คำว่าหนังไทย ก็เหมือนกับการลดเกรดของหนังเรื่องนั้นลงไป มันน่ารังเกียจและไม่น่าดู สู้หนังฮอลลีวูดก็ไม่ได้ นั่นคงจะเป็นความรู้สึกของใครหลายๆคน วันนี้เราลองมาเปิดใจพูดถึงหนังไทยกันบ้างดีกว่า
ในระยะเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา หนังไทยได้กลับเข้าสู่ยุคเฟื่องฟูอีกครั้ง หลังจากที่เมื่อก่อนมีหนังไทยโผล่ออกมาเป็นว่าเล่น จนทำให้นักแสดงไทยบางคนได้ลงกินเนสท์บุ๊คว่าเป็นนักแสดงที่มีผลงานด้านภาพยนต์มากที่สุดในโลก ซึ่งยุคนั้นเขาเป็นที่กรี๊ดกร๊าดในบรรดาสาวๆ เวลาผ่านไป หนังไทยก็เข้าสู่ในยุคเสื่อมโทรม สองปีมีหนังไทยเรื่องนึง ซึ่งก็ประสบความสำเร็จ เพราะคงไม่สามารถเลือกดูหนังไทยเรื่องอื่นได้ ไม่มีข้อเปรียบเทียบ ไม่มีตัวเลือก นอกจากจะไปดูหนังเทศมันซะ อย่างเรื่อง แม่นาค ทำรายได้ไปถึง 150 ล้าน มาในยุคนี้ หนังไทยผุดขึ้นมาหยั่งกับดอกเห็ด มีตัวเลือกเยอะมากขึ้น และด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป จากที่หนังไทย จะมีแค่สองแนวคือ หนังผี กับหนังประวัติศาสตร์ ก็เริ่มมีแนวใหม่ๆมากขึ้น คือ ตลก ซึ่งก็ไม่ใช่แนวใหม่หรอก แต่ในยุคนั้น คนส่วนใหญ่จะดูตลกคาเฟ่กันซะมากกว่ามาดูหนังตลก หนังตลกของไทย ใครดูก็หัวเราะท้องคัดท้องแข็ง มุขที่สาดมาให้คนดูก็มีไม่ยั้ง จึงประสบความสำเร็จได้ง่ายๆ เพราะไม่เครียด และดูสนุก แต่ในอีกมุมนึง ก็ทำให้ผู้กำกับหลายคน เกิดความเห็นแก่ตัว ผลิตหนังตลกออกมา เรียกกำไรคนดูหนัง อย่างที่ไม่คำนึงถึงคุณภาพ เพราะเห็นว่าขายได้ อะไรที่มันตลก ก็ควรจะอยู่ในความพอดี ตลกอย่างมีขอบเขต ยกตัวอย่างหนังเรื่อง หลบผี ผีไม่หลบ น่าจะเอาเรื่องนี้เป็นตัวอย่างแก่คนที่คิดจะทำหนังตลกปนๆกับหนังผี มุขแต่ละอันที่สรรหามา หาได้มีความตลก มีแต่ความสมเพช สมเพชนักแสดงที่ทำไมเค้าต้องพยายามขนาดนั้นเชียวหรือ ที่จะทำท่าทางกิริยาออกมาให้ทุเรศ เพื่อให้คนดูขำ มันไม่ขำเลยซักนิด ไม่เป็นธรรมชาติ ซึ่งก็คงเป็นเพราะ การที่เอานักแสดงตลกหลายๆคนมารวมอยู่ในเรื่องเดียวกัน พูดง่ายๆว่า แต่ละคนก็แย่งกันแจกมุข ซึ่งก็รู้ว่าน่าจะเป็นมุขสดๆ ไม่มีการเตี๊ยม เทคเดียวผ่านโลด ถือเป็นการดูถูกคนดูอย่างยิ่ง ว่ามีสติปัญญาไม่สมประกอบ แค่เห็นตลกกลัวผี แล้วก็วิ่งลงตุ่ม หรือยืนค้าง ทำหน้าตาแปลกประหลาดเรียกร้องเสียงฮา ปัญญาอ่อนสิ้นดี นับตั้งแต่เรื่องนั้น ก็มีหนังตลกแนวๆนี้โผล่ขึ้นมาอีกเพียบจนจำไม่ได้ ซึ่งก็ดับอนารถสมใจอยาก เพราะความเฝือนั่นเอง เมื่อเอาตลกมาเล่นกับผีไม่ได้ ก็ขอเอาแค่ตลกเพียวๆ ก็ยกตัวอย่างจากหนังของ หม่ำ จ๊กม๊ก ที่โดดขึ้นมาเป็นผู้กำกับอย่างเต้มตัวในเรื่อง พยัคฆ์ร้ายหน้าเหลี่ยม ประสบความสำเร็จมาก เพราะยังไม่มีหนังไทยหน้าไหนทำแบบนี้มาก่อน จับเอาตลกที่กำลังดังที่สุดมาเป็นผู้กำกับ จึงเป็นการปูทางให้กับอีกสองสมาชิกที่เหลือได้เข้ามาสู่จอภาพยนต์กับเค้าบ้าง ใครน่ะเหรอ ก็เท่ง เถิดเทิง กับ โหน่ง ชะชะช่าไง ซึ่งปัจจุบันสองหน่อนี้ก็มีบทบาทมากขึ้น จากหนังเรื่องล่าสุด โหน่ง เท่ง นักเลงภูเขาทอง แค่ชื่อนักแสดงก็ขายความฮาได้แล้ว แต่ก็ไม่อยากจะรับประกันว่า ความฮาที่ได้รับ อาจจะต้องแลกมาด้วยการที่นักแสดงต้องทำท่าทางทุเรศทุรัง หรือแสดงอาการอะไรบางอย่างที่ชาวบ้านเค้าไม่ทำกันรึเปล่า ก็ขอพูดกระทบถึงหนังตลกเรื่อง พยัคฆ์ร้ายส่ายหน้า เป็นหนังตลกไทยอีกเรื่อง ที่ต้องขอมอบโล่เกียรติยศดันทุรังแห่งปีให้ เพราะสงสาร และเห็นใจนักแสดงมากๆ ที่ต้องลงทุนทำตัวทุเรศๆ เพื่อเรียกเสียงฮา ทั้งๆที่ไม่จำเป็นเลยแม้แต่น้อย ดูอย่างมุขหมอผี ที่ร้องเพลงภาษาแปลไม่ออก ขำจริงๆครับ แต่ขำด้วยความสมเพช ไม่ตลกเลยแม้แต่น้อย ได้ยินเสียงหัวเราะแห้งๆจากหลายๆคนที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ และคนอื่นๆ ที่ยิงมุขกันมาโดยไม่แคร์ว่า มุขที่ใช้น่ะ สมควรแล้วหรือ เห็นว่าหนังใกล้หลักร้อยล้าน ก็ขอแสดงความยินดีด้วยละกันครับ แต่ผู้กำกับอย่าเพิ่งชะล่าใจว่าหนังแบบนี้จะขายได้อีก คงไม่มีแล้วครับ คนดูไม่ได้โง่ขนาดนั้น ถัดมาที่อยากจะสมน้ำหน้าก็คือ ปักษาวายุ หนังไทยที่โฆษณาเหลือเกินว่า ใช้คอมพิวเตอร์กราฟฟิคได้เนียนสุดๆ และฝีมือเทียบชั้นฮอลลีวูด แต่น่าจะวงเล็บข้างโปสเตอร์เป็นการเคารพคนดูซักนิดว่า ไอ้ที่ทัดเทียมฮอลลีวูดน่ะ มันฮอลลีวูดเกรดต่ำสุด นักแสดงแต่ละคน ก็เหมือนกับไม่ได้เรียนแอ็คติ้งมา ซึ่งความจริงไม่ต้องเรียนก็แสดงได้ ถ้ามีฝีมือ แต่ถ้าเกิดทางค่ายเห็นว่าหล่อว่าสวยอย่างเดียวเป็นอันพอ ผมก็คงว่าอะไรต่อไม่ได้แล้วล่ะครับ ส่วนหนังพล็อตเรื่องดีเรื่อง เดอะเมีย น่าสนใจมากครับ ไม่นึกว่าอาร์เอสจะมีความคิดดี แหวกแนวขนาดนี้ จับเอาเรื่องเมียหลวงเมียน้อยมาปรับเข้าสู่ยุคอนาคต จากที่ตบกัน หันมาใช้ลูกปืน ผมถึงกับโร่เข้าไปดูในวันแรกที่ฉาย แต่ผลที่ได้รับกลับไม่ใช่สิ่งที่คาดหวัง เหมือนหนังงี่เง่าเรื่องอื่นๆของทางค่ายเลยครับผม หนังดำเนินเรื่องได้น่าหลับ แถมฉากต่อสู้ก็อืดอาดยืดยาด ไอ้ที่ใส่การเต้นลีลาศเพื่อเป็นจุดขายก็แป้กสนิท นอกจากจะไม่สวยงามแล้ว ยังดูเหมือนอีเพิ้ง ทำบ้าอะไรแถวนี้ บ้านนอกสุดๆ นักแสดงเล่นกันได้ดีมากๆ แต่สมองของคนเขียนบทและผู้กำกับมันไม่ค่อยมีไงล่ะครับ เลยได้มาแค่นี้ บทนี้แต่กึ๋นไม่ถึง มาถึงหนังสุดฉาวของผู้กำกับ พจน์ อานนท์ ที่ประสบความสำเร็จกับหนังกระเทยหลายเรื่อง วี๊ดบึ้ม เชียร์กระหึ่มโลก และ ปล้นนะยะ ก็ดูสนุกดีครับ แต่ตัวหนังไม่ได้ส่งผลให้กระเทยดุมีค่าเลยแม้แต่น้อย กลับทำให้กระเทยต่ำลงไปอีก โดยการที่กระเทยต้องทำตัวทุเรศๆ(อีกละ) เพื่อเสียงเสียงฮา ก็ตลกได้ใจดี ถึงจะรำคาญกระเทยไปบ้างก็เหอะ แต่อยากจะแนะ ถ้าคิดจะทำหนังกระเทยขึ้นมาอีก อยากให้ทำหนังที่แสดงให้เห็นว่า กระเทยมีคุณค่า ไม่ใช่ดูตลกเพียงอย่างเดียว มาถึงเรื่อง ไฉไล หนังที่อิงกระแสข่าวไม่ถูกกันของดารา จับดาราที่เป็นข่าวแย่งแฟนกันมาเล่นด้วยกัน ก็เก๋ไปอีกแบบครับ ดูอินเตอร์ และไม่ซ้ำใคร มุขตลกก็อยู่ในเกณฑ์ดี ขำๆ เรื่อยๆ แต่เฉยๆ ไม่มีอะไรดึงดูดนอกจากนมของนักแสดงที่เน้นกันเกินเหตุ หนังก็ดำเนินไปเหมือนไม่ถึงจุดสุดยอด
คงพูดอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้ ถ้ายังคงมีหนังไทยไม่สมประกอบ พาเรดกันเข้าคิวฉาย ตัวเลือกสุดท้ายก็คือ ไปดูหนังต่างประเทศดีกว่า แหม เราอยากจะอนุรักษ์หนังไทยไว้จริงๆครับ แต่ช่วยทำตัวให้น่าอนุรักษ์ซักหน่อยได้มั๊ยครับ
หนังไทยดีๆยังมีครับผม แต่แค่พูดถึงหนังห่วยๆเฉยๆ ไม่เห้นด้วยก็แสดงความคิดเห็นมานะครับ