˹���á Forward Magazine

ตอบ

ไปที่หน้า 1, 2, 3  ถัดไป
7 ดัชนี่ย์นาง
ผู้ตั้ง ข้อความ
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ 7 ดัชนี่ย์นาง 


Cher

Cher มีชื่อจริงตามทะเบียนบ้านว่า Cherilyn Sarkisian เธอเกิดเมื่อปี 1946 ที่รัฐ California ผู้ที่ค้นพบพรสวรรค์การเป็นศิลปินของเธอคือ Sonny Bono นักร้อง นักแต่งเพลงชื่อดังในสมัยนั้น Bono มีความพยายามที่จะปลุกปั้น Cher ให้ดังเปรี้ยงปร้างด้วยการจ้าง Phil Spector โปรดิวเซอร์ชื่อดังมาทำเพลงให้กับ Cher และซิงเกิ้ลแรกของเธอ Ringo I Love You ตอนนั้นเธอยังไม่เป้นที่รู้จักมากเท่าไหร่ เธอจึงหันมาตั้งวงเองชื่อ Caesar & Cleo มี Bonnie Jo Mason เป็นดูโอ้ ตัดซิงเกิ้ล The Letter, Do You Wanna Dance และ Love Is Strange แต่ก็ยังไม่ดังมากนัก ในปี 1964 Cher หรือชื่อที่เป็นที่รู้จักในตอนนั้นคือ Cherilyn ได้เซ็นสัญญากับ Liberty Records เพื่อจะทำอัลบั้มเดี่ยวของเธอเอง Bono ก็ยังคงอยู่เคียงข้างเธอเสมอ ด้วยการเสนอตัวเป็นโปรดิวซเซอร์ให้ Dream Baby คือซิงเกิ้ลแรกที่ปล่อยออกมาในบ้านหลังใหม่ แต่ทั้งสองก็ได้ตกลงจะมาร้องเพลงด้วยกัน ภายใต้ชื่อ Sonny & Cher ซึ่งเป็นการร้องดูโอ้กับ ซันนี่ โบโน่ ซิงเกิ้ลที่ทั้งสองปล่อยออกมาคือ Baby Don't Go จากอัลบั้ม Reprise และ Cher ก็เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเพลง Just You ติดท็อป 20 ชาร์ตบิลบอร์ด และมีเพลงดังๆหลายเพลงที่ร้องกับโบโน่ ไม่ว่าจะเป็น I Got You Babe เพลงนี้ถือเป็นเพลงโปรดของ Cher เวลาไปร้องคอนเสิร์ตที่ไหน ก็ต้องร้องเพลงนี้ ไม่เคยขาด และความฝันของเธอในฐานะศิลปินเดี่ยวก็เป็นความจริง เธอได้ทีมจากคนทำเพลงให้ Bob Dylan และซิงเกิ้ล All I Really Want to Do โด่งดังมากๆ และ Cher กับ Sonny Bono ก็ได้ร่วมหอลงโรงกัน I Got You Babe คืออีกงานที่พวกเขาได้ร้องด้วยกัน ซึ่งถือว่าดังมากๆ ในยุค 60 Cher เริ่มมีทิศทางอัลบั้มเป็นของตัวเอง นั่นก็คือความเป็นร็อคแอนด์โรล ในช่วงนั้น แนวเพลงร็อคแอนด์โรลถือว่าดังมาก ซิงเกิ้ล Bang Bang (My Baby Shot Me Down) สามารถขายได้ถึง 1 ล้านแผ่นในอเมริกา You Better Sit Down Kids ที่เขียนโดย ซันนี่ โบโน่ ก็โด่งดังไม่แพ้กัน
ในปี 1967 แชร์ย้ายเข้าสู่ Atlantic เนื่องจากมีปัญหาชีวิตส่วนตัว แชร์กลับมาโด่งดังอีกครั้งในปี 1971 ด้วยเพลง Gypsies, Tramps and Thieves ขึ้นถึงดันดับ 1 บิลบอร์ด และขายได้มากกว่า 1 ล้านแผ่นในอเมริกา
อัลบั้ม Half-Breed และ Gypsys, Tramps & Thieves มียอดขายพุ่งกระฉูดติดอยู่บนชาร์ตหลายสัปดาห์ด้วยกัน ส่งผลให้แชร์โด่งดังมากๆ เธอมีซิงเกิ้ลฮิตในยุค 70 หลายเพลงด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น Take Me Home (ในปี 2003 Sophie Ellis Bextor ศิลปินชาวอังกฤษได้นำกลับมาทำใหม่) Gypsys, Tramps And Thieves, Dark Lady แชร์ยังโด่งดังในยุค 80 ด้วยซิงเกิ้ล I Found Someone, Heart Of Stone และสองซิงเกิ้ลจากอัลบั้ม Cher ชื่อเดียวกับเธอ Just Like Jesse James และ If I Could Turn Back Time ดังเป็นพลุแตก เพลงหลังได้นักเขียนเพลงมือถือ ไดแอน วอร์เรน มาแต่งให้ อัลบั้มรวมฮิตแรกของเธอออกในปี 1989 ในยุค 90 อัลบั้ม Love Hurts ของแชร์ก็ดังไม่ใช่เล่น Save Up All Your Tears และ Love Hurts คือเพลงเด่นๆจากอัลบั้มนี้ ในปี 1989 แชร์ก็ได้ออกอัลบั้มรวมฮิตอีกรอบ ซึ่งมีเพลงดังที่ร้องกับ ซันนี่ โบโน่อยู่หลายเพลง ยุค 90 คือช่วงที่เพลงร็อคกำลังแผ่วลง แชร์จึงต้องปรับเปลี่ยนแนวเพลงตัวเองเพื่อความอยู่รอด
อัลบั้ม Believe ถือเป็นอัลบั้มที่นำแชร์ขึ้นสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง ด้วยซิงเกิ้ล Believe แค่ซิงเกิ้ลนี้ก็ทำรายได้ให้แชร์ถึง 40 ล้านเหรียญ และทัวร์ของเธอก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แชร์ได้กลุ่มแฟนเพลงใหม่ คือ เกย์ และกระเทย เนื่องจากเพลงแดนซ์ของเธอเป็นอะไรที่บูมมาก ไม่ใช่แค่เพลงเดียว Strong Enough และ All Or Nothing ก็โด่งดังสุดๆ แชร์โดนค่อนขอดว่า ออกอัลบั้มรวมเพลงฮิตหลายครั้ง แต่เธอก็ไม่สนใจ เพราะยังไงอัลบั้มของเธอก็ขายได้อยู่ดี Living Proof เป็นการกลับมาของแชร์ในยุค 2000 เธอไม่ได้โด่งดังมาก แต่ทัวร์ The Farewell Tour ก็ทำรายได้อย่างมหาสาร ตั๋วหมดทุกรอบ ปัจจุบัน แชร์กำลังอยู่ในช่วงปรับเปลี่ยนรูปแบบของตัวเอง เธอจะกลับมาอีกหรือไม่ หรือเธอจะยอมแพ้สังขารตัวเอง



Madonna

มาดอนน่า หรือชื่อตามทะเบียนบ้านว่า Madonna Louise Veronica Cicone' เส้นทางสู่ความสำเร็จของเธอนั้นไม่ได้ง่ายเลย เธอเกิดที่ New York ในปี 1977 เธอมีความสามารถในการร้องเพลง เต้นรำ เธอได้เข้าเรียนเต้นด้วยอายุเพียง 2 ขวบเท่านั้น ถึงอย่างไร เส้นทางที่เธอใฝ่ฝันไว้ก็ยากนักที่จะไปถึง เธอได้ทำงานในร้านอาหารฟาสฟู๊ด โชคดีที่ตอนนั้นเธอมีแฟนหนุ่ม ที่ตั้งวงดนตรีชื่อวงว่า Breakfast Club จึงทำให้มาดอนน่าได้แสดงความสามารถ การเต้นและร้องเพลง แม้ว่าวงดนตรี Breakfast Club จะยุบตัวไป เธอก็ไม่ย่อท้อ เธอมีเงินติดตัวแค่ 100 ดอลล่าห์จากการทำงานร้านฟาสฟู๊ด เธอลงจากแท็กซี่ใน LA. เธอก็ได้บอกกับตัวเองว่า ชั้นจะต้องเป็นพ็อพสตาร์ที่โด่งดังให้ได้ เธอทำทุกอย่างที่จะให้ได้มาซึ่งคำว่าพ็อพสตาร์ ทั้งประกวดตามเวที และส่งเดโมไปให้ค่ายเพลง จนเธอได้เจอกับ Mark Kamins โปรดิวเซอร์ที่จับเธอเข้าสู่วงการ และความฝันของเธอก็เป็นจริง เธอทำอัลบั้มในปี 1982 และซิงเกิ้ล Everybody ซิงเกิ้ลแรกของเธอก็ปล่อยออกมา เธอดังในวงแคบๆ เพลงนี้ประสบความสำเร็จมากตามผับ เพราะเป็นเพลงดิสโก้ ช่วงนั้นดิสโก้กำลังบูมมากๆ แต่ยังไม่เท่ากับเพลงร็อค เธอมาโด่งดังเข้าจริงๆกับเพลง Holiday ซึ่งจัดว่าเป้นเพลงฮิตอมตะของเธออย่างแท้จริง เพราะปัจจุบันหลากหลายศิลปินจับเพลงนี้ไปแซมเปิ้ล ซิงเกิ้ล Borderline ก็โด่งดังเข้า ท็อป 10 ในบิลบอร์ด ในอัลบั้มที่สอง Like A Virgin มาดอนน่าได้โปรดิวเซอร์มือดี Niles Rodgers ซึ่งซิงเกิ้ลแรกชื่อเดียวกับอัลบั้ม โด่งดังมากๆ คืออันดับ 1 เพลงแรกในชีวิตของเธอ ด้วยความที่เธอจับเอาการเสียความบริสุทธิ์ของหญิงสาวมาโลดแล่นบนเสียงเพลง Material Girl ก็โด่งดังทั้งตัวมิวสิควีดีโอเองและก็เพลง มาดอนน่าได้ถูกรับเชิญให้ไปแสดงโชว์เพลงเกือบทุกรายการ เธอถูกขนานนามให้เป็น มาริลีน มอนโร คนใหม่เพราะลุคของเธอในเพลง Material Girl มาดอนน่ามีทัวร์คอนเสิร์ตร่วมกับวง Beastie Boys ในปี 1985 เพลง Crazy for You คืออีกเพลงฮิตของมาดอนน่า ขึ้นอันดับ 1 เป็นเพลงที่สองเธอ และทำให้เธอเป้นขวัญใจคอหนัง ช่วงนั้นมาดอนน่าถือเป็นไอดอลจากกลุ่มเด็กสาว เป็นกระแส Madonna Wannabes เพราะเธอโดดเด่นเรื่องการเต้นรำและร้องเพลง ทำให้เด็กๆอยากจะเรียนเต้นบัลเล่
มาดอนน่ากลับมามีเพลงฮิตอีกครั้งในเพลง Live to Tell ขึ้นอันดับ 1 เป็นเพลงที่สามของเธอ ตามด้วยอัลบั้ม True Blue ที่มีเพลงฮิตอยู่หลายเพลง Papa Don't Preach, Open Your Heart, La Isla Bonita โดยเฉพาะเพลง Open Your Heart ถือว่าเป็นปรากฏการณ์ ชุดนางโชว์นมกรวยในมิวสิควีดีโอถูกนำมาล้อเลียนโดยบุคคลหลายคน และถือเป็นลุคอมตะของมาดอนน่า Who's That Girl?หนังเรื่องแรกที่เธอแสดงนำ ก็โด่งดังไม่แพ้งานเพลง มีซาวด์แทร็คชื่อเดียวกับหนัง ก็สามารถขึ้นสู่อันดับสูงของชาร์ตได้อีก ช่วงนั้นมาดอนน่าทำอะไรก็พีค เธอคือไอดอลของกลุ่มวัยรุ่น ไม่ว่าเธอทำอะไร ใส่ชุดอะไร ทำผมทรงไหน ก็ต้องเป็นเรื่องฮิตของกลุ่มวัยรุ่น มาดอนน่าจึงคลอดอัลบั้ม You Can Dance ซึ่งเป็นการนำเพลงรีมิกซ์มารวมอยู่ในอัลบั้มเดียว ตอกย้ำว่าเธอคือราชินีเพลงดิสโก้ Like a Prayer คืออัลบั้มที่ออกมาในปี 1989 อัลบั้มนี้อื้อฉาวทั้งวงการ เพราะเธอเล่นเอาเรื่องศาสนา มายำซะป่นปี้ และซิงเกิ้ล Like A Prayer นี้โดนแบนไม่รู้กี่สถานีวิทยุ แต่กระนั้นก็ยังสามารถขึ้นถึงอันดับ 1 ได้และจัดว่าเป็นเพลงอมตะของเธออีกเพลง Express Yourself,Cherish และ Keep It Together สามารถขึ้นท็อป 10 ได้ทั้งหมด พร้อมๆด้วยการทัวร์คอนเสิร์ตแบบเดี่ยวๆครั้งแรกของเธอ Blonde Ambition tour และเธอก็ได้แต่งงามกับนักแสดง Sean Penn ในปีนั้น แล้วก็เลิกกันในระยะเวลาที่สั้นมากๆ
Vogue คืออีกเพลงฮิตอันดับ 1 ของเธอในช่วงที่ภาพยนตร์ที่เธอแสดงนำอีกเรื่อง Dick Tracy กำลังออกฉาย มาดอนน่าก็ฉาวโฉ่อีกครั้งเมื่อซิงเกิ้ล Justify My Love ซึ่งเป็นเพลงจากอัลบั้มรวมฮิตครั้งแรกของเธอ The Immaculate Collection ถูกออกอากาศ เธอทั้งโดนวิจารณ์สารพัด แต่เพลงนี้ก็เป็นอันดับ 1 อีกเพลงของเธอจนได้ This Used to Be My Playground เป็นซาวด์แทร็คจากหนังเรื่อง A League of Their Own ที่มาดอนน่าร่วมแสดงด้วย ฮิตในระดับท็อป 10
Erotica คืออัลบั้มใหม่ของเธอที่ออกในปี 1993 สร้างความฮือฮาไม่น้อย เมื่อเธอประกาศตัวเป็น Sex Symbol อย่างแท้จริงด้วยการออก Sex Book โดนสับเละต่างๆนาๆ หลายประเทศต้องแบนไม่ให้เธอมาแสดงคอนเสิร์ต แต่ถึงกระนั้น The Girly Show ตั๋วก็ขายหมดเกลี้ยง รวมทั้ง Janet Jackson ก็ยังชื่นชมถึงหนังสือสุดฉาวของมาดอนน่า เป็นตัวจุดชนวนให้เหล่าดารานายแบบ หันมาถ่ายภาพหวิว เช่น Isabella Rossellini, Big Daddy Kane, Naomi Campbell, และ Vanilla Iceต่างก็มีภาพหวิวๆเป็นของตัวเอง ถึงแม้ Erotica จะถูกแบน แต่ยอดขายในอเมริกาพุ่งถึง 2 ล้านแผ่น ในปี 1995 มาดอนน่ากลับมาอีกครั้งพร้อมอัลบั้มใหม่ Bedtime Stories มาดอนน่าได้ปรับเปลี่ยนซาวด์ของตัวเองเป็นอาร์แอนด์บีในแบบฉบับของเธอ Secret แตะถึงอันดับ 3 บิลบอร์ด และ Take A Bow ที่ร่วมงานกับ Babyface ศิลปินผิวสี ก็ติดอันดับ 1 บิลบอร์ดนานถึง 7 สัปดาห์ มาดอนน่าได้ร่วมแสดงหนังเรื่อง Four Rooms ที่มีผู้กำกับมากถึง 4 คน Quentin Tarantino, Allison Anders, Alexandre Rockwell, และ Robert Rodriguez ตามด้วยเรื่อง Blue In The Face ในเรื่องนี้เราจะได้เห็นเธอสวมชุด Mrs. America ในปี 1996 มาดอนน่าก็ได้ร่วมแสดงหนังอีกเรื่องคือ Girl 6 และในปีนั้นเอง Evita ก็คือหนังที่สามารถทำให้เธอเป็นที่ยอมรับในฐานะนักแสดง และสามารถคล้ารางวัลออสก้าร์ในสาขา เพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากเพลง You Must Love Me และอีกหนึ่งบทเพลงคือ Don't Cry for Me Argentina เป็นเพลงฮิตอีกเพลงที่สามารถเจาะกลุ่มลูกหนังได้ มาดอนน่ายังคงวนเวียนอยู่กับแวดวงภาพยนตร์ ในเพลง Beautiful Stranger ซึ่งเป็นซาวด์แทร็คจากหนังเรื่อง Austin Power 2
มาดอนน่ากลับมาสู่วงการเพลงอีกครั้งในปี 1987 กับอัลบั้ท Ray Of Light อัลบั้มนี้สามารถคว้ารางวัลแกรมมี่ย์ได้ถึง 4 ตัว และเพลง Frozen, Ray Of Light ก็เข้าสู่ท็อป 10 ของบิลบอร์ดอยู่หลายสัปดาห์ วิลเลี่ยม ออบริท โปรดิวเซอร์อัลบั้มนี้ก็โด่งดัง จากที่ยังเป็นโนเนมมาก่อน ถูกหลากศิลปินเรียกใช้กันอย่างมาก The Next Best Thing คือภาพยนตร์เรื่องใหม่ที่มาดอนน่าแสดงนำในปี 2000 และมีซาวด์แทร็ค American Pie ซึ่งมาดอนน่านำเพลงเก่าของ Don McLean ในปีเดียวกับ มาดอนน่าได้มีอัลบั้มใหม่ชื่อว่า Music โดยซิงเกิ้ลแรกชื่อเดียวกับอัลบั้มขึ้นถึงอันดับ 1 บิลบอร์ดอีกครั้ง และวลี Music Makes The People Come Together กลายเป็นคำพูดติดปาก ที่สามารถเข้าได้ทุกสื่อ โดยใช้บทเพลงเป็นสื่อให้ผู้คนมารวมตัวกัน Don't Tell Me สามารถเข้าสู่ท็อป 10 แต่ซิงเกิ้ล What It Feels Like For A Girl กลับไม่ได้รับการออกอากาศเท่าที่ควร เนื่องด้วยมิวสิควีดีโอที่มาดอนน่าแสดงความห่ามเกินหญิง แต่มิวสิควีดีโอนี้ก้ได้รับคำวิจารณ์ในแง่ดีจากหลายสถาบัน
มาดอนน่ากลับมาทัวร์คอนเสิร์ตอีกครั้ง โดยใช้ชื่อทัวร์ว่า Drowned World Tour ในปี 2003 มาดอนน่ากลับเข้าสู่สังเวียรภาพยนตร์อีกครั้งด้วยการร่วมแสดงเรื่อง 007 Die Another Day มีเพลงซาวด์แทร็ค Die Another Day สามารถขึ้นถึง ท็อป 10 ชาร์ตบิลบอร์ด ในปี 2004 นี้ มาดอนน่าได้มีอัลบั้ม American Life เป็นอีกหนึ่งอัลบั้มที่มาดอนน่าถูกจมตีอย่างมาก เพราะเธอหยิบเอาเรื่องสงคราม (วันที่ 11 กันยายน) มาเสียดสี อัลบั้มนียอดขายของเธอลดอย่างน่าใจหาย แต่ทั่วโลกกลับให้การตอบรับมากกว่าอเมริกาบ้านเกิดของเธอ มาดอนน่าจึงต้องเรียกศรัทธาของเธอคืนด้วยการออกทัวร์ Re Invention Tour ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก เป็นศิลปินหญิงที่มียอดทัวร์คอนเสิร์ตมากที่สุดในปีนั้น ฝ่ายชื่อคือ Prince กลับมาอีกครั้งในปี 2005 เธอได้ออกอัลบั้มใหม่ Confessions On A Dancefloor ตอกย้ำความเป็นราชินีเพลงพ็อพด้วยการออกอัลบั้มแดนซ์ล้วนๆ ซิงเกิ้ล Hung Up ขึ้นอันดับ 1 ถึง 30 กว่าประเทศ หลังจากนั้นก็มีซิงเกิ้ล Sorry และ Get Together ตามมา พร้อมกับการทัวร์อีกครั้งในชื่อทัวร์ว่า Confessions Tour ซึ่งตั๋วคอนเสิร์ตก็ยังขายหมดทุกรอบ ตอกย้ำว่า เธอคือราชินีเพลงพ็อพตัวจริง




Whitney Houston

วิทนี่ย์ เกิดในปี 1963 มีชื่อเต็มๆว่า Whitney Elizabeth Houston ครอบครัวของเธอมีเลือดศิลปิน โดยแม่ของเธอเป็นนักร้องเพลงประจำโบสถ์ เมื่อเธออายุ 11 เธอก็ได้แสดงความสามารถทางการร้องเพลงของเธอด้วยการเป้นหนึ่งในนักร้องเพลง gospel choir วิทนี่ย์เธอมีพรสรรค์การร้องเพลง ใครได้ฟังเสียงเธอก็ อึ้ง ทึ้ง ไปตามๆกัน ในปี 1985 ซิงเกิ้ลแรกในชีวิของเธอ Someone for Me ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก แต่เมื่อ You Give Good Love ซิงเกิ้ลที่สองกลามาเป็นเพลงฮิต ส่งผลให้ Saving All My Love for You และเพลงคัฟเวอร์อย่าง The Greatest Love of All โด่งดังจนขึ้นถึงอันดับ 1 บิลบอร์ดชาร์ต อัลบั้มแรกในชีวิของเธอขายได้ถึง 13 ล้านแผ่นทั่วโลก และอัลบั้มที่สอง Whitney Houston ก็ทำให้เธอคว้ารางวัลแกรมมี่ย์มาได้ เพลง I Wanna Dance With Somebody (Who Loves Me) Didn't We Almost Have It All," "So Emotional," และ "Where Do Broken Hearts Go ก็ประสบความสำเร็จอย่างมาก ในปี 1988 เพลง One Moment in Time ก็ถุกใช้ประกอบการแข่ง Olympics ในยุค 90 วิทนี่ย์กลับมาอีกครั้งในอัลบั้มที่สาม กับเพลง I'm Your Baby Tonight ซึ่งวิทนี่ย์ได้เปลี่ยนซาวด์ของตัวเองมาเป็นอาร์แอนด์บีอย่างเต็มตัว แต่เธอก็ยังไม่ทิ้งพาวเวอร์บัลลาด เพลง All the Man That I Need ถือเป็นอีกหนึ่งบทเพลงที่วิทนี่ย์ได้รับความนิยมอย่างสูง วิทนี่ย์ได้เป็นตัวแทนให้ร้องเพลง The Star Spangled Banner ในงาน Super Bowl เป็นเรื่องมหัศจรรย์มากเมือเพลงประจำชาติที่ร้องโดยวิทนี่ย์สามารถเข้าถึงท็อป 20 ของชาร์ตเพลงได้
ปี 1992 เธอได้แต่งงานกับ Bobby Brown และเป็นอีกปีที่ทำให้เธอเป็นที่พูดถึงในเรื่องภาพยนตร์ The Bodyguard ที่เธอร่วมแสดงกับ Kevin Costner มีเพลงดังๆอย่าง I Will Always Love You เพลงนี้ถูกจัดให้เป็นเพลงฮิตอมตะของวิทนี่ย์ ในปีนั้น เพลงนี้ถือว่าดังที่สุดแล้ว สามารถขายได้ถึง 5 ล้านแผ่น ในอเมริกา และติดอันดับ 1 ยาวนานถึง 14 สัปดาห์ด้วยกัน (เป็นรองยัยมาลัย) พร้อมทั้งมีเพลง I Have Nothing, Queen Of The Night ที่ถูกตัดเป็นซิงเกิ้ล อัลบั้มซาวด์แทร็คเรื่องนี้สามารถคว้ารางวัลแกรมมี่ย์มาได้ในสาขา อัลบั้มยอดเยี่ยม วิทนี่ย์ยังไม่หยุดผลงานภาพยนตร์ไว้แค่นั้น Waiting to Exhale คืออีกหนึ่งเรื่องที่เธอนำแสดง โดยมีซาวด์แทร็ค Exhale (Shoop Shoop) มาการันตีความฮ็อท ด้วยยอดขายซิงเกิ้ลมากถึง 7 ล้านแผ่น หลังจากนั้นเธอก็มีผลงานภาพยนตร์อย่างต่อเนื่อง เช่น The Preacher's Wife และถูกรับเชิญให้เล่นซีรีส์ ซินเดอเรลล่าในบทนางฟ้าใจดี ที่สโนไวท์คือ ยัยแบรนดีย์หน้าปลาบู่
ปี 1998 เป็นปีที่ถือว่าประสบความสำเร็จมากที่สุดของวิทนี่ย์ กับอัลบั้ม My Love Is Your Love อัลบั้มเต็มครั้งแรกในรอบ 8 ปี และเป็นอัลบั้มอาร์แอนด์บี ที่ทิ้งความเป็นพาวเวอร์บัลลาด กับเพลง Heartbreak Hotel ที่ในเวอร์ชั่นซิงเกิ้ลได้ Faith Evans กับ Kelly Price มาสร้างสีสัน ตามด้วย My Love Is Your Love และ It's Not Right But It's OK ซิงเกิ้ลหลังได้รับความนิยมอย่างสูง ทั้งเพลงแล้วก็ลุคในมิวสิควีดีโอ When You Believe เป็นการร่วมงานครั้งแรกกับศิลปินสาวเสียงดีอีกคน Mariah Carey เป็นซาวด์แทร็คจากการ์ตูนเรื่อง Prince of Egypt และในปี 2000 If I Told You That ที่ในเวอร์ชั่นซิงเกิ้ล ได้ป้า George Michael มาแจม ก็โด่งดังไม่ใช่เล่น เธอได้มีโอกาสร่วมงานกับศิลปินชาวลาติน Enrique Iglesias ในเพลง Could I Have This Kiss Forver วิทนี่ย์ได้ออกอัลบั้มรวมเพลงรัก และ รวมฮิต ทั้งสองอัลบั้มขายดีติดชาร์ตหลายสัปดาห์ด้วยกัน หลังจากนั้นวิทนี่ย์ก็มีมรสุมชีวิตเข้ามามากมาย ชีวิตสมรสของวิทนี่ย์ไม่ราบรื่นนัก เพราะมียาเสพติดเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่เธอก็ยังประคับประคองชีวิต จนปี 2003 อัลบั้มใหม่ของวิทนี่ย์ก็วางแผง Just Whitney ได้รับคำวิจารณ์ในแง่ลบ และตัวอัลบั้มเองก็ขายได้น้อยจนน่าใจหาย ปัจจุบันข่าวคราวของเธอหายไป จนเหมือนว่าเธอตายไปแล้ว แต่เราก็ยังอยากให้เธอกลับมาพร้อมฉายา Queen Of The Night



Kylie Minogue

Kylie Minogue เป็นสาวเมืองออสซี่ เกิดเมื่อปี 1968 เธอมีผลงานการแสดงเป็นอันดับแรกในซี่รีส์ Neighbours,Skyways ที่ออสเตรเลีย ตามรายการโชว์ต่างๆ เธอได้แสดงความสามารถในการร้องเพลงมาหลายครั้ง จนเข้าตากรรมการ ได้ออกอัลบั้มในที่สุด Mushroom Records ได้เฟ้นหานักแสดงที่สามารถร้องเพลงได้มาออกอัลบั้ม น้าไข่ก็ได้ร่วมโครงการณ์นี้ และมีลีลาเด็ดดวงกว่าใครเพื่อน จึงได้ออกอัลบั้ม I Should Be So Lucky คือซิงเกิ้ลแรกในชีวิตของเธอ ฮิตมากตามผับตามบาร์ เพราะช่วงนั้นเพลงดิสโก้ถือเป็นช่วงพีค เพลงนี้สามารถขึ้นอันดับ 1 ที่บ้านเกิดเธอได้ และขึ้นท็อป 5 ของอังกฤษ ไม่รอช้า Loco-Motion ก็เป็นอีกซิงเกิ้ลที่ตามมา สามารถขึ้นท็อป 10 ในอเมริกาได้อีกทั้งยังดังไปทั่วแถบยุโรป อัลบั้มที่ 2 Enjoy Yourself ไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร แต่ในออสเตรเลียบ้านเกิดเธอกลับขายดี ตามด้วยอัลบั้ม Rhythm Of Love น้าไข่กลับมาประสมความสำเร็จอีกครั้งกับเพลง Step Back In Time ในปี 1990 คือช่วงที่น้าไข่ดังสุดๆด้วยเพลงฮิตอมตะ Better the Devil You Know ที่ทั้งโลกต่างก็ให้การต้อนรับกับเพลงนี้ และสถาปนาให้เธอเป็นมาดอนน่าแห่งอังกฤษ
อัลบั้ม Let's Get To It ขายได้มากกว่า 2 ล้านแผ่น ปี 1994 เธอได้อัลบั้มชื่อเดียวกับเธอ Kylie Minogue ซิงเกิ้ลแรก Confide In Me ก็ดังในระดับที่น่าพอใจ ตามด้วย Put Yourself In My Place ช่วงนั้นน้าไข่เป็นขวัญใจช่างภาพอย่างแท้จริง เธอมักจะถูกเรียกให้ไปขึ้นปกนิตยาสารเป็นว่าเล่น ช่วงนั้นจะเห็นน้าไข่ตามแผงหนังสือหลายเล่ม ปี 1995 น้าไข่ก็ได้ร่วมงานกับ Nick Cave ในเพลง Where The Wild Roses Grow อัลบั้มใหม่ของน้าไข่ Impossible Princess เธอได้ร่วมงานกับ Pet Shop Boys เป็นอัลบั้มที่ขายเฉพาะในอังกฤษแล้วก็ออสเตรเลียเท่านั้น ปี 1999 น้าไขได้ย้ายเข้าสู่สังกัด Parlophone และปี 2000 ก็ทำให้ไคลี่ย์โด่งดังเป็นพลุแตกกับอัลบั้ม Light Years ซิงเกิ้ลแรก Spinning Around สามารถขึ้นสู่อันดับ 1 ที่อังกฤษและที่ออสเตรเลีย On A Night Like This ซิงเกิ้ลต่อมาก็ดังไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เธอได้รับการยอมรับให้เป็นราชินีเพลงแดนซ์ เมื่ออัลบั้มนี้สามารถติดอันดับยอดขายในอเมริกา
เธอได้มีโอกาสร่วมงานกับ Robbie Williams ในเพลง Kids เพลงนี้ก็ดังไม่ใช่เล่น โดยเฉพาะในโซนยุโรปเพลงนี้ฮิตมากๆ และความสำเร็จของไคลี่ย์ก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น Fever ถือเป็นปรากฏการณ์ครั้งสำคัญ เพราะซิงเกิ้ล Can't Get You Out Of My Head นอกจากจะติดอันดับ 1 ที่อังกฤษนานถึง 4 สัปดาห์แล้ว ยังเข้าสู่ท็อป 10 ชาร์ตบิลบอร์ดอีกด้วย อัลบั้มก็ขายดี เฉียด 5 ล้านแผ่นทั่วโลก พร้อมๆกับการคว้ารางวัล Brit Awards และ Grammy Awards ซิงเกิ้ลถัดมา Love At First Signs, In Your Eyes, Come Into My World ก็ดังมากๆในแถบยุโรปและบ้านเกิดของเธอ ไคลี่ย์ได้ทัวร์คอนเสิร์ตที่มีชือว่า Fever Tour ตั๋วก็ขายดีติดอันดับ ในปี 2004 ไคลี่ย์ กลับมาพร้อมกับอัลบั้มใหม่ Body Language ซิงเกิ้ลแรก Slow เป็นอันดับ 1 ล่าสุดของเธอในอังกฤษ แต่อัลบั้มนี้ไม่ได้รับความนิยมอย่างที่ควร เพราะเธอเปลี่ยนแนวไปเป็นพ็อพแดนซ์เบาๆ ไม่เต้นรากแตกเหมือนอัลบั้มที่แล้ว เธอเจอมรสุมชีวิตอย่างหนักในช่วงนี้ ขณะที่กำลังมีทัวร์ Show Girl หมอก็ตรวจพบว่าเธอเป็นมะเร็ง ต้องรักษาอย่างด่วน จึงต้องแคนเซิ่ลไปหลายที่ แต่วันนี้เธอก็หายดีแล้ว จึงกลับมาทัวร์ให้เสร็จสิ้น ล่าสุด ตั๋วของเธอขายหมดในชั่วพริบตา จึงทำให้เธอกลับมาสดใสเหมือนเดิม



Janet Jackson

Janet Damita Jo Jackson เกิดในปี1966 เธอเป็นน้องคนสุดท้องในตระกูล Jackson ท่ามกลางผู้ชายในบ้าน เมื่อวงดนตรีครอบครัว Jackson 5 อุบัติขึ้น เจเน็ทก็ถูกเลี้ยงดูมาให้รักเสียงเพลง เจเน็ทมีใจรักการร้องเพลงและการเต้นรำ เมื่อใดที่พี่ๆไปเปิดคอนเสิร์ต น้องเจเน็ทจะตามไปเสมอ เจเน็ทได้เซ็นสัญญาออกอัลบั้มกับค่าย A&M records
อัลบั้มแรกของสาวเจเน็ทคือ Janet Jackson ไม่ค่อยเป็นที่พูดถึงมากเท่าไหร่ เนื่องด้วยศิลปินที่ออกมามากหน้าหลายตาในขณะนั้น จึงทำให้เจเน็ทไม่ดังเท่าที่ควร ในปี 1986 เธอกลับมาอีกครั้งในอัลบั้ม Control ซึ่งทำให้เธอมีเพลงฮิตเพลงแรกคือ What Have You Done For Me Latelyหลังจากนั้นก้มีซิงเกิ้ลดังๆตามมาคือ Nasty, When I Think Of You และ Let's Wait Awhile มิวสิควีดีโอของเธอก็เป็นที่พูดถึง เพราะเธอเต้นออกสเต็ปเหมือนไมเคิ่ล แจ็คสันพี่ชายของเธอ เริ่มมีการเลียนแบบเธอมากขึ้น (ยัยบริทนี่ย์ก็ได้รับอิทธิพลของเจเน็ทไปมากเหมือนกัน) ปี 1989 ความดังของเธอก็มากขึ้นเรื่อยๆกับอัลบั้ม Rhythm Nation มีซิงเกิ้ลดังๆคือ Love Will Never Do (Without You), Black Cat, Miss You Much และ Escapade สามารถขึ้นอันดับ 1 บิลบอร์ดได้ทั้งหมด และซิงเกิ้ล Rhythm Nation," "Alright," และ "Come Back to Me ต่างก็เข้าท็อป 5 ส่งผลให้เธอคว้ารางวัล Billboard awards หลังจากนั้น เจเน็ทเริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้น เธอได้ย้ายเข้าสู่ Virgin Records ด้วยค่าตัว 30 ล้านดอลล่าห์ ถือว่าสูงมากในช่วงนั้น และได้ออกอัลบั้มใหม่ในปี 1991 กับอัลบั้ม Janet เธอเอาดนตรีร็อคและอาร์แอนด์บีมาผสมกันได้อย่างลงตัวในเพลง If และเพลง That's The Way Love Goes ตืดอันดับ 1 บิลบอร์ดชาร์ตนานถึง 8 สัปดาห์ เจเน็ทมีเพลงช้าๆเพราะๆอย่าง Again ขึ้นชาร์ตอีกด้วย
หลังจากนั้นปี 1995 เธอก็ได้ออกอัลบั้มรวมฮิตพร้อมวีดีโอรวมมิวสิควีดีโอของเธอตั้งแต่ปี 1986 จนถึง 1992 ใช้ชื่ออัลบั้มว่า Design Of A Decade มีเพลงใหม่สองเพลงคือ Runaway และ Twenty Foreplay ในปี 1997 เจเน็ทก็เริ่มมีทัวร์คอนเสิร์ต พร้อมกับภาพลักษณ์ใหม่เป้นสาวอีเล็คโทรนิค พร้อมกับออกอัลบั้ม The Velvet Rope ที่มีเพลง Got Til It's Gone เป็นซิงเกิ้ลแรก ปัจจุบันเพลงนี้ถูกนำไปแซมเปิ้ลในเพลง Big Yellow Taxi ของ Counting Crow เพลงดังๆถัดมาคือ Everytime ,Any Time Any Place อัลบั้มนี้สามารถขายได้กว่า 7 ล้านแผ่น เพลง Together Again เป็นเพลงที่ถูกเลือกเป็นหนึ่งในเพลงช่วยเหลือผู้ป่วย AIDS และยังขึ้นถึงอันดับ 1 อีกด้วย
ปี 1995 เธอได้ร่วมงานกับพี่ชายของเธอ ไมเคิ่ล แจ็คสันในเพลง Scream เพลงนี้สามารถขึ้นสู่ท็อป 5 ของอเมริกา ปี 1999 เธอได้กลายเป้นสาวอารืแอนด์บีอย่างเต็มตัว เมื่อเธอไปเป้นนักร้องรับเชิญให้กับ Busta Rhymes ในเพลง What's It Gonna Be? ฮิตในระดับท็อป 5 ในปี 2000 เธอก็ได้มีโอกาสโลดแล่นบนแผ่นฟิล์มด้วยบทนางเอก Nutty Professor II แน่นอนว่าเธอต้องมีซาวด์แทร็คมาให้แฟนๆได้ชื่อใจกันอยู่แล้ว คือเพลง Doesn't Really Matter กลายเป็นเพลงฮิตอันดับ1ของเธออีกเพลง
และแล้วในปี 2001 เธอก็ได้ปล่อยอัลบั้มใหม่ All for You มีซิงเกิ้ลชื่อเดียวกับอัลบั้ม สามารถขึ้นถึงอันดับ 1 อีกครั้ง ซิงเกิ้ลนี้ขายดีถึง 6 แสนก็อปปี้ ในช่วงสัปดาห์แรกที่วางขาย Someone to Call My Lover ซิงเกิ้ลที่สองของเธอก็เข้าสู่ท็อป 10 ตามด้วย Son Of A Gun เพลงด่าผู้ชายที่ฮิตในระดับท็อป 40 และปี 2004 คือปีที่ตกต่ำที่สุดของเธอ เมื่อเธอเกิดพิเรณให้ Justin Timberlake ศิลปินรุ่นหลานกระชากนมต่อหน้าคนดูในงาน Super Bowl เธอถูกประนามอย่าหนักในปีนี้ แธอก็ยังมีอัลบั้ม Damita Jo ที่ตั้งตามชื่อกลางของเธอมาให้ซื้อหากัน ซิงเกิ้ลแรก Just A Little While ไม่ปรสบความสำเร็จเท่าที่ควรเพราะกระแสจากนมหก จึงส่งผลให้ซิงเกิ้ลที่เหลือไม่ดัง I Want You, All Nite (Don't Stop) ไม่ได้รับการออกอากาศจากวิทยุมากนัก เพราะถูกแบน เธอจึงเก้บเนื้อเก็บตัว ปัจจุบัน เจเน็ตกำลังจะมีอัลบั้มใหม่ที่ชื่อว่า 20 Years Old ซึ่งหมายถึง 20 ปีที่เธออยู่ในวงการ ซิงเกิ้ลแรก Call On Me ที่ร้องร่วมกับ Nelly อัลบั้มนี้ได้ Jermaine Dupri แฟนหนุ่มของเธอมาโปรดิซเซอร์ให้ จะดับหรือจะเด้งต้องติดตามกันต่อไป



Mariah Carey

แม่มาลัยของเรานั้นลืมตาดูโลกเมื่อปี 1970 ถือว่าอายุน้อยที่สุดในบรรดา ดัชนี่ย์นาง มาลัยใฝ่ฝันตั้งแต่เด็กว่าอยากจะเป็นนักร้อง เธอรับจ๊อบร้องเพลงตามโบสถ์ต่างๆจนได้ดี เธอได้แรงบัลดาลใจมาจากครอบครัวของเธอที่รักเสียงเพลง มารายท์ได้เซ็นสัญญากับ Columbia Records และได้ออกอัลบั้มแรก Mariah Carey ในปี 1990 เส้นทางศิลปินของเธอดูเหมือนจะราบรื่น เพราะ 4 ซิงเกิ้ลแรกจากอัลบั้มนี้ สามารถขึ้นอันดับ 1 บิลบอร์ดได้ทั้งหมด คือ Vision of Love, Love Takes Time, Someday, และ I Don't Wanna Cry เธอสามารถคว้าสองรางวัลแกรมมี่ย์มาได้คือ ศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม และศิลปินหญิงผู้มีเสียงทรงพลัง เหมือนที่วิทนี่ย์ เคยได้รับ ไม่รอช้ามารายท์ก็ได้ออกอัลบั้ม Emotions ในปีถัดมา ซิงเกิ้ลแรก Emotions ก็ขึ้นอันดับ 1 ตามระเบียบ Can't Let Go และ Make It Happen ก็ฮิตติดท็อป 5 ความสำเร็จของมารายท์ยังไม่หยุดอยู่นั้น MTV Unplugged EP ที่ออกในปี 1992 มีเพลงคัฟเวอร์วง Jackson 5 อย่าง I'll Be There ที่ได้ Trey Lorenz มาร้องคู่กัน ก็ขึ้นอันดับ 1
ปี 1993 กับอัลบั้มใหม่ Music Box ที่ยอดขายถล่มทลายทั่วโลก มีเพลงดังๆอย่าง Dreamlover และ Hero ขึ้นสู่อันดับ 1 อีกตามเคย ปี 1994 มารายท์ ก้มีอัลบั้มพืเศษ Merry Christmas ออกมาต้อนรับวันคริสมาสท์ มีซิงเกิ้ลออกมาคือ All I Want for Christmas Is You ปีถัดมา อัลบั้ม Daydream ของมารายท์ก็วางขายด้วยซิงเกิ้ลแรก Fantasy สามารถขึ้นอันดับ 1 ในสัปดาห์แรกที่ออกอากาศ ด้วยซิงเกิ้ลนี้ส่งผลให้เธอเป็นศิลปินหญิงที่มีอันดับ 1 มากที่สุดในอเมริกา ยังไม่หยุดแค่นั้น อัลบั้มนี้ยังทำลายประวัติศาสตร์ของป้าวิทนี่ย์ด้วยเพลง One Sweet Day ร้องคู่กับกลุ่มศิลปินผิวสี Boy II Men สามารถเป็นอันดับ 1 ได้ถึง 16 สัปดาห์ ปัจจุบันยังไม่มีใครริอาจมาทำลายสถิตินี้ ถัดมาปี 1997 อัลบั้ม Butterfly ยอดขายของเธอแม้จะไม่ได้มากเหมือนเดิม แต่ก็ยังคงมีเพลงเพราะๆให้ได้ฟังกันเช่น Breakdown, Butterfly, มารายท์ก็ได้ออกอัลบั้ม #1's เป็นอัลบั้มที่รวบรวมบทเพลงที่ขึ้นอันดับ 1 พร้อมสามเพลงใหม่ Sweetheart, When You Believe และ I Still Believe
ปี 1999 มารายท์ก็ออกอัลบั้มสายรุ้ง Rainbow ซึ่งอัลบั้มนี้มารายท์ประกาศตัวเป็นเจ้าแม่เพลงฮิพฮอพด้วยเพลง Heartbreaker ก็พุ่งตรงเข้าสู่อันดับ 1 บิลบอร์ดอีก ตามด้วย Thank God I Found You ที่ร่วมร้องกับบอยแบนด์ 98 Deegrees แม้ซิงเกิ้ลถัดมาอย่าง Cry Baby จะไม่ได้รับการออกอากาศเท่าที่ควร แต่ยอดขายอัลบั้มของมารายท์ก็ไม่ใช่ขี้ๆแต่อย่างใด สมฉายา The best-selling female in 90 มารายท์มีปัญหากับอดีตสามีซึ่งเป็นบอสของค่ายโซนี่ที่เธอสังกัดอยู่ เธอจึงต้องย้าย เธอได้เลือก Virgin Records ซึ่งเป็นบ้านเดียวกับเจเน็ท ด้วยค่าตัวถึง 80 ล้านดอลล่าห์ กับการแสดงหนังที่เธอได้มีโอกาสแสดงนำเรื่องแรกในชีวิตคือ Glitter พร้อมๆกับการอออกอัลบั้มซาวด์แทร็คชื่อเดียวกัน แต่แล้วเธอก็ไม่ประสบความสำเร็จ นักวิจารณ์ต่างสับเละทั้งหนังแล้วก็เพลง Glitter ทำรายได้ใน Box-Office ไปแค่ สี่ล้านเหรียญเท่านั้น หลังจากนั้นค่าย Virgin ก็ต้องเชิญเธอออกจากสังกัดเนื่องจากหมดแรงโปรโมตด้วยเงินทั้งสิ้น 28 ล้านเหรียญ
แต่ขึ้นชื่อว่ามารายท์ยีงไงก็ไปรอดอยู่แล้ว เธอได้เซ็นสัญญาใหม่กับค่าย Island/Def Jam ซึ่งมารายท์ก็ได้รวบรวมพลพรรคฮิพฮอพเปอร์มาร่วมลงขันตั้งสังกัดใหม่ MonarC Music โดยศิลปินเบอร์แรกในค่ายก็คือเธอนั่นเอง กับอัลบั้ม Charmbracelet มีซิงเกิ้ลขอความเห็นใจอย่าง Through The Rain ไม่ค่อยประสบความสำเร็จในหมู่มากนัก เพราะในช่วงนั้น มารายท์ทำเพลงฮิพฮอพได้ราบเรียบเกินไป ในขณะที่เพลงในชาร์ตต่างก็โป๊งๆชึ่งกันทั้งนั้น เจ๊มารายท์ไม่ย่อท้อ ดึงตัว Jermaine Dupri มาโปรดิวซ์งานให้ในอัลบั้มใหม่ The Emancipation Of Mimi เธอกลับมาโด่งดังอีกครั้งกับเพลง We Belong Together ด้วยการเป็นเจ้าของอันดับ 1 ในปี 2005 นานถึง 14 สัปดาห์ ตามมาด้วย Don't Forget About Us ทำให้ปัจจุบันเธอมีอันดับ 1 มากที่สุดถึง 17 เพลง และล่าสุด เธอก็มี The Adventure Of Mimi Tour ตอกย้ำความสำเร็จให้กับอัลบั้มล่าสุดได้เป็นอย่างดี



Celine Dion

เซลีน ดิออน เธอได้รับแรงบรรดาลใจอยากจะเป็นศิลปินจาก ไมเคิ่ล แจ็คสัน เธอเห็นไมเคิ่ลมีชื่อเสียงมาก จึงทำให้เธออยากจะก้าวเข้าสู่วงการเพลง เมื่อตอนเธออายุ 12 ขวบ เธอได้แต่งเพลง Ce N'etait Qu'un R๊ve เป็นความภาคภูมิใจของเธอมาก เพราะใครๆก็ชอบเพลงนี้ จากเด็กสาวอายุ 18 ที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย เธอจึงต้องไปร่ำเรียนวิชาภาษาอังกฤษก่อนที่จะได้มาออกอัลบั้ม และแล้ว Epic Records ก็เห็นแวว ก่อนที่เธอจะมีอัลบั้มภาษาอังกฤษ เธอได้มีอัลบั้มเป็นภาษาฝรั่งเศษ คือ Incognito, Unison เมื่อใครต่อใครได้ฟังเสียงอลังการณ์ของเธอ เธอได้ออกอัลบั้มแรกเป็นภาษาอังกฤษในปี 1992 ชื่ออัลบั้มว่า Celine Dion ซิงเกิ้ลแรก If You Asked Me To สามารถเข้าถึงท็อป 10 ในอเมริกา ตามด้วย Nothing Broken But My Heart และ Love Can Move Mountains และเพลง Beauty And The Beast ก็ถูกนำไปเป็นซาวด์แทร็คหนังการ์ตูนชื่อเรื่องเดียวกัน ปีต่อมาอัลบั้มที่สองของเธอ The Colour Of My Love วางแผง เพลง The Power of Love จากอัลบั้มนี้โด่งดังมาก ปีนั้นไม่มีใครไม่รู้จักเพลงนี้ ด้วยน้ำเสียงที่ทรงพลัง แต่เธอก็ยังไม่ละทิ้งภาษาฝรั่งเศษ ปี 1994 เธอมีอัลบั้มใหม่ที่เป็นภาษาฝรั่งเศษคือ Dion Chante Plamondonและ Les Premieres Annees อีกปีถัดมาก็เป็นอัลบั้มภาษาฝรั่งเศษอีกสองอัลบั้มคือ The French Album และ Des Mots Qui Sonnent เซลีนได้รับการยอมรับจากนักวิจารณ์หลายสถาบันในเรื่องน้ำเสียงของเธอ ที่สะกดใจคนฟังได้อย่างน่าทึ้ง จนเมื่อปี 1996 อัลบั้ม Falling Into You สามารถทำยอดขายได้กว่า 7 ล้านแผ่น และสามารถคว้ารางวัลแกรมมี่ย์ในสาขา Album of the Year และ Best Pop Album ในอัลบั้มนี้มีเพลงเพราะๆอย่าง Because You Loved Me, All by Myself, It's All Coming Back to Me Now
ในปี 1997 ภาพยนตร์เรื่อง Titanic ได้รับความนิยมมหาศาล และเซลีนเองก็ได้ร้องซาวด์แทร็คเรื่องนี้ในเพลง My Heart Will Go On เพลงนี้สามารถขึ้นอับ 1 อย่างง่ายดายในสัปดาห์แรกที่ออกอากาศ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รางวัลออสก้าร์ถึง 11 ตัว และหนึ่งในนั้นก็เป็นรางวัล ซาวด์แทร็คยอดเยี่ยมอีกด้วย เซลีนได้มีโอกาสร่วมงานกับนักร้องระดับตำนานอย่าง Barbra Streisand ในเพลง Tell Him เซลีนถูกรับเชิญให้เป้นส่วนหนึ่งบนเวที VH1's Divas ซึ่งมีศิลปินระดับตำนานมาร่วมหลายคนเช่น Aretha Franklin, Gloria Estefan, Mariah Carey, และ Shania Twain ตามด้วยอัลบั้มภาษาฝรั่งเศษในปี 1998 Chansons en Or และอัลบั้มเพลงคริสท์มาส These Are Special Times ที่รับความนิยมมากพอสมควร เซลีนได้มีอัลบั้มรวมฮิตในปี 2002 กับอัลบั้ม Tout en Amour กับ All The Way ซึ่งเป็นการนำเอาเพลงฮิตที่เป็นภาษาอังกฤษมารวมกัน ขายได้มากถึง 2 ล้านแผ่น เธอห่างหายจากการออกอัลบั้มไปนานมาก
A New Day Has Come เป็นการกลับมาของเธอ อย่างยิ่งใหญ่ เพราะมีการแสดงคอนเสิร์ตเปิดอัลบั้มหลายที่ เพลง A New Day Has Come สามารถเข้าถึงท็อป 40 ได้ และอัลบั้มนี้ก็ขายดีไปกว่าสองล้านแผ่น ปี 2003 เซลีนได้ปรับเปลี่ยนแนวเพลงของเธอเป็นเพลงแดนซ์ อัลบั้ม One Heart มีซิงเกิ้ลที่เป็นที่รู้จักคือ I Drove All Night แต่ก็ไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร เมื่อนักวิจารณ์ต่างลงความเห็นว่า เพลงแบบนี้ไม่ใช่เซลีนเลย ในปีเดียวกัน เซลีนก็ได้ออกอัลบั้มภาษาฝรั่งเศษคือ 1 Fille & 4 Types มีเพลง Tout L'or Des Hommes เป็นซิงเกิ้ลแรก แต่เซลีนก็ไม่ได้รับความนิยมเหมือนแต่ก่อนแล้ว เนื่องด้วยยุคสมัยเปลี่ยนไป เซลีนจึงจัดการแสดงสดอย่างยิ่งใหญ่อลังการคือ A New Day: Live In Las Vegas
และออกอัลบั้ม Miracle ซึ่งเป็นการนำเพลงเก่าๆของคนอื่นมาคัฟเวอร์ เพลงที่ถูกตัดเป็นซิงเกิ้ลคือ Beautiful Boy ถัดมาในปี 2005 เธอได้ออกอัลบั้มรวมฮิตเพลงภาษาฝรั่งเศษ On Ne Change Pas มีเพลงดังๆในอดีตเช่น Je Sais Pas, D'amour Ou D'amitie, L'amour Existe Encore,Incognito ในปี 2006 เซลีนกำลังจะมีทัวร์คอนเสิร์ตครั้งยิ่งใหญ่คือ A New Day








แก้ไขล่าสุดโดย BomB--Gates เมื่อ Sat Aug 12, 2006 11:39 pm, ทั้งหมด 4 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
ขอบคุณที่มารีวิวให้นะค่ะ ทำได้ละเอียดยิบเลยค่ะ

ปล . ใน 7 ดีว่านี้ขอมอบรางวัลเสียงทรงพลัง หวานซึ้งให้ป้าวิทนี่ย์เลยค่ะ



_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
เจ๋ง จริงๆ นังบอม บรรยายรุ้ถึงแก่นสารเลย


_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ชมเว็บส่วนตัว MSN Messenger
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
ขอให้ได้ลงหนังสืออีกนะคระ
กระเทย Cool



_________________
http://www.napussyonline.net/

http://www.babyjane-mimi.com
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
โอ๊ยยย..เยอะจัง ขี้เกียจอ่าน ใครสรุปให้หน่อย


_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
ดีมากๆเลย ขอบคุณน้า...


_________________

People can take everything away from you
But they can never take away your truth
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ส่ง Email ชมเว็บส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
Miss World MC พิมพ์ว่า:
โอ๊ยยย..เยอะจัง ขี้เกียจอ่าน ใครสรุปให้หน่อย


เค้าพูดถึงดิว่า 7 คนค่ะ ย่อไห้ละ เกทมั้ยๆ





_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ชมเว็บส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
คนเค้าไม่ลืมหรอกคร่ะ ว่าพวกชีเคยเป็นดาวค้างฟ้า... Happy

ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
รู้สึกมาดอนน่าจะยาวเป็นพิเศษเนาะ Happy


_________________
non3senz3 +*+ Destiny's Child
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ส่ง Email
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
ตอบ หน้า 1 จาก 3
ไปที่หน้า 1, 2, 3  ถัดไป
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
  


copyright : forwardmag.com - contact : forwardmag@yahoo.com, forwardmag@gmail.com