่งโซนARแถวGอ่ะค่ะ) เพิ่งรู้ว่าการมาดูคอนเสิร์ตนี่ กูผิดชิมิคะที่กรี๊ด ผิดชิมิคะที่ลุกขึ้นมาเต้นและก็ผิดชิมิคะที่กูเอ็นจอยกับการเพอร์ฟอร์มเมนท์เกินหน้าเกินตาพวกหล่อน หล่อน หล่อนและหล่อนๆๆ เข้าใจว่าเสียเงินมาเท่ากันค่ะแต่เดี๊ยนไม่ได้เสียเงิน6500เพื่อมานั่งดมบรรยากาศในงานแบบหล่อนนะคะ ดอก! เดี๊ยนละขำคุณแม่ท่าทางคุณนายคนนึงมากๆ ชีมองเดี๊ยนด้วยหางตาค่ะตอนที่เดี๊ยนลุกขึ้นมาแดนซ์ซ่องแตกแต่เดี๊ยนเห็นนะคะว่าหล่อนนั่งตัวเกร็งอยากจะลุกมาเซิ้งกับเดี๊ยนซะง่ามแตดสั่นแต่กลับต้องมานั่งหนีบ โฮะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เกิดเป็นไพร่แบบเดี๊ยนนี่แหละดีกว่าหล่อนด้วยประการทั้งมวลนะคะ คุณหญิง
ป.ล. เดี๊ยนละขอชมบรรดาเพื่อสาวที่นั่งบัตรแพลตตินั่มฝากซ้ายนะคะ เต็มที่กันมากๆดูเป็นกลุ่มเป็นก้อน น่ารักมากๆและทำให้บรรยากาศคอนเสิร์ตแถวหน้าสมกับเป็นคอนเสิร์ตขึ้นมากๆ ขนาดคริสทิน่ายังออกปากชมเลยค่ะว่า "ต๊ายยย! กะเทยก๊งนี้น่ารักมากๆค่ะ ให้การสนับสนุนเดี๊ยนเริ่ดมากๆ โฮะๆๆๆๆๆ" อีย์พวกผู้ดีดูไว้บ้างนะคะ
บรรยากาศ :
คอนเสิร์ตเริ่มตอนเลย2ทุ่มครึ่งไปแล้วอ่ะค่ะ ม่านเปิดพร้อมกับวิดีโอ Back To Basics Intro คนกรี๊ดกันสนั่นเลยค่ะ คริสทิน่าในวิดีโอเซ็กซี่มากๆให้ความรู้สึกเหมือนกับ จีน ฮาร์โลว์ปนกับมาดอนน่ายุคExpress Yourselfน่ะค่ะ ช่วงที่เธอลากเฟอร์ผ่านบรดารูปศิลปินในวิดีโอนี่เดี๊ยนขนลุกเลยค่ะดูพลังสูงมากๆ ระหว่างนั้นเดี๊ยนก็พินิจรูปแบบการเซ็ตเวทีไปพลาง ดูเหมือนว่าเธอได้แรงบันดาลใจมาจากโชว์ในภัตราคารไม่ก็แจ๊ซซ์คลับหรูๆของศิลปินแนวบลูส์แนวแจ๊ซซ์ในยุค30-40ค่ะ เรียบง่ายคล้ายกันแต่ด้วยนวัตกรมแล้วอลังการกว่าเยอะ อ่า! วิดีโอจบแล้วและก็.........
........ กรี๊ดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด! คริสทิน่าออกมาแล้วค่ะ เปิดตัวด้วยเพลงเก่ง Ain't No Other Man แอร้ยยยยย เดี๊ยนจะเป็นลมช่วยด้วย สวยมากๆๆๆๆๆๆค่ะ พระเจ้าขาโปรดประทานสติกลับมาให้ลูกก่อน เพลงนี้คริสทิน่าร้องได้สุดยอดมากๆค่ะเป็นหนึ่งในเพลงที่ดีที่สุดของคืนนั้นเลยก็ว่าได้ อีติ๊นี่ทรงพลังเกินคนค่ะ สุดยอดมากๆที่ร้องเพลงระดับนั้นได้ เริ่ด! เดี๊ยนชอบตรงที่ตัวเพลงเหยาะความเป็นโซลมากขึ้นด้วยเครื่องเป่าและคอรัส อีกอย่างคือสเต็ปแดนซ์ดูพร้อมเพรียงกันดีมากๆค่ะ เห็นได้ชัดว่าเธอทำการบ้านมาดีและเต็มที่กับทุกๆทัวร์น่ะค่ะ เดี๊ยนแอบเห็นบรรดาแฟนๆแถวหน้านั่งโยกตามกันอย่างเมามันส์โดยเฉพาะพวกฐานน่ะค่ะ (กะเทย+เกย์)จบเพลงนี้เล่นเอาติ๊นาเกือบตายน่ะค่ะเดี๊ยนแอบเห็นเธอดกน้ำไปครึ่งขวด (คงมีฉี่เล็ดออกมาบ้างตอนเค้นเสียงหลังจากนี้อ่ะค่ะ) ต่อทันทีกับ Back In The Day โอลด์สคูลอาร์แอนด์บีฮิพฮอพเริ่ดๆดนตรีเวอร์ชั่นสดรวมถึงรูปแบบการแสดงได้ใจไปเต็มๆค่ะด้วยอิทธิพลของดนตรีและการเพอร์ฟอร์มเมนท์แบบสวิงและจัมพ์บลูส์ เท่ห์มากๆและหาดูได้ยากนะคะในสมัยนี้อิ่มเอมใจมากๆค่ะ มาที่การร้องของติ๊ แหมๆๆ เจ๊อู้ตอนท่อนคอรัสได้เนียนนะคะเปิดแบ็คกิ้งแทร็คและเต้นตามพลางหอนคลอไปบ้างทำปากขมุบขมิบตามบ้างไปจนถึงร้องตามบ้างเป็นกระสัย มุขเดียวกับอีย์เจโลเลยค่ะติ๊ จบเพลงนี้เธอก็วิ่งกลับไปแต่งตัว (นมกระเพื่อมเชียวค่ะเวลาวิ่ง)
ติ๊นากลับออกมาในชุดแขนกุดกระโปรงสั้นสีขาว (สั้นจนหวอโผล่เลยค่ะ) คาดด้วยผ้าขาวบาง ต๊ายยยย วินเทจมั่กๆต้องไปหาซื้อให้หม่อมแม่ใส่บ้าง ขณะที่ติ๊พูดก็เป็นรายการสแกนศิลปินจากเดี๊ยนนะคะ คริสทิน่าตัวเล็กค่ะถ้าเทียบกับไซส์ฝรั่งทั่วๆไปแต่เดี๊ยนว่าเธอดูไม่เตี้ยนะคะ ดูไม่แกนด้วยคือตัวเล็กแต่ดูสมส่วนอ่ะค่ะมีครบหมด อก เอว สะโพก หุ่นดีทีเดียวใส่อะไรก็สวยค่ะ เดี๊ยนว่าตอนนี้เธอดูเฟิร์มกว่า2อัลบั้มก่อนหน้านี้มากๆค่ะ (ไม่ผอมไป ไม่อ้วนไป) เรื่องความสวยคงไม่ต้องพูดถึงนะคะเฉียบขาดหน้าคม ผิวเนียน ผมสวย อิจฉาอ่ะ ชาติหน้าถ้ายังคิดจะส่งเดี๊ยนลงมาเกิดขอให้เกิดมาสวยแรดแบบนี้ได้มิคะ ว๊ายยยยยยยยยย! นั่นๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ กรี๊ดดดดดดดดดดดดด เธอกะ กะ กะ กำลังสบตากับเดี๊ยน ยิ้มให้เดี๊ยนและโบกมือตอบกลับเดี๊ยนนิคะ (สาบานค่ะ เธอมองเล็งมาตรงเดี๊ยนเลย ตายตาหลับค่ะชีวิตนี้) ว่าแล้วเดี๊ยนก็ระเบิดเสียงกรี๊ดออกมาสร้างสถานการณ์อีกหนึ่งคำรบ ต่อกันด้วยเพลง Understand อาร์แอนด์บีเพราะๆเย็นๆถ้าได้เป็นซิงเกิ้ลก็ดีนะคะเพลงนี้เก๋ดี เก๋กว่าที่การร้องของติ๊นาสอดรับกับดนตรีสดๆและลูกเล่นของแบ็คกิ้งแทร็คคอรัสอย่างลงตัว เก๋สุดๆกับภาคดนตรีผนวกเอาความเป็นโซลแจ๊ซซ์สดๆเข้ามาสร้างความสุนทรีย์ในอารมณ์แก่เดี๊ยนมากๆ มาถึง Come On Over Baby (All I Want Is You) ครั้งนี้มาในเวอร์ชั่นแจ๊ซซ์เก๋ๆ (ได้กลิ่นละทินแจ๊ซซ์เล็กน้อย) อิมโพรไวซ์กระจายค่ะ เรื่องสเต็ปการเต้นแบบซัลซ่าบรอดเวย์ในเพลงนี้เดี๊ยนขอชมคนที่ครีเอทนะคะน่ารักมากๆ (แต่ดูติ๊นาเต้นไปๆมาๆกลายเป็นตลกไปซะงั้น) ปิดช่วงนี้ได้มันส์มากๆกับSlowdown BabyและStill Dirrtyเดี๊ยนเห็นหลายคนเริ่มลุกขึ้นมาโยกตามแล้วค่ะ (ซึ่งเดี๊ยนนำหน้าไปนานแล้วค่ะ) อย่างไรก็ตามโซนARแถว E-F-G ยังคงนั่งซังกะตายเป็นนั่งดูสุนทราภรณ์ปล่อยให้เดี๊ยนลุกขึ้นเย้วๆๆๆเป็นอีบ้าอยู่คนเดียว (อารมณ์เสียค่ะ) อย่าไปสนพวกมันค่ะสโลดาวน์...ขึ้นอินโทรมานี่กะเทยแถวแพลตทินั่มกรี๊ดนำมาเชียวค่ะถือเป็นเพลงที่ติ๊ร้องได้คงที่นะคะไม่เวอร์ไปคือเสียงในอิมแพ็คกระหึ่มจนเดี๊ยนไม่รู้ว่ามีท่อนไหนตกหล่นไปบ้างรึเปล่า ตอนStill Dirrtyเดี๊ยนขำชุดเธอมากค่ะกาลเวลาผ่านไปแววคณิกาก็เริ่มพร้อมที่จะเจิดจรัสออกมา ชิมิคะ เป็นอีกเพลงที่อาจจะทำให้พวกผู้ดีช็อคไปกับการแดนซ์ของสาวๆ(แตก)รุ่นลูกหลานแถวหน้าน่ะค่ะ มีทีเด็ดทิ้งท้ายด้วยท่อนฮุคของCan't Hold Us Downสุดยอดและสะใจมากๆค่ะ เดี๊ยนก็แสดงทีเด็ดด้วยการด้วยการลุกขึ้นมาเต้นฮิพฮอพท้าทายสายตาผู้ดีในโซนARทั้งหลาย เชื่อว่าหลายนางนายคงตกใจพร้อมกับคิดว่า "อีเกย์ไพร่นีย์หลุดมาจากป่าไหน" ซึ่งพวกหล่อนจะมอง จะคิด จะด่ากันยังไงเดี๊ยนไม่มีความจำเป็นต้องไปแคร์ค่ะเพราะในงานเดี๊ยนแคร์ คริสทิน่า อากิเลร่าคนเดียว ชัดมิคะอีย์พวกไฮโซนั่งหนีบกันต่อไปเอาให้เม็ดสุกเลยนะคะ กรู๊ววววววววววววววววว โว๊ววววววววววววววววววว เย้ กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด แอร้ยๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แค๊นท์ โฮล มี ดาวน์ ค่ะ เริ่ด
ป.ล. แต่อีย์Can't Hold Us Downนี่ ติ๊นาแต่งเพื่อความเสมอภาคของเพศหญิงมิใช่เหรอคะ แต่งานนี้กลับมีแต่กะเทยกับเกย์ลุกขึ้นมาแดนซ์ทลายซ่องแหกปากกรี๊ดกันแย่งซีนเพศเผ่าที่เหลือสุดพลัง น่ะค่ะ
คั่นเวลาด้วยวิดีโอ I Got Troubleเป็นวิดีโอขาวดำฉายภาพเธอในทัวร์บุ๊คอ่ะค่ะ ดูเซ็กซี่ ลึกลับและป่าเถื่อนในเวลาเดียวกันแต่เดี๊ยนชอบมากๆนะคะเป็นวิดีโอที่ชอบสุดในงานดูเป็นแฟชั่นชั้นสูงดี แล้วไม่ทราบว่าใครดันสะเออะตะโกนคำว่า "ไอ๊หยา" ออกมาซะดังเชียวคะ ป๊าดดดดดดดดดด เดี๊ยนกลั้นขำเกือบตาย ต่อด้วย Makes Me Wanna Pray จำลองบรรยากาศแบบงานสรรเสริญพระเจ้าในบาร์ใต้ดินของคนผิวดำน่ะค่ะ เดี๊ยนว่าเป็นเพลงที่ติ๊โชว์เสียงได้เต็มที่ที่สุด แผดและดุจนขนลุกเลย เรนจ์เสียงหล่อนกว้างม๊ากกกกค่ะ ใช้เสียงตะคอกขนาดนี้ไม่น่าล่ะเสียงถึงได้เสีย เพลงนี้มีหลุดเพี้ยน หลุดเหนื่อยให้เห็นนะคะแต่พอจะให้อภัยหล่อน มาถึงเพลงโปรดของเดี๊ยน What A Girl Wants นำมารีมิกซ์ใหม่เป็นเวอร์ชั่นเร็กเก้อ่ะค่ะ ต๊ายยยยย รูปแบบโมทาวน์มิวสิคคัลบรอดเวย์มากๆ เริ่ดน่ะค่ะ เพลงนี้อิมโพรไวซ์กระจายและหวีดได้อย่างงดงาม จริงๆแล้วถ้าเธอหัดที่จะร้องให้มันออกมาดูไม่เกินเลยไปเธอจะเล่นสดได้ถูกใจแฟนขาจรมากกว่านี้นะคะเดี๊ยนว่า มาที่ Oh Mother ร้องได้ดีมากๆค่ะเพลงนี้ในแง่ของการใช้เสียงและสื่ออารมณ์สะกดคนฟังไปเลย แต่ไปสะดุดตรงท่อนที่ต้องขึ้นไฮโน๊ตเจ๊เราไต่ไปไม่ถึงสวรรค์แต่ขอชมสามารถประคับประคองน้ำเสียงให้ถ่ายทอดออกมาอย่างลงตัว รอดพ้นความซวยไปได้อย่างสลวยซวยงามอีกครั้งนะคะติ๊นา
ป.ล. แฟนๆน่ารักมากๆค่ะ ช่วยปรบมือให้กำลังใจคริสทิน่าตลอด โซนนั้นเห็นหน้าคริสทิน่าได้ชัดนะคะ เดี๊ยนว่าดูเธอปลื้มสุดๆ
และแล้วช่วงที่สนุกและเข้มข้นที่สุดในคอนเสิร์ตก็มาถึงเสียงกรี๊ดสนั่นค่ะเมื่อ Enter The Circus เริ่มขึ้น บนเวทีจำลองบรรยากาศของละครสัตว์มาได้อย่างดีทั้งกายกรรม มายากล ควงคบเพลิงและอีกมากมาย อลังการมากๆค่ะเชื่อเลยว่าความรู้สึกของหลายคนต้องรู้สึกตื่นเต้นและรู้แน่ว่าต่อไปนี้ต้องไม่ธรรมดา คริสทิน่าถูกขึงอยู่ตรงกลางWheel Of Deathที่ค่อยๆเลื่อนอกมาในเพลง Welcome ถ่ายทอดเรื่องราวได้อย่างมีชั้นเชิงค่ะ เป็นสัจธรรมจริงๆค่ะซักวันนึงชีวิตของเราจะเหลือเพียงแค่เราในมุมมืดอย่างเดียวดาย (ไม่อยากให้ถึงวันนั้นเลย) ปิดเพลงด้วยการโล้ชิงช้าที่เซ็กซี่มากๆแรดรองลงมาจากภาพนู๊ดบนชิงช้าของ แอนนา นิโคล สมิธเลยค่ะ ต่อด้วยเพลงที่สาวกเรียกร้องค่ะ Dirrty ที่ติ๊นาทำเปรี้ยวขึ้นควบม้าทองคำร้องไป ขย่มไป ต๊ายยย! ท่าแบบนี้จริตกิริยาแบบนี้ไม่ทราบว่าได้แรงบันดาลใจมาจากเพลง Like A Virgin ใน Confessions Tour ล่าสุดของเจ๊แม่ป่าวคะ อย่างไรก็ตามเพลงนี้การันตีได้ดีถึงความเป็นเจ้าแม่ลัทธิคณิกาและเพศที่สามในตัวอีติ๊ของจริง แค่ขึ้นต้นมากะเทยในอิมแพ็คก็วีนแตกหวีดเสียงกรี๊ดโหยหวนสะลัดสะบัดกันซ่องแตกชนิดผู้ลากมากดีแถวหน้าลมจับไปตามๆกัน โดยเฉพาะตอนที่อีติ๊หอนโชว์ลูกคอกลางเพลงนี่พร้อมใจกันประสานเสียงกรี๊ดแข่งให้กำลังใจสุดยิดสุดพระเดชพระคุณกะหรี่กะเทยกันไปเลยทีเดียว และแล้วเพลงที่เดี๊ยนชอบที่สุดก็มาถึง Candy Man แค่แซมเพิ่ล Tarzan and Jane...เวอร์ชั่นกะลาสีขี้เมาขึ้นทั้งอิมแพ็คกรี๊ดกันสนั่นค่ะ (ต๊ายยย นังคุณแม่ตาเปปูย่าผู้ดีย์นั่นก็กรี๊ดจนได้ โฮะๆๆๆๆ) พอติ๊นาออกมาแค่นั้นแหละอิมแพ็คแถบระเบิดค่ะคนเกือบทั้งงานลุกขึ้นมากรี๊ด โยก ปรบมือ เป่าปาก เต้นบูกี้วูกี้กันสนั่น นอกจากประทับใจที่เป็นเพลงโปรดและติ๊นาเต้นได้น่ารักแล้วเดี๊ยนยังประทับใจที่เธอสามารถระเบิดพลังในตัวเพลงได้ออกมาอย่างมีศักยภาพถึงขีดสุดถ้าอยู่ในงานจะขนลุกค่ะเพราะคนดูแถวหน้าเป็นหนึ่งเดียวกันมากๆทุกคนดูเอ็นจอยไปกับเธอทั้งร้องตามเต้นตามอย่างสนุกสนาน พระแม่เจ้า!ค่อยดูเป็นคอนเสิร์ตหน่อยน่ะค่ะ ติ๊นาตอนหอนปิดเพลงมีแทรกความขี้เล่นนะคะเหมือนเธอจะรู้ว่านี่แหละทีเด็ดที่แฟนๆต้องการ มีการชี้นิ้วอารมณ์ประมาณ "รอก่อนนะคะ ขอดิฉันรวบรวมพลังลมปราณนิ๊ดนึง" จากนั้นเธอก็ลากเสียงสูงปรี๊ดชนิดที่แฟนๆไม่ทันตั้งตัวกันเชียวค่ะ เริ่ด!
ป.ล. ในที่สุด สุดหล่อที่นั่งข้างๆเดี๊ยนก็เผยความสาวอกมาให้เห็นจนได้น่ะค่ะ
เพลงที่เรียกเสียงกรี๊ดได้สนั่นไม่แพ้กันคือ Hurt เพียโนขึ้นต้นมาพร้อมกับเสียงหวีดของคณะกะเทยเกย์ในงานน่ะค่ะ (กลบเพศอื่นหมดเลยค่า) ถ้าเทียบกับตอนที่เธอโชว์ในVMAปีล่าสุดเดี๊ยนว่าไลฟ์นี้ชนะขาดลอยค่ะ ตอนแรกไม่ได้ชอบเพลงนี้มากมายแต่พอมาฟังสดๆแล้วอยู่ๆน้ำตาก็ไหลออกมาโดยไม่มีสาเหตุอ่ะค่ะ ติ๊นาดูสง่ามากๆบนเวทีนอกจากความแรดแล้วก็มีความเริ่ดนั่นแหละค่ะที่พัฒนาติดตัวไปตามๆกัน เอาล่ะค่ะช่วงประชุมกะเทยเกย์กับเพลงที่ทุกคนรอคอย Lady Marmarlade เด้งได้ใจด้วยการจิกกะเทยผิวสีตัวใหญ่มากๆแต่งชุดคาบาเร่ต์สุดอลังเดินแคทวอล์คเฉิบๆรำพัดสุดฤทธิ์ ตัดสลับกับภาพวีดีโอที่จับกะเทยนานาชาติมาแต่งสาวเปิดคณะคาบาเร่ต์ได้ที่พัทยาเลยค่ะ (อีดอกแรงเวอร์) พออีย์ติ๊นานวยนาดออกมาในชุคอร์เซ็ทสีดำพร้อมหางคาบาเร่ต์ชมพูแปร๋นยาวไปยันสุไหงโกลกแค่นั้นแหละกะเทยแผดเสียงกรี๊ดกันให้แซ่ดสนั่นไปทั้งอิมแพ็คเชียวค่ะแต่ละนางนายลุกขึ้นมาประชันลีลาแดนซ์เปิดฟลอร์กันตรงนั้นไปเลย คริสทิน่าแผดเสียงได้กรี๊ดกร๊าดกระตู้วู้สะใจบรรดาแม่ยก (มีจู๋) กันมาก เพลงนี้เป็นเพลงปราบเซียนในงานของชิงค่ะเพราะพวกหล่อๆตี๋ๆที่นั่งแอ๊บในช่วงแรกๆองค์ลงขึ้นมากันเป็นตับเชียวค่ะ และแล้วซ่องก็แตกเป็นอันเรียบร้อย
ป.ล. งานนี้ติ๊นาเต็มที่ คนดูประทับใจ แต่กะเทยกับเกย์คุ้มกว่าและสะใจกว่าหน้าไหนในงานค่ะ ก็คงจะมีแต่พวกผู้ดีทั้งหลายแหล่ล่ะค่ะที่อาจจะไม่ปลื้มเท่าที่ควรเพราะเดี๊ยนเห็นคุณหญิงคุณนายหลายนางทีเดียวนั่งหัวฟูตัวสั่นงันงกซาบซึ้งไปกับฤทธิ์เดชของกะเทยเกย์แถวหน้า เชื่อเลยว่าในใจคงมีภาวนากันอ่ะค่ะว่า "แอร้ยยย!อีสัตว์ ไม่ว่างานหน้าหรืองานไหนขออย่าให้กูต้องซวยลงไปประชันคอนเสิร์ตรอบเดียวกับอีย์กะเทย เกย์ เก๊กชงพวกนี้เลย น่ากลัวชิงๆ"
เข้าสู่ช่วงEncoreแล้นค่ะ เริ่มต้นด้วยวิดีโอ Thank You ที่เป็นภาพจากเอ็มวีต่างๆของติ๊นาตัดสลับกับภาพแฟนๆที่กล่าวความในใจถึงเธอ น่ารักจังเลย อยากเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในวิดีโอนี้ด้วยจังค่ะ แค่อินโทรเพลง Beautiful ขึ้นทั้งอารีน่าก็กรี๊ดลั่นเลยค่ะเชื่อว่าถ้าเะฮไม่เล่นเพลงนี้สาวกต้องประท้วงไม่ยอมกลับแน่ๆ โดยส่วนตัวชอบเพลงนี้มากๆค่ะแต่ไม่รู้สึกประทับใจเท่าไร อาจเป็นเพราะเดี๊ยนคงคาดหวังความทรงพลังอลังการน่ะค่ะแต่ไลฟ์นี้อารมณ์คล้ายๆกับในStripped Tourอ่ะค่ะ แต่เอาเถอะค่ะก็ถือว่าได้บรรยากาศชิลล์ๆอบอุ่นไปอีกแบบ (สรุปอีย์ติ๊นานี่ทำอะไรก็ดีไปหมดเลยนะคะอีดา แนสทิน่า) น่าปลื้มแทนติ๊นาสุดๆที่แฟนๆทั้งอิมแพ็คเอ็นจอยกับเธอในเพลงนี้แบบสุดๆสทค่ากับการเป็นเพลงที่ดีที่สุดในชีวิตการทำงานของเธอ ว่าแล้วก็บีบน้ำตาเพื่อความอินเทรนด์ค่ะ โฮะๆๆๆๆๆ ปิดคอนเสิร์ตด้วยเพลง Fighter ดีใจที่เห็นทั้งอิมแพ็ครวมพลังกันลุกขึ้นมาโยกและสะบัดมือขวาอย่าเต็มที่ เรื่องการร้องไม่ด่าแล้วล่ะค่ะเห็นว่าเป็นเพลงสุดท้ายแล้วแต่ดูดีกว่าทัวร์ที่แล้วเยอะมากๆนะคะ ก่อนจบมีการโปรยกระดาษเงินกระดาษทองวิบๆวับๆลงมา (ต๊ายยย มุขนี้เจอมา3คอนเสิร์ตแล้วน่ะค่ะ) และแล้วคอนเสิร์ตก็จบลงอย่างอลังการ
สรุป :
เวลาแห่งความสุขช่างผ่านไปรวดเร็วจริงๆ เดี๊ยนพยายามจะมองคริสทิน่าให้นานที่สุดตอนที่เธอกล่าวขอบคุณแฟนๆ บอกกับตัวเองว่ามองให้นานที่สุดทุกอิริยาบถน่ะแนสแรงบันดาลใจในชีวิตมึงอยู่ตรงหน้าแล้วนะ พยายามที่จะโบกมือ กรี๊ด และเอ็นจอยกับเธอให้มากที่สุดจนวินาทีสุดท้าย น้ำตาไหลพร้อมกับรู้ตัวอีกทีตอนเธอเดินกลับไปแล้วค่ะ มันเร็วมากๆจนเหมือนกับคว้าอะไรไว้ไม่ทันแต่จริงๆแล้วสิ่งที่ได้มันอยู่ในใจตลอดตั้งแต่ตอนเห็นเธอชัดๆครั้งแรก สำหรับเดี๊ยนผู้หญิงคนนี้เป็นอะไรที่มากกว่ากว่าคำว่าประทับใจมันเกินกว่าคำนั้นมากๆ ขอบคุณมากๆค่ะ คริสทิน่า อากิเลรา สำหรับการมอบวันที่มีความสุขที่สุดให้ชีวิตเดี๊ยนอีกวัน ยังขอยืนยันคำเดิมค่ะว่า
ฉันเชื่อในตัวเธอมาก
ป.ล. : ถ้าจะหาแนสทิน่าละก็ ผีญี่ปุ่นชุดดำกางเกงฮิพฮอพที่นั่งโซนARแถวG ที่ลุกขึ้นมาหวีดเสียงมาเต้นเป็นบ้าเป็นบอมีอยู่คนเดียวน่ะค่ะ ที่มั่นสุดและมันส์สุดในโซนนั้น หึหึหึ จะมีใครสังเกตมิเอ่ย
_________________
