˹���á Forward Magazine

ตอบ

ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ถัดไป
10 อันดับของรักที่สุดในโลกบันเทิงของเวเฟอร์
ผู้ตั้ง ข้อความ
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ 10 อันดับของรักที่สุดในโลกบันเทิงของเวเฟอร์ 


เมื่อคุณเหงา เมื่อคุณเศร้า เมื่อคุณรู้สึกเบื่อและเหนื่อยหน่ายกับโลกที่วุ่นวายและมีแต่การแก่งแย่งชิงดี การเอาเปรียบและเห็นแก่ตัว คุณต้องการที่พักผ่อน คุณต้องการสิ่งที่ทำให้คุณคลายเครียด ลืมเรื่องปัญหาทั้งหลายแล้วมีความสุขอยู่กับมัน นั้นก็มีต่าง ๆ นา ๆ มากมายในโลกบันเทิงทั้งหลายแขนงที่เราสามารถรับชมรับฟังกันได้ในหลายรูปแบบ
ผมเป็นคนหนึ่งที่ต้องต่อสู้กับปัญหาที่มันรุมเร้าเข้ามาหาตัวเราทุกวัน ๆ ทั้งที่เราไม่เคยอยากมีส่วนไปเกี่ยวข้องกับมันเลย แต่นี่แหละครับ มันคือชีวิตที่เราจะขีดเส้นให้มันทุกอย่างไม่ได้ เมื่อผมมีเวลา ผมก็หาเรื่องบันเทิงผ่อนคลายความเครียดและปัญหาต่าง ๆ ซึ่งมันก็มีหลายอย่างแตกต่างกันไป
และในงานเขียนชิ้นนี้ผมได้คัดสรรสิ่งต่าง ๆ ในโลกบันเทิง ที่ช่วยผมคลายเครียดมาทั้ง สิบอันดับซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งที่ผมรัก และมีความสุขกับมันอย่างล้นใจ ต้องขอบอกก่อนนะครับ ว่าทั้งสิบอันดับจะเป็นการเล่าผ่านความคิดและความรู้ส่วนตัวของผมโดยล้วน ซึ่งหากไม่ถูกต้อง มีข้อผิดพลาด หรือสร้างความไม่พอใจใด ๆ เกิดขึ้น ผมเองต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ ขอบคุณมากครับ
ไม่อยากพูดมากให้เสียเวลา ไปดูอันดับที่สิบกันเลยครับ

=================================================================



อันดับที่ 10 เกม Pangya

มันคือ : เกมตีกอล์ฟออนไลน์ ที่ (เคย) เป็นที่นิยมที่สุดในบรรดาเกมออนไลน์บ้านเรา พื้นฐานของเกมก็คือการเลือกตัวละคร เลือกเสื้อผ้า อุปกรณ์ต่าง ๆ ในการตีกอล์ฟให้พร้อม แค่นี้คุณก็พร้อมออกรอบไปในดินแดนแห่งปังย่าอันหรรษานี้ได้เลย



ความโดดเด่น : ความน่ารักของตัวละครในเกมปังย่าเป็นสิ่งได้รับการยอมรับจากเกมเมอร์ทั่วอาณาจักร ซึ่งผมว่ามันเป็นจุดที่ดึงดูดผู้เล่นได้ดีทีเดียว นอกจากนั้นก็ต้องเป็นการเล่นที่ต้องการสมาธิ ความแม่นยำ และประสบการณ์ ซึ่งยิ่งคุณฝึกฝนมันมากขึ้นเท่าไร ผมว่ามันจะยิ่งทำให้คุณหลงเสน่ห์ แห่งเกาะปังย่ามากขึ้นไปทุกนาที แล้วยังรวมไปถึงฉากวิว ทิวทัศน์สวย ๆ ในรูปแบบต่าง ๆ ที่ถูกเนรมิตเป็นสนามกอล์ฟท้าทายความสามารถของเหล่านักกอล์ฟทั้งหลาย เพียงแค่องค์ประกอบเหล่านี้เกาะปังย่าก็เป็นที่พักผ่อนที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของผมละครับ



ทำไมถึงรัก : ตอนแรกที่ผมรู้จักเกมปังย่า ผมไม่มีความคิดในหัวเลยแม้แต่นิดเดียวว่า มันเป็นเกมที่มีความน่าสนใจแต่อย่างใด ผมคิดว่ามันก็เป็นเพียงเกมหลอกเด็กเกมหนึ่งในยุคนี้เท่านั้นเอง.... และไม่มีทางที่ผมจะเสียเงินไปกับเกมออนไลน์อย่างนี้แน่นอน ... แต่ผ่านไปไม่นานด้วยความน่ารักสดใสของตัวละคร ความสนุกสนานในการออกรอบ การได้พบปะเพื่อนใหม่ ผมก็รักเกมนี้เข้าไปซะแล้ว เมื่อใดที่เริ่มจะเบื่อเกาะปังย่าก็จะมีเสื้อผ้าน่ารัก ๆ มาให้ นักกอล์ฟได้เลือกหาไปใส่กัน เมื่อใดที่มันเริ่มจะซ้ำซาก เกาะปังย่าก็จะมีสนามกอล์ฟแหล่งใหม่ ๆ เข้ามาท้าทายทุกสายตา มันเหมือนเป็นวัฎจักร ให้เราหลงติดกับ และใช้เวลาอยู่กับมันให้มากขึ้นทุกครั้งๆ ไป แต่มันก็เป็นเวลาที่ผมเพลินเพลินและมีความสุขไม่น้อยเลยทีเดียวครับ กับวัฎจักรวงนี้
มาเจอะลึกของรัก : เกมปังย่ามีที่มาจากประเทศเกาหลี ซึ่งเป็นผู้นำส่วนใหญ่ในการออกแบบสิ่งของและทุกอย่างในตัวเกม ด้วยความโด่งดังของเกมปังย่า จึงได้มีการซื้อ-ขายลิขสิทธิ์และแพร่หลายไป มากกว่า 11 ประเทศทั่วโลก และเมื่อเวลาผ่านไปแต่ละประเทศก็เริ่มมีบทบาทในตัวเกมปังย่ามากยิ่งขึ้น เช่นที่ประเทศญี่ปุ่นได้คิดค้น สนามประจำชาติของตนเอง นั้นก็คือสนามดอกซากุระ Pink wind และชุดประจำชาติญี่ปุ่นซึ้งได้แก่ชุดกิโมโน ส่วนประเทศไทยเราก็ไม่น้อยหน้าด้วยการเป็นผู้ออกแบบไม้ Air Night III ซึ่งถือเป็นแรร์ไอเทมในเกม และชุดมวยไทยของตัวละครชาย ซึ่งมีการนำไปขายในเซฟเวอร์ของต่างประเทศด้วย



ตอนนี้เกมปังย่าก็ก้าวเข้าสู่ปีที่สาม หรือ Season 3 นั้นเอง การพัฒนาและร่วมมือของแต่ละประเทศช่วยจัดสรรเกาะปังย่าแห่งนี้ให้เต็มไปด้วยความสนุกหรรษา ที่ยากจะลืม เพียงแค่คุณลองหวดไม้กอล์ฟออกไปเพียงซักครั้งเท่านั้นแหละ....
ส่วนตัวผมเองก็เล่นเกมนี้มาได้เกือบปีเห็นจะได้ครับ ถึงแม้จะมีหลายครั้งที่ผมเบื่อมันบ้าง เซ็งกับมันบ้าง แต่ยังไง เวลาที่ผมนั่งหวดลูกกอล์ฟ ณ เกาะปังย่าแห่งนี้ มันก็ทำให้ผมผ่อนคลายและลืมเรื่องเครียด ๆ ทั้งหลายได้อย่างดีทีเดียวครับ

ที่ผมกล่าวมาขนาดนี้อย่าเพิ่งทึกทักว่าผมเป็นมือโปรเก่งกาจอะไรนะครับ ในเกมผมเป็นเพียงแค่ Amature (มือสมัครเล่น) เท่านั้นแหละครับ แต่อย่างที่บอกไว้ในตอนต้นแหละครับ ว่าจุดเด่นของเกมนี้อย่างเด่นชัดที่สุดก็คงไม่พ้นความน่ารักของตัวละคร ส่วนตัวละครเวเฟอร์นั้นจะน่ารักหรือเปล่าไปดูกันเลยครับ


นี่หนูคู ตัวโปรดเวเฟอร์ครับ ใช้ชุดแดงผมแดง สีโปรดของเวเฟอร์ด้วย~~~~~


หนูคู~~ หวด~~~แล้วจ้า~~~~~


สาวเซ็กซี่ประจำเกาะปังย่า เซซิเลียครับ


แม่อารินคนนี้เป็นโรคปอดบวมรักษาไม่หายซักที Laughing


ใครสนใจอยากจะไปออกรอบกับเวเฟอร์เชิญติดต่อหลังไมค์ได้เลยครับ~~~~

=================================================================



อันดับที่ 9 Blood

มันคือ : เลือด!!! ความโหด!!!! ความซาดิส!!!!

ความโดดเด่น : เมื่อพูดถึงเลือดในที่นี้ ผมหมายถึงเลือดในภาพยนตร์เท่านั้นนะครับ ในชีวิตจริงผมเป็นคนที่กลัวเลือด และเครื่องในมนุษย์ทุกชนิด ไม่ถึงขั้นเป็นลมหรอกนะครับ เพียงแต่ทนไม่ได้ที่จะเห็นในจำนวนมากเท่านั้นเอง แต่เมื่อเข้าสู่โลกภาพยนตร์ผมกลับเปลี่ยนตัวเองเป็นคนละคน หนังเรื่องไหนมีความโหด หนังเรื่องไหนมีเลือด หนังเรื่องไหนมีความซาดิส หนังที่เต็มไปด้วยฉากสยดสยอง ผมชอบครับ!!!!! ความโดดเด่นของหนังแนวนี้ก็คงเป็นที่รู้กันอยู่ว่ามันน่าจะเป็นอะไร แต่คุณจะต้องระวังดี ๆ มันมีเพียงเส้นกั้นบาง ๆ ระหว่างฉากเลือดสาดสุดวิจิตร กับฉากเลือดแหวะท่วมจอซึ่งไม่น่าดู

ทำไมถึงรัก : อาจจะเป็นเพราะว่าในชีวิตจริงผมรับเรื่องพวกนี้ไม่ค่อยได้ มันจึงถูกถ่ายทอดมาอยู่ในนิสัยการดูหนังหมดกระมังครับ ทุกครั้งที่ผมเห็นฉากเลือดสาดบนจอ เห็นการฟังแทงชำแหละ ผมรู้สึกสะใจอย่างบอกไม่ถูก บางครั้งอยากเป็นคนเข้าไปชำแหละเองด้วยซ้ำไป (และถ้าใครสนิทกับผมมากๆ อาจจะจำได้ว่าความฝันวัยเด็กผมอยากเป็นอะไร) ในขณะที่คนรอบข้างเอามือปิดตากับฉากที่หวาดเสียวจนเกินทน ผมกับชื่นชมอย่างสุขใจ และคิดในใจตลอดเวลาว่า เอาอีกๆๆ!!!!!!

มาเจอะลึกของรัก : จากการเก็บประสบการณ์ในโลกภาพยนตร์มาผมมีฉากสุดเสียง สุดสยองมาแนะนำให้คุณถึงที่แล้วครับ

=================================================================



เลือดพุ่ง แค่ขำ ๆ
ฉากจากเรื่อง A Nightmare on Elm Street (1984)
ฉากนี้เป็นฉาก จากเรื่อง A nightmare on elm street เป็นฉากที่ใช่เลือดเทียมในการถ่ายทำมากที่สุด และมีพระเอกอย่าง Johnny Depp ซึ่งเป็นการ ซึ้งเป็นการแสดงหนังเรื่องแรกของเขาด้วย



=================================================================



ฟ้าสีดำกับเลือดสีแดง แสบไปถึงทรวง
ฉากจากเรื่อง Sin City (2005)

คำคืนอันมืดมิดแห่งเมือง Sin City เมื่อเหตุร้ายเข้าย่างกรายสาวขายบริการหน้าโหด พวกเธอไม่จำเป็นต้องเพิ่ง 191 หรือบริการที่ไหนทั้งนั้น เพราะพวกเธอสามารถดูแลกันเองได้อย่างดีเยี่ยม หากใครแยมเข้ามาอย่างไม่ถูกที่ถูกทางอาจมีชะตากรรมที่ไม่สวย ซึ่งหนังเรื่องนี้มีภาพที่เป็นขาว-ดำทั้งหมด เว้นแต่สีเหลืองมาสเมนโล่ และสีแดงสดเท่านั้น ที่สาดส่องอย่างใจกล้า



=================================================================



ไม่ต้องใช่เลือด ก็เสียวกันได้
ฉากจากเรื่อง SAW II (2005)

ฉากบ่อเข็มในเรื่อง SAW II เป็นฉากแรกที่ทำเอาผมเกือบเอามือขึ้นมาปิดตา เพราะทนความเสียวไม่ไหว แถมผมเองก็เป็นคนกลัวเข็มซะด้วย ฉากที่ Amanda ติ้งลงไปหากุญแจในบ่อที่เต็มไปด้วยเข็มฉีดยาจึงเป็นอะไรที่ทำผมเสียวไปทั่วทั้งรางกายเลยทีเดียว
อันที่จริงที่ฉากจากเรื่อง SAW ก็สุดเสียวทั้งนั้นแหละครับ แต่ฉากบ่อเข็มฉีกยานี้แหละที่ถูกใจผมที่สุด

=================================================================



ความตายไม่ใช่เรื่องล้อเล่น อย่ามาแซว
ฉากจากเรื่อง Final Destination (2000)

เมื่อ Alex ผู้ชายวัยรุ่นหน้าตาดี เห็นภาพนิมิตร่วงหน้าถึงเหตุการณ์เครื่องบินระเบิดอันน่าสะพรึง และหนีลงมาก่อนทำให้เพื่อน ๆ และคนอื่น ๆ ติดสอยห้อยตามลงมาด้วยกันถึง 7 คน และพวกเขาก็หารู้ไม่ว่าได้ทำสิ่งที่ท้าทายที่สุดสิ่งหนึ่งไปแล้วนั้นคือ... โกงความตาย แต่ความตายไม่ใช่เพื่อนเล่น ที่จะมาโกงกันได้ง่าย ๆ หรอกนะ ไม่เชื่อก็ดูเอา
ฉากโกงความตายนั้นทำมาได้สุดยอดมากทั้งสองภาคครับ ทุกฉากถูกใจผมจริง ทุกฉากยกเว้นฉากในภาคที่สาม.....



=================================================================



เลือดก็แดง หน้าตาก็ดี เอ้า!
ฉากจากเรื่อง Freddy VS Jason (2003)

เมื่อฆาตกรป่าเดือนตายไม่เป็นงุ่มง่าม ถูกรุ่นพี่ในวงการหลอกใช้เพื่อเรียกชื่อเสียงกลับคืนมา มันจึงเกิดทั้งเลือดทั้งหนอง ปะปนกันอย่างเมามัน และศพวัยรุ่นหน้าตาดีอีกมากมายกายกองและนี่เป็นเพียงหนึ่งในนั้น

=================================================================



ขอเต็ม ๆ หน้าเข้าเต็ม ๆ ปาก
ฉากจากเรื่อง Haute Tension (2003)

เพื่อนสาวสองคน หนีความวุ่นวายไปอ่านหนังสือเตรียมสอบที่บ้านนอก แต่ที่นั้นกลับมีมาฆาตกรโคตรโรคจิต หื่นกามรอคอยเธออยู่ มันจะหื่นแค่ไหน โหดแค่ไหน ดูฉากนี้เรียกน้ำย่อยไปก่อนนะครับ



=================================================================



“เพื่อมนุษย์ที่ข้ารัก”
ฉากจากเรื่อง The Passion of the Christ (2004)

เมื่อมนุษย์สร้างกรรมอย่างไม่ละเว้น พระเจ้าทรงไม่อยากเห็นมนุษย์ต้องรับใช้กรรม เพราะพระองค์ทรงรักมนุษย์ทุกคนบนโลกนี้ไม่ต่างจากลูกของพระองค์เอง ท่านจึงส่งพระเยซู คริสต์ ลงมาเพื่อทำหน้าที่ในสิ่งที่ควรจะเป็น นั้นคือนำคำสอนของพระเจ้ามาเผยแพร่ต่อชาวโลกผู้เขลา และจงรับชดใช้บาปกรรมแทนมนุษย์ทั้งโลก
หนังเรื่องนี้ของเมล กิ๊บสัน สร้างออกมาได้สมจริงและสะเทือนอารมณ์อย่างที่สุด ดูได้จากตัวอย่างที่ผมนำมาถึงที่นี่ไงครับ



=================================================================



อันดับที่ 8 Harry Potter Books

มันคือ : นวนิยาย สำหรับเด็กที่ผู้ใหญ่ทั่วโลกติดกันงอมแงม และก็เป็นหนังสือสำหรับเยาวชนที่ขายดีที่สุดในโลก ที่ประพันธ์ โดย เจ.เค โรว์ลิ้ง

ความโดดเด่น : ในนาทีแรกที่ผมได้ยินเกี่ยว กับนวนิยายแฮร์รี่ พอตเตอร์ ที่ว่าด้วยเรื่องราวของเวทมนต์ และโรงเรียน นั้นมันก็เป็นอะไรที่โดดเด่นและดึงดูดมากสำหรับผม ไม่ว่าผมจะโตอายุแค่ไหน หรือผ่านเรื่องอะไรมามากมาย ความเป็นเด็กน้อยที่รักโลกแฟนซี โลกแห่งเวทย์มนต์นั้นไม่เคยจากหายไปใจผมเลย ซึ่งผมเชื่อว่าในใจทุกคนย่อมมีเด็กน้อยตัวเล็ก ๆ ซ่อนอยู่เหมือนกัน

และเรื่องราวของแฮร์รี่ พอตเตอร์ ก็มีความโดดเด่นที่แรงกล้า เกี่ยวกับเวทมนต์โดยตรง โลกที่เต็มไปด้วยการใช้คาถา พ่อมดแม่มด สัตว์มีความคิด ต้นไม้มีความรู้สึก สิ่งของมีจิตใจ และอีกมากมาย ที่เป็นส่วนหนึ่งในความฝัน ของใครหลายคน แต่เป็นเพียงความโดดเด่นธรรมดาหากคุณมองแฮร์รี่ พอตเตอร์อย่างผิวเผิน เพราะเนื้อในของนวนิยายชุดนี้เป็นอะไรที่ลึกล้ำ และซ่อนเงื่อน ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว สอดแทรกมากับความรัก ความจริงใจ และมิตรภาพ และการหักมุมอย่างมีชั้นเชิง ซึ่งในขณะนี้ไม่เพียงแต่เด็กที่หลงใหลในโลกแห่งเวทมนต์ ดังกล่าว เพราะเป็นเรื่องปกติแล้วทุกวันนี้ ทีจะเห็นผู้ใหญ่มากมาย เดินถือหนังสือชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์



ทำไมถึงรัก : ตั้งแต่ผมเป็นเด็ก ๆ ผมใฝ่ฝัน ที่จะได้ใช้เวทมนต์ ได้เสกคาถา และคงวิเศษไม่น้อย ถ้าที่โรงเรียนจะมีการสอนเวทมนต์ และแล้วความฝันของผมก็เป็นจริงยิ่งกว่าจริง ทุกอย่างที่วาดฝันไว้ถูกเนรมิตขึ้นมาอย่างดงามในโลกของแฮร์รี่ พอเตอร์
ตั้งแต่เด็กน้อย ผมเป็นคนไม่ชอบอ่านหนังสือ และยิ่งตัวหนังสือติด ๆ กันไม่มีรูปภาพ เป็นอะไรที่น่าเบื่อมากสำหรับผม แต่แล้วผมเองก็เปลี่ยนนิสัยตัวเองเมื่อรู้จักกับหนังสือชุดนี้ หนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์เล่มแรกที่ผมอ่านจบคือ Harry Potter and the Chamber of Secrets ผมหามาอ่านหลังจากที่ได้ชมหนังภาคแรกจบ และประทับใจกับตัวเองมากที่อ่านหนังสือจำนวน 408 หน้าจบ เพราะว่าผมไม่เคยทำได้มาก่อนเลย



จากนั้นก็รีบตามหาภาคต่อมาอ่านอย่างกระวนกระวายใจ จนตอนนี้ก็อ่านครบทั้ง 6 ภาคที่มีวางจำหน่ายออกมาทั้งสองภาษา ทุกเล่มของแฮร์รี่ พอตเตอร์ พาให้ผมรักหนังสือชุดนี้มากขึ้นไปทุกที ด้วยการที่มีเนื้อเรื่องที่เข้มข้น ซับซ้อน และยิ่งใหญ่ขึ้นไปทุกขณะ การเฉลยเนื้อเรื่องอย่างมีชั้นเชิง และน่าติดตาม และที่สำคัญคือการหักมุมอันสุดแสนจะบรรยาย ทุกหน้าของหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์ ทำให้ผมสนุกสนานได้ไม่มีที่สิ้นสุด หลายครั้งที่อ่านจนถึงเช้า เพราะความอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นใน ฉากต่อไปและต่อ ๆ ไป ต้องขอชมเจ.เค จากใจจริงในการวางเนื้อเรื่องได้หลอกล่อผู้อ่าน ถึงขั้นนี้ เหมือนเธอกำลังปั่นหัวผมอยู่ตลอดเวลาในโลกเวทมนต์ที่เธอเนรมิตขึ้นมา และขอบอกตรงนี้เลยว่าผมมีความสุขอย่างยิ่งที่โดนเธอคนนี้ปั่นหัวมาตลอด 7 ปีเต็ม ๆ ที่ผ่านมา
ส่วนในด้านของกานำมาสร้างเป็นภาพยนตร์นั้น บอกตรง ๆ เลยว่าภาคที่ถูกใจผมที่สุดคือภาค3 Harry Potter and the Prisoner of Azkaban ครับ ด้วยเหตุผลที่เห็นแก่ตัวที่สุดคือภาคอื่นๆนั้น ตัดทอนเนื้อเรื่องจนหดสั้นเหมือนกระจู๋แมว ในภาคที่ 1 และ 2 นั้น ยังอยู่ในระดับ “พอรับได้” ครับ เพราะถึงจะตัดออกหลายส่วนแต่ยังรักษาแกนหลักไว้ไม่บิดพลิ้วมากเกินไป ไม่เหมือนกับภาคที่ 4 ที่เพิ่งผ่านสายตาคนทั้งโลกไป เป็นอะไรที่ขัดใจผมอย่างแรงครับ เพราะนอกจากจะตัดทอนเนื้อเรื่องกลายเป็นฉบับย่อที่น่าเกลียดแล้ว ยังปรับแต่งโอนย้ายนิสัยคาแรคเตอร์สำคัญ ๆ ในเรื่องจนหมดไม่เว้นแม้แต่ตัวแฮร์รี่ พอตเตอร์เอง ซึ่งผมเองเคยวิจารณ์อย่างเผ็ดร้อนไว้แล้วในกระทู้ “แฮร์รี่ พอตเตอร์ 4 จืดสนิด” หากใครยังจำได้



ย้อนกลับมาที่ภาค3 ที่ผมบอกว่าผมชอบที่สุดก็เพราะว่า Alfonso Cuaron จัดสรรโลกเวทย์มนต์ ได้ตรงตามกับแกนหลักของเรื่อง มากที่สุดในสายตาผม ถึงแม้การบันทอนเนื้อเรื่องมีมากก็จริง แต่เขาสามารถนำส่วนที่เหลือมาดัดแปลงตัดต่อและนำเสนอมาในรูปแบบ ที่วิเศษไม่น้อยไปกว่าในหนังสือเลย ยกตัวอย่างฉากที่ผมชอบ ๆ ก็เป็น ฉากแฮร์รี่ เตะโต๊ะในห้องนอนตามอารมณ์เด็กผู้ชายที่กำลังโตเป็นหนุ่ม ฉากที่ย้อนเวลาไปกับเพื่อนสาวเฮอร์ไมเออนี่ ซึ่งทำภาพย้อนเวลาได้ตรงกับความคิดของผมทุกประการ แล้วแถมยังมีเสียงนาฬิกา “ติ๊ก ตอกๆ” อยู่ตลอดเวลาด้วย ฉากคำพูดของดัมเบอร์ดอร์ทั้งตอนเปิดภาคเรียนและตอนช่วยเหลือนักเรียน ที่ในและหน้าห้องพยาบาล
แต่ไม่ว่าหนังของซีรีย์ชุดนี้จะออกมารูปแบบใด มันก็เป็นอะไรที่จะเรียกเงินจากกระเป๋าตังค์ผมได้อยู่ดีนั้นแหละครับ

มาเจอะลึกของรัก : หนังสือชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ ถูกวางจำหน่ายเป็นครั้งแรกในชื่อตอนว่า
Harry Potter and the Philosopher's Stone (ฉบับภาษาอังกฤษ) ในวันที่ 26 มิถุนายน 1997 และทำปรากฏการณ์หนังสือเยาชนที่ขายดีที่สุดแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่ถ้าผมจะเจาะให้ลึกผมคงไม่มานั่งบอกวันจำหน่ายของหนังสือหรอกครับ ผมขอเจาะประเด็นเล็ก น้อย ที่คุณมองอาจข้ามไปในหนังสือจะน่าสนใจกว่า

=================================================================

*บทความในส่วนนี้เหมาะสำหรับผู้ที่อ่านหนังสือครบทั้ง 6 เล่มแล้วเท่านั้นนะครับ*

1.ว่าด้วยเรื่องอาวุธจอมมาร

ในตอนที่หางนอนถูกจับที่เพิ่งโหยหวยในภาคที่สาม มีบทสนทนาดังนี้
ซีเรียส แบล๊คพูดว่า “นายขาย ลิลลี่กับ เจมส์ ในให้โวลเดอร์มอร์ นายจะปฏิเสธไหม”
“ซีเรียส ซีเรียส นายจะให้ฉันทำอย่างไง เจ้าแห่งศาสตร์มืด นายไม่รู้หรอก เขามีอาวุธที่นายนึกไม่ถึง ฉันกลัว ซีเรียส”
อาวุธที่ว่านี้ถูกนำมาเป็นประเด็นในเล่มที่หกซึ่งแฮร์รี่ต้องหารู้ให้ได้ว่าอาวุธที่จอมมารใฝ่ฝันจะเป็นเจ้าของตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือมันคืออะไร และเขาก็สอบถามจากอาจารย์ ซลักฮอร์น ถึงสิ่งนั้นซึ่งก็คือฮอร์ครักซ์ เป็นเวทมนต์มืดขึ้นสูงซึ่งว่ากันว่าไม่เคยมีใครทำสำเร็จได้มาก่อน นั้นคือการแยกวิญาณของตนเองไว้เป็นหลายชิ้นส่วน และบรรจุไว้ใน สิ่งของชิ้นสำคัญ จากนั้นนำไปซ่อนในที่ห่างไกลและปลอดภัย สาเหตุที่จอมมารใฝ่ฝันจะทำเช่นนี้ก็เพราะว่า เขาไม่อยากตายหากวันนั้นต้องมาถึง เขาไม่อยากต้องไปเร่รอนเป็นผี เขาไม่อยากมีอะไรเป็นอุปสรรคในชีวิตของเขา เขาต้องการเป็นอมตะ!!!
เข้าใจลึกซึ้งขนาดนี้แล้ว มาดูประโยคที่นางหนอนบอกไว้อีกทีว่า “เขามีอาวุธที่นายนึกไม่ถึง” ก็ใช่ซิครับ นึกไม่ถึงจริง ๆ แม้แต่ดับเบอร์ดอร์เองยังใช่เวลาหลายปีในการตามหาเลย.....

=================================================================

2. อยู่ที่คำสัญญา

ในเล่มที่สี่ตอนนั่งรถไฟไปฮอกวอตส์ รอนพูดว่าคงจะดีถ้าแกล้งพลักมัลฟอย ตกหน้าผาแล้วทำเป็นอุบัติเหตุ” แต่เฮอร์ไมโอนี่ ตอบกลับมาว่า “เธอคงทำไม่ได้หรอก เพราะแม่เค้าน่ะรักเขาซะเหลือเกิน”
บทสนทนานี้ทำให้ผมคิดได้ว่า เพราะแม่ของเดรโกรักเขามากจึงเอาแต่ใจจนเดรโกเป็นเด็กนิสัยเสียอย่างที่เห็น และหลังจากในเหตุการณ์เล่มที่ 5 จบลง จอมมารโกรธ ลูเซียส มัลฟอย มากที่ขโมยลูกแก้วคำทำนายมาไม่สำเร็จ เขาจึงสั่งคำสั่งใหม่ให้เดรโกโดยตรงซึ่งเป็นทั้ง การลงโทษแทนพ่อของเขา และเป็นทั้งการทดสอบตัวเดรโกเอง ซึ่งไม่มีใครรู้เลยว่าจอมมารสั่งให้เดรโกทำอะไร ยกเว้นเขาเพียงสองคนนั้น
แม่ของมัลฟอยซึ่งรักลูกสุดดวงใจ รู้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่อันตรายแน่นอน และเธอไม่อยากให้ลูกต้องทำเผชิญหน้ากับภารกิจที่สั่งจากจอมมารโดยลำพัง เธอจึงไปขอร้องกับสเนป อาจารย์ที่เดรโกรักและเคารพมาโดยตลอด ซึ่งการขอร้องของเธอในครั้งนี้ไม่ใช่การขอร้องแบบปากเปล่า เป็นการขอร้องพร้อมกับทำ “ปฏิญาณไม่คืนคำ” ซึงนั้นหมายความว่าจะไม่มีทางผิดคำพูดได้เป็นอันขาด ไม่ว่าสัญญาอะไรไว้ คน ๆ นั้นต้องทำตามที่ให้คำสัญญาไว้ทุกอย่าง
แม่ของเดรโกขอคำสัญญาว่า...
“เซเวอร์รัส.. คุณจะอยู่ดูแลเดรโก ลูกชายของฉัน เมื่อเขาพยายามทำความปรารถนาจอมมารให้สัมฤทธิ์ผลหรือไม่”
“ผมจะทำ”
“แล้วคุณจะปกป้องเขาจนสุดความสามารถของคุณหรือไม่”
“ผมจะทำ”
“แล้วหากจำเป็นถ้าดูเหมือนเดรโกจะล้มเหลว... คุณจะดำเนินการต่อที่จอมมารสั่งให้เดรโกทำหรือไม่”
“ผมจะทำ”
สเนปตอบไปทั้งที่ตนเองก็ไม่รู้ว่าจอมมารสั่งให้เดรโกทำอะไร....

จอมมารสั่งให้เดรโกฆ่าดัมเบอร์ดอร์..............


=================================================================

3.สายตาที่เชื่อไม่ได้ หรือความจริงที่เรายังไม่ทราบ

ตั้งแต่เล่มที่หนึ่งจนถึงเล่มห้า มีการเอ่ยถึงบ่อยครั้งถึงรถม้าที่ฮอกวอตส์ว่าสามารถวิ่งได้เองโดยที่ไม่มีอะไรลาก และทุกคนก็เชื่อแบบนั้นเพราะเท่าที่เห็นมันไม่มีอะไรลากจริง ๆ
แต่ในเล่มที่ห้า ทุกคนก็เขาใจว่าแท้จริงแล้วมันมีตัว เธสตรอลลากอยู่ แต่คนที่จะมองเห็นมันได้จะต้องเป็นผู้ที่เคยเห็นความตายมาแล้วนั้น... แต่แฮร์รี่ก็เคยเห็นพ่อกับแม่เค้าตายมาต่อหน้าแล้วตอนอายุ หนึ่งขวบทำไมแฮร์รี่ถึงไม่สามารถมองเห็นไอตัวที่ว่านี้ได้ในตลอดเวลาที่ผ่านมา
ในจุดนี้คิดได้สองประเด็นครับ
ประเด็นที่หนึ่ง ตอนนั้นแฮร์รี่เป็นแค่เด็กอายุหนึ่งขวบเขายังไม่รู้ว่าความตายคืออะไร เขาไม่รับรู้ว่าพ่อแม่ของเขากำลังโดนฆ่า นั้นก็เหมือนกับเขายังไม่ได้เห็นความตาย เขาจึงมองไม่เห็นตัวเธสตรอล
ประเด็นที่สอง สั้น ๆ ได้ใจความและสะเทือนอารมณ์มาก... ที่แฮร์รี่ มองไม่เห็นตัวเธสตรอล มาก่อนก็เพราะเขายังไม่เคยเห็นความตายมาก่อน ก็เพราะพ่อกับแม่ของเขายังไม่ตายน่ะซิ!!!! ไม่อยากจะคิดอะไรบ้า ๆ นะครับ แต่มันมีเหตุมีผล และเป็นที่รู้กันว่า เจ.เค จอมหักมุม



=================================================================

เจ.เค ยังได้ทิ้งปมและประเด็นต่อเนื้องเอาไว้อีกมากมาย ไว้โอกาสหน้าเวเฟอร์จะมาวิเคราะห์กันให้ถึงพริกถึงขิง เพื่อเป็นการต้อนรับหนังสือเล่มที่เจ็ดเล่มสุดท้าย Harry Potter and the Deathly Hollows ที่จะมาอยู่ในมือของคุณหลายคนเร็ว ๆ นี้นะครับ เตรีมรอการเฉลยเนื้อเรื่องส่วนสุดท้ายและการหักมุมขึ้นสูงไว้ได้เลย ครับทุกท่าน

=================================================================




อันดับที่ 7 Britney Spears

เธอคือ : นักร้องหญิงผู้ที่ (เคย) ประสบความสำเร็จและโด่งดังที่สุดคนหนึ่งของโลก
ความโดดเด่น : การที่จะมานั่งอธิบายความโดดเด่นของ บริทนีย์ สเปียรส์ ก็เหมือนเอาเรื่องเก่ามาเล่าใหม่เป็นครั้งที่ร้อยครั้งที่พัน เพราะผมเชื่อว่า ทุกคนที่มีโทรทัศน์ทั้งโลกคงรู้กันว่าเธอมีความโดดเด่นในด้านไหน



ทำไมถึงรัก : เมื่อครั้งแรกที่ผมเห็นแม่สาวตัวเล็กคนนี้เล่นลูกบาส กับฝูงชาย และสะบัดก้นโยกย้ายพร้อมตะเบ็งเสียง ออกมาว่า “oh baby baby, how was I supposed to know?” นั้นเป็นครั้งแรกในชีวิตของผมที่ผมสนใจในเรื่องของเพลงสากล ในโลกฝั่งยุโรบ ในเรื่องของภาษาอังกฤษ ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าเพลงนี้มันกล่าวถึงอะไร ผมไม่รู้ว่าเธอคนนี้โด่งดังแค่ไหน ผมจำได้ว่าผมชอบทำนองที่มันได้ใจและฟังกี่ครั้งไม่เบื่อ แต่ว่าที่สำคัญคือเพลงนี้ต่างหากเป็นจุดเริ่มต้นในผมฝึกร้องเพลงภาษาอังกฤษ คุณเองก็คงจะจำได้ใช่ไหมครับว่าเพลงสากลเพลงแรกที่คุณฝึกร้องคือเพลงอะไร และมันมีความทรงจำที่ดีแค่ไหนกับคุณ?



จากนั้นเมื่อเวลาผ่านไปผมเจอเธออีกครั้งในจอทีวีช่องห้าช่วงเช้า ๆ ของรายการ อี ฟอร์ ทีน (ถ้าจำไม่ผิด) เธอใส่ชุดสีแดงรัดรูป ผมยาวสลวย หน้าตาน่ารักและทำเสียงแอ๊บแบ๊วว่า “Oops, I did it again” ตอนนี้แหละครับที่ผมเริ่มสนใจ บริทนีย์ อย่างจริงจัง จนถึงขั้นเก็บเงินค่าขนมไปซื้อเทป แล้วนั่งฟัง นอนฟังเพลงของเธออย่างมีความสุข ผมจำได้ว่ามีหลายอย่างในชีวิตเกิดขึ้นในตอนนั้น ทั้งเรื่องเศร้าและเรื่องเครียดมากมาย และนักร้องผู้นี้แหละครับ ที่ช่วยทำให้ผมลืมเรื่องเศร้าและยิ้มฟังเพลงเธออย่างมีความสุข จากนั้นผมก็ตามเก็บผลงานเธอเรื่อยมา ทั้งติดตามข่าวสาร หนังสือ รูปภาพ ซีดี ดีวีดี และร่วมกิจกรรมทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับ บริทนีย์ จนถึงขั้นเคยไปขโมยรูปฟิวเจอร์บอร์ดโฆษณาแป๊ปซี่ ที่เป็นรูปบริทนีย์กำลังดูดขวดแป๊ปซี่ ขนาดเท่าตัวจริงมาไว้ที่บ้าน!!! (เป็นการกระทำที่ผิดและไม่ควรทำตามอย่างยิ่งเลยครับ) ทุกวันนี้ผมยังคิดไม่ถึงว่าตัวเองจะทำอะไรที่บ้าคลั่งได้ขนาดนั้น และผมก็ระลึกอยู่เสมอว่าตัวผมเองโชคดีแค่ไหนที่ไม่ถูกจับเข้าตารางไป เพราะหากเป็นอย่างนั้น ผมเองคงไม่ได้มานั่งเล่าเรื่องนี้ให้คุณฟังกันหรอกครับ...



กลับมาที่เรื่องบริทนีย์ ตัวผมเองมีของสะสมมากมายเกี่ยวกับเธอ เธอเปรียบเสมือนผู้ที่ให้ความสุขกับผมอย่างล้นหลาม และเหมือนเพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่งที่ผมเคยมีเลย ถึงแม้จะมีข่าวด้านลบเกิดขึ้นมากมายกับตัวเธอ นั้นก็ไม่ได้ทำให้ความชอบเธอลดน้อยลงแต่อย่างใด ผมคิดว่าในเรื่องชีวิตส่วนตัวคนเราย่อมเกิดอะไรขึ้นก็ได้ แต่เราควรทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด และในฐานะนักร้องและ เอนเตอร์เทนเนอร์ ผมคิดว่าบริทย์ สเปียรส์ทำหน้าที่ของเธอได้อย่างยอดเยี่ยมที่สุดของโลกคนหนึ่งเลยครับ

มาเจอะลึกของรัก : เนื่องด้วยตัวผมเองก็ไม่เคยวิจารณ์เพลง และไม่คิดจะอาจเอื้อมด้วยครับ จึงขอเป็นกล่าวถึงเพลงของบริทนีย์ที่ผมชื่นชอบเป็นพิเศษและความรู้สึกส่วนตัวดีกว่าครับ

=================================================================



Lucky น้ำตาไม่ใช่สิ่งที่เลวร้าย

ผมจำได้ว่าเพลงนี้มีมิวสิควีดีโอ ที่ถูกใจผมมาก กล่าวถึงดาราชื่อ ลัคกี๊ เธอมีทุกอย่างเพียบพร้อมแต่นั้นก็ไม่ได้ทดแทนความเหงาในใจเธอได้เลย หลังจากงานรับรางวัลอันยิ่งใหญ่ เธอก็ต้องมานอนร้องให้อย่าสลดใจไม่ต่างกับคนธรรมดาทั่วไป ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นการสะท้อนชีวิตของบริทนีย์เองด้วยกระมังว่าถึงเธอจะมีชื่อเสียงโด่งดังแค่ไหน เธอก็ยังต้องการทุกอย่างเหมือนเด็กหญิงสาวทั่ว ๆ ไปนั้นแหละ



เพลงนี้มีดนตรีที่น่ารัก และทำนองที่ซ้ำกันแทบทั้งเพลง แต่โชคดีที่ว่ามีท่อนฮุกที่ติดหู และติดปากที่ว่า “but she cry, cry, cries in her lonely heart , thinking” ผมว่าเป็นท่อนที่ที่สำคัญที่สุดของเพลงเลยทีเดียว และที่โดนใจก็คือการที่เน้นคำว่า cry นี่แหละครับ มันได้ทั้งความไพเราะ และการสื่อความหมาย เพลงนี้จึงเป็นเพลงที่ผมโปรดปานและฟังมามากกว่าพันครั้งมาแล้วในชีวิตแล้วครับผมมั่นใจ

=================================================================



I’m a slave 4 you เมื่อของมันเกิดร้อน

ครั้งแรกที่ผมได้ฟังเพลงนี้ ผมก็รู้สึกถึงการพัฒนาเพลงของเธอเลยครับ ว่าเพลงหากินของเธอไม่จำเป็นต้องเป็นเพลงกระโดดหนังยาง กิง ก่อง แก้ว เสมอไป เพราะเพลงนี้ใช้ลูกเล่นเสียงเล็ก เสียงน้อยเธอได้อย่างเป็นประโยชน์ ท่อนไหนที่เสียงเธอจะเพี้ยนไปก็เอา เสียงคอรัสมาช่วยกลบซะ ถือเป็นการทำงานที่รอบคอบจริง ๆ แล้วยิ่งที่ที่บริทนีย์ กึ่งร้องกึ่งพูดในตอนแรกนั้นผมว่ามันเป็นอะไรที่เซ็กซี่มากเลยครับ รวมกับองค์ประกอบในมิวสิควีดีโอเพลงนี้แล้ว ทำให้มันเป็นภาพที่ผมดูกี่รอบก็ไม่เบื่อ การที่เห็นแสงแดดที่ส้มส่องบ่นเรื่องร่างของเธอที่ชุ่มเหงื่อ พร้อมสะบัดผมไปมาซ้ายเข้ากับจังหวะ “ha, ha, ha, ha” และท่าเต้นที่พร้อมเพรียงกัน ทุกอย่างเรียกได้ว่าถูกใจผมไปหมดเลยครับ และถึงเพลงนี้จะมีเวอร์ชั่นรีมิกซ์ตามมาเป็นกระบุงแต่ผมคิดว่า ไม่เซ็กซี่เท่าเวอร์ชั่นดั้งเดิมเลยซักอัน




=================================================================



Toxic ทั้งเปรี้ยว ทั้งแสบจัดจ้าน ถูกใจยิ่งนัก

เมื่อกระแสฮิพฮอพ เข้าแทรกแซงบิลบอร์ด ทุกหนทุกแห่งต้องมีแรพโย่เข้ามาแจม ทุกเพลงทุกอัลบั้มต้องหานักร้องผิวดำมาร้องคู่กันให้ควัก เพราะมันเหมือนเป็นธรรมเนียมใหม่บนชาร์ตเพลงว่า ถ้าไม่แรพโย่ ๆ มาเอี่ยวก็ไม่ต้องมาใต่อันดับต้น ๆ เลย และเป็นช่วงที่บริทนีย์ของผมไม่มีเพลงติดอันดับต้น ๆ มานานพอตัว แต่แล้วเมื่อผมได้ฟังเพลง Toxic ครั้งแรกผมรู้สึกได้ถึงความเปรี้ยว ความแสบในเพลงนี้ แถมกับมิวสิคที่จัดจ้าน ชนิดที่ว่าต้องชมเป็นเสียงเดียวกันเลย ว่าเธอคือเอนเตอร์เนอร์ที่ดีจริง ๆ และในเพลง Toxic บริทนีย์ ยังต้อง เพิ่มทั้งเสียงสูงและเสียงสูงมาก ตรงท่อน “too high can’t come down” ตัดกับดนตรีที่มีลูกเล่นลูกชน เหมือนนั่งรถไฟเหาะเลย มีทั้งช่วงมันสุด ๆ ช่วงก่อนจะดิ่งลง และช่วงที่สายไปมาอย่างบ้าคลั่ง ด้วยความสวยงามทั้งหลายก็พาเพลงนี้ไปติดอันดับต้น ๆ เทียบเคียงเพลงแรพโย่ทั้งหลายอย่างภาคภูมิใจ พร้อมได้แกรมมี่ไปนอนกอดอีกหนึ่งตัวใน รางวัลเพลงเต้นยอดเยี่ยม



=================================================================



Overprotected เพลงตามแบบฉบับที่ขายได้ไม่เบื่อ

เพลงนี้เป็นอะไรที่แนว บริทนีย์ มาก ๆ ครับ จะเรียกได้ว่าเป็นน้องสาวคนเล็กของเพลง crazy และ stronger ก็ไม่ผิด ทั้งการใส่ท่อนฮุก รูปแบการใส่ท่อนฮุกซ้ำไล่ติด ๆ กันในช่วงท้ายและที่เด่นชัดคือแนวการร้องที่เหมือนกันแบบคำต่อคำเลย แต่ถึงกระนั้น มันก็เป็นอะไรที่ถูกใจแฟน ๆ อย่างช่วยไม่ได้
ในอัลบั้มเหมือนใส่เพลงนี้เป็นตัวกันล้ม เพราะถ้าหากแฟนไม่ถูกใจกับซิงเกิ้ล I’m a slave 4 U ก่อนหน้านี้ ก็ยังมี overprotected รองรับไว้อย่างน่าเอ็นดู ส่วนตัวผมนั้นชอบเพลงนี้ ตรงที่บริทนีย์ ผลัดกันร้องกับคอรัสอย่างสนุกสนาน และการทำเสียงกระซิบที่ข้าง ๆ หูว่า “ I.. need.. time..” ต่อด้วยการร้องเร็ว ๆ ‘I dont need nobody telling me just what i wanna What what what I'm gonna’ ผมฟังกี่ครั้งก็สนุกทุกครั้งล่ะครับ



=================================================================



Breathe on me อารมณ์บังเกิดได้ เพียงแค่......

ตั้งแต่ฟังเพลงมาทั้งชีวิต ผมไม่เคยรู้สึกว่าเพลงไหนฟังแล้วมันได้อารมณ์... เท่าเพลงนี้เลย ตั้งแต่เสียงลมหายใจเบา ๆ คลอมากับดนตรีในช่วงแรก และการร้องกึ่งพูดกึ่งกระซิบของบริทนี่ย์ บวกกับเนื้อเพลงที่มีความหมายไม่ลามกแต่เร่าร้อน ตั้งแต่ลมหายใจไปถึงกระดูดซี่โครง ...

Oh it's so hot and I need some air
And boy, don't stop cause I'm halfway there
Its not complicated, we're just syncopated
We can read each others minds

ทุกคำเรียกอารมณ์เวเฟอร์ได้ดีจริงๆ ครับ



เอาเป็นว่าขอเอ่ยถึงเพลงโปรดแค่นี้ก่อนละกันครับ แค่อยากบอกไว้ว่าเพลงของบริทนีย์ ผมชอบทุกเพลงล่ะครับและฟังได้ไม่เคยเบื่อด้วย เสียงเพลงของเธอเหมือนซี้ผมเลยคนหนึ่งก็ว่าได้ เพื่อนที่ไม่เคยทิ้งกันและพร้อมจะอยู่ข้างหูผมทุกครั้งที่ผมต้องการ

=================================================================

อันดับที่ 6 หักมุม!!

มันคือ : การหักมุม คือการพบเจอสิ่งใด ๆ หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกินการคาดเดา คิดไม่ถึง และตรงกันข้ามกับความนึกคิดที่ผ่านของคุณ และมันก็นำมาซึ่งความเซอร์ไพรซ์อย่างแน่นอน
ความโดดเด่น : การหักมุมนั้น เกิดขึ้นในโลกบันเทิงหลาย ๆ แขนง ทั้ง หนังสือ วีดีโอเกม ละคร และที่สำคัญสำหรับผมคือในโลกแห่งภาพยนตร์ ในโลกแห่งภาพยนตร์นั้น การหักมุมถูกใช้มาเนินนาน และเป็นนิยมไม่น้อยเลยทีเดียว เนื่องด้วยผู้คนมากมาย เบื่อหน่ายกับหนังซ้ำซากจำเจ ที่สามารถเดาเนื้อเรื่องได้ตลอดทาง ตั้งแต่นั่งไปดูไปเพียง 5-10 นาที ผู้คนเหล่านั้นซึ่งรวมถึงผมด้วย ต้องการอะไรที่แปลกใหม่ ไม่ซ้ำซาก แหวกแนว และไม่สามารถคาดเดาได้ สิ่งนั้นก็คือหนังหักมุม หนังที่สามารถพลิกผันความเข้าใจคนดูได้ ทำให้คนดูตาโตอ้าปากเซอร์ไพรซ์ได้ ก็สามารถเรียกมันว่าหนังหักมุมได้แล้ว อยู่ที่ว่าจะใช้การหักมุมในรูปแบบไหน หรือมากน้อยเพียงใด ซึ่งนั้นคือความความโดดเด่นของหนังหักมุม

ทำไมถึงรัก : ครั้งแรกที่ผมรู้สึกชอบการหักมุมก็คือ ตอนที่ได้ชมฉากหักมุมที่สุดตลอดการที่สุดฉากหนึ่งในโลกภาพยนตร์ ฉากที่ ดาร์ท เวเดอร์ ประกาศต่อหน้าลุคว่า “I AM YOUR FATHER” นั้นเอง ตอนนั้นผมรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่คาดไม่ถึงจริง ๆ และหนังก็จงใจวางพล๊อตมาอยู่แล้ว ที่จะทำให้คนดูยกมือปิดปากพร้อมๆ กัน!! จากนั้น ไม่ว่าหนังเรื่องใดมีการหักมุม มีการเซอร์ไพร์คนดู ไม่ว่าจะเป้นที่ตัวพล๊อตเรื่องหรือบทตัวละคร หรืออะไรก็ตาม ผมก็จะตามหามาเพื่อที่จะริ้มรสการหักมุมของมันอย่างมีความสุข และไล่ล่าเก็บประการณ์หักมุมในทุกรูปแบบ อย่างมีความสุขครับ

มาเจอะลึกของรัก : หนังหักมุมที่โดดเด่นมีมากมาย และใช้ลูกเล่นสารพัด จากการออกตามล่าการหักมุมทั่วราชอาณาจักผมจะ รวบรวมเจอะลึกและเรียบเรียงตามดังต่อไปนี้เลยครับ

=================================================================



หักมุมขั้นพื้นฐานที่ 1 “ฉันไม่ทันคิดเอง หรือมันไม่บอกฉัน”
Wildthing 1998

เกรินเพิ่มความน่าดู :ว่าด้วยเงินจำนวนก้อนโต ในกลุ่มคนโลภมากทั้งหลายที่โกหก ตอแหล และทำทุกอย่างได้อย่างหน้าด้าน ๆ เพียงเพราะหวังในเงินก้อนนั้น จากการวางแผนขั้นเล็ก ๆ จนเมื่อความโลภครอบงำมากขึ้นจนเกิดเป็นแผนซ้อนแผนซ้อนแผน และไม่สามารถเดาได้ว่าใครกันแน่ที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด!!!!
แถม : หนังเรื่องนี้มีภาคต่อที่เทียบเคียงกันออกมา อีกสองภาค ซึ่งไม่สามารถสู้ภาคแรกได้แม้แต่ปลายก้อย

=================================================================



หักมุมขั้นพื้นฐานที่ 2 “สิ่งที่เห็น สิ่งที่ได้ยิน ไม่จำเป็นเป็นจริงเสมอไป”
Psycho 1960

เกรินเพิ่มความน่าดู :เด็กหนุ่มผู้ที่รักแม่และดูแล อย่างสม่ำเสมอไม่เคยทิ้งกันไปไหน จนเริ่มพากันหลอนทั้งคู่ จนมีปากเสียงกันประจำ และคือหนึ่งเมื่อหญิงสาวหน้าเลือดลักลอบเงินสด หนีไปพักที่โมเทล ของสองแม่ลูก จนกระทั้งเรื่องไม่ดีงานบังเกิดขึ้น แต่นั้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการสืบหาความจริงซึ่งจะนำไปสู่ความจริง ที่หักมุม คนทั้งโลกมาแล้ว

แถม: หนังเรื่องนี้ถูกนำมารีเมคหลายรอบ พอตัว และทุกครั้งก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า จะสร้างมาเพื่ออะไร? ในเมื่อก็น่าจะรู้ว่าสู้ภาคต้นฉบับไม่ได้อยู่แล้ว




The village 2004
เกรินเพิ่มความน่าดู
:หมู่บ้านอันเงียบสงบใน ไร้ไฟฟ้า แสงสีและความเจริญในทุกรูปแบบบันเทิง ทุกคนอยู่อย่างเป็นสุขภายใต้การดูแลของผู้นำหมู่บ้าน แต่ทว่าสิ่งที่อาศัยอยู่ในป่าโดยหมู่บ้านนั้น ช่างเป็นอะไรที่ลี้ลับและน่ากลัวอย่างยิ่ง ไม่มีใครกล้าเอ่ยถึงมัน ไม่มีใครกล้ายุ่งกับมัน ไม่มีใครกล้าต่อกรกับมัน จนกระทั้ง สาวน้อยไอวี่ต้องเดินทางออกจากหมู่บ้านเพื่อไปเอายามารักษาแฟนหนุ่มที่รัก และพาคนดูไปพบกับความจริง ที่สิ่งที่เห็นนั้นมันตรงข้ามกับความแค่ไหน แต่ตัวเธอกลับไม่รับรู้อะไรในเรื่องเหล่านั้นเลย ?!?!

แถม: ผู้คนทั่วทั้งโลกต่างประณามหนังเรื่องนี้เป็นหนังยอดแย่ประจำปี และไร้สาระมาก แต่สำหรับเวเฟอร์แล้ว ด้วยการหักมุมเพียงเท่านั้น ผมก็มีความสุขกับมันได้ละครับ

=================================================================



หักมุมขั้นปลานกลางที่ 1 “ผิดที่คุณ... ที่คิดไปเอง......”
Sixth sense 1999

เกรินเพิ่มความน่าดู :เด็กน้อยที่มีปัญหาเก็บตัว คุณพ่อเสีย และไม่สุงสิงกับใคร จนต้องลำบากไปถึงคุณหมอฝีมือดีเข้ามารักษา และยิ่งรักษาเด็กคนนี้เข้าไปเท่าไหร่ คุณหมอก็รู้สึกว่าเข้านั้นห่างเหินกับภรรยาเค้ามากขึ้นทุกวัน แต่เขาไม่มีทางเลือก เพราะการช่วยเหลือเด็กคนนี้อาจจะเป็นวิธีเดียวที่เขาจะไถ่โทษที่เขาเคยพลาดไว้ในวันก่อนได้ แต่ที่จริงแล้วใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายต้องการความช่วยเหลือ ????.....




The other 2001
เกรินเพิ่มความน่าดู
:เกรซคือคุณแม่ลูกสองผู้ดูแลบ้านหลังโตซึ่งมีประวัติความเป็นมายาวนาน และเธอได้รับคนรับใช้เขามาอีกสามคนเพื่อมาแทนคนรับใช่ชุดเก่าที่หายไปแบบไร้ร่องรอย โดยที่ไม่เอาเงินเดือน จากนั้น ทุกอย่างในบ้านก็เข้าสู้ความหลอน ลูก ๆ ของเธอเริ่มเห็นสิ่งที่อยู่มิติตรงข้ามกับพวกเขา ชาติภพที่เป็นเหมือนเส้นคู่ขนาด ซึ่งมันได้ซ้อนทับกันแล้ว ณ ที่บ้านหลังนี้ ภพของคนเป็นและคนตาย ส่วนพวกคนใช้ก็เริ่มมีลับลมคมใน จนคุณแม่เกรซเริ่มทนไม่ได้ และจัดการกับสิ่งทั้งหลายด้วยตัวเธอเองจนเมื่อเธอได้รู้ความจริงทั้งหมดว่าที่จริงสิ่งที่อันตรายที่สุดก็คือ......

แถม: หนังเรื่องนี้จัดอยู่ในการหักมุมที่แรงมากที่สุดเรื่องหนึ่งเลย

=================================================================




หักมุมขั้นปลานกลางที่ 2 “ยังเห็นไม่ครบ อย่าเพิ่งด่วนสรุป”
SAW I, II, III
เกรินเพิ่มความน่าดู
:(อีกแล้วที่กระทู้ผมเอ่ยถึงเรื่องนี้) เมื่อผู้คนไม่เห็นคุณค่าของชีวิต ไม่รู้จักใช้ชีวิต ให้สมกับทีได้มันมา เขาเหล่านั้นจึงถึงเวลาที่จะถูกทดสอบถึงเนื้อหนังที่แท้จริงภายในว่า เขาคู่ควรหรือเปล่ากับชีวิตที่ตนเองมีอยู่ หากไม่ผ่านการทดสอบ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพียงแค่คืนสิ่งนั้นไปเท่านั้น ชีวิตของคุณ
ฆาตกรที่ถูกขนานนามว่า จิ๊กซอว์ ผู้นี้มีไอเดียสุดบรรเจิดในการทดสอบเนื้อหนังที่แท้จริงของมนุษย์ และแต่ละเกมทดสอบของเขาก็ถูกใจหลายคนไม่น้อยเลยทีเดียว และที่สำคัญคือหนังเรื่องนี้มีการเล่าที่ไม่เรียงลำดับก่อนหน้าโดยตรง เปรียบเสมือนจิ๊กซอว์ที่ไม่จำเป็นว่าจะต้องต่อไล่ไปทีละชิ้น จิ๊กซอว์นั้นจะซุ่มขึ้นมาแบบไม่ลำดับว่าชิ้นใดคือชิ้นต่อไป จนกระทั้งต่อครบสำเร็จจึงจะเห็นเป็นภาพที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งหากคุณมองภาพที่มันยังต่อไม่ครบ มันอาจทำให้คุณเข้าไปในทิศทางตรงกันข้ามกับความจริง!!!!

แถม : SAW ภาคที่ 4 จะลงโรงประมาณเดือนตุลาคมปีนี้ ซึ่งนั้นหมายความว่า มันยังมีชิ้นส่วนของจิ๊กซอว์ที่ยังไม่ได้นำมาต่ออีก ฉะนั้นอย่าเพิ่งปักเชื่อในสิ่งที่คุณเห็น มันอาจจะมีอะไรที่มากกว่านั้น



The primal fear 1996
เกรินเพิ่มความน่าดู :นักวัดหน้าใสถูกกล่าวหาว่า ฆาตกรรมเจ้าอาวาสด้วยวิธีสุดโหดคือการเฉือน ชำแหละ ควักลูกตาและตัดอวัยวะเพศ หลักฐานทุกอย่างชิ้นชี้นำว่าเขาคือผู้ทำ แต่ด้วยใบหน้าที่(หล่อ)ใสซื่อ และจริงใจ จนทำให้ทนายชื่อดังของเมื่อมาว่าความให้ จนทำให้ความหวังในการเป็นอิสระของเขามีความหวังขึ้นมาทีละนิด แต่คำถามที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ว่าใครเป็นคนทำ แต่มันอยู่ที่ว่า คุณน่ะเชื่อใคร???

=================================================================




หักมุมขั้นสูงที่ 1 “เมื่อสิ่งที่เห็นทั้งหมดล้วนหลอกหลวง และเชื่อไม่ได้”
Identity 2003
เกรินเพิ่มความน่าดู
: ผู้คนหน้าตาแตกต่างทั้ง 10 คนจับพลัดจับพลู ติดพายุต้องมาพักที่โมเตลกันดาลแห่งหนึ่ง และเรื่องเริ่มน่ากลัวเมื่อมีคนทยอยตายไปทีละคน จนกระทั้งผู้ที่เหลือรอดหวาดกลัวสุดขีด และหาทางหลบหนี แต่นั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลย เพราะเหตุการณ์ทั้งหมดล้วน ถูกซ้อนทับไปด้วยการหักมุม มากมาย จนทำให้หนังเรื่องนี้ติดอันดับตน ๆ ของหนังเข้าใจยากจริง ๆ แต่หากคุณเข้าใจเนื้อเรื่องอย่างถ่องแท้แล้ว คุณอาจจะรู้ว่า หนังเรื่องนี้ฉลาดในการหลอกล่อคนดูมากแค่ไหน

=================================================================



หักมุมขั้นสูงที่สอง 2 “หักมุมเพียงน้อยนิด แต่ทรงพลังและตราตรึงใจ”
Pan’s Labyrinth 2006

เกรินเพิ่มความน่าดู :ผมเพิ่งจะเขียนวิจารณ์เรื่องนี้ไปได้ไม่นานนี้เอง แต่ด้วยความบังเอิญที่มันเกี่ยวข้องกัน จึงทำให้ผมต้องกล่าวถึงมันอีกครั้ง ในฐานะหนังที่มีการหักมุม อันทรงพลังและตรึงใจที่สุดเรื่องหนึ่ง
การหักมุมในเรื่องนี้ หลาย ๆ คนอาจมองไม่เห็นด้วยซ้ำ หรือง่ายที่จะมองข้ามมันไป เพราะมันไม่ได้เล่าถึงการหักมุมอย่างโจ่งแจ้ง แต่เพียงการเล่าผ่านสายตาของตัวละคร ซึ่งคุณจะต้องนำไปคิดอีกทีหนึ่งว่าคุณเลือกที่จะมองมันในรูปแบบไหน หากคุณไม่คิดว่ามันเป็นการหักเหความคิดใด ๆ นั้นก็เป็นความสนุกในรูปแบบหนึ่ง แต่หากลองคิดอีกแง่มุมหนึ่งว่าหากหนังทำภาพออกมาแบบนี้ เขาต้องการที่จะสื่ออะไรกับคนดูกันแน่? การที่จะลิ้มรสชาติการหักมุมอันมีชั้นเชิงจะต้องอาศัยการติดตามของคุณบวกเข้าไปด้วย ไม่อย่างงั้นคุณอาจเดินออกมาจากโรงภาพยนตร์โดยที่ไม่รู้สึกอะไร ในขณะที่คนอื่นที่คิดตามและจับประเด็น ๆ เล็กน้อย ๆ จะคุ้มค่ากับหนังเรื่องนั้น ๆ ได้ทุกบาททุกสตางค์ และเรื่อง Pan’s Labyrinth จัดอยู่ในการหักมุมที่มีชั้นเชิง และรองรับกับเนื้อเรื่องทั้งหมดได้อย่างลงตัว

แถม : ถ้าหนังจบแล้วคุณไม่รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้หักมุม ในกรณีนี้คุณก็โทษใครไม่ได้นะครับ คุณโง่เองครับ

=================================================================

นี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งนะครับ ยังมีหนังหักมุมอีกมากมายที่ผมอยากจะนำมาแนะนำกัน แต่มันจะหักมุมในรูปแบบใด หรือมากน้อยแค่นั้น มันก็ต้องขึ้นอยู่กับตัวคุณแหละครับ ว่าคุณนั้น ใส่ใจกับเนื้อเรื่องและรายละเอียดมากน้อยแค่ไหน
และใครมีหนังหักมุมน่าสนใจแนะนำได้นะครับ เวเฟอร์ยังกระหายที่จะพบเจอการหักมุมทุก ๆ ระดับไม่เสือมคลาย

=================================================================

อ่า ฮะ เป็นไงครับ อ่านกันสนุกเลยหรือปล่าว มาถึงอันดับที่ห้ากันแล้ว

ตรงนี้เวเฟอร์ขออณุญาติทำนิสัยไม่ดีนะครับ ขอทำนิสัยแบบหนังละครบ้านเรานิดหนึง

คือ.. ติดตาม TOP 5 "ห้าอันดับของรักที่สุดในโลกบันเทิงของเวเฟอร์" ในตอนต่อไปเร็ว ๆ นี้ครับ

*** แล้วคุณล่ะครับ... ของรักในโลกบันเทิงของคุณคืออะไร ?? *** Cool


=================================================================





แก้ไขล่าสุดโดย Darth เวเฟอร์ เมื่อ Tue Apr 24, 2007 7:38 am, ทั้งหมด 1 ครั้ง

_________________
คุยหนังภาษาหมา
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ส่ง Email MSN Messenger
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
ก่อนอื่น ต้องขอบคุณพี่เอกมากๆเลยนะ ที่...........ให้

พี่เอกยังเขียนดีเหมือนเดิมเลย หนังที่พี่เอกเขียนเก้ายังไม่ได้ดูตั้งหลายเรื่อง

5 อันดับแรกที่พี่เอกเขียนมาเนี่ย เก้าชอบ อันดับ 7 มากที่สุดแล้ว

อ่านดูแล้วรู้สึกว่ามันเป็นตัวของพี่เอกจริงๆ (มีแอบเล่าประวัติส่วนตัวด้วยนะเนี่ย)

แล้วก็เรื่องหักมุม มีหลายเรื่องที่เก้าไม่เข้าใจ แล้วก็ไปถามพี่เอก

ขอบคุณพี่เอกมากๆเลยนะที่อธิบาย

โดยเฉพาะเรื่อง The other 2001 ที่เก้าถามพี่เอกเรื่อง พ่อกลับมาบ้าน อะพี่เอกยังจำได้ป่าวเนี่ย !!

ยังไงก็รีบๆเขียนอีก 5 อันดับนะครับ เด๋วเก้าจะมาเม้นให้อีก
จุ๊บๆ....




แก้ไขล่าสุดโดย kaokoong เมื่อ Tue Apr 24, 2007 2:58 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง

_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว MSN Messenger
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
Marsha พิมพ์ว่า:
ตรงนี้น้องเก้าขอจองนะครับ ห้ามแย้ง


อีแรด



แม่บริทอาทรักอันดับ1 เลยอ่าๆๆๆทำไมรักเลือดไม่ไหวๆๆ


_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ชมเว็บส่วนตัว MSN Messenger
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
แพนเค้กก็ชอบเลือดคร่ะ ดู คลาสสิก ปน ซาดิสม์ ดี


_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
ยาวมาก ขอบอก อิอิอิ

เห็นคุณพี่ คลั่งหนังมากมาย ก็คงเดาไม่ยากว่า เกินครึ่งควรจะเกี่ยวกับหนังแน่นอน

แต่ลุงชอบของ บริท น่ะ ดูมีตวามน่าสนใจมากสุดล่ะ

หรือว่า บริทน่ารักสุดในนี้ อิอิ




แก้ไขล่าสุดโดย พิม (ลุงนีล) เมื่อ Wed Apr 25, 2007 12:12 am, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
ถูกใจอันที่ 7 ค่ะ หนูว่าบริทเปนคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงนะค่ะ ดูอย่าง toxic ได้เลย เธอไม่ต้องอาศัยแรปเปอคนไหนมาช่วยทำอันดับให้ เธอแค่เปนตัวของตัวเอง ทำเพลงแบบที่เธอทนัดแค่นี้เธอก้อดังจนไม่รุ้จะดังยังไงแล้ว


_________________




ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
ขยันมากๆ ค่ะ ปรบมือให้ Very Happy


_________________
" อิเหียก แม่ทุกรี"


Very Happy Very Happy Very Happy Very Happy Very Happy Very Happy Very Happy Very Happy
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
Cool Cool Cool Cool Cool Cool

โห้ อ่านเพลินมากๆเลยค่ะ ไล่เรียงไปเลยแล้วกันนะคะ



10.ปังย่า : เกมนี้ไม่เคยเล่นเลยค่ะ เลยไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี แต่เคยเห็นเพื่อนที่โรงเรียนเล่นในร้านเน็ต เห็นตีกันแล้วรู้สึกว่าสนุกตรงไหนเนี่ย(พูดในฐานะคนที่ไม่เคยเล่น) แต่คิดในมุมกลับ ถ้าลองได้เล่นแล้วก็คงจะสนุกอย่างที่พี่เอกว่าจริงๆ เพียงแต่ว่าตอนนี้ของเล่นในคอมมีให้เล่นเยอะแล้ว โดยบอร์ดนี้เป็นหลัก คงคิดว่าจะไม่ลองเล่นค่ะ(กลัวติดด้วย55+เดี่ยวไม่มีเวลาเข้าบอร์ด)



9.เลือด : หว๋ายยยยยยยยย ไม่ว่าจะเลือดจริงหรือเลือดในหนังเมย์ก็ไม่เอาทั้งนั้นแล่ะค่ะ 55+ กลัวมากๆ แทบอ้วก แต่ยอมรับว่าถ้าหนังเรื่องไหนมีเลือดเยอะจะทำให้หนังเรื่องนั้นดูมีสีสันและสนุกมากๆเลยค่ะ



8.หนังสือแฮร์รี่ : อันนี้ยาวหน่อยแล้วกัน
ตามจริงเพิ่งมาอ่านแฮร์รี่หลังจากดูหนังจบภาค4 เล่ม1-6รวด ความรู้สึกของการดูหนังก่อนอ่านหนังสือ รู้สึกว่าหนังทำได้ดีมาก(แอบคิดอยู่ในใจโดยเฉพาะภาค3 ตอนที่เฮอร์ไมโอนี่ย้อนเวลา คิดอยู่ว่าหนังสือมันจะใช้ภาษาเขียนได้ยังไง ) แต่พออ่านหนังสือจบถึง6เล่มแล้ว ให้ความรู้สึกว่า เจ.เค ใช่คนป่ะคะเนี่ย แบบเป็นอะไรที่มีจินตนาการเยอะแยะมากมาย หลอกเก่งมากๆทำให้ปลื้มและประทับใจในตัวผู้หญิงคนนี้มากๆเลยค่ะ ปกติเป็นคนที่ไม่ชอบเลยที่จะอ่านหนังสือแบบที่มีตัวหนังสือเยอะๆโดยที่ไม่มีรูปภาพ แต่นับตั้งแต่หยิบเล่มแรกขึ้นมากอ่านแล้วรู้สึกว่า แอร๊ยยยยยยย หยุดไม่ได้ขาดใจ อ่านชนิดที่ไม่เป็นอันกินอันนอน ต้องติดตามอยู่ตลอดเวลา เรียกว่าเป็นทาสเลยก็ว่าได้ ชอบตรงที่พอจบตอนเจ.เคสามารถเขียนทำให้เราอยากอ่านตอนต่อไปได้ เชื่อมั้ยคะว่าเมย์ไม่เคยอ่านจบตอนแล้วนอนเลย ต้องอ่านตอนต่อไปซักนิดนึง จนกระทั่งทนไม่ไหวแล้วค่อยเลิกอ่าน แต่พอว่างปุ๊ปต้องหยิบมาอ่านปั้บ (กระทั่งอยู่บนรถเมล์ตอนไปรร.) พออ่านจบถึงเล่ม6แล้วก็เศร้าค่ะ ไม่มีอะไรให้อ่านอีกแล้ว กระซิกๆ ประทับใจทั้ง6ภาคเลยค่ะ ชอบการใช้ภาษา และจินตนาการกว้างไกลของเจ.เค.มากๆ สุดยอดค่ะ

มาพูดถึงเรื่องในหนังสือมั่งดีกว่านะคะ
ปกติเป็นคนอ่านหนังสือจับใจความเร็วๆผ่านๆ เป็นคนอ่านหนังสือไม่ค่อยใส่ใจรายละเอียดมากนัก จนต้องย้อนหลังกลับมาอ่านบ่อยๆให้มันเก็ทยิ่งขึ้น หลังจากอ่านจบเล่ม6 ในครั้งแรกสะเทือนใจกับการตายของดัมเบิลดอร์มากๆค่ะ เคืองสเนปมากๆ แมร่งไมทำงี้ฟระ!! แต่หลังจากคุยกะพี่เอกก็ทำให้มีความคล้อยตามว่า สเนปอาจจะมีเหตุจำเป็นจริงๆก็ได้ จนตอนนี้คิดว่าสเนปเป็นคนดีค่ะ ส่วนอันนี้

อ้างอิงจาก:
ประเด็นที่สอง สั้น ๆ ได้ใจความและสะเทือนอารมณ์มาก... ที่แฮร์รี่ มองไม่เห็นตัวเธสตรอล มาก่อนก็เพราะเขายังไม่เคยเห็นความตายมาก่อน ก็เพราะพ่อกับแม่ของเขายังไม่ตายน่ะซิ!!!! ไม่อยากจะคิดอะไรบ้า ๆ นะครับ แต่มันมีเหตุมีผล และเป็นที่รู้กันว่า เจ.เค จอมหักมุม


กรี๊ดดดดดดดดดด ถ้าพี่เอกไม่บอกก็คิดไม่ได้เลยนะคะเนี่ย น่าคิดๆๆๆ พูดแล้วก็อยากดูเร็วๆมากๆเลยค่ะ



7.แม่บริท : ปลื้มมากๆค่ะ แต่มาติดตามผลงานหนักๆช่วงหลังๆตั้งแต่อัลบัมIn the Zoneเป็นต้นมาค่ะ ปกติเป็นคนชอบเต้นอยู่แล้ว ยิ่งมาดูLiveต่างๆย้อนไปเก่าๆยิ่งทำให้รักแม่บริทมากขึ้นมากขึ้นค่ะ เต้นลายได้สวยมากๆ เวลาแม่บริททำตัวให้แฟนคลับตกใจ หรือผิดหวังเช่น แต่งงานกะเควิ่น โกนหัว แต่งตัวแย่ๆแฟชั่นไม่เอาไหน ฯลฯ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน สิ่งเหล่านี้ทำให้เมย์ยิ่งรักแม่บริทมากขึ้นนะคะ แม้ว่าบางคนจะหาว่าชีบ้า 555+ ให้ความรู้สึกที่ว่าอยากเป็นกำลังใจให้แม่บริทกลับมาหายเร็วๆค่ะ(ตอนเข้าสถานบำบัด) แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าแม่บริทจะดีขึ้นๆตามลำดับแล้ว รอฟังอัลบัมใหม่แม่บริทอย่างเต็มที่ค่ะ ซ้อมเต้นๆๆๆๆๆๆๆ เริ่ดค่ะ
ส่วนเพลงที่ชอบมากๆ :ก็ชอบเกือบทุกเพลงนะคะ แต่ก็ยังฟังไม่ครบหรอกค่ะ ชอบ Shadow, Toxic, I'm a slave 4 U ค่ะ ที่ฟังบ่อยๆ



6.หักมุม : พูดถึงคำว่าหักมุม เมย์เป็นคนนึงที่ชอบมากๆค่ะ ตอนดูหนัง ปกติไม่ค่อยดูหนังบ่อยนักนอกจากจะเช่ามาดู หรือมีคนพาไปเลี้ยง55+ แต่เรื่องไหนที่หักมุมแรงๆจะประทับใจเป็นพิเศษ ชอบเรื่องที่จุดประกายให้อยากรู้ แล้วมาเฉลยให้เข้าใจตอนจบ พออ้าปากค้างแล้วให้อารมณ์มีความสุขอย่างบอกไม่ถูกเลย แต่เกลียดหนังที่เฉลยแล้วไม่เข้าใจมากๆค่ะ (ดูจบแล้วอารมณ์อยากเตะผู้กำกับและคนเขียนบท จะแกล้งคนดูไปถึงไหน คริคริ)
หนังหักมุมที่นึกออกในตอนนี้ก็เรื่องThe Prestige ค่ะ ก่อนเข้าไปดู จะดูสกาเล็ทอย่างเดียว คือไม่ได้คาดหวังกับหนังเรื่องนี้เลย แต่พอดูจบได้อ้าปากค้าง และออกจากโรงแบบยิ้มไม่หุบจนถึงประตูหน้าบ้านเลยค่ะ ทึ่งค่ะ
เกี่ยวกับThe Prestigeค่ะ

ปล.ชอบประโยคนี้มากๆเลยค่ะ555+ Laughing Laughing
อ้างอิงจาก:

แถม : ถ้าหนังจบแล้วคุณไม่รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้หักมุม ในกรณีนี้คุณก็โทษใครไม่ได้นะครับ คุณโง่เองครับ





รีวิวรีวิวพี่เอก(งงมะคะ) : ฮ่าๆๆๆๆ โฮ่ๆๆๆๆๆๆ

ข้อดี: แอร๊ยยยยยยยยยยย นับไม่ถ้วนค่ะ นึกก่อนนะคะ
1.เริ่มด้วยการใช้Fontตัวอักษรแล้วกันนะคะ มีหนามีบางตามความสำคัญของเรื่อง ฟร้อนเบอร์18อ่านง่ายมากๆเลยค่ะ ใช้ฟร้อนนี้ตลอดนะคะ
2.รูปภาพ : ถ้าไม่มีรูปภาพประกอบ เหมือนลดเปอร์เซนต์ความไม่อยากอ่านไป50%เลยค่ะ ชอบรูปภาพแต่ละรูปจัง หาได้สุดยอดมากๆเลยค่ะ มันมีประโยชน์มากสำหรับคนที่ไม่รู้ว่าพี่เอกวิจารณ์เรืองอะไรอยู่ รูปภาพช่วยได้มากเลยค่ะ แล้วทำให้ทึ่งว่าไปหาจากไหนได้เยอะแยะขนาดนี้คะเนี่ย
3.การใช้ภาษา : ไม่หยาบคาย อ่านแล้วสบายตาดีค่ะ ใส่ความรู้สึกทำให้คล้อยตามได้มากๆเลย และถึงแม้ว่าเรื่องที่พี่เอกเอามารีวิว เมย์จะไม่รู้เรื่องไม่เคยดูเลย ปกติเมย์จะไม่อ่านเลย แต่พออ่านสำนวนภาษาของพี่เอกทำให้เมย์อยากอ่านจนจบค่ะ
4.การเว้นวรรคพักผ่อน : พี่เอกมีการเว้นวรรคบรรทัดทำให้อ่านแล้ว รู้สึกพักสายตา ก่อนที่จะอ่านประโยคต่อไป
5.เรื่องที่นำมารีวิว: อย่างเช่นกระทู้นี้ ตั้งแต่อ่านรีวิวของพี่เอกมา อันนี้ครบรสที่สุดค่ะ หลากหลายดีอ่ะ ชอบๆ ดึงดูดความสนใจได้มากเลยค่ะ
6.ความเป็นตัวพี่เอก: หมายถึงการใส่ความรู้สึกลงไปอ่ะค่ะ ไม่รู้จะพูดไงดี ชอบมากๆค่ะ
7.ข้อมูลที่มากมาย : รีวิวต้องควบคู่กับข้อมูลที่มากมาย ซึ่งพี่เอกกว้างขวางดีจังเลยค่ะ ข้อมูลทุกอย่างเขียนไม่ต้องให้เกิดคำถามเลย สุดยอดค่ะ


ข้อเสีย(มีข้อดีก็ต้องมีข้อเสียใช่มั้ยคะ แต่ว่านึกไม่ออกอ่ะ55+)
1.เอางี้แล้วกัน รูปภาพ บางภาพมันใหญ่ไปอยากให้ลดขนาดของรูปซักหน่อย เพราะมันจะทำให้ลดความสำคัญของตัวหนังสือไปเลย
2.เดี่ยวนึกออกแล้วมาบอกอีกทีนะคะ ตอนนี้นึกไม่ออกเลย

ปล.:จะรอติดตามTop5ค่ะ มาเร็วๆนะคะ อย่าให้รอนานเหมือนเจ.เค โรวลิ่ง แปลกจังตรงที่ว่าแฮร์รี่อยู่อันดับ8 หนูนึกว่าจะติดTop5 นะคะเนี่ย รอการหักมุมของพี่เอกค่ะว่าอะไรบ้างจะติด
Top5 Laughing

ปล2.เมื่อไรจะเก่งแบบพี่เอกบ้างเนี่ย55+




แก้ไขล่าสุดโดย คุณหญิงเจมส์ เมื่อ Wed Apr 25, 2007 2:32 am, ทั้งหมด 3 ครั้ง

_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ส่ง Email
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
หวังว่า เรื่องเฟรนด์จะติด 1 ใน 5 อันดับที่เหลือของพี่เอกน่ะค่ะ อิอิ


_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ส่ง Email MSN Messenger
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
ตอบ หน้า 1 จาก 4
ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ถัดไป
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
  


copyright : forwardmag.com - contact : forwardmag@yahoo.com, forwardmag@gmail.com