อเมริกาจะยกเลิกกฏหมายห้าม เกย์-เลสเบียน เป็นทหาร!
เอ เอฟพี/เอเจนซี - สหรัฐฯเตรียมอนุญาตให้ชาวรักร่วมเพศที่ประกาศตัวเปิดเผย สามารถเข้ารับราชการทหารได้เป็นครั้งแรก เมื่อร่างกฎหมายในเรื่องนี้ผ่านวุฒิสภาในวันเสาร์(1
ภายหลังได้รับความเห็นของสภาล่างมาก่อนแล้ว และประธานาธิบดีบารัค โอบามา ซึ่งใช้ประเด็นนี้ในการรณรงค์หาเสียงชิงทำเนียบขาวด้วยซ้ำ ก็แถลงว่าจะลงนามรับรองการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์นี้ภายในสัปดาห์นี้
วุฒิสภา ลงมติด้วยคะแนนเสียง 65 ต่อ 31 เห็นชอบร่างกฎหมายที่ก่อนหน้านี้ผ่านสภาผู้แทนราษฎรมาแล้ว เนื้อหาสำคัญของร่างกฎหมายนี้ก็คือการยกเลิกนโยบาย “ไม่ถาม ไม่บอก” (Don't Ask, Don't Tell) ที่ ใช้อยู่ในกองทัพอเมริกัน โดยที่ทหารซึ่งเป็นเกย์หรือเลสเบียน จะต้องเก็บเงียบเกี่ยวกับความฝักใฝ่โน้มเอียงในทางเพศของพวกตน ไม่เช่นนั้นก็จะต้องไล่ออกจากราชการ นโยบายดังกล่าวใช้กันมาตั้งแต่ปี 1993 ในฐานะมาตรการประนีประนอมพบกันครึ่งทาง โดยที่ก่อนหน้านั้นไปอีก กองทัพอเมริกันเข้มงวดถึงขั้นไม่ยินยอมให้มีทหารที่มีพฤติกรรมรักร่วมเพศเลย
“ถึง เวลาแล้วที่จะต้องยอมรับว่า ความเสียสละ, ความกล้าหาญ, และความซื่อสัตย์ จักต้องไม่ถูกนิยามด้วยความฝักใฝ่โน้มเอียงทางเพศอีกต่อไป เช่นเดียวกับที่ไม่ถูกนิยามด้วย เชื้อชาติ หรือเพศสภาพ, ศาสนา หรือหลักความเชื่อความศรัทธา” โอบามาออกคำแถลงภายหลังทราบผลการลงมติ
เป็น ที่คาดหมายกันว่า โอบามาจะลงนามเพื่อบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้ภายในสัปดาห์นี้ โดยที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (เพนตากอน) ออกมาแถลงเตือนว่า หลังจากนี้ยังไม่ได้หมายความว่าชาวรักร่วมเพศที่ต้องอยู่อย่างแอบแฝงในกอง ทัพ จะสามารถประกาศตัวเปิดเผยได้ในทันที โดยตามกระบวนการที่กำหนดไว้ในกฎหมาย ยังจะต้องมีการดำเนินกระบวนการที่ ประธานาธิบดี, รัฐมนตรีกลาโหม, และนายทหารประจำการระดับสูงสุด จะให้การยืนยันรับรองว่าสามารถเดินหน้าในเรื่องนี้ได้ โดยไม่สร้างความสียหายให้แก่การเตรียมพร้อม, ประสิทธิภาพ, การเกาะกลุ่มกันภายในหน่วย, การรับสมัครและการประคับประคองให้ทหารยังอยู่กับกองทัพต่อไป ทั้งนี้เพื่อให้มั่นใจว่าการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้จะเป็นไปอย่างราบรื่นที่สุด ในช่วงเวลาที่สหรัฐฯยังส่งทหารไปร่วมรบใน 2 สงครามใหญ่ นั่นคือ ที่อัฟกานิสถาน และที่อิรัก
ถึง แม้ผลการออกเสียงในวุฒิสภาจะดูเหมือนกับร่างกฎหมายนี้ผ่านออกมาได้อย่างค่อน ข้างสะดวกสบาย แต่แท้จริงแล้วมาตรการคราวนี้ ซึ่งเห็นกันว่าน่าที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงในกองทัพสหรัฐฯอย่างมโหฬารที่ สุด นับตั้งแต่ที่มีการเริ่มต้นการรวมทหารสีผิวต่างๆ เข้าด้วยกันในปี 1948 นั้น ต้องดำเนินไปท่ามกลางความขัดแย้งอย่างสูง โดยที่มีการอภิปรายอันดุเดือดขมขื่น และยิ่งสร้างความแตกแยกในวุฒิสภาซึ่งอยู่ในสภาพแบ่งขั้วกันอย่างค่อนข้าง ชัดเจนอยู่แล้ว
เสียงคัดค้านการยกเลิกนโยบายนี้ ได้ลดน้ำหนักลงไปมากในช่วงหลังๆ นี้
ใน เดือนนี้เอง เพนตากอนเผยแพร่รายงานการศึกษาที่พบว่า ทหารจำนวนเกินกว่าครึ่งหนึ่งไปมากๆ ไม่ได้รู้สึกเป็นเรื่องใหญ่โตอะไรถ้าหากจะมีการยกเลิกข้อห้ามเช่นนี้ และกองทัพสามารถที่จะดำเนินการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว โดยที่จะไม่เกิดอุปสรรคติดขัดอย่างสำคัญ หรือการปั่นป่วนวุ่นวาย
ผล สำรวจมติมหาชนชาวอเมริกันก็ออกมาว่า สนับสนุนให้ยกเลิกนโยบายนี้กันอย่างกว้างขวาง ขณะที่รัฐมนตรีกลาโหม รอเบิร์ต เกตส์ และประธานคณะเสนาธิการทหารร่วมของสหรัฐฯ พล.ร.อ.ไมก์ มุลเลน ก็ให้ความเห็นชอบเช่นกัน
_________________
THE BITCH IS BACK AND BETTER THAN EVER!