˹���á Forward Magazine

ตอบ

ไปที่หน้า 1, 2, 3  ถัดไป
วิจารณ์หนังซัมเมอร์ประจำปี 2006
ผู้ตั้ง ข้อความ
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ วิจารณ์หนังซัมเมอร์ประจำปี 2006 
วิจารณ์หนังซัมเมอร์ประจำปี 2006 กับ Darth เวเฟอร์

มาแล้วครับเรียกร้องกันซะนาน มาให้อ่านกันแล้ว ก็อ่านกันซะให้สะใจเลยนะครับ
แต่ก่อนที่จะรับอ่านบทวิจารณ์ข่างล่างนี้ของผม อยากให้เข้ากันเหมือนก่อนนะครับว่า

** บทวิจารณ์นี้เป็น มันก็เป็นเพียงความคิดของบุคคลเพียงคนเดียว หากไม่ชอบใจอะไรหรือมีความผิดพลาดประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ **



Poseidon

นำเรื่อง: เรื่องราวของเรื่อสำราญอันสุดหรู กว่าที่คนสามัญธรรมดาจะคาดได้ และชาตินี้คงไม่มีทางได้ไปเหยียบ และเรื่อที่ว่าก็ถูกคลื่นอันใหญ่โตมโหราฬพัดถาโถมเข้าใส่แบบไม่ทันตั้งตัวโดยที่คนดู ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันมาจากไหนมาได้อย่างไร และหนังอธิบายด้วยประโยคง่าย ๆ สั้น ๆ ประโยคเดียว เพียงว่า “มันอาจเกิดขึ้นได้” จบ จากนั้นเราได้เห็นภาพการถูกทำลายของเรือสุดหรูรำที่ว่าด้วยคลื่นที่มาจากไหนไม่รู้ ในภาพมี่สวยงามเกินจริง จนดูเหมือนการ์ตูน แล้วทันใดนั้น ตัวละครทุกตัวที่เหลือรอด ก็ทำตามหน้าที่แบบในหนังหายนะ เอาชีวิตรอดกันแบบทันควัน คือแบบ จะต้องมีพระเอกตัวเก่งพาทุกคนหนี ผู้หญิงแกร่งแต่มีจุดอ่อนบางที่ คุณแม่ใจกล้าที่พาลูกน้อยน่ารักมาด้วย คนแก่เป็นตัวถ่วงของกลุ่ม และตัวน่ารำคาญ ที่จะต้องมีขวดเหล้าติดตัวไปเสมอ ทั้งหมดเป็นคาเรคเตอร์ที่ขาดซะไม่ได้ในหนังแนวนี้ จนทำให้หนังไม่มีความแปลกใหม่เป็นเหมือน ขุดหลุมฝังตัวเองไปในตัว



ข้อดีข้อเด่น: ขอดีคือภาพที่ทำมาได้สวยงาม และระเอียดยิบ ถึงมันจะดูเกินจริง แต่มันก็สวยและมีความสุขที่ได้ดูฉากสวย ๆ อะไรแบบนั้น และความมันของฉากหนีตายแต่ละฉาก ที่ถือว่าเป็นสีสันของหนังแนวนี้และเห็นจะขาดซะไม่ได้เอาเสียเลย เพราะมันเป็นสิ่งที่คนดูชอบและต้องการ นอกเหนือจากนั้นก็คือความซ้ำซากซึ่งเป็นข้อเสียล้วนๆ



ข้อด้อยข้อเสีย: นอกเหนือจากตัวละครอันซ้ำซาก ๆ ที่อยู่ในเนื้อเรื่องอันโหว่แหวง และไร้เหตุผลแล้วนั้น บทละครยังปัญยาอ่อนอย่างเห็นได้ชัด อย่างตัวละครไหนที่อยู่ ๆ ก็ได้พูดมาก ไร้สาระ นั้นแปลว่าตัวละครนั้นกำลังจะตายในเวลาอันใกล้นี้ เลยหาอะไรให้พูดให้ทำหน่อยเพราะเดี๋ยวก็จะจากไปแล้ว ประเด็นความรัก การเอาตัวรอด และความสมเหตุสมผลแทบไม่มี ทุกคนทำตามหน้าที่ที่ตนเองได้รับเหมือนหุ่นยนต์ที่ถูกสั่งโปรแกรมไว้แล้ว ว่าไอตัวเก่งก็เก่งไป ตัวถ่วงก็ถ่วงไป เดี๋ยวเธอตายก็ตายนะ ทุกอย่างถูกนัดแนะและจับวางจนเห็นได้ชัด ทำให้หลายคนเดาทางของหนังออกว่ากำลังจะเดินไปในทางไหน ไม่มีเหตุการณ์ใดที่เหนือการคาดเดา สิ่งเดี๋ยวที่ทำให้สนุกขึ้นเวลาชมก็คือ นั่งคิดกันเล่น ๆ ว่า เรื่องนี้มันจะรอดตายไปซักกี่คนกันหว่า?



สรุป: ถ้าหากคุณจะดูเอามันดูสนุกเรื่องนี้ไม่น่าผิดหวังมากนัก แต่หลายคนคงอดไม่ได้ที่จะเอาไปเปรียบเทียบกับหนังเรื่อล่มหายนะชื่อดังอย่าง Titanic เพราะหากมองดูอาจมีอะไรที่คล้าย ๆ กันหลายอย่าง (สังเกตฉากเปิดเรื่อง) แต่ถ้าหากจะเปรียบว่า Titanic เป็นแม่ใหญ่ของหนังเรือหายนะ Poseidon ก็เป็นได้แค่ลูกเมียน้อยที่อีกไม่นานก็ถูกทุกคนลืม

ความชอบ: 2 เต็ม 5
เกรด: C




______________________________________________________




Mission Impossible III

นำเรื่อง: สายลับสุดหล่อ สุดเก่งกลับมาทำภารกิจที่เป็นไปไม่ได้อีกครั้ง ด้วยความมันที่หนังนำเสนอคนดูตั้งแต่นาทีแรกจนนาทีสุดท้าย และเนื้อเรื่องที่อยู่เนื้อการคาดเดาและสามารถหักมุมได้ตลอดเวลา แต่มันสนุกไหมหนอ?

ข้อดีข้อเด่น: ข้อดีที่เห็นได้อย่างชัดเจอคือการที่หนังสามารถทำให้ตัวเองเป็นมันส์ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ฉากการยิง ฉากระเบิด ฉากสเปเชี่ยลเอฟเฟ็คต่าง ๆ มันจับใจจนหลายคนนั่งกันติดเก้าอี้ทนอั้นฉี่ได้เป็นชั่วโมง และความมันที่ว่าก็อยู่ในภารกิจที่แสนจะยากเย็น และอุปสรรคล้านแปด แต่ก็แน่ละ ก็นี่คือเรื่อง “ภารกิจที่มันเป็นไปไม่ได้นี่” นอกเหนือจากความมัน หนังยังมีเนื้อเรื่องที่ลับลึกซ่อนเงื่อน คนดูไม่มีทางรู้แน่ ๆ ว่าใครอยู่เบื้องหลังของแผนการทั้งหมด และตัวละครในกลุ่มยังมีอะไรได้ทำกันครบถ้วน ไม่มีการนั่งหรือเดินไปมาเฉย ๆ เพื่อรอรับค่าตัว



ข้อด้อยข้อเสีย: จากที่ได้อ่านข้อดี มากมายดังกล่าว ซึ้งมันมีมากมายตลอดทั้งเรื่องจนกลายเป็นดาบ 2 คมและทำให้รู้สึกได้ว่า ไอฉากมันส์ทั้งหลายแหล่ หรือความซับซ้อนของเนื้อเรื่อง มันมี “มากเกินไป” เหมือนหนังพยายามจะยกระดับตัวเองขึ้นมาจากหนังมันๆซ้ำซากๆ จึงพยายามสรรหาสิ่งต่าง ๆ มากมายใส่ลงไป จนทำให้มันดูเลอะเทอะเกินไป ด้วยความที่หนังยัดฉากมันมาตลอดแทบจะ 80 % ของทั้งหมด เมื่อถึงตอนที่จะหักมุม คนดูกลับไม่รู้สึก เซอร์ไพรซ์หรือตกใจมากนัก เพราะคนดูก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่า การที่ตัวละครเหล่านั้นทำกันทำไปเพื่ออะไร หรือมีจุดประสงค์อะไร เพียงแค่แกเป็นคนใกล้ตัวแต่กลับเป็นคนร้ายซะเอง เท่านั้น! ตัวละครมากมายขาดซึ่งแรงจูงใจในการกระทำของตัวเอง ตั้งแต่ตัวละครในกลุ่มของพระเอกตลอดไปจนถึงตัวพระเอกเอง ว่าทำไมพวกเขาถึงได้ต้องเอาตัวเองมาพัวพันกับเรื่องที่มันอันตรายและแสนยากจะเข้าใจด้วย มันดูไร้เหตุผลสิ้นดี แถมตอนจบก็เฉลยไม่ถึงแก่นที่หนังได้สร้างเอาไว้ กลับปล่อยไว้เป็นปริศนาต่อไปถึงองค์กรใหญ่ทั้งหมดที่อยู่เบื้องหลังการซื้อขาย “ตีนกระต่าย” และคนดูก็ไม่มีวันได้รู้ว่า มันคืออะไร? คุณแน่ใจหรอว่ามันเป็นเสน่ห์ของหนัง?



สรุป: Mission Impossible III ก็เหมือนอาหารจานใหญ่ที่คนทำใส่เครื่องปรุงลงไปหลาย ๆ อย่าง เพราะหวังว่ามันจะอร่อยสุดขีดจัดจ้านสุดฤทธิ์ จนลืมคำนึงถึงความอร่อยและความพอดี

ความชอบ: 3 เต็ม 5
เกรด: B-



______________________________________________________



X-MEN: The Last Stand

นำเรื่อง: 1 ในหนังที่ผมอยากดูที่สุดในรอบ 3 ปีนี้เลยก็ว่าได้ ด้วยการสะสมความดีในตัวเองมาอย่างต่อเนืองของ 2 ภาคต่อหน้านี้ การมีเนื้อเรื่องที่น่าสนใจน่าติดตาม ตัวละครที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองอย่างเด็ดชัดและน่าลุ้นน่าเอาใจช่วย อย่างสุดใจ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายธรรมะ หรือ ฝ่ายอธรรม แต่....ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปในภาคที่ 3 ด้วยเนื้อเรื่องที่ว่าทางองค์การรัฐบาลสามารถหาวิธีการรักษาการกลายพันธ์ของพวกมนุษย์กลายพันธ์ได้ แต่ทว่านั้นเป็นทางออกที่ถูกต้องแล้วหรอ? เพราะทันทีที่ข่างได้มีการแจ้งออกไปย่อมมีผู้ที่เห็นด้วย และต่อต้านมากมาย โดยกลุ่มต่อต้านแน่นอนอยู่แล้วว่านำโดยแมคนีโต้ เจ้าเก่าผู้คิดอาฆาตค้าเหล่ามนุษย์ธรรมดาทุกคนบนโลกใบนี้ และยังคิดจะมารักษาเหล่ากลายพันธ์หรอ ฝันไปเถอะ

ข้อดีข้อเด่น: ความสวยงามของ สเปเชียลเอฟเฟ็คครับ พลังของทุกคนในเรื่องถูกถ่ายทอดมาในภาพที่สมจริงสมจัง เหมือนพวกเขามีพลังนั้นจริง ๆ โดยเฉพาะ ดาร์ค ฟีนิกซ์ ใช้พลังไม่เกรงใจชาวบ้านกันเลย แล้วก็ความมันส์ที่มีให้ครบตามสูตร ส่วนเรื่องของการแสดงถือว่า พอถูพอไถไปทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่ ไม่มีอะไรให้ติ แต่ก็ไม่มีอะไรให้ชมมากมายนัก



ข้อด้อยข้อเสีย: การที่หนังเปลี่ยนผู้กำกับนั้น ก็เหมือนเปลี่ยนธีม ของเรื่องไปเลยทีเดียว จากที่ Bryan Singer เคยกำกับเมื่อสองภาคล่าสุดมาก ซึ่งก็ถูกใจแฟน ๆ กันมิใช่น้อย แต่ในภาคนี้เปลี่ยนมาเป็น Brett Ratner ที่เคยมีผลงานอย่างเช่น Rush hour ความรู้สึกที่ส่งผลกระต่อคนดูจากเรื่อง X-Men 3 เลยเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงจาก 2 ภาคที่ผ่านมา ซึ้งสำหรับคนทั่วไปอาจยอมรับในการเปลี่ยนแปลงนั้นได้ เพราะผู้กำกับคนนั้นยังสรรหาความมันมาให้คนดูชมได้กัน แต่ในความรู้สึกของแฟน ๆ หรือสาวก X-Men อาจขัดใจเป็นอย่างแรง เพราะเหมือนผู้กำกับคนนี้ได้ทำร้ายสิ่งที่พวกเขารักเป็นที่สุดสิ่งหนึ่งในชีวิต! เริ่มด้วยการใช้ตัวละครไม่สมกับคาเรคเตอร์ที่ถูกต้องตามต้นฉบับ หรือ ตามที่ได้สะสมมาจาก 2 ภาคที่แล้ว และใช้ตัวละครได้ไม่คุ้มค่ากับการที่สร้างพวกเค้าขึ้นมา ไม่คุ้มค่ากับพลังที่พวกเค้ามี ไม่ให้สมองพวกเค้าได้ใช้กันบ้างเลย เหมือนแจกฉาก ๆ ไปว่ากัดกัน สู้กัน แค่นั้นมันแล้ว จะเอาอะไรมากมาย ดังนั้นความมันที่ได้รับจึงเป็นความมันในระดับหนังมันดาษ ๆ ทั่วไป ไม่ใช่ความมันในแบบ X-Men ไม่ใช่ความมันในแบบมนุษย์ลายพันธุ์! ตัวละครหลายตัวกระทำในสิ่งที่ไม่สมกับการเป็นตัวละครนั้นเลย ทั้งที่เคยทำอะไร ๆ ได้น่าทึ่งเอาไว้ เมื่อ 2 ภาคก่อนแต่กลับมาเป็นคนกลายพันธุ์ไร้สมองในภาคที่ 3 ซะอย่างงั้น



ยกตัวอย่างเช่น Magneto เป็นคาเรคเตอร์ที่มีความแค้น เหล่ามวลมนุษยชาติเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และที่สำคัญคือเป็นคนที่มีหัวคิดฉานฉลาดเป็นอย่างสูง เค้าเป็นผู้ที่เคยวางแผนทำลายล้างมนุษยชาติอย่างหลักแหลมมาแล้วถึง 2 ครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการกลายพันธุ์ผู้นำโลกทั้งหมดในการประชุมที่เกาะริบเบอร์ตี้ ในภาคแรก หรือการวางแผนเข้ากลุ่ม X-Men แล้วพลิกล๊อค ใช้ความสามารถเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสคิดวางแผนฆ่ามนุษย์ธรรมดาทั้งโลก! ในภาคที่ 2 แต่เมื่อเหตุการณ์ดำเนินมาถึงในภาคที่ 3 ซึ่งเป็นภาคที่น่าจะยอดเยี่ยมที่สุด ( ในแง่ของหนังไตรภาค ) สิ่งที่ Magneto ทำคือ บุกเข้ามาโจมตีห่าม ๆ ดื้อ ๆ แบบเปิดเผย และไม่มีแผนการสำรองใด ๆ ทั้งสิ้น!!!! เมื่อแผนไม่สำเร็จจึงเดินกลับบ้านเหมือนคนแก่ธรรมดาคนหนึ่ง เสียชื่อการเป็นตัวโกงในการ์ตูนแห่งยุคอย่าง X-Men อย่างชิ้นเชิง



และอีกตัวละครโปรดที่สุดของผมอย่าง Strom จากเหตุการณ์ทั้ง 2 ภาคคนดูรับรู้ได้ถึงความเป็นคนเด็ดเดี่ยวการเป็นผู้นำ ว่าเธอมีจิตใจที่แจ่มใสได้อย่างท้องฟ้ายามเบิกบาน และเธอยังโกรธกริ้วได้เหมือนท้องฟ้ายามพิโรธ เธอคือผู้ที่ใช้พลังในอย่างมหาศาลเพื่อช่วยผองเพื่อนเหล่า X-Men เธอสามารถบังคับ พายุทอนาโดขนาดใหญ่ได้ถึง 6-7 ลูกพร้อม ๆ กัน เธอสามารถเปลี่ยนสภาพอากาศรอบกายให้หนาวต่ำถึงจุดเยือกแข็งก็ยังได้ แต่ในภาคนี้สิ่งที่เธอทำ ใช้อารมณ์กับเรื่องไม่เป็นเรื่องและ ลอยไปลอยมา ซึ่งเป็นการเปิดช่องว่างให้ศัตรูมาโจมตีเธอ และยังให้คนดูเห็นอีกว่าเธอไม่มีพัฒนาการต่อสู้ระยะประชิดเลยแม้แต่นิดเดียว กลายเป็นอีกคนที่โง่เง่า อย่างน่าเสียดายจากสุดขั้วหัวใจ
อีกคนที่จะขาดซะไม่ได้คือ Dark Phoenix หรือ จีน เกรย์ เมื่อเข้าสู้ด้านมืดเป็นที่เรียบร้อย ตามความจริงเธอเป็นผู้ที่โหดเหี้ยมและสามารถใช้พลังจิตทำลายดาวเคราะห์ได้ทั้งดวง! เธอต้องโหดร้ายและไม่ปราณีใคร แต่....ในภาคนี้เธอดูเหมือนคนที่กำลังปวดหัวจัด และไม่มีที่ไปซะมากกว่า จึงต้องไปเดินร่วมขบวนกับ Magneto ทั้งที่ไม่ได้มีเหตุผลรองรับอะไรเลยว่าทำไมเธอต้องไปกับเค้าด้วย เหมือนแค่เธอหน้ามืดและยังค้นหาตัวเองไม่เจอ ไม่สมเลยที่เป็นมนุษย์กลายพันธุ์ระดับ 5 ที่ร้ายกาจที่สุด



นอกจากที่กล่าวมากก็ยังมีอีกมากมาย หรือจะให้พูดง่าย ๆ คือ แทบทุกตัว ไม่สมกับเป็นตัวละครใน X-Men เลย Cyclops จากที่เคยดูเป็นเข้มแข็งและนิ่งสงบสุขุม กลับกลายเป็นคนเสียสติ หลงมัวเมากับความรัก จนเหมือนจะเสียทุกอย่างในชีวิต ไม่มีความปล่อยวาง ไม่เป็นตัวอย่างที่ดีให้นักเรียนซะด้วย และที่สำคัญคือไม่ได้ทำประโยชน์ใด ๆ ให้กับเนื้อเรื่องเลยแม้แต่น้อย นี่หรือคนที่ตัวละครที่โดดเด่นและเท่ที่สุดตัวหนึ่งในการ์ตูน X-Men ?
มนุษย์กลายพันธุ์ผ่ายตัวโกงทั้งหลายยังไม่น้อยหน้า เสร่อกันครบทุกตัวไป ยกตัวอย่างมา2 ตัวที่บุกเข้าไปฆ่านักวิทยาศาสตร์ ( พ่อของ Angle) ในตอนนั้นมีเป็นร้อยเป็นพันวิธี ที่มนุษย์กลายพันธุ์ 2 ตน จะฆ่า คนธรรมดาแค่คนเดียว แต่วิธีที่พวกเขาเลือกคือ จับไปโยนบนดาดฟ้า เพื่ออะไร? เพียงเพื่อให้ Angle ลูกชายของเขา บินมารับตัวไป แค่นั้นเอง เป็นการเลือกเหตุการณ์ได้อย่างไร้สมอง จนทำให้คนดูเดาทางถูกและหมดความสุขไปตามลำดับ เพราะถ้าไม่มีฉากดังกล่าว Angle ก็จะไม่มีบทบาทอะไรเลย เป็นการใช้ตัวละครได้อย่างไม่คุ้มค่าเป็นที่สุด



อีก 1 ฉากที่น่าจะเป็นการรอคอยของหลาย ๆ คน คือฉากการประทะระหว่าง Iceman และ Pyro มันต้องเป็นอะไรที่เจ๋งมาก แต่ฉากนั้นมันสั้นจนแทบไม่ได้ลุ้นอะไรเลย และ Pyro ถูกน๊อตด้วยการโขกหัว? เสียชาติเกิดการเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ที่ Hot และเร่าร้อนที่สุดคนหนึ่งตลอดการ
มาลงเอยที่ฉากจบทำมาสวย ทำภาพมาสวยดี แต่ความสมจริง สมจังแทบไม่มี Dark Phoenix สามารถใช้พลังจิตทำให้ Wolverine กระเด็นไปอย่างแรงเมื่อเธอตกกระใจตื่น แต่เมื่อเธอเพ่งพลังจิตสุดขีด เขายังสามารถเดินดุ่ม ๆ เข้ามาแทงได้เลย แล้วฉากจบนั้นเหตุใดจึงดูละม้ายคล้ายคลึง กับฉากจบของเรื่อง Van Helsing อย่างช่วยไม่ได้ ถึงตรงนี้เหมือนเป็นการ ตอกตำปูปิดฝาโรงให้กับตัวเองอย่างเรียบร้อบ ดับสนิทไปตลอดกาลนาน.....

สรุป: ถ้าคุณดูเอาแค่ในแง่ของความมันเรื่องนี้ได้ใจคุณได้ไม่ยาก แต่ถ้าถามถึงอารมณ์ของ X-Men ความรู้สึกรัก ความรู้สึกชอบในคาเรคเตอร์ต่าง ๆ อย่างที่มีมาใน 2 ภาคก่อน ไม่ครับ ไม่มีเหลือ ไม่มีอีกแล้ว และที่พรรณนาข้อเสียมามากมายเป็นเพราะว่า รักครับ รักใน X-Men เหมือนของที่ผมรักที่สุดสิ่งหนึ่งได้จากผมไปแล้วตลอดกาล ซึ่งผมเองจะไม่ว่าซักคำเลย ถ้า X-Men ไม่มีภาคที่ 1 และ 2 อย่างดีเยี่ยมแบบนั้นมาก่อน แล้วมา ทุลักทุเลในภาค 3 อย่างนี้ มันทำร้ายหัวใจคนรัก X-Men อย่างแรงครับ

ความชอบ: 1.5 เต็ม 5
เกรด: C+




______________________________________________________



The Da Vinci Code

นำเรื่อง: ภาพยนตร์ที่สร้างจากนิยายชื่อดัง ในที่สุดก็ถูกถ่ายทอดมาลงบนแผ่นฟิล์ม ให้คนทั้งโลกได้ชมกันจนเกิดเป็นกระแสมากมายทั้ง เรียกร้องและต่อต้าน แต่ถึงกระนั้นไม่ว่าผู้คนจะคิดเห็นยังไง หนังเรื่องนี้ก็บรรลุจุดประสงค์ของมันเองไปแล้ว 1 ขั้นคือ เป็นที่สนใจและทำเงิน!
เรื่องราวอันสับซ้อนของการถอดรหัสลับที่ฝากไว้โดยบรรณลักษณ์ ฌาคส์ โซนิแยร์ ด้วยประโยคเพียง 4 บรรทัด สามารถสื่อเรื่องราวไปถึงความลับที่สามารถเปลี่ยนความเชื่อมั่นของคนได้ทั้งโลก !!!



ข้อดีข้อเด่น : Ron Harward เลือกที่จะเล่าเรื่องตามแบบหนังสือฉากต่อฉาก ไม่ได้มีการบิดพลิ้วจากตัวหนังสือในแง่มุมมองโดยรวม ( อย่าง Harry Potter นี่บิดไปคนละเรื่อง ) หนังเรื่องนี้ถือเป็นหนังเรื่องหนึ่งที่ไม่เหมาะกับคนทุกกลุ่ม ว่าง่าย ๆ ก็คือถ้าคุณเป็นคนชอบอะไรแบบสืบสวนสอบสวน ลึกลับหักมุม หรือเรื่องเหนือการคาดเดาต่าง ๆ คุณอาจจะชอบเรื่องนี้ แต่หากคุณเบื่อกับหนังที่จ้อไม่หยุด กับบทสนทนายาว ๆ ติดกันหลาย ๆ ฉาก เป็นไปได้สูงว่าคุณจะไม่ชอบหนังเรื่องนี้เหมือนกัน และผมจะขอวิจารณ์ขอดีในแง่มุมของคนที่ชอบหนังเรื่องนี้แล้วกันนะครับ เพราะผมชอบมาตั้งแต่หนังสือแล้ว มันเป็นเรื่องราวที่ไม่มีใครคาดถึง ทั้งเนื้อเรื่องหลัก และเนื้อเรื่องปลีกย่อย ทุกรายละเอียดช่วยสนับสนุน ให้เรื่องราวสมจริง สมจัง มากขึ้นไปทุกนาที จนอดคิดแทบไม่ได้ว่า สรุป นี่มันเป็นนิยายที่แต่งขึ้น หรือเรื่องจริงกันแน่ ? อยากจะขอชมผู้แต่งในความฉลาดที่เข้าใจจะ ร่วบรวมข้อมูลสำคัญต่าง ๆ มาจับสมประกอบ อยู่ในเรื่องราวที่น่าจะเป็นจริงได้น้อยที่สุดในโลก !! เมื่อความไม่น่าเป็นจริง แต่ถูกรองรับเหตุผลอย่างลงตัวด้วยความเป็นจริงทางประวัติศาสตร์ที่พิสูจน์ได้ ที่นี้อะไร ๆ มันก็ฟังดูน่าเชื่อถือไปหมด ต่อให้มันเป็นเรื่องที่ หลุดโลกที่สุดก็ตาม เหตุการณ์ต่าง ๆ เพิ่มความน่าสงสัยขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามการสืบสวนของ โรเบิร์ต แลงดอน และ โซฟี ด้วยข้อมูลระเอียดยิบที่พวกเข้าต้องรวบรวมในการเข้าใจถึงปริศนาที่ถูกทิ้งเอาไว้ ซึ่งเป็นจุดขายของการดำเนินเรื่อง ทุกอย่างฟังดูน่าเชื่อ ทุกอย่างฟังดูเป็นไปได้ แต่ถึงกระนั้นแหละครับ อย่าลืมว่า “ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน” และความหักมุม มาเยือนคุณได้เสมอ...... ที่กล่าวมาแหละครับเป็นจุดที่ทำให้หนังดูสนุก ส่วนเรื่องของการแสดงของดาราต่าง ๆ Tom Hanks ถือเป็นผู้ที่หยุดหลังสุดของแถว เพราะเรื่องนี้เทียบไม่ได้เลยกับฝีมือที่เค้าฝากไว้ในเรื่องผ่าน ๆ มา จะว่าไปแล้วเค้าไม่เหมาะกับบทนี้แต่แรกแล้วด้วยซ้ำ ส่วน Audrey Tautou ผู้รับบท โซฟี เธอทำหน้าที่ของเธอได้อย่างครบถ้วนเลยครับ ดึงตัวละครจากหนังสือให้มีชีวิตขึ้นมาได้อย่างแท้จริง และนักแสดงนำอีกท่านคือ Ian McKellen ไม่ต้องเอ่ยชมให้มากมายครับ เอาเป็นว่า ท่านนี้ทำได้ ในระดับที่คุณ ๆ ท่าน ๆ คุ้นเคยกันเป็นอย่างดีครับ



ข้อด้อยข้อเสีย: การเล่าเรื่องที่ยัดข้อมูลตลอดเวลา 2 ชั่วโมงอย่างไม่มีทางเลือกของหนังเรื่องนี้ ถือเป็นยานอนหลับขนานเอก ที่โจมตีคนดูเข้าอย่างจัง หากคุณหลุดประเด็นไปเพียงแค่เล็กน้อย มันจะทำให้คุณงงจนดูไม่รู้เรื่องและหมดความสนุกไปในที่สุด.... เพราะแน่นอนครับ ว่าหนังที่สร้างจากหนังสือนั้นจำเป็นต้องตัดหลาย ๆ ส่วนหลาย ๆ อย่างที่ละทิ้งได้ออกไป แต่สำหรับเรื่องนี้ต่อให้ตัดกัน สับกันย่อกันแค่ไหน ข้อมูลที่ถ่ายทอดไปสู่คนดูมันก็มีมากมายซะเหลือเกิน ถ้าหากคุณตามไม่ทันเอาซะแล้วก็ยากที่จะสนุกกับเนื้อเรื่องขั้นต่อไปของภาพยนตร์ จนถึงแม้มีการหักมุม ก็ไม่ได้ช่วยเพิ่มความบันเทิงให้แก่จิตใจคุณได้ซักเท่าไหร่... ฉะนั้น คิดจะดูเรื่องนี้ขอให้ตั้งใจดูนะครับ



สรุป: อย่างที่กล่าวไว้แต่ต้นครับ ว่าถ้าชอบก็คือชอบ แต่ถ้าไม่ก็คือไม่ แต่ผมคิดว่า เรื่อง The Da Vinci Code มันคลาสสิคและลงตัวอยู่แล้วในรูปแบบของหนังสือ การที่นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ก็เพียงเพื่อผลกำไรทางการตลาดเท่านั้น หากสนใจและรักชอบกันอย่างแท้จริง แนะนำให้หามาอ่านกันนะครับ แล้วคุณจะทึ่งว่าหนังสือเล่มนี้มันสร้างความหรรษาได้มากเพียงใด

ความชอบ: 4.5 เต็ม 5
เกรด: B




______________________________________________________



Over the Hedge

นำเรื่อง: สัตว์น้อยมากมายทั้งน่ารักและน่าเกลียด ต่างก็ต้องเก็บอาหารไว้เมื่อถึงเวลาจำศีลเผื่อจะได้รอดตายกันไปตามธรรมชาติ แต่เมื่อหมดฤดูจำศีลพวกสัตว์เหล่านั้น ก็ออกมาร่าเริงตามปกติ หาอาหารเก็บไว้ยามจำศีลอีกครั้งเป็น วัฏจักร แต่คราวนี้อาหารไม่ได้หาง่าย ๆ เหมือนแต่ก่อนแล้ว เพราะ ดินแดนกว่า 90 % ของป่ากลายเป็นบ้านมนุษย์!!!! การออกหาอาหารครั้งนี้จึง สนุกและพิสดารกว่าครั้งไหน ๆ เป็นที่สุด



ข้อดีข้อเด่น: การ์ตูนของ DreamWorks มักจะถูกเอาไปเปรียบเทียบกับการ์ตูนของค่าย Pixar อยู่เสมออย่างช่วยไม่ได้ และถ้าพูดถึงด้านของคำวิจารณ์ Pixar ก็ชนะทุกยกไป แต่ DreamWorks ยังป็นเจ้าของหนังการ์ตูนที่ทำเงินสูงที่สุดตลอดกาลก็คือเรื่อง Shriek 2 จุดขายของ Pixar คือความสมจริงสมจังทางด้านอารมณ์ของตัวละคร ต่างมีน้ำหนักนุ่มลึก และเนี้ยบเนียนไม่ต่างกับคนจริง ๆ ส่วนของค่าย DreamWorks คือความแจ่มใสของเนื้อเรื่อง สีสัน และความร่าเริง ความแรดของตัวละครแต่ละตัว และชอบเสียดสีสังคมปัจจุบันเป็นระยะ ๆ ไป ในเมื่อ DreamWorks ไม่อาจแข่งในด้านของที่มันดีเด่นของ Pixar ก็กลับมาเอาดี ในด้านที่ตนเองถนัด คือความแรดและสีสันอันฉูดฉาด เรื่องนี้จึงใสความหรรษาสาและความสนุกลงกันไปแบบสนุกสุดเหวี่ยง ชนิดว่าเล่นเอา Pixar เสียวสันหลังกันเลยทีเดียว
ความสนุกสนานของเนื้อเรื่องมีมากขึ้นไปตลอกตลอดเวลาครับ และในเนื้อเรื่องนั้นระหว่างชมคุณจะรักตัวละครเข้าไปเรื่อย ๆ เพราะพวกเขาถือเป็นดาราอย่างแท้จริง แต่ละตัวมีความโดดเด่นที่ส่งผลถึงความเข้มข้นในเนื้อเรื่อง ยิ่งเข้าไปตอนท้ายก็ยิ่งเข้มข้น เพิ่มความสนุกสนานให้กับเนื้อเรื่องเข้าไปจัง ๆ จากที่ว่าไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นมากนักในช่วงแรก แต่หนังสามารถพาตัวเองไปสู่ความสนุกสุดหรรษาได้ด้วยตัวละครที่กล่าวมา ต้องขอชม ทั้ง ทีมงานที่ทำให้ตัวละครเหล่านี้มีความน่ารักเสมือนจริง และ บทภาพยนตร์ที่ดี เกินกว่าคำว่า “หนังการ์ตูน” ขอกลับมาชมที่ความสนุกของหนังอีกครั้ง ว่าหนังมีความสนุกที่อยู่ในระดับสูงก็เพราะว่า หนังใส่สาระเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย และความมีน้ำหนักของตัวละครขึ้นมาเป็นระยะ จนทำให้เรารักสัตว์น่าตาตลก ๆ เหล่านั้นอย่างสุดใจ ทั้งที่หน้าตามันก็เหมือนตุ๊กตาธรรมดานี่แหละ ดูแล้วก็ยังมีข้อคิดติดหัวกลับบ้านมาเล็กน้อย ว่าบางทีมนุษย์อย่างเรา ๆ ให้ความสำคัญกับวัตถุและชีวิตสวยงามในเมือง จนลืมไปหรือป่าวว่าการใช้ชีวิตตามธรรมชาติสบาย ๆ หรือการอยู่แบบพอมีพอกิน นั้นมันอาจจะดีกว่าก็ได้นะ




ข้อด้อยข้อเสีย: ข้อเสียที่เห็นได้อย่างชัดเจนก็คงจะเป็น เหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายทั้งหลายดูจะ บังเอิญและจงใจเกินไป จนเหมือนกับจงใจให้ขำ ซึ้งถ้ามันแป๊กก็จะกลายเป็นดาบ 2 คมทันที นอกเหนือจากนั้น ก็น่าจะเป็นการที่หนังเล่นกับความสนุกจนทำให้เนื้อเรื่องย้ำอยู่กับที่ไปซักพัก น่าเสียดายครับไม่งั้นอาจไปได้สวยกว่านี้แน่นอนครับ

สรุป: Over the Hedge เป็นอีกหนึ่งความเกินคาดหมายในซัมเมอร์นี้ และความสุขก้อนโตที่คุณจะได้รับตั้งแต่นาทีแรกจนเฮือกสุดท้ายเลยทีเดียว กับความสนุกสุดมัน ที่รองรับคนทั้งครอบครัวครับผม

ความชอบ: 5 เต็ม
เกรด: B+





______________________________________________________


Silent Hill (วิจารณ์ในมุมมองของผู้ที่เล่นเกมส์มาเพียงเล็กน้อยครับ)

นำเรื่อง: จากเนื้อเรื่องที่นำร่องมาง่าย ๆ แบบเดาทางกันไปถูกตั้งแต่เห็นโปสเตอร์ คือการตามหาลูกสาวของคุณแม่เก่งกล้าที่หลงเข้าไปในเมืองที่มีชื่อว่า Silent Hill จากนั้นก็เดินดุ่ม ๆ ไปเจอผีสางต่าง ๆ นา ๆ แล้วก็หนี ๆ ล่า ๆ ตาย ๆ อะไรประมาณนั้น แต่หนังเรื่องมันมีอะไรที่ยิ่งใหญ่และร้ายลึกกว่านั้นครับ หนังมีเนื้อเรื่องที่ลึกลับ และเกี่ยวโยงกับมิติที่น่ากลัวของการล้างแค้น จนผมเองแทบไม่อยากเชื่อว่า นี่เป็นเนื้อเรื่องที่สร้างมาจากเกมส์ เพราะมันช่างลึกลับซ่อนเงือนอะไรเยี่ยงนี้!



ข้อดีข้อเด่น: อารมณ์ของวิดีโอเกมส์ที่ถูกหยิบยกมาใส่ในภาพยนตร์ได้อย่างครบถ้วน ทั้งบรรยากาศและการเดินทาง มีการเก็บ Item เพื่อเป็นเบาะแสในการดำเนินเนื้อเรื่อง ทำให้คนดูมีอะไรนั่งไปดูไปเรื่อย ๆ สลับกับฉากเปิดตัวเหล่าซาตานอันโหดร้ายกันที่ละตัว ซึ่งเพิ่มดีกรีความเข้มข้นเข้าไปทีละนิดๆ เพราะซาตานนั้นถือว่าทำออกมาผ่านเลยทีเดียว โดยเฉพาะ Pyramid Head (ตัวโปรดผมครับ แต่น่าเสียดายออกน้อยไปนิด) ทำมาแบบว่าน่าเกรงขามและซาดิสอย่างแรงในฉากถลกหนังสด! ซึ่งการเข้าสู้ฉากสยอง ๆ แต่ละครั้ง คุณจะต้องเข้าสู่มิติแห่งซาตานที่น่ากลัวโหดร้าย มันแดงกล่ำไปด้วยเลือด และขี้เหล็กขึ้นสนิมเขรอะ เหมือนโลกที่เต็มไปด้วยความรังเกียจและความเครียดแค้น เหมาะสมลงตัวกับการเฉลยเนื้อเรื่องในตอนท้าย ซึ่งก็อยู่เนื้อการคาดเดาต่อไปอีก ว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้มันเกี่ยวข้องกับอะไร? ซึ่งก็แตกต่างจากที่ผมคิดไว้ในตอนแรกอย่างสิ้นเชิง



ข้อด้อยข้อเสีย: การที่ปล่อยให้คนดูงงตั้งนานกับเหตุการณ์สืบเบาะแสของนางเอก ว่าลูกเธอเป็นอะไรกันแน่ แล้วมาเฉลยเรื่องราวแบบเกือบหมดยาวประมาณ 3 นาที ถ้าคนดูรับข้อมูลไม่ทันหลุดจากเนื้อเรื่องกันไป ถึงกับงงขั้นวิกฤตกันเลย แล้วถึงขั้นสุดท้ายหนังก็ทำความผิดมหันต์กับคนดู คือการไม่เฉลยเรื่องของ มิติที่ต่างกันของโลกปกติ โลกวิญาณ และโลกซาตานแห่งการล้างแค้น ให้ชัดเจน ทำให้คนดูไม่เข้าใจกันเป็นแถวเมื่อดินออกจากโรงว่าสรุปทำไมมันจึงเป็นเช่นนั้น และคนที่อยากรู้ทั้งหลายก็ต้องวิ่งกันหาคำตอบจากผู้ที่เคยเล่นเกมส์มาจึงจะเข้าใจ หรือคิดจะเป็นปมอะไรไว้ภาค 2 ? ทิ้งแบบนี้ผมว่าไม่ไหวมั้ง?



สรุป: ไม่ว่าคุณจะงงหรือสับสนกับเรื่องราวของ Silent hill แต่คุณก็ยังสนุกได้กับฉากไล่ล่าฆ่าฟันได้ แต่อยากให้คุณทำความเข้าใจกับเนื้อเรื่องนี้ซะ แล้วคุณจะรู้ว่าเรื่องนี้มันไม่ใช่หนังผีธรรมดา ๆ เลย ว่าแล้วก็ช่วยกันอวยพรให้มีภาคต่อออกมาอย่างเร็ววัน เพื่อจะได้เปิดเผยสิ่งที่คั่งข้างในใจของผู้ชมให้กระจ่างกันถ้วนหน้า

ความชอบ: 4 เต็ม 5
เกรด: B-




______________________________________________________




Superman Returns

นำเรื่อง: ฮีโร่ผู้โด่งดังที่สุดคนหนึ่งของโลก กลับมาทั้งทีจึงเป็นธรรมดาที่ผู้คนจะให้ความสนใจและคาดหวังกันไปต่าง ๆ นานา ยิ่งในยุคนี้ หนังซูเปอร์ฮีโร่ผุดกันขึ้นยังกับดอกเห็ด จึงเป็นเรื่องช่วยไม่ได้เลย ที่ ซุปเปอร์แมน ภาคล่าสุดจะถูกนำไปเปรียบเทียบกับ ฮีโร่ในยุคปัจจุบันทั้งหลายแหล่ ซึ่งมีความมันส์เป็นหลัก และคุณอาจผิดหวังได้ครับ ถ้าคุณดาคหวังความมันทะลุขีดสุดแบบหนังแอคชั่น เพราะสิ่งที่ซุปเปอร์แมน รีเทิร์นส์ มีให้กับผู้ชมนั้นคือความอบอุ่น จริงใจ และความดีงาม ที่หาแทบไม่ได้ในสังคมทุกวันนี้....



ข้อดีข้อเด่น: Bryan Singer ยังคงรักษาฝีมือได้น่าพอใจ ในการเป็นผู้กำกับหนังเรื่องนี้ ไม่ต่างจากตอนที่ทำ X-Men 2 ภาคแรก คือเค้าเป็นคนที่สามารถจับแกนหลักของเรื่องได้อย่างแม่นยำและนำเสนอออกมาได้อย่างลงตัว ทุกครั้งไป ซึ่งแกนหลัก ๆ ของ ซุปเปอร์แมน คือจิตใจของเค้า ที่ไม่ต่างกับมนุษย์ธรรมดา ถึงเขาจะแตกต่าง ถูกเข้าใจผิด แต่มันไม่เป็นปัญหาที่ขัดขวางการเป็น “คนดี” ของเขาเลย พวกเราทั้งหลายควรเอามาเป็นแบบอย่าง หนังเล่าอย่างช้า ๆ ให้เราได้เข้าถึงจิตใจของ ซุปเปอร์แมน อารมณ์ของเขา ผ่านทางการแสดงของ Brandon Routh ซึ่งถือว่าดีมากในฐานะ หน้าใหม่ ผ่านเรื่องราวภูมิหลัง ซุปเปอร์แมน มาพอควรก็เข้าสู่ฉากแอคชั่น ซึ่งแต่ละฉากผมว่าทำออกมาดีมาก ๆ Bryan Singer ไม่ทำให้ผมผิดหวังซักครั้งในทุกฉากแอคชั่นที่เค้าสร้าง มีจุดที่ขับขันอย่างแท้จริง ทำให้ดูสนุกและหนังมีมิติและไม่งี่เง่า เรื่องซุปเปอร์แมนจึงเป็นหนังที่สะท้อนถึงแง่มุมในจิตใจของซุปเปอร์ฮีโร่ และปัญหาที่เค้าต้องเผชิญ ทั้งเรื่องสังคมและเรื่องลูก... คุณลองถามตัวดูซิว่าหากคุณต้องมาอยู่จุดเดียวกับเค้า คุณจะเลือกทำสิ่งใด ระหว่างสิ่งที่ถูกต้อง หรือสิ่งที่ใจเรียกร้องต้องการ? นับเป็นข้อคิดที่ดีข้อหนึ่งที่ได้จากหนังเลยทีเดียว และอีกประเด็นที่หนังหยิบยกขึ้นมาคือเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างพ่อและลูก หนังเปิดตัวในและจบลงในประเด็นเดียวกันอย่างน่ารัก น่าอบอุ่น จนคิดไม่ถึงเลยว่า หนังซุปเปอร์ฮีโร่ จะทำมาได้อบอุ่นถึงขนาดนี้



ข้อด้อยข้อเสีย: การที่หนังมีฉากมันน้อยไปตามที่คาดหวังไว้ ผมไม่เห็นว่าตรงนั้นมันเป็นข้อเสียนะครับ เพราะแต่ละฉากที่มีก็รองรับกับเนื้อเรื่องและเข้มข้นดีแล้ว จุดที่น่าจะตำหนิจริง ๆ คือการไม่เคลียร์ ๆ อะไร ๆ ให้คนดูได้ซะใจกันก่อนหนังจบ เพราะทุกคนเองก็ไม่แน่ใจว่า จะได้เห็นภาคต่อของหนังเรื่องนี้กันอีกเมื่อไหร่ การที่ทิ้งปล่อยอะไรไว้มากมายขนาดนั้น เป็นการทำให้คนดูหงุดหงิดอย่างช่วยไม่ได้ โดยเฉพาะ Lex Luthor ที่ถูกทิ้งให้พบจุดจบเหมือนตัวประกอบรายวัน ไม่สมกับการเป็น คู่อาแค้น หมายเลข 1 ของซุปเปอร์แมนเลย



จุดสังเกตุของคนขี้สงสัย : ตรงที่ Kitty ทิ้งผลึกลงจากเฮลิคอปเตอร์ ผลึกเหล่านั้นหล่นไปที่ไหน? หากหล่นไปบ่นเกาะที่ ซุปเปอร์แมนยกออกไปทิ้ง ก็ไม่เป็นปัญหา แต่หากมันตกน้ำไปล่ะ ก็รู้ ๆ กันอยู่ว่าตกน้ำไปแล้วนั้น มันจะอันตรายแค่ไหน แค่ฉายให้ดูหน่อยว่าผลึกเหล่านั้นมันหล่นไปอยู่ไหน ไม่ได้หรือไง ก็หนังให้ความสำคัญและความอันตรายของมันไว้ซะมากมาย กลับปล่อยมันไปง่ายๆ ทิ้งง่าย ๆ เมื่อมันถูกเททิ้ง ไม่ใช่แท่งหรรษาขายตามตลาดนัดนะครับพี่!!

สรุป: Superman Returns เป็นอีกหนึ่งความบันเทิงที่น่าพึงพอใจ ของซัมเมอร์นี้ และยังไงซะ คุณไม่ควรนำหนังเรื่องนี้ไปเปรียบเทียบกับหนังเรื่องฮีโร่อื่น เพราะต้องเข้าใจว่า สิ่งที่หนังแต่ละเรื่องนำออกมาขายนั้นไม่เหมือนกัน มันจะให้อารมณ์เดียวกันนั้นเป็นไปไม่ได้ คุณจะต้องจับจุดให้ได้ว่าหนังเค้าต้องการสื่ออะไรกับคนดู แล้วคุณจะรักหนังเรื่องนั้นมากขึ้นไปอีก อย่างที่ผมรักหนังเรื่องนี้

ความชอบ: 4 เต็ม 5
เกรด: B



______________________________________________________



Pirates of the Caribbean: Dead Man's Chest

นำเรื่อง: หลังจากความสนุกของภาคแรกที่ติดใจคนทั้งโลกไปแล้ว ทำให้หนังเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง และทำเงินไปเชิดหน้าชูตาอย่างภาคภูมิใจ กับเนื้อเรื่องสุดมันและดาราที่เป็นที่รักของแฟนอย่างท่วมท้น แต่นั้นมันเป็นแค่การเกรินนำของ Pirates of the Caribbean ครับ การเดินทางและการผจญที่แท้จริงมันเพิ่งจะเริ่มต้นครับ ในภาคที่ 2 นี้ Dead Man's Chest ซึ่งตอนนี้ได้เป็นอีกหนึ่งบทบันทึกทางหน้าประวัติศาสตร์ไปเรียบร้อยแล้ว



ข้อดีข้อเด่น: จากเนื้อเรื่องในภาคแรกที่ทำมาผ่านฉลุยอย่างสวยงาม สำหรับภาคนี้ มีการพัฒนาให้ สูงขั้นขึ้นไปอีกในทุก ๆ ด้าน!!! ที่โดดเด่นคือทางด้านของเนื้อเรื่องสามารถยืดอกอย่างภาคภูมิได้เลย ว่าไม่มีการหากินกับของเก่า เนื้อเรื่องทั้งหมดเป็นเหตุการณ์ที่สนุกสนานเข้มข้น ซึ่งพัฒนาบทอย่างดีเยี่ยมมาจากภาคแรก และสืบเนืองถึงกันได้อย่างวิเศษ แถมไม่น่าเกลียดที่มันยังจะเชื่อมโยงกันต่อสู่ภาคที่ 3 ได้อย่างน่าสนใจและดึงดูดอย่างแรง เนื้อเรื่องดำเนินไปอย่างสนุกสนานและเข้มข้น ทยอยปล่อยมุขและปมอะไรมากมายมาตามลำดับ จนนำไปสู่ใคลเม็กซ์ อันสุดบรรเจิด เกินจะบรรยาย ทำให้คุณรักหนังเรื่องนี้มากขึ้นทุกนาที และยังมีนักแสดงระดับแม่เหล็กของที่มีฝีมือไม่น่าผิดหวัง ประชันบทกันถึงพริกถึงขิง ที่รับใจผู้ชมไปอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยคงไม่มีใครเกิน Johnny Depp ในบทของ Jack Sparrow ที่บ้าอย่างน่ารัก เถือนอย่างเซ็กซี่ และโลภอย่างมีคุณธรรม เป็นการพิสูจน์ให้คนทั้งโลกเห็นถึงฝีมือการแสดงของเค้าอีกครั้งว่ามันวิเศษขนาดไหน (ใครไม่หลงรักใน Jack Sparrow ก็ใจดำไปละครับ)



รองลงมาก็เป็น Keira Knightley ในบท Elizabeth Swann ที่ทำได้ดีขึ้นนะผมว่า เหมือนเธอหาจุดจับในตัวเองได้แล้ว และใช้มันให้เป็นประโยชน์ การพูดการจา ใช้น้ำเสียง มีความมุ่งมั่น และน่ารักได้อย่างลงตัว ส่วนพ่อหนุ่มสุดฮอต Orlando Bloom ในบทของ Will Turner ถือว่าอยู่หลังแถวสุดในกลุ่มดารานำ เพราะดูแล้ว การแสดงของ Orlando Bloom ไม่ได้มีความแตกต่างจากเรื่องที่ผ่านมาเท่าไหร่นัก ยังคงทำได้เพียงหน้าเครียด และหน้าหล่อ (ซึ่งอาจเพียงพอแล้วสำหรับสาวๆ) แต่เขาไม่สามารถดึงอารมณ์อื่นของตัวละครออกมาได้อีก Will Turner จึงเป็นแค่พระเอกมีใจคุณธรรมรักแฟนสาวสุดใจ เหมือนใน หนังเรื่องผ่าน ๆ มาเท่านั้นเอง ไม่ได้ให้ความแปลกใหม่อย่าง 2 รายแรก



มาที่ด้านของตัวร้าย Davy Jones รับบทโดย Bill Nighy ซึ่งทำมาเจ๋งอย่าบอกใคร เป็นปีศาจตัวใหม่ที่จะอยู่ในความทรงจำของหลาย ๆ คนไปอีกนาน เพราะทำหนวดปลามึกยุบยับได้ใจดีจริง ๆแสดงอารมณ์ของตัวละครได้ทุกนาทีที่เขาออกฉากมา และยังมีดวงตาของ Bill Nighy ที่สอดคล้องรองรับกับการเคลื่อนไหว หนวดปลามึกยุบยับดังกล่าว รวมแล้วจึงเป็นอีกตัวละครที่สร้างความบันเทิงให้กับหนังอย่างเต็มเปา




เวลาของหนัง 2 ชั่วโมงครึ่ง ถูกใช้อย่างคุ้มค่าทุกนาที ไม่มีฉากใดที่สิ้นเปลือง ไม่มีบทสนทนาไหน ที่เลอะเทอะ ถึงจะไม่สำคัญต่อเรื่องก็สร้างความฮาได้ทุกทีไป รวมความดีเด่นทั้งหลายที่กล่าวมาจึงไม่แปลกใจที่หลายคนที่ออกจากโรงภาพยนตร์จะมีความสุขอย่างเต็มเปี่ยมในหนังเรื่องดีเยี่ยมประจำซัมเมอร์นี้



ข้อด้อยข้อเสีย: ในความสนุกสนานเต็มเปี่ยมของเรื่องนี้จะมีข้อเสียอะไรให้มาถกเถียงกัน เพราะมันแทบจะไม่มีจริง ๆ ถึงมีมันก็เพียงน้อยนิดและให้อภัยกันได้ ซึ่งก็คงจะเป็นการเล่าเรื่องที่รวดเร็วไปในบางจุดอาจทำให้คนที่ฉลาดน้อย ๆ ตามเรื่องไม่ทันได้ และการกระทำของตัวละครบางตัวก็ดูบ๊องตื้นไปนิด อย่าง Will Turner ที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อ Elizabeth Swann โดยที่ไม่เฉลียวใจเลยหรอว่า จะโดนหลอกเอา มีคุณธรรมมากไปไหมพี่? จะว่าไปแล้วนั้นทั้ง Will Turner และ Elizabeth Swann ทั้งคู่นี้กำลังอินเลิฟจนทำให้กลายเป็นคนโง่เองที่โดนหลอก หรือ Jack Sparrowนั้นหลักแหลมพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส รวมถึง ฉลาดและร้ายกาจเกินมนุษย์ทั่วไปกันแน่? ลองคิดกันดูซิครับ



จุดสังเกตของคนขี้สงสัย: จากที่ผมได้ชมมา มีบางจุดที่น่าเอามาคิดนะครับ ว่าอาจเชื่อมต่อไปถึงภาค 3 ตอน Pirates of the Caribbean: At World's End มีอะไรบ้าง ก็มาอ่านกันดูครับ แต่ขอย้ำนะครับ ว่าผมอนุมานเอาเองจากเหตุการณ์ที่ได้เห็นมาในภาพยนตร์
- ในบ้านของแม่หมอ Tia Dalma ขณะที่เธอกำลังเล่าเรื่องราวความหลังของ Davy Jones ฉากนั้น Jack หยิบอะไรไม่รู้เข้ากระเป๋าของตัวเอง (และมันอาจจะเป็นสิ่งที่ Elizabeth ต้องการเป็นที่สุดก็เป็นได้)
-ที่หลังมือของ Jack Sparrow มีเครื่องหมายถูกเหล็กร้อนจี้เป็นแผลเป็นคล้ายรูปตัว P ซึ่งน่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับ Lord Cutler Beckett อย่างแน่นอน
-ที่หน้าเปียโนของ Davy Jones มีหีบเพลงรูปหัวใจอยู่ และมีรูปเดียวกันบนหีบสมบัติที่ใส่ของสำคัญของเขาเอาไว้ และมีรูปนั้นก็เหมือนจะมีอยู่ในบ้านของแม่หมอ Tia Dalma ???? หรือว่าความจริงแล้วเธออาจจะเป็น......????
- สุดท้ายตอนจบของเครดิทมีฉากขำ ๆ ให้ได้ดูกันด้วยนะครับ หากใครไม่รีบจะอยู่นั่งดูต่ออีกซักพัก ก็ได้ถ้ารักกันจริง



สรุป: Pirates of the Caribbean: Dead Man's Chest ถือเป็นหนังภาคต่ออีกเรื่องที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่ผมเคยได้ชมมา และตกหลุมรักหนังเรื่องนี้เข้าอย่างเต็มเปา จนแทบจะรอภาคต่อไม่ไหว และอยากให้ทุกคนได้รับอรรถรสอันวิเศษนี้ด้วยกันนะครับ อ่านจบแล้วจะรีรออะไร รีบไปชมกันเลยดีกว่าครับ

ความชอบ: 5 เต็ม
เกรด: A-






แก้ไขล่าสุดโดย Darth เวเฟอร์ เมื่อ Tue Jul 11, 2006 4:54 am, ทั้งหมด 7 ครั้ง

_________________
คุยหนังภาษาหมา
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ส่ง Email MSN Messenger
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
อ่านจบละ ---

แล้วก็เป็นอีกครั้งที่พี่เอกวิจารหนังได้สุดยอด

ทั้งๆที่เก้ายังไม่ได้ดูเลยสักเรื่อง

บทวิจารของพี่เอก สามารถทำให้เก้าตัดสินใจ

ที่จะเลือกหนังในการเช่ามาดูได้มากๆเลยนะ


++++++++++

ตั้งแต่เรื่องแรกจนถึงเรื่องสุดท้าย พี่เอกวิจารได้ดีมากๆ

ทีหลังเอาอย่างนี้อีกนะ เก้าชอบ มากมาย


++++++++++

คนแรกครับ ขอโบก



แก้ไขล่าสุดโดย kaokoong เมื่อ Mon Jul 10, 2006 11:58 pm, ทั้งหมด 2 ครั้ง

_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว MSN Messenger
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
วิจานมันมากคับบ


_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ชมเว็บส่วนตัว MSN Messenger
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
x-men rox!! รักเรื่องนี้มากๆๆๆ

ภาค3 เปนอะไรที่ตัวละครเยอะเกินไปมั้ย?

ดาวินชี่ โค้ด พี่เอกพูดถูก หนังสือจะwork มันส์กว่าเยอะค่ะ



_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ส่ง Email MSN Messenger
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
วิจารณ์ได้ดีมากพี่เอก แต่เค้าไม่ใช่คอหนัง 555+ เค้าดูไม่กี่เรื่องเองที่พูดถึงมา แต่ทุกๆเรื่องน่าดูทั้งนั้นเลย


_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ชมเว็บส่วนตัว MSN Messenger
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
Silent Hill เป็นอย่างที่พี่เอกว่าจริงๆค่ะ ไม่ได้อธิบายว่ามีโลกปกติ โลกวิญาณ และโลกซาตานแห่งการล้างแค้น สำหรับคนที่ไม่ได้เล่นเกม บอกได้คำเดียวว่างงค่ะ ออกมาจากโรงเอ๋อเลยค่ะ เดี่ยวต้องไปดูเรื่องที่ยังไม่ได้ดูซะแล้ว
ปล.วิจารณ์ได้ยอดเยี่ยมมากๆค่ะ ชอบรูปประกอบค่ะ

Pirates of the Caribbean: Dead Man's Chest
ปลาหมึกตลกค่ะ ชอบปลาหมึกค่ะ กัปตันแจ๊คหล่อโคตร ดูแล้วฮากลิ้งค่ะเรื่องนี้เยี่ยมมากๆเลยค่ะ แทบจะอดใจรอดูภาค3ไม่ไหวและ





แก้ไขล่าสุดโดย คุณหญิงเจมส์ เมื่อ Tue Jul 18, 2006 10:46 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง

_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ส่ง Email
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
ไพเรท 2
5 ดาว
ครับ

Cool


_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
i havn't seen any of the movie u jus said
but the 1 i really wanna go c is pirate 2
and the things u jus said make me wanna go c it even more badly
well done m8
great job
u should do this for a living
u might make lots of money yea
Cool


_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ส่ง Email MSN Messenger
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
ทั้งหมดนี่ได้ดูแค่2เรื่องคือ over the hedge กับ POTC2

ชอบมากๆทั้ง2เรื่อง ให้เต็ม10ๆ โดยเฉพาะไพเรทนี่หนุกโคดดดดด



_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
ตอบ หน้า 1 จาก 3
ไปที่หน้า 1, 2, 3  ถัดไป
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
  


copyright : forwardmag.com - contact : forwardmag@yahoo.com, forwardmag@gmail.com