The Tangent - Not as Good as the Book
มาถึงขณะนี้แล้ว น้า Andy Tillison ก็เริ่มคิดจะให้ The Tangent กลายเป็นวงดนตรีจริงๆวงหนึ่งขึ้นมา ไม่ใช่โปรเจ็คอย่างที่แกคิดไว้ตั้งแต่ตอนทำอัลบั้มแรก(ที่มีน้า Roine มาร่วมบรรเลงด้วยนั่นเอง) คราวนี้ไลน์อัพเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว โดยที่ขณะนี้มือคีย์บอร์ดจะเหลือเพียงคนเดียวคือน้าแอนดี้ ส่วน Sam Baine ซึ่งเป็นมือคีย์บอร์ดหญิงคนเดียวในวงก็ลาออกเพื่อไปสานต่องานเพลงของตัวเอง ส่วนมือกีต้าร์เปลี่ยนจาก Krister Jonsson ที่ลาออกไปทำ Karmakanic ต่อเป็นอดีตมือกีต้าร์จาก Level 42 ที่ชื่อ Jakko Jakszyk (คนที่ผมยาวที่สุดในรูปด้านบน) ส่วนสมาชิกที่ยังคงอยู่ก็มี Guy Manning มือกีต้าร์โปร่งเพื่อนซี้ของน้าแอนดี้นั่นเอง Theo Travis กับแซกโซโฟนคู่ใจ น้า Jonas Reingold และ Jaime Salazar ในตำแหน่งเบสและกลองตามลำดับ
Tracks
Disc 1
1. A Crisis in Mid-life
2. Lost in London (25 Years Later)
3. The Ethernet
4. Celebrity Mincer
5. Not as Good as the Book
6. A Sale of Two Souls
7. Bat Out of Basildon
Disc 2
1. Four Egos, One War
2. The Full Gamut
สำหรับแพ็คเกจ Limited Edition ของชุดนี้ก็อย่างที่เห็นในรูปด้านบนซึ่งเป็นปกแบบ Jewel Case ส่วนภายในจะมีกล่องซีดีสองแผ่น และของแถมเป็นหนังสือเรื่องสั้นที่เขียนโดยน้าแอนดี้ ซึ่งใช้เนื้อหาของอัลบั้มนี้ยืนพื้น สำหรับภาพในบุ๊คเล็ตและพ็อคเก็ตบุ๊คนี้ก็วาดโดย Antoine Ettori ซึ่งให้บรรยากาศคล้ายๆกับ Paradox Hotel ของ The Flower Kings อยู่นิดๆ แต่ว่าคอนเซ็ปต์ของน้าแอนดี้คราวนี้เป็นเรื่องราวในช่วงเวลาทั้ง อดีต ปัจจุบัน และอนาคต เท่าที่ผมได้อ่านนิยายของน้าแอนดี้มาอย่างคร่าวๆ เรื่องนี้จะเกี่ยวกับวิถีชีวิตในแต่ละช่วงเวลาซึ่งมีเสียงเพลงมากเกี่ยวข้องอยู่มากทีเดียว เพราะแต่ละวงที่น้าแกพูดมานั้นคงจะไม่มีใครไม่รู้จัก อาทิ Abba, ZZ Top หรือแม้กระทั่งวงใหม่อย่าง Arctic Monkeys... ผมขอสรุปคอนเซ็ปต์ของน้าแอนดี้ในที่นี้เลยว่าเป็น "มนต์รักเพลงร็อคแห่งกาลเวลา" (น้าแอนดี้เขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาตอนที่ติดอยู่ในสวีเดนโดยที่ไม่มีหนังสือเดินทาง)
แม้ว่าสมาชิกจะเปลี่ยนไป แต่ภาคดนตรีของพวกเขาก็ไม่ได้ตกลงเลยแม้แต่น้อย ในทางตรงข้าม งานชุดนี้กลับมีพัฒนาการที่ก้าวหน้าขึ้นไปอีก พร้อมด้วยบทบาทของกีต้าร์ที่มีมากขึ้นในสไตล์ของน้าแจ็คโคเอง แกเป็นมือกีต้าร์ที่มีประวัติและประสบการณ์การเล่นที่โชคโชนพอสมควรและยังสามารถร้องนำได้อีกด้วย (เสียงร้องแกออกจะเป็น Daniel Gildenlow เวอร์ชั่นที่นิ่มกว่า) สำหรับวิธีการโซโลของแกนั้นค่อนข้างจะแตกต่าง เพราะแกเล่นค่อนข้างง่ายกว่าน้ารอนกับ Krister อยู่มากทีเดียวแต่ซาวด์ที่ได้ออกมาจะหนาแน่นกว่าของสองคนนั้น ส่วนน้ากายเป็นเปรียบเสมือคนใกล้ชินของน้าแอนดี้ที่เล่นภาคกีต้าร์โปร่งได้ทั้งพลิ้วไหวและดุดัน และบางทีก็จะเล่นออกไปทาง Fingerstyle ซึ่งก็เป็นการสร้างสีสันให้กับวงไปอีกแบบ เสียงร้องของแกก็มีพลังดี
เบสและกลองทำหน้าที่ของตนเองได้ดีเหมือนอย่างเคย เบสมีวิธีการเดินไลน์ที่แตกต่างไปจากชุดที่แล้ว (หรือแม้กระทั่ง The Sum of No Evil ของ The Flower Kings) อย่างมาก ส่วนลูกกลองงวดนี้เริ่มจะเล่นไปทางแจ๊สมากขึ้น และงมีการเล่นสองกระเดื่องแบบร็อคอยู่บ้าง (มีให้เห็นอยู่นิดหน่อยในเพลง A Place in the Queue) ด้วยเครื่องดนตรีสองชิ้นนี้ก็สามารถพาเราไปสู่หลากหลายแนวดนตรีได้แล้ว มาในส่วนของน้าแอนดี้นั้นก็เรียกว่าเป็นจุดสำคัญไม่แพ้กับเครื่องดนตรีอื่นๆเลยก็ว่าได้ ยิ่งต้องมานั่งเล่นหลายๆเครื่องเพียงลำพังด้วยแล้วละก็ ทำให้ยิ่งต้องมีความตื่นตัวมากกว่าเก่า ซึ่งแกก็ทำได้ในจุดนี้ และไปๆมาๆเผลอๆคีย์บอร์ดคนเดียวจะดีกว่าสองคนเสียด้วย เพราะน้าแกจะทำหน้านี้ได้เต็มที่กว่าคราวที่มี Sam อยู่เสียอีก ส่วนเสียงของน้าแอนดี้ยังคงรักามาตรฐานความคลาสสิกไว้เช่นเดิม ส่วน Theo Travis ในชุดนี้เล่นเทเนอร์แซกโซโฟนได้อย่างดุเดือดมากสมกับที่เป็นมือแซกโซโฟนจาก Gong แต่ว่าฟลุตก็มีบทบาทมากขึ้นด้วย
สำหรับเพลงไฮไลต์จริงๆก็คงจะเป็นเพลงสุดท้ายของอัลบั้มซึ่งก็คือ The Full Gamut ที่พวกท่านๆก้ปล่อยของกันครบสูตร ทั้งโปรเกรสสีฟร็อคและฟิวชั่น แต่เพลงก่อนหน้า (Four Egos, One War) ก็ไม่แพ้กัน ตรงที่ความโดดเด่นในส่วนของเสียงร้อง โดยมีแขกรับเชิญเป็นนักร้องหญิงที่ชื่อ Julie King อีกเพลงที่ผมเห็นว่าเป็นเอกลักษณ์ที่สุดอีกเพลงก้เห็นจะเป็น Bat Out of Basildon ที่เริ่มต้นด้วยเสียง Yamaha XV 535 (เป็นรถตระกูลชอปเปอร์เนี่ยละฮะ แต่เราอาจจะไม่คุ้นกัน ใครมีข้อมูลช่วยเอื้อเฟื้อด้วยครับ) ส่วน Lost in London (25 Years Later) คาดว่าจะเป็นภาคต่อจากเพลงเดียวกันในอัลบั้มที่แล้วนั่นเอง แต่ภาคดนตรีนั้นใกล้เคียงกับบอสซาโนวามากๆทำให้รู้สึกไพเราะไปอีกแบบหนึ่ง
นี่คือรูปตอนที่น้าแอนดี้กำลังอัดเสียงอินโทรเพลง Bat Out of Basildon นะครับ...
สำหรับงานใหม่ชุดนี้ของ The Tangent ถือเป็นงานที่ยอดเยี่ยมอีกชุดหนึ่งในปี 2008 เลยก็ว่าได้ แต่ก็อยู่ที่การตัดสินของคุณผู้ฟังแล้วละครับว่างานชุดนี้จะเป็นแบบไหน บอกได้คำเดียวว่า "ไม่ลองไม่รู้"...