
http://hysteriaculture.wordpress.com/2013/08/19/get-into-the-groove-boyz-ii-men-end-of-the-road-rb-100-55/comment-page-1/#comment-117
http://www.facebook.com/HysteriaCulture
Boyz II Men : End Of The Road : R&B (100% = 5/5)
ก่อนที่จะตัดสินใจพักยาวๆกับงานรีวิวสักระยะเพื่อไปรับผิดชอบกับนิยายในเพจ (เว้นแต่กรณีเป็นศิลปินกิตติมศักดิ์) ส่วนตัวขอเขียนอะไรสั้นๆอุทิศให้แก่อดีตวันหวานอันแสนหวานกับหนึ่งในศิลปินที่เป็นแรงบันดาลใจอย่างยิ่งยวดตลอดจนเป็นหนึ่งในศิลปินที่เราได้ยินผลงานของพวกเขาผ่านทางสถานีวิทยุบ่อยที่สุด เชื่อว่าคอเพลงสากลในเจเนอเรชั่นเดียวกันกับดิฉันคงไม่มีใครที่ไม่รู้จักชื่อของ Boyz II Men บอยแบนด์ระดับตำนานจากทศวรรษ90sที่สร้างเพลงอมตะขึ้นหิ้งประดับชาร์ตเพลงทั่วโลกมามากมายรวมถึงเป็นศิลปิน Vocal Group ที่ประสบความสำเร็จในระดับมหาศาลที่เชื่อว่าน่าจะจารึกไว้ว่าสร้างประวัติศาสตร์เป็นเบอร์ต้นๆประดับค่ายโมทาวน์
สำหรับเพลงที่หยิบขึ้นมาเขียนอุทิศให้พวกเขาในวันนี้ดิฉันขอเลือก End Of The Road ซาวนด์แทร็คของภาพยนตร์เรื่อง Boomerang ในปี1992ที่นำแสดงโดย เอ็ดดี้ เมอร์ฟี่ ในฐานะที่ไม่เพียงจะเป็นเพลงที่โด่งดังมากๆในยุคนั้นแต่เพลงนี้ยังประสบความสำเร็จระดับมหาศาลในฐานะบทเพลงในตำนานที่สร้างสถิติประดับวงการไว้มากมายไม่ว่าจะเป็นการถูกจารึกว่าเป็นเพลงที่ประสบความสำเร็จที่สุดของค่ายเพลงระดับตำนานอย่าง Motown แทนที่เพลงEndless Loveของราชินี ไดอาน่า รอสที่เกี่ยวก้อยครวญคู่กับลิโอเนล ริชชี่ ข้ามไปที่ฝั่งสหราชอาณาจักรถ้าเข้าใจไม่ผิดรู้สึกว่าเพลงนี้จะเป็นเพลงสุดท้ายของทางค่ายโมทาวน์ที่แตะอันดับหนึ่งบนยูเคชาร์ตก่อนที่เพลง Let Me Love You (Until You Learn To Love Yourself) ของหนุ่มอาร์แอนด์บีเสียงสวรรค์อย่างนีโย่จะขึ้นมาแทนที่ในอีก20ปีให้หลัง (2012) ในส่วนของบิลบอร์ดชาร์ตเพลงนี้สามารถโค่นสถิติกว่า36ปีของราชาร็อคแอนด์โรล เอลวิส เพรสลี่ย์ ที่ทำไว้กับเพลง Hound Dog และ Dont Be Cruel ลงอย่างราบคาบโดยขึ้นแทนที่เป็นบทเพลงที่ครองอันดับหนึ่งบนบิลบอร์ดชาร์ตยาวนานที่สุดในช่วงเวลานั้นกว่า13สัปดาห์ในขณะที่เอลวิสที่ทำได้เพียง11สัปดาห์และรักษาตำแหน่งมายาวนานเกือบจะย่างเข้าทศวรรษที่4ก็ต้องกลายเป็นอดีตไป อย่างไรก็ตามสถิติเพลงนี้ของ Boyz II Men ได้ถูกแทนที่ด้วยเพลง I Will Always Love You ซาวนด์แทร็คจากเรื่อง The Bodyguard ของ วิทนี่ย์ ฮูสทัน ราชินีผู้ล่วงลับที่ครองอันดับหนึ่งเป็นเวลา14สัปดาห์ก่อนจะมาคว่ำสถิติของป้าวิทและตัวเองในเพลง One Sweet Day ที่ร่วมงานกับ มารายห์ แครี่ย์ ที่ทะยานขึ้นอันดับหนึ่งบนชาร์ตและรักษาตำแหน่งไว้ได้อย่างเหนียวแน่นเป็นเวลา16สัปดาห์ติดต่อกันซึ่งสถิตินี้ยังไม่สามารถมีศิลปินท่านใดทำลายได้จวบจนทุกวันนี้
เหนือสิ่งอื่นใดสำหรับดิฉันแล้วสิ่งสำคัญที่สุดที่พวกเขาได้สร้างขึ้นมาหาใช่สถิติเหล่านั้นไม่หากแต่เป็นบทเพลงที่ทรง คุณภาพ จริงๆและสามารถยืนหยัดอยู่เหนือกาลเวลาได้จวบจนวินาทีนี้ในฐานะตำนานรวมถึงหลังจากผ่านยุครุ่งโรจน์อย่างถึงขีดสุดของค่าย Motown ในยุค60s-70sอันเป็นยุคทองของดนตรีผิวสีอย่างอาร์แอนด์บีและโซลแล้วยังนับว่าทางค่ายได้สามารถตอกย้ำความสำเร็จอีกหนึ่งระดับด้วยการสร้าง เอกลักษณ์ และมิติใหม่ให้แก่ดนตรีอาร์แอนด์บีในแวดวงเมนทสตรีมและอดัลท์คอนเทมโพรารี่ย์ซึ่นับว่าเป็นอีกหนึ่งธีมไฮไลท์ของทศวรรษ90sไม่แพ้พวกกรั๊นจ์ บริทพ็อพ ทริพฮอพ นีโอโซลไปจนถึงพวกทีนพ็อพและบับเบิ้ลกัมพ็อพของเหล่าทีนไอดอลเลยทีเดียว มนตร์เสน่ห์ของการถ่ายทอดท่วงทำนองอาร์แอนด์บีผ่านการร้องประสานเสียงแบบอะแค็พเพลล่าหลอมรวมเข้ากับจิตวิญญาณของความเป็นโซลทรงพลังอันหล่อหลอมมาโดยพื้นฐานจากการร้องประสานเสียงเพลงสรรเสริญพระเจ้าในโบสถ์ (กอสเพล) ได้กลายเป็นเอกลักษณ์ที่คนดนตรีเรียกภาษาปากกันว่า เพลงแบบ Boyz II Men ซึ่งจะมีสักกี่คนกันที่สามารถสร้าง ธีม เป็นยี่ห้อของตัวเองได้? ซึ่งช่วงเวลานั้นนับว่าเอกลักษณ์ทางการนำเสนอดนตรีของพวกเขาได้กลายเป็นวัตถุดิบทางแรงบันดาลใจของศิลปินอาร์แอนด์บีช่วงยุค90sอย่างยิ่งยวด อาทิ Babyface (หนึ่งในโปรดิวซ์เซอร์เพลงนี้ร่วมกับ Antonio L.A. Reid และ Daryl Simmons),ไบรอัน แม็คไนท์ไม่เว้นแต่มารายห์ แครี่ย์ (One Sweet Day,ButterflyและThank God I Found You) ท้ายที่สุดถึงแม้ว่าทุกวันนี้ Boyz II Men จะกลายเป็นบอยแยนด์ระดับตำนานที่อาจจะ เหลือแต่ชื่อ ตลอดจนผลงานดีๆและสถิติบารมีที่เคยสร้างประดับไว้ด้วยความที่ทุกวันนี้มันผ่านช่วงเวลาของพวกเขาไปแล้วแต่กับเราที่มีอดีตอันแสนหวานและเติบโตมากับเพลงของพวกเขาก็จะขอเป็นหนึ่งในคนที่มีเสียงเพลงของพวกเขาดังกังวานอยู่ในหัวใจที่ไร้ยุคสมัยตลอดเวลา จนกว่าร่างนี้จะแตกดับ