ในขณะที่ความดังของอัลบั้มแรกยังไม่ทันจางหายไป ไมเคิลก็ตัดสินใจปล่อยอัลบั้มที่สองในปี 1982 ที่มีชื่อฟังดูน่ากลัวๆว่า Thriller อัลบั้มนี้นับได้ว่าเป็นอัลบั้มประวัติศาสตร์ของวงการเพลงอเมริกาก็ว่าได้ เฉพาะตัวอัลบั้มนี้ทำยอดขายในอเมริกาได้ถึง 72 ล้านก๊อปปี้ แม้ปัจจุบันเวลาจะล่วงเลยผ่านมานานถึง 20 กว่าปีแล้ว ก็ยังไม่มีศิลปินหน้าไหน ทำยอดขายเฉพาะอัลบั้มเดียวได้สูงขนาดนี้
ภายในอัลบั้มประกอบไปด้วยเพลงดังมากมาย หนึ่งในนั้นที่ดิฉันภูมิใจนำเสนอคือเพลง Beat it เพลงเร็วจังหวะพ็อพแดนซ์คึกคักสนุกสนาน ไปด้วยลีลาท่าเต้นของไมเคิล และน้ำเสียงห้าวหาญฟังดูฮึกเหิม ที่ไม่ว่าใครได้ยินได้ฟังก็เป็นอันต้องอยากลุกขึ้นมาเต้นมาขยับตามจังหวะเพลงนี้ทั้งนั้น แต่จุดเด่นจริงๆ เรียกได้ว่าเด่นที่สุดของอัลบั้ม หาใช่ตัวเพลงไม่ แต่แท้จริงแล้ว Music Video ของไมเคิลต่างหากที่เป็นตัวช่วยอย่างมากให้อัลบั้มขายดีเป็นเทน้ำเทท่า
โดยเฉพาะ Music Video ที่มีชื่อเหมือนชื่ออัลบั้มว่า Thriller ซึ่งมีความยาวโดยรวมกว่า 13 นาที ภาพที่ปรากฏใน music นั้นถือเป็นการฉีกแนว Music Video อื่นๆที่เคยมีมาทั้งหมดในยุคสมัยนั้นเลยก็ว่าได้ หากลองถามรุ่นพ่อรุ่นแม่ดู พวกท่านก็ยังคงจำได้แน่นอนถึง Music Video ที่ไมเคิลยอมลงทุนแต่งตัวเป็นปีศาจและมีกองทัพผีมาเต้นเป็นแดนเซอร์ให้ด้วยท่าทางน่ากลัว แต่ดูไปดูมา ก็ออกจะเก๋และมีสไตล์อยู่ไม่น้อย เข้ากับจังหวะอันหนักหน่วง น่าค้นหา ลึกลับ ชวนฟัง ของเพลงนี้ได้ดีทีเดียว
ในเดือนกุมภาพันธุ์ ปี 1984 นั้น ไมเคิล คือศิลปินชายเดี่ยวเพียงคนเดียวที่ได้รับรางวัลแกรมมี่ส์มากที่สุดในงานคือ 8 รางวัล พร้อมกับคำชมจากนักวิจารณ์อันมากโข ยิ่งฉุดกระชากให้ยอดขายอัลับ้ม Thriller พุ่งกระฉูดจนไม่สามารถจะมีใครปั้นนักร้องมาขายแข่งกับเขาได้เลย
นอกจากจะทำงานเพลงแล้ว ไมเคิล ยังเป็นศิลปินอีกคนหนึ่งที่ใช้ความสามารถและกำลังทรัพย์ที่หามาได้จากการทำงานของเขาไปในการช่วยเหลือการกุศลตามมูลนิธิใหญ่ๆทั่วโลก เริ่มจากเขาได้บริจาคเงินที่ได้จากยอดขายซิงเกิ้ล Beat it เพื่อสมทบทุนโครงการรณรงค์การงดดื่มสุราและเมาไม่ขับ เท่านั้นยังไม่พอ เขายังได้ร่วมแต่งเพลง กับศิลปินโซล อาร์แอนด์บี ชื่อดังในสมัยนั้นอย่างลุง Lionel Richie ด้วย โดยใช้ชื่อเพลงว่า We are the world เพลงนี้เป็นเพลงที่ติดหูและคุ้นเคยชาวโลกไปทั่วโลก เพราะไลฟ์ที่คอนเสิร์ตการกุศล LIve 8 นอกจากนั้นเพลงนี้ยังขึ้นไปถึงอันดับ 1 และค้างไว้อยู่นานมากๆ ขนาดที่เพลง Crazy for you ของสมเด็จมาดอนน่ายังต้องยอมเป็นอันดับ 2 อยู่นานโขเลยทีเดียว ( แต่ในที่สุดก็ขึ้นอันดับ 1 จนได้อยู่ดี ) ส่วนเรื่องรายได้จากการจำหน่ายซิงเกิ้ล ไมเคิลได้มอบให้กับผู้หญิงที่ประสบปัญหาในแอฟริกาตะวันออก เหล่านี้นับได้ว่าเป็นผลงานที่แสดงออกถึงความเป็นนักมนุษยวิทยาและความใจบุญของไมเคิลได้ดีทีเดียว
แม้สังคมจะเคยมองว่าไมเคิลเป็นศิลปินผู้ใจบุญ แต่ก็มิวายมีข่าวฉาวมากมายมากระทบกระทั่ง จนทำให้ชื่อเสียงที่เขาสั่งสมมาต้องสั่นคลอน เริ่มจากการที่เขาไปทำศัลยากรรมพลาสติก แบบยกเครื่องเปลี่ยนใหม่หมดทั้งใบหน้า จมูก กราม ปาก หนังตา และแม้แต่สีผิว ซึ่งเป็นกรณีถกเถียงกันของคนหมู่มาก เรื่องที่ไมเคิลตัดสินใจเปลี่ยนสีผิวจากดำเป็นขาว ด้วยเหตุนี้ สื่อต่างๆจึงเขียนข่าวโจมตีเขาไม่เว้นแต่ละวัน แม้ไมเคิลจะพยายามชดเชยด้วยการตั้งมูลนิธิ Heal the world ขึ้น โดยมีจุดประสงค์เพื่อนำเด็กๆด้อยโอกาศเข้าไปเล่นเครื่องเล่นในสวนสนุกส่วนตัวซึ่งตั้งอยู่ในบ้านขนาดกว้างใหญ่หลายเอเคอร์ นามว่า Neverland ก็ตาม แต่ก็ยังมีข่าวออกมาอีกว่าเขาโดนฟ้องเพราะกระทำชำเราเด็กๆที่ เขาเอาไปเล่นเครื่องเล่นออกมาอยู่ดี นับได้ว่าช่วงนี้ ชื่อเสียงของเขาแทบจะป่นปี้ไม่มีเหลือ ถือเป็นขาลงของราชาเพลงพ็อพอย่างเลี่ยงไม่ได้ แม้ปัจจุบันจะได้รับการยกฟ้องไปแล้ว แต่ชื่อเสียงที่เสียไป ใช่จะกู้คืนมาได้ง่ายๆ
อย่างไรก็ตาม แม้ไมเคิลจะมีชื่อเสียงในทางลบอยู่มาก แต่เราก้ปฏิเสธไมได้ว่าครั้งหนึ่ง วงการเพลงเคยมีศิลปินที่โด่งดัง ผู้จุดประกายความคิดสร้างสรรค์ทางด้านการนำดนตรีเต้นรำมาผสมผสานกับอาร์แอนด์บี อย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน นอกจากนี้ศิลปินคนตนั้นยังเป็นผู้นำแฟชั้นที่คนทั่วโลกเฮ่อตามกันใหญ่ ด้วยการใส่กางเกงขายาวเหนือตาตุ่มและรองเท้าเต้นแทป พร้อมกับการเต้นท่า Moon walk และ คลำเป้า อย่างไม่เกรงใจใคร ขนาดตอนที่ศิลปินคนนี้มาเปิดคอนเสิร์ตที่เมืองไทย ยังสามารถทำให้รถติดได้ทั่วกรุงเทพเลนย เพราะจำนวนคนที่เบียดเสียดแย่งกันเข้าไปในสถานที่จัดคอนเสิร์ต มันมีเยอะเหลือเกิน
ดิฉันคิดว่าแทนที่ทุกคนจะมัวแต่มาด่าสาดเสียเทเสีย และไม่พอใจในข่าวฉาวๆของเขา แต่เราก็ต้องไม่ลืมด้วยว่าไมเคิลก็เป็นคน เป็นมนุษย์เหมือนกัน มันก็ต้องมีการทำผิดชอบชั่วดี กันบ้าง เราควรจะเลือกมองในส่วนที่ดีของเขาและเคารพในความเป็นศิลปินของเขาจะดีกว่า อย่างน้อยๆ เขาก็เป็นศิลปินคนหนึ่งที่อุทิศตัวเองเพื่อการกุศล เพื่อเด็กๆ เพื่อมวลมนุษย์ในโลกนี้
ส่วนสาวกก็เตรียมกรี๊ดได้เลยค่ะ เพราะปีนี้ไมเคิลลั่นวาจาไว้แน่นอนว่าจะกลับมาออกอัลบั้มใหม่ค่ะยังไงๆก็ช่วยเป็นกำลังใจให้เขาด้วยล่ะกันนะค่ะ ส่วนตัวดิฉันเองก็จะคอยเฝ้ามองแหวังเป็นอย่างยิ่งว่าตำนานมีชีวิตคนนี้จะกลับมาได้ยิ่งใหญ่สมศักดิ์ศรี
หากมีใครถามดิฉันขึ้นมาตอนนี้เลยว่า ในอนาคตจะสามารถมีศิลปินคนไหนที่เป็นแหล่งรวมใจ เป็นผู้นำแฟชั่น เป็นผู้ที่คิดค้นอะไรๆใหม่ๆและโด่งดังเป็นตำนานได้ระดับไมเคิล แจ็คสัน ผู้นี้ไหม
คำตอบเดียวที่ดิฉันพอจะตอบได้ในตอนนี้คือ " เป็นไปได้ยากค่ะ "
แก้ไขล่าสุดโดย popparazi เมื่อ Wed Jan 24, 2007 9:32 am, ทั้งหมด 1 ครั้ง
_________________