ของคุณ navy_tuatoh คับ
* หมายเหตุ * กระทู้วิจารณ์นี้เป็นแค่ความคิดเห็นส่วนบุคคล..ของ นาวีตัวตอ เท่านั้นนะครับ..ไม่ได้อ้างอิงหรือเกี่ยวข้องกับค่ายภาพยนตร์ค่ายไหนทั้งสิ้น ก็เป็นการเล่าผ่านความเห็นในกระทู้นี้ สำหรับผู้ชมท่านที่ยังไม่ได้ดูจะไม่เชื่อก็ได้นะครับ..และแนะนำให้ไปดูด้วยตาของตัวเองดีกว่า
ถ้าใครที่เป็นแฟนหนังสือ แฮรี่ พอตเตอร์ คงจะรู้ว่าเนื้อเรื่องในหนังสือเล่ม The Order Of The Phoenix เป็นเล่มที่มีการเล่าเรื่องเยอะกว่าทุกภาค..แต่ในการเล่าเรื่องส่วนใหญ่ของหนังสือจะเป็นความหดหู่ในอารมณ์ ของแฮรี่ ที่ออกมาในโทนเครียดๆ กว่าทุกภาคซึ่งเป็นสาเหตุให้หนังสือเป็นเล่มที่มีความสนุกน้อยกว่าทุกเล่มก่อนหน้า ดีนะที่มีเรื่องราวของ เฟร็ด และ จอร์จ ที่ผมว่าเป็นสีสันของเล่ม 5 นี้ที่ทำให้ความสนุกยังมีอยู่ แต่การจะทำเป็นหนังนี่สิ ผู้กำกับภาคนี้ผมว่าต้องทำงานหนักกว่าภาคอื่นๆ นะครับ..ทำอย่างไรให้ภาคนี้ดูสนุกเป็นเรื่องที่ผมอยากรู้ และในฐานะไม่ใช่แค่แฟนธรรมดาของ แฮรี่ แต่เป็นสาวกเลยล่ะครับ..ก็รีบตีตั๋วดูตั้งแต่วันแรกที่หนังเข้าฉาย
เรื่องย่อ ( แฟนหนังสือ,ผู้ชมที่ไปดูมาแล้ว,และพอทราบเนื้อเรื่อง ข้ามไปเลยก็ได้ครับ )
หนังเปิดเรื่องไม่อิงกับหนังสือมากนักนะครับ ฉากแรกเป็นฉากการทะเลาะกันของแฮรี่(แดเนียล แรดคริฟฟ์ ) และ ดัดลี่ย์ ลูกพี่ลูกน้องที่แฮรี่เกลียดชัง และตามมาด้วยการปรากฏตัวของผู้คุมวิญญาณที่เข้ามาทำร้าย แฮรี่ และ ดัดลี่ย์ ทำให้แฮรี่ต้องเสกคาถาผู้พิทักษ์ เพื่อช่วยชีวิตตัวเองและ ดัดลี่ย์ หลังจากนั้นแฮรี่ได้รับจดหมายจากกระทรวงเวทมนต์ แจ้งว่าเขาทำผิดกฏหมายที่ห้ามพ่อมดอายุน้อยใช้เวทมนต์นอกโรงเรียน และโทษของความผิดคือเขาถูกไล่ออกจาก ฮอกวอตส์ โรงเรียนที่เป็นเหมือนบ้านของเขา
หลังจากนั้นก็เป็นการปรากฏตัวของกลุ่มพ่อมดที่พาแฮรี่ ได้รู้จักกับสมาคมลับ ภาคีนกฟีนิกซ์ ที่ใช้เป็นที่ประชุมลับ ของพ่อมดที่ต่อต้านโวลเดอมอร์และเชื่อดับเบิลดอร์ (ไมเคิล แกมบอน)และแฮรี่ ว่า โวลเดอร์มอร์ พ่อมดจอมมารที่เหล่า พ่อมด หวาดกลัว ได้กลับมาแล้ว
แต่หลังจากการพิจารณาคดี ที่กระทรวงเวทมนต์แฮรี่ได้รับการช่วยเหลือจาก ดับเบิลดอร์ อาจารย์ใหญ่ของเขาที่รีบรุดมาช่วยแฮรี่ ทำให้แฮรี่ได้กลับไปเรียนที่ ฮอกวอตส์ เหมือนเดิม แต่การกลับไปที่ฮอกวอตส์ ไม่ใช่เรื่องสนุก สำหรับแฮรี่ เหมือนเดิมแล้วสิ เมื่อแฮรี่ต้องทนทุกข์ กับฝันร้ายเกี่ยวกับโวลเดอมอร์ และถูกเพื่อนนักเรียนที่ฮอกวอตส์ มองแฮรี่ ว่าเป็นจอมวางแผน จอมโกหก แถมดับเบิลดอร์ก็ทำตัวเหินห่างอีก
รัฐมนตรีกระทรวงเวทมนต์ คอร์ลิเนียส ฟัดจ์ ( โรเบิร์ต ฮาร์ดี้ )ที่คิดว่าดับเบิลดอร์กุเรื่อง โวลเดอมอร์ เพื่อเขย่าขาเก้าอี้ของ ฟัดจ์ ฟัดจ์ควบคุมสื่อและปฎิเสธในเรื่องการกลับมาของ โวลเดอมอร์ แถมส่งลูกสมุนโดโลเรส อัมบริดจ์ (อิเมลด้า ฮาร์ดี้ ) จอมยโสเข้ามาแทรกแซง แถมคุกคามนักเรียน โดยเฉพาะกับแฮรี่ ซึ่ง การคุกคามของอัมบริดจ์ ไม่มีเหตุผลอย่างเห็นได้ชัด อย่างเช่นวิชาการเรียนป้องกันตัวจากศาสตร์มืด ไม่ให้มีการเรียนใช้คาถาใดๆ เลย และที่สำคัญทำให้ฮอกวอตส์ปฏิเสธการเชื่อเรื่องของโวลเดอมอร์ให้ได้ ไม่ใช่เฉพาะกับนักเรียนเท่านั้น บรรดาอาจารย์ของฮอกวอตส์ก็โดนด้วยเหมือนกัน และไม่เว้นแม้แต่ดับเบิลดอร์
หลังจากเจอเรื่องร้ายๆ แฮรี่ได้รับคำแนะนำจากเพื่อนรัก รอน และ เฮอร์ไมโอนี่ ( รูเพิร์ต กริ้นต์ และ เอ็มม่า วัตสัน )ว่าต้องทำอะไรซักอย่างแล้ว และเป็นที่มาของการก่อตั้งชมรม กองทัพดัมเบิลดอร์ ที่ผิดกฎหมาย ที่ใช้สำหรับการเรียนวิชา ป้องกันตัว จริงๆ และชมรมนี้กำลังจะถูกเปิดโปง แต่สมาชิกในชมรมนี้ก็ได้ใช้ประโยชน์จากการเรียนจริงๆ ในการต่อสู้กับ โวลเดอมอร์ และลูกสมุนของเขา
ความคิดเห็น
เมื่อเนื้อหาในหนังสือมีการเล่าเรื่องเยอะมาก..เพราะฉะนั้น ก็เป็นอีกภาคครับที่บทภาพยนตร์ โดนตัดรวบรัดทำให้เนื้อหาในหนังสือมีหายไป สำหรับคนดูที่อ่านหนังสือมาความรู้สึกหงุดหงิดเกิดขึ้นได้แน่นอน แต่สำหรับท่านที่ไม่ได้อ่านหนังสือ ผมว่าบทภาพยนตร์ตัดมาแบบลงตัวดีนะครับ ดูลื่นไหลใช้ได้ ผมว่าบทภาพยนตร์ดีกว่าตอนทำ ภาค 3 นะครับ และความรู้สึกเกี่ยวกับบทภาพยนตร์พอใจไกล้เคียงกับ ภาค 4 ครับ แต่ขอชม ไมเคิล โกลเด้นเบิร์ก ครับ ที่ย่อหนังสือที่ยาวและหนากว่าทุกภาค ( พันกว่าหน้าแปลไทย ) ออกมาแล้วให้เป็นหนัง 2 ชั่วโมงเกือบครึ่งได้ในระดับที่น่าพอใจ และน่าติดตามได้แบบนี้ครับ
โทนของหนังมาในอารมณ์หดหู่ และโทนออกมืดๆ ตลอดทั้งเรื่องครับ..ภาพที่เห็นจะเป็นมืดๆ ดำๆ หรือสีน้ำเงิน ซึ่งทำให้ภาพรวมทำให้หนังออกมาแบบอารมณ์เครียด และหนังเน้นอารมณ์ขันน้อยกว่าทุกภาคนะครับ แต่ก็ช่วยให้ผู้ชมเข้าถึงอารมณ์ทุกข์ทนของแฮรี่ ได้ดี
สเปเซียล เอฟเฟ็กต์ ยังทำได้เยี่ยมตามมาตรฐาน หนังแฮรี่ พอตเตอร์ ทุกภาคครับ ด้วยเนื้อเรื่องที่เป็นการเล่าเรื่องและเฉลยปมต่างๆ ที่หนังวางไว้ตั้งแต่ภาคก่อน ทำให้ฉากที่ใช้ สเปเซียล เอฟเฟ็กต์ จะมีน้อยกว่าทุกภาคเท่านั้นเอง..ถ้าต้องการดูฉากสเปเซียล เอฟเฟกต์ แบบยาวๆ ก็ต้องรอฉากไคลแมกซ์ ของหนังเลย ซึ่งก็ทำได้ในระดับเยี่ยมครับกับฉากการดวลกันของกลุ่มผู้เสพความตาย และ เหล่าภาคี พร้อมกองทัพดัมเบิลดอร์
ถึงจะไม่ได้กลับมาพร้อม สเปเซียล เอฟเฟ็กต์ มากเหมือนภาคก่อนๆ แต่อยากจะชมการแสดงในภาคนี้มากครับ บทหนังมีความเป็นดราม่า มากขึ้นทำให้นักแสดงได้ใช้ความสามารถในการแสดงได้เต็มที่มากขึ้น ยกตัวอย่าง แดเนียล แร็ดคลิฟฟ์ ซึ่งภาคก่อนหน้าการแสดงผมว่ายังดูเข้าไม่ถึงบทบาทมากนัก ผิดกับบทของ กริ๊นต์ และวัตสัน ในบทเพื่อนรักของแฮรี่ รู้สึกสองรายหลังจะเข้าใจ และเล่นได้ถึงบทบาทมากกว่าทำให้ผมเชื่อว่านี่คือ รอน และ เฮอร์ไมโอนี่ ชอบสองรายนี้จริงๆ ตั้งแต่ภาคแรกแล้ว แต่ภาคนี้ผมว่าแร็ดคลิฟฟ์ ทำใด้ดีกว่าภาคก่อนๆ อย่างเห็นได้ชัด ด้วยบทหนังที่ทำให้สภาพอารมณ์ ของแฮรี่ ดูซับซ้อนมากขึ้น เคร่งเครียดมากขึ้น น้องแดเนียล ให้การแสดงที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะครึ่งแรกของหนัง เราจะได้เห็นการแสดงที่ดีของแดเนียลครับ ส่วน รอน กับ เฮอร์ไมโอนี่ ก็ยังรักษาเสน่ห์ของตัวละครของตัวเองได้ดีเหมือนเดิม ส่วนนักแสดงอื่นๆ แม้จะเป็นนักแสดงคุณภาพ ก็ทำหน้าที่ได้พอสมควรมีอะไรให้พูดถึงไม่มากครับเพราะบทหนังมีอะไรให้เล่นน้อยเหลือเกิน ที่มีอะไรให้เล่นในบทบาทคงเป็นบทของโดโลเรส อัมบริดจ์ (อิเมลด้า ฮาร์ดี้ ) ตัวร้ายที่สร้างสีสันได้มากกว่าใครเพื่อนครับ
แม้จะไม่ได้กลับมาพร้อมฉากแอ็กชั่น โชว์ เอฟเฟกต์ มากเหมือนภาคก่อนๆ ในฐานะที่ผมเป็นสาวก แฮรี่ พอตเตอร์ ภาคนี้ก็ไม่ใช่ความผิดหวังของผม นะครับ หนังก็ยังสนุก และมีอะไรให้ได้ดูและติดตามได้ แต่ที่ชอบมากก็คงเป็นการแสดงของ แดเนียล ที่ดีขึ้นกว่าภาคก่อนๆ ออกจากโรงก็รู้สึกว่าผู้กำกับ เดวิท เย็ตส์ กำกับเรื่องราวที่เกี่ยวกับการเมือง และบทที่เคร่งเครียด ให้ออกมาน่าติดตาม และทำออกมาได้อย่างน่าพอใจ แต่ใครที่รอดูความมันส์ หรือ สเปเชียล เอฟเฟกต์ผมกลัวว่าจะมีผิดหวังกันไปบ้าง หรือส่วนแฟนหนังสือที่หวังจะได้เห็นในสิ่งที่อยากจะเห็นเมื่อได้อ่านหนังสือก็อาจจะผิดหวังเหมือนกันเพราะแน่นอนภาคนี้ต้องตัดอะไรออกเยอะกว่าทุกภาค เพราะเนื้อหาที่เยอะกว่าทุกภาคเหมือนกันครับ
_________________
