
เก็บเรื่องที่เธอไม่ชอบใส่อะไรว่าออกไปข้างนอก หรือว่าการแสดงโชว์ที่เต็มไปด้วยเลือด ตะโกนโหวกเหวกบนเวทีเหมือน Sam Kinison เพราะครั้งแรกที่ฉันได้พบเธอ เธอสร้างความแปลกใจให้ฉันได้เลยที่เดียว เธอเป็นผู้หญิงที่สุภาพ สง่างามเลยที่เดียว ซึ่งเหล่านี้ฉันคิดว่าได้มาจากการอบรบจากโรงเรียนคอนแวนด์ของเธอนั้นเอง
สักประมาณก่อนหนึ่งชั่วโมงก่อนที่จะเริ่มคอน Monter Ball ซึ่งเป็นคอนรอบที่ 5 รอบสุดท้ายในลอนดอนที่ขายบัตรหมด ฉันนั่งรออยู่ในห้องพักหลังเวที เพื่อรอกาก้ามา (ในการเดินทัวร์แต่ละครั้งกาก้ามีรถบรรทุก 28 คัน และรถทัวร์อีก 14 คัน บรรจุคน 140 คน จากเมืองหนึ่งสู่เมืองหนึ่ง) ห้องที่ฉันนั่งอยู่นั้นเหมือนกับที่นั่งพิเศษในไนส์คลับสักแห่ง – เบาะนั่งหนังสีดำ,โคมไฟสีเงิน,มีบาร์ในตัว,ระบบเครื่องเสียง,โต๊ะคอกเทล,จานใส่ลูกกวาดมากมาย หลังจากที่ฉันมองรอบๆกาก้าก็เดินเข้ามาโดนไม่ทันตั้งตัว มือของเธอที่แก้วชากับจานรองชามา มืออีกข้างที่แก้วสำหรับใส่ไวน์มาให้ฉัน กาก้าเริ่มต้นพูดขึ้นว่า “ฉันไม่ค่อยชอบเท่าไร ที่คุณกินไวน์กับแก้วพลาสติก” “ จากนั้นเธอก็หยิบไวน์ Sancerre มาและคะยั้นคะยอจะเทให้ฉันพร้อมพูดว่า “ “คนที่เทไวน์ให้ตัวเองกินจะโชคร้าย” “
บางทีกาก้าอาจสามารเป็นหนึ่งในคณะของ Marie Antoinette ได้เหมือนกัน ทาแป้งขาว ใส่วิก ใส่เสื้อแวววาว และความสง่างามของเธอ แต่นั้นมันผิดไปเพราะตอนแรกที่ฉันได้เห็นเธอตอนข้างหลังเวที ในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า เธอคล้ายๆกับคนบ้า – เดินเท้าเปล่า อีกทั้งเลือดในตอนแสดงยังติดตัวอยู่ มาสคาราไหลย้อยลงหน้า ส่วนร่างกายของเธอใส่เสื้อคลุมขนนกสีแดง
กาก้าได้แนะนำให้ฉันรู้จักกับชายที่ชื่อว่า Luc กาก้าบอกอีกว่า เขาเป็นแฟนของฉันเอง Luc ได้หันมามองทางเราและได้ยิ้มแบบยิงฟันให้ แล้วพูดว่า “Ok Bette Midler” ต่อจากนั้นฉันได้ถูกพาออกจากห้องโดย Wendai Morris ผู้จัดการในการเดินทางของกาก้า ครั้งตอนที่ฉันกำลังจะเดินออกจากห้อง กาก้าได้พูดขึ้นมาว่า “ “เดี่ยวก่อน Jonathan คุณไม่อยากอยู่ต่อและถามคำถามฉันเพิ่มเติมอีกเหรอ” “ซึ่งฉันคิดว่าเวลานี่คงไม่เหมาะนักเพราะเสียงเธอดูอ่อนเพลียเหลือเกิน
วันถัดมา กาก้าดูสงบนิ่งมากขึ้น และเธอยังคงถือแก้วชามาเหมือนเดิม ฉันถามคำถามแรกกับเธอว่า “วันนี้คุณจะทำอะไรดี” ซึ่งคำตอบที่กาก้าตอบกลับมานั้นเป็นคำตอบที่แฟนกาก้าหลายคนไม่คิดว่าจะตอบแบบนี้ “ “ฉันนอนอยู่บนเตียงทั้งวันเลย ฉันทำแบบนี้ทุกครั้งเวลาที่ฉันรู้สึกเหงาคือถูเท้าซ้ายถูเท้าขวาไปมา แบบนี้มันแปลกไหม ?” “ฉันตอบเธอไปว่า “ไม่หรอก คนอื่นก็ทำกันทั้งนั้นเวลารู้สึกเจ็บปวด” กาก้าตอบกลับมาว่า “ “อืม แบบนั้นฉันคงเจ็บปวดทั้งวันเลย กาก้าหยุดสักพักหนึ่งแล้วพูดว่า นี่ผมฉันหรือเนี่ย เพราะว่าเมื่อคืนฉันใส่วิกผมแล้วก็เผลอหลับไปเลย” “
ซึ่งนั้นไม่ใช้เรื่องแปลกสำหรับเธอ เพราะตลอดระยะเวลา 3 ปีที่เธอเข้าวงการมา เธอไม่ได้มีโอกาสพักแบบจริงๆจังๆเลยสักครั้งหนึ่ง
“ “ฉันขอพูดตรงๆเลยนะ ฉันโคตรๆเหนื่อยมากๆเลยสำหรับตอนนี้ แต่ตอนนี้ร่างการของฉันได้เหมือนเดินทางมาที่ไมล์สุดท้ายแล้ว เมื่อคุณรู้สึกว่านิ้วและขาของคุณเริ่มไร้ความรู้สึก ไม่รู้สึกของการมีตัวตน ใช้การเคลื่อนไหวด้วยการหลั่งอะดรีนาลิน แต่ในความเป็นจริงในขีวิตของฉันแล้ว ฉันเดินทางมาแค่ 2 ไมล์เอง ซึ่งสิ่งนั้นฉันพยายามที่จะเก็บไว้ในใจ” “
แต่ในยามที่เธออยู่บนเวที เธอดูเป็นคนที่มีพลังมาก เต้นกับแดนเซอร์ 10 คน เปลี่ยนเสื้อผ้า 13 ชุดต่อหนึ่งค่อย แหกปากร้องเพลง แล้วมาเล่นเปียโนต่อ และเพลงทุกเพลงที่กาก้าร้อง ที่เขียนเนื้อเพลงเอง ใส่ทำนองให้มันด้วยต่อของเธอเอง ซึ่งนั้นเป็นผลมาจากการที่เธอเริ่มเล่นเปียโนตั้งแต่อายุ 4 ขวบ แสดงโชว์เดี่ยวตอนอายุ 11 ขวบ
กาก้าเสริมว่า “ “ฉันเป็นเด็กที่แปลก เด็กหญิงเสียงดังโวยวายที่ยามใดนั่งเปียโนแล้วสามารถสังหารผลงานเพลงของ Beethoven ได้” กาก้าได้พูดเกี่ยวกับตัวเองว่า “ฉันพูดตรงอย่างบริสุทธิ์จากดนตรีของฉันในปัจจุบัน ฉันคิดว่าฉันเป็นนักแสดงที่เก่ง และมีพรสวรรค์ในการเอนเตอร์เทนคนดู ฉันพิจารณาตัวเองว่าจะมีเสียงที่เยี่ยมยอดในวงการ ฉันพิจารณาตัวเองแล้วว่าฉันเป็นนักแต่งเพลงที่เก่งคนหนึ่ง แต่ฉันจะไม่บอกว่าฉันเต้นเก่งเท่าไร แต่ฉันก็คิดว่าฉันเต้นพอใช้ได้เลยละ” คำพูดโอ้อวดจากนักร้องที่มีประสบการณ์เพียง 3 ปี กาก้าเสริมต่อว่า “ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ดีนะ ที่ฉันจะมั่นใจในตัวเอง” “
แฟนเพลงของเธอไม่ได้ปฎิเสธสิ่งเหล่านี้เลย พวกเขาตะโกนในยามที่เธอตะโกน เต้นตลอด2ชั่วโมงของคอนเสริต์ และก็ไม่ใช้ความลับอะไรที่กาก้ามีความสัมพันธ์แบบพิเศษกับแฟนเพลงของเธอ ที่เธอเรียกพวกเขาเหล่านั้นว่า “Little Monsters” กาก้าได้พูดต่ออีกว่า “ “ฉันเห็นตัวเองในตัวของพวกเขา ฉันเป็นคนหนึ่งที่รู้สึกว่าแตกแยกออกจากสังคม – เดินอย่าเงียบๆ,กินเหล้า,ไปคลับ ซึ่งฉันเป็นเด็กที่เลวที่เดียว ซึ่งเมื่อไรที่ฉันมองไปที่พวกเขาในทุกโชว์ สายตาของพวกเขาจะมีความมุ่งมั่น มีความรู้ที่ส่งผ่านออกมาว่า “ฉันจะไม่ย่อแพ้ต่อพวกอันธพาลในโรงเรียนแน่นอน” ซึ่งแฟนคลับของฉันไม่เหมือนแฟนคลับคนอื่น คือมันเหมือนกับพวกเขาเข้าลัทธิอะไรสักอย่าง มันแปลกแต่มันน่าตื่นเต้นดี” “
การแสดงของกาก้าเป็นแบบสื่อความหมายแบบดิบๆตรงๆ“ “ฉันเป็นคนที่ค่อนข้างเปิดรับสิ่งใหม่ตลอดเวลา ไม่มีอะไรปิดกั้น ,ยอมเสียสละเพื่อแฟนเพลง กับเพลง มันน่าตลกเวลามีคนพูดว่า “มันน่าทึ่งมากเลยรู้ไหมที่ได้รู้ว่าเธอทำงานหนัก และฉันก็จะทำหนักให้เหมือนกับเธอด้วย” ฉันมีคำพูดที่อยากจะบอกว่าเวลาฉันขึ้นโชว์ ฉันคงไม่เดินทอดน่องไปมา เต้นๆแล้วลิปซิ่งหรอก สิ่งเหล่านั้นไม่ใช้ฉันเลยสักนิด และฉันก็จะไม่เป็นนักร้องแบบคนอื่นที่มีความสุขกับเงินทองที่หาได้แล้วฉันมันไป ฉันเป็นเมล็ดพันธุ์ใหม่ ฉันอยากจะเป็นพี่สาวของคน คนหนึ่งที่แฟนคลับสามารถสื่อสารกับฉันได้ เป็นคนที่รับฟังปัญหาและเข้าใจคุณ” “
ความสัมพันธ์ของกาก้ากับแฟนเพลงเป็นสิ่งที่อ่อนไหวมากๆ กาก้าเคยบอกแฟนเพลงที่โปแลนด์ว่า “ “ยามใดที่อยู่บนเวทีเหมือนฉันได้มีความสัมพันธ์กับแฟนเพลง” “กาก้าได้อธิบายเพิ่มเติมว่า “ “พวกเขาคือคนกลุ่มเดี่ยวในจักรวาลนี่เท่านั้นที่ทำให้ฉันเสียการควบคุมตัวเองได้” “
เมื่อพูดถึงแฟนเพลง กาก้าได้พูดเสริมขึ้นมาว่า “ฉันอยากให้คนในจักรวาลนี่ ใช้ฉันเป็นที่พึ่ง เป็นทางหนีสำหรับเขา” “กาก้าพูดต่อว่า “ “ให้ฉันเป็นตัวจำอวดของอาณาจักรแห่งนี้ และฉันยอมรับพวกคุณทุกแบบ ทุกสีผิว ให้คุณรู้สึกเป็นตัวเองตัวเอง และไม่ตัดสินตัวเองในแบบผิดๆ และไม่ให้เกลียดตัวเอง และที่ตลกอยู่อย่างหนึ่งคือ ตอนนี้ฉันได้ขึ้นปก VOGUE แล้ว – ฉันคิดว่าคงไม่มีใครหัวเราะดังไปกว่าฉันตอนนี้แล้วแหละ- เพราะตอนที่ฉันเป็นเด็กอยู่ในโรงเรียน เวลาฉันเดินตามทางเดิน ฉันจะโดนเพื่อนเรียกว่า Slut ,Bithch,ไอ้คนน่าเกลียด ,จมูกใหญ่,เด็กเนิร์ด,เลสเบี้ยน และถูกถามว่าไปอยู่ชมรมร้องเพลงทำไม (กาก้าคล้ายๆกับเด็กๆจาก GLEE)
สำหรับกาก้ารางวัลเดิมพันครั้งนี้สูงมากๆ “เพราะว่าฉันเป็นนักร้องและเป็นนักแสดงด้วย เป็นคนที่ค้นหาและสรรค์สร้างพื่นที่แห่งเสรีภาพ ฉันอยากที่จะให้รางวัลกับแฟนเพลงเป็นอัลบั้มที่ยอมเดี่ยวที่สุดในทศวรรษนี่ ฉันไม่อยากให้พวกเขาได้รับสิ่งที่ตอนนี้กำลังฮิตอยู่ ฉันอยากให้พวกเขาได้ฟังสิ่งในอนาคต”
ซึ่งสิ่งนี่น้อยคนนั้นที่จะเข้าใจสิ่งที่กาก้ากำลังจะทำอยู่ “สิ่งที่ฉันกำลังทำอยู่ตอนนี้ ไม่ใช้ชีสที่อยู่ในเซนวิช ไม่ว่ามันจะดีหรือจะร้าย ซึ่งที่ทำอยู่มันซับซ้อนมากๆ”
Elton John ให้ฉายากาก้าว่าเป็น “นักร้องที่ค้นหาสิ่งใหม่ๆและมีพรสวรรค์ที่สุดในยุคนี่” สำหรับตัวกาก้าเองค่อนข้างจะเป็นคนที่เปิดเผยต่อแรงบันดาลใจของตัว “มันไม่ใช้ความลับเลย ฉันได้รับแรงบันดาลใจมากมายหลายคน เช่น Davie Bowie และ Prince พวกเขาทั้งสองเป็นแรงบันดาลของฉันในการแสดงบนเวที”
อัลบั้มของกาก้าคือ Born This Way ที่จะออกวางแผนในเดือน พฤษภาคม ที่จะถึงนี่ ซึ่งใช้ชื่อซิงเกิ้ลแรกเหมือนชื่ออัลบั้ม ซึ่งฉันได้ยินครั้งแรกเมื่อ iPod ของกาก้าได้มาอยู่ในมือของฉัน กาก้าถามฉันว่า “พร้อมแล้วหรือยัง ? ฉันว่าคุณยังไม่พร้อมแน่ๆเลย” ตอนแรกที่ฉันได้ยินนั้นดนตรีออกแนวลึกลับคล้ายของมาดอนน่า ต่อมาให้ความรู้สึกเหมือนฟังเพลงของ Bronski Beat และนำฉันไปสู่ใจกลาง ตามแบบฉบับของกาก้า เพลงนั้นมันน่าเหลือเชื่อมากๆ ซึ่งเพลงนี้คล้ายได้ถูกกำหนดแล้วว่าให้เป็น anthem ของเหล่าชาว์เกย์ตลอดไปจนถึง 100 ปีข้างหน้า
กาก้าบอกเพิ่มเติมให้ฟังว่า Elton John เรียกเพลงนี้ว่าเป็น “สุดยอดเพลงเกย์” ตั้งแต่ได้ยินมา กาก้าเล่าต่อว่า “รู้หรือไม่ ฉันเขียนเพลงนี้ในเวลาแค่ 10 นาทีเองนะ ซึ่งมันออกมาเหมือนมีเวทมนตร์เลยที่เดียว เหมือนกับว่าประตูเปิดออกมาและมันก็ไหลออกมาเรื่อยๆ” ซึ่งกาก้าได้เปิดเพลงอื่นให้ฉันฟังอีกนิดหน่อยเช่น Hair,Bad Kids,Government Hooker และซิงเกิ้ลที่สองที่กาก้าจะปล่อยออกมาชื่อ Judas ซึ่งทำนองของเพลงนี้เหมือนทำออกมาให้ the Ronettes เพียงแต่ว่าเป็นแดนซ์ที่มีบีทหนักมากๆ ซึ่งเนื้อเพลงมันเกี่ยวกับตกหลุ่มรักคนที่ทรยศต่อพระเยซู เพลงต่อมาชื่อ Americano ซึ่งมันเหมือนกับดนตรีอิเล็กทรอนิกที่ใส่ความเป็นพื้นเมืองของ mariachi ลงไป ฉันกำลังพูดถึงกฎหมายปิดกั้นการแต่งงานของเกย์ ซึ่งนั้นมันเป็นการตัดสิทธิของชนชาวอเมริกา” “เพลงนี้มันเหมือนกับเพลงป๊อปทั่วๆไป แต่เมื่อไรที่ฉันได้ร้องมัน ฉันรู้สึกเหมือนเห็น Edith Piaf ใต้สปอทไลท์กับไมค์โครโพนแบบเก่า” (Piaf คือคนที่กาก้ายกมาอ้างอิงได้อย่างดี เพราะทั้งกาก้าและ Piaf ต่างมีสิ่งที่เหมือนกันคือ ทั้งสองแสดงรู้สึกออกมาอย่างชัดเจน และเป็นผู้กล้าของคนอ่อนแอ) กาก้าพูดต่อว่าบางเพลงในอัลบั้มค่อนข้างจะออกแนว Rock ‘n’ Roll สักหน่อย
Troy Carter ผู้จัดการส่วนตัวของกาก้าได้บอกกับฉันว่า อัลบั้มนี้จะมีเพลงทั้งหมด 17 เพลง – ซึ่งทั้งหมดถูกเขียนและทำในระหว่างการเดินทัวร์ ใช้เวลาทำประมาณ 1 ปีครึ่ง ซึ่งสิ่งที่กาก้าทำเป็นสิ่งที่นักร้องคนอื่นไม่ค่อยจะทำสักเท่าไรคือ ทำอัลบั้มอื่นในขณะที่ทัวร์อยู่ “แต่สำหรับกาก้าเป็นสิ่งที่เยี่ยมมากๆ เพราะกาก้าได้รับพลังทุกครั้งเมื่ออยู่บนเวที เนื้อเพลงออกมาทุกครั้งเวลาอยู่บนเวที และเมื่อมาหลังเวทีกาก้าจะนำสิ่งที่คิดขณะอยู่บนเวทีมาคุยกัน และวันถัดมากาก้าจะเล่นเพลงที่เราเพิ่งคุยกันไปเมื่อคืนให้ฟัง กระบวนการสร้างสรรค์ของเธอนั้นสุดยอดมากๆ”
เพื่อนร่วมทีมของ Troy Carter คือ Vincent Herbert ที่เป็นค้นพบกาก้าเมื่อปี 2007 จาก Myspace ซึ่ง Vincent Herbert เคยเป็นโปรดิวเซอร์ให้กับ Michael Jackson และ Stevie Wonder “กาก้าทำเพลงที่ผู้คนสามารถสัมผัสถึงได้ และเพลง Born This Way จะทำให้คุณหยุดหายใจเลยที่เดียว ผมคิดว่ากาก้าได้ทำเพลง Thriller ในศตวรรษที่ 21 เข้าแล้ว”
กาก้าชอบดนตรีทุกแบบ กาก้าได้บอกว่าเธอรู้สึกสบายใจเวลาอยู่ที่ลอนดอน “ถูกต้องแล้ว รสนิยมทางดนตรีของฉันหลากหลาย และที่ลอนดอนแห่งนี้นักร้องเพลงร๊อคกับนักร้องเพลงป๊อป ไม่แตกต่างกัน เหมือนๆกันหมด ซึ่งแตกต่างกันที่อเมริกา นักวิจารณ์ชาวอเมริกาชอบกำหนดขอบเขตของเพลงเธอโดยตัวเลขอ้างอิงงี่เง่ามากมาย แต่ในโลกของแฟชั่นมันเป็นอะไรที่แม่นยำและละเอียดอ่อนกว่ามาก โดยเฉพาะแรงบันดาลใจจากพวกเขาเช่น Leigh Bowery,Isabella Blow “สังคมในโลกแฟชั่นนั้น สำหรับฉันนั้นมันเข้าถึงง่ายกว่า ณ ตอนนี้ฉันมีความรู้สึกว่าฉันได้รับการต้อนรับจากวัฒนธรรมแฟชั่นในลอนดอนแล้ว ทั้งจาก McQueen ,Isabella,Daphne Gunness ฉันจำได้เลยว่าครั้งแรกที่ฉันได้ถ่ายภาพแฟชั่นมีคนอุทานกับฉันว่า “ตายแล้ว เธอช่างคล้ายกับ Isabella Blow มากๆ มันทำให้ฉันรู้สึกกลัวรู้ไหมเนี่ย แม้แต่ McQueen ยังบอกว่า “ดูหน้าอกของเธอสิ ขนาดหน้าอกของเธอยังคล้าย Isabella Blow เลย”
ณ ตอนนี้กาก้าได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าชุดของกาก้าทำให้ชุดที่ Elton John และมาดอนน่าใส่ กลายเป็นของเด็กเล่นไปเลย กาก้าพยายามที่จะให้เหนือกว่ามากกว่าที่พวกเขาเคยทำมา กาก้าได้บอกต่อว่าการแต่งหน้าในเอ็มวี Born This Way “ทุกคนจะเกลียดมันไม่ทางใดก็ทางหนึ่งแน่นอน”
ในชีวิตของกาก้าตอนนี้กาก้าได้ทำงานกับดีไซเนอร์ชั้นยอดมากมายเช่น karl Lagerfeld ,Armani,Prada และศิลปินดีไซเนอร์อื่นๆเช่น Terence Koh “ฉันหมดเงินไปมากกับแฟชั่นของฉัน เพราะว่าฉันอยากที่จะสนับสนุนพวกดีไซเนอร์หน้าใหม่ด้วย” กาก้าได้เล่าให้ฟังเพิ่มเติมว่าการแต่งกายทุกครั้งของเธอได้ผ่านการคัดกรองมาแล้วจาก Nicola Formichetti .ซึ่งเป็นสไตลิสต์ของกาก้าและเป็นหนึ่งในสมาชิกของ Haus of Gaga ฉันได้ถามกาก้าถึงโชว์ในไลน์เสื้อผ้าครั้งแรกของเขา Thierry Mugler “ความสัมพันธ์ของเราทำให้โชว์เดินแบบนั้นได้รับแรงบันดาลใจจากเราอยู่เหมือนกัน แต่ฉันไม่อยากเอาเครดิสจากมัน Nicola คือแฟชั่น เขาคือชายที่ไม่ธรรมดาคนหนึ่ง”
ฉันได้ถามกาก้าเพิ่มเติมไปว่าเธอรู้สึกว่าถูกเข้าใจผิดหรือไม ในตอนแรกกาก้าปฎิเสธ ต่อมากาก้าได้บอกว่า มีเหมือนกัน “ยี้ เธอใส่เพื่อเรียกความสนใจ” “แหวะ ชุดเนื้อ” พวกเขาเหล่านั้นควรจะวิเคราะห์และหาความหมายที่แท้จริงในความลึกลับของมัน
ตอนนี้ฉันกำลังนั่งอยู่ในห้องสูทที่ดูใหญ่โตโอ๋อ๋าในโรงแรมแถว Place Vendôme ในฝรั่งเศส การเดินทางมาฝรั่งเศสของกาก้าครั้งนี้สร้างความหงุดหงิดให้กับเธอมากๆ เพราะพายุหิมะครั้งใหญ่ของฝรั่งเศสทำให้ขบวนคาราวานของกาก้าไม่สามารถผ่านอุโมงค์ได้ ถนนถูกปิดทาง ซึ่งคนขับรถแนะนำให้จอดรถจนกว่าจะผ่านได้ แต่มีบางคนที่พยายามจะผ่านไปให้ได้และถูกตำรวจจับกุม
ประตูของห้องสูทได้เปิดขึ้น กาก้าได้พูดขึ้นมาว่า “คุณคงไม่รู้ว่าอะไรได้เกิดขึ้นบ้าง ฉันโกรธมากๆ ซึ่งมันเป็นอะไรที่ไม่น่ารักเลย และฉันก็ไม่อยากให้ใครเห็นด้วย” กาก้าพูดต่อว่า “คุยกันที่นี่น่าเบื่อ ไปหาอะไรกินกันดีกว่า” ซึ่งทำให้ทีมรักษาความปลอดภัยของกาก้ารีบปฎิบัติงานทันที กาก้าได้บอกกับการ์ดว่า “ฉันอยากจะออกไปหน้าประตู เพื่อทักทายแฟนเพลงฉันหน่อย” การ์ดถามกลับมาว่า “แน่ใจหรือครับ” กาก้าตอบกลับไปว่า แน่สิพวกเขามารอฉันตั้งนานแล้ว และนั้นก็เป็นสิ่งที่ดี ที่พวกเขาจะได้รู้สึกว่าฉันยังคงแคร์พวกเขาอยู่
เมื่อกาก้าเดินลงมาข้างล่างกาก้าพูดกับฉันว่า “นี่ไง เห็นไหม จะให้ฉันขึ้นรถหนีไปเลยได้ไง ในเมื่อพวกเขาตั้งหมายมากยืนรอฉันอยู่” ทีมการ์ดได้เดินไปเปิดประตู และคอยกั้นกาก้าจะแฟนคลับ พวกเขาเหล่านั้นตะโกนกั้นใหญ่ว่า กาก้า กาก้า กาก้า !!! หลังจากทักทีแฟนเพลงเสร็จกาก้าได้พูดกับฉันว่า พวกเขาน่ารักมากๆ”
กาก้าเล่าให้ฉันฟังต่อว่า “ไม่รู้ว่าคุณรู้หรือเปล่า แต่คืนหนึ่งในขณะที่ฉันอยู่ในลอนดอน ฉันอาหารเป็นพิษด้วย ฉันอวกออกมาหมดข้างหลัวเวทีในขณะที่กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าการแสดงอยู่ ฉันไม่อยากอวกบนเวที เพราะเดียวคนอื่ยจะคิดว่าฉันเมาอีก ฉันไม่อยากให้พวกเขาคิดกับฉันแบบนั้น ฉันก็เป็นมนุษย์เหมือนกันนะ และแฟนเพลงของฉันคงไม่คิดว่าฉันอาหารเป็นพิษแน่นอน” กาก้าหัวเราะออกมา
เมื่อไปถึงร้านอาหาร เมื่อผู้คนมองเห็นว่าเป็นกาก้า พวกเขาต่างเงียบสนิท มองมาที่จุดเดียวกัน มีที่นั่งวางอยู่มุงตรงหน้าต่าง และผู้คนที่อยู่ภายนอกต่างชำเลืองมองเพื่อให้เห็นกาก้าให้ได้ กาก้าผู้กับฉันว่า “นี่คือ the fame monster แต่มันก็ไม่ใช้แบบนั้นตลอดไป ฉันใช้ชื่อเสียงของฉันมาทำประโยชน์เช่น Don’t Ask Don’t Tell” กาก้ากล่าวถึงวิสัยทัศน์ของเธอ “ฉันพยายามเปลี่ยนชื่อเสียงของฉันมาเป็นไปในทางบวกและทำให้ชีวิตของฉันมีความสุขยิ่งขึ้น”
ฉันสงสัยว่าพ่อกับแม่ของเธอรับมือกับสิ่งนี้ไหวได้อย่างไรกัน กาก้าตอบว่า “ในตอนแรกมันก็ยากเหมือนกันนะ แต่เราต่อสู้มาด้วยกัน” พ่อของกาก้าที่เป็นส่วนหนึ่งในการทำงานของกาก้าได้เกินหัวใจล้มเหลวเมื่อปีที่แล้ว “ฉันเป็นกังวลมากๆเกี่ยวกับสุขภาพของเขา ฉันเป็นคนอิตาเลี่ยนมากๆ ฉันโทรหาพ่อฉันทุกวัน ฉันถามว่าแม่ว่าพ่อสูบบุหรี่บ้างไหม และพวกเขายังอยู่ในอพาร์เมนต์แห่งเดิมใน Upper West Side ทุกสิ่งทุกอย่างในครอบครัวของฉันยังเหมือนเดิม การเป็นดาวของฉันไม่ได้ทำให้อะไรเปลี่ยนแปลงไป ฉันเป็นคนรักครอบครัวมากๆคนหนึ่ง” กาก้าได้พูดอีกว่า “ครั้งที่ยังไม่มีชื่อเสียงฉันอาศัยในนิวยอร์ก,ชายหนุ่ม,ทำงานหนัก,ร้องไห้,เต้น,ชอบดนตรี,ดื่มวิสกี้,มีเรื่องทะเลาะวิวาท,และในคลับทุกแห่งที่สามารถเล่นได้ ทนกับรถติดในนิวยอร์กทุกวัน สิ่งเหล่านี้สร้างฉันขึ้นมาในปัจจุบันนี้ ตอนนี้ฉันยังอยู่อพาร์เมนต์แห่งเดิม ,คบกับเพื่อนกลุ่มเดิม,ดื่มในบาร์ที่เคยดื่มและเต้นในสตูดิโอเดิมๆกับแดนเซอร์เดิมๆของฉัน ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม”
ในระหว่างที่นั่งรถหลังจากรับประทานอาหารเสร็จโทรศัพท์ของกาก้าดังขึ้นมา “ว่าไงคะแม่....อืมมม หนูค่อนข้างเหนื่อย....โอเคแม่....รักแม่....ไม่เป็นไร” หลังจากวางโทรศัพท์เสร็จ กาก้าค่อยๆหลังตาหลับไป สักพักกาก้าจึงตื่นขึ้นมา และฉันได้ล้อเธอ กาก้าตอบว่า “เพื่อนฉันบอกเหมือนกันว่า ฉันเหมือนหุ่นยนต์ เมื่อไรที่นั่งหลับทุกครั้งเหมือนชาร์ทแบท” กาก้าเล่าต่อ Jimmy Iovine ผู้บริหาร Interscope ก็ขำฉันเหมือนกันเมื่อไรก็ตามที่ฉันนั่งเครื่องบินไปกับเขา ทุกครั้งที่นั่งเครื่องบินฉันจะเผลอหลับทุกครั้งเลย หลับแบบทับเสื้อตัวเอง นอนนิ่งสนิทเลย เมื่อฉันตื่นขึ้นมาเขาจะพูดว่า คุณทำผมกลัวทุกเลยเวลาคุณหลับ
หลังจากกลับมาจาก New York หนึ่งสัปดาห์ ฉันโทรไปหา Iovine เมื่อเขารับโทรศัพท์เขาก็หัวเราะออกมา “เธอยอดเยี่ยมใช่ไหม แล้วเธอได้พาคุณไปไหนด้วยหรือเปล่าละ” Iovine คุยต่อว่า “ศิลปินแบบเธอหายากมากๆ ศิลปินที่มีมุกมองเป็นของตัวเอง และยังสามารถทำอะไรได้หลายๆอย่างอีก ร้องเพลงเอง แต่งเพลงเอง ทำงาน ทำงานหนักแบบเธอ อีกทั้งยังเป็นแฟชั่นนิสต้า นักแสดง ทัศนวิศัยแบบเธอหายากมากๆๆ” “และอนาคตกาก้าจะอยู่อีกไหม คงตอบได้ว่า ตราบเท่าที่เธอจินตนาการถึง ผมมีจินตนาการไม่เท่าเธอเท่าไร ผมคิดว่าเธอสามารถอยู่นานเท่าที่ร่างกายเธอจะรับไว้ พรสวรรค์ของเธอจะพาเธอไปไกลตราบเท่าที่เธอต้องการ ถ้าเธอยังสุขภาพแข็งแรง เธอจะอยู่อีกนานเท่านาน”
แก้ไขล่าสุดโดย thoorn เมื่อ Thu Feb 10, 2011 9:06 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง