![](http://a3.mzstatic.com/us/r30/Music/v4/2e/53/eb/2e53ebc8-2b6a-fdeb-3ab3-17725e45b644/cover326x326.jpeg)
ว่าด้วยหนังแนวคอมเมดี้ กึ่งๆชีวประวัติที่เข้าชิงรางวัลหลายสาขามากๆในปีนี้ ชั้นก็เพิ่งจะมีเวลาไปหามา จบแล้วก็ต้องเมาท์มอยนะคร้ะ อารมณ์ประมาณว่าเห่อ
มันไม่ใช่หนังตลกเบาสมองแบบหนังของ Adam Sandler หรือ Scary Movies ผีห่าอะไรนั่น มันเป็นหนังพวก ประวัติศาตร์หน่อยๆ แต่นำเสนออกมาในการถ่ายภาพยนต์คล้ายกับพวกภาพยนตร์สมัยห่อน เคยดู ชาร์ลี แชปลิ้น แมะ นั่นแหละ อีที่ถ่ายคนวิ่งเร็วๆ ตึ้งๆ
สปอย [ ฉากแหกคุกตลกมาก แต่ไม่ได้ขำก๊ากนะ แค่มันตลกอ่ะ ดูแล้วยิ้มในใจ อารมณ์แบบ ว้าย จังไรอ๊า ทำให้นึกถึง shawshank redemtion เลย / ฉากเล่นสกีตอนเข้าเส้นชัยก็ตลก ]
ความตลกในหนังเรื่องนี้ไม่ใช่ความตลกที่แบบ ขำมาก ขำจนฉี่ราด มันเป็นอารมณ์ที่แบบ มานิ่งๆ แต่เราดูแล้วยิ้มอะไรแบบเนี้ย ดูแล้วก็อารมณ์ดี ทั้งที่ประเด็นในหนัง สามารถเอามาทำเป็นหนังดราม่าหนักๆ สงครามเน้นๆสองชั่วโมงครึ่งได้สบายๆ
แต่ว่า Grand Budapest Hotel กลับเลือกที่จะนำเสนอในรูปแบบ สั้นๆ ง่ายๆ ดูแล้วอารมณ์ดี ข้อคิดอะไรที่แทรกเข้ามาก็เป็นธรรมชาติดี หนังดำเนินเนื้อเรื่องเร็วมาก เป็นการเล่าเรื่องแบบ flashback แต่ดูแล้วไม่งง
![](http://media-cdn.tripadvisor.com/media/photo-s/06/1f/84/58/the-grand-budapest-hotel.jpg)
ชั้นจะไม่มานั่งเปรียบเทียบประเด็นของหนังกับสังคม เพราะชั้นถือว่ามันเป็นหน้าที่ของพวกเว็บโลกสวยในการเขียนรีวิว
แต่ชั้นจะบอกว่ามันเป็นหนังที่ถ่ายทอดเหตุการณ์วิถีชีวิตได้ดีมากๆเรื่องนึงเลยทีเดียว
นักแสดงแต่ละคนต่างมีบท คาแรกเตอร์ของตัวเอง แล้วก็ทำหน้าที่ได้ดีมาก ไม่แย่งซีนกัน เหมือนกับว่า พอใครออกมาก็เหมือนมีสปอตไลท์จับไปที่คนนั้น
ถ้าเพื่อนๆมีเวลาก็ไปดูเถอะค่ะ แค่ชั่วโมงครึ่งเอง ไม่เคยเจอหนังที่ดูแล้วถูกใจแบบนี้มานานมากแล้วจีๆ
![](http://media.giphy.com/media/MCudzuADLuJWw/giphy.gif)
บทของ Mr. Gustave ป๋าราฟเล่นซะลืมไปเลยว่านี่คือวอลเดอมอร์ ในขณะที่บท ZERO นั่นแย่งซีนที่สุดของที่สุด
![](http://i.justclicktowatch.so/wp-content/uploads/2014/07/Boyhood.jpg)
Boyhood
คือต้องบอกก่อนว่าชั้นไม่ได้พยายามจะขวางโลกหรืออะไร หลังจากเห็นหนังกวาดรางวัลไปแบบรัวๆ ชั้นเลยต้องแล่นไปหามาดู
เคลมไว้ว่าถ่ายทำมานานแสนนานข้ามทศวรรติ หนังก็เลยออกมายาวเกือบสามชั่วโมงอย่างที่เห็น
ไปอ่านรีวิว คนก็อวยเข้าไปสิว่าไม่น่าเบื่อ Feel Good สอนชีวิต ฯลฯ
แต่พอชั้นดูจริง คือแบบ อะไรวะ มันน่าเบื่อมากกกก หนังโคตรจืดชืด ที่คนอวยก็คงเพราะเรื่องที่มันถ่ายทำนาน ค่อยๆเป็นค่อยๆไปมากกว่า ตัวหนังมันก็ไอ้หนังชีวิตสไตล์ Hollywood นั่นแหละวะ
คือแบบ มันก็มีหนังหลายเรื่องที่เป็นแนวนี้ แต่แค่ใช้นักแสดงคนอื่นมาเล่นบทเด็กบทแก่แค่นั้นเอง แล้วชั้นก็คิดว่าหนังเรื่องอื่นก็ไม่ได้ด้อยอะไรไปกว่าเรื่องนี้ตรงไหน
เรื่องนี้ก็แบบ เอื่อยๆ เฉื่อยๆ เหมือนสารคดีไม่มีอะไร ชีวิตก็ธรรมด๊าธรมดา ดูมาเป็นร้อยเรื่องแล้ว เหมือนกัย Home Video ของบ้านใดบ้านหนึ่งมากกว่า
คือถ้าแบบชั้นต้องเสียเวลาสามชั่วโมงดูหนังอะไรแบบนี้ ชั้นสู้ไปเสนอหน้าขอดูฟุตเทจวิดีโอของเพื่อนบ้าน หรือดูสารคดีชีวิตเด็กออทิสติกของช่อง BBC ง่ายกว่าแมะให้ทาย
คือนี่ก็ความคิดชั้นโน๊ะ ใครจะนิยมชบชอบอะไรก็ตามแต่ แต่การไปสาระแนดูชีวิตของชาวบ้านเป็นเวลาสามชั่วโมงนี่มันไม่ใช่สไตล์ชั้นเลยจริงๆ ชั้นขอดูหนังคนบ้าควักตับคสักไส้อะไรแบบนี้ดีกว่า
ชั้นไม่ได้มีสมองไอคิวทะลุล้านหรอกนะคะ เพราะงั้นชั้นเลยไม่ค่อยเกทกับหนังดีๆเริ่ดๆอะไรพวกนี้เท่าไหร่ ถ้าใครถามชั้น ชั้นก็บอกได้แค่ว่ามันอุปทานหมู่แบบหนังของอีโนแลนนั่นแหละ(ว้าย จะมีคนตามมาตบแมะ)
ย้ำอีกครั้งว่าไม่ใช่รีวิว จุบุ
และ หนังเรื่องนี้เพลงประกอบเพราะน้ะ
_________________
![](https://i.imgur.com/67peRuT.gif)