˹���á Forward Magazine

ตอบ

Jim Carrey (จิม แคร์รี่) กับการหมดยุคของเขาแล้ว
ผู้ตั้ง ข้อความ
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ Jim Carrey (จิม แคร์รี่) กับการหมดยุคของเขาแล้ว 
ได้โพสกระทู้เกี่ยวกับหนังที่ จิม แคร์รี่ได้แสดงเอาไว้ ก็มีความเห็นส่วนตัวคนนึง ซึ่งในบางส่วนเราก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน คือ หมดยุคของเขาแล้วแหละ หนังเรื่อง โดนอย่างนี้พี่ขอปล้น (Fun with Dick and Jane) ก็คิดอยู่เหมือนกันว่า จะเช่ามาดูดีไหม เพราะเรื่องที่เคยผ่านมาคือ เจ็ดวันนี้ พี่ขอเป็นพระเจ้า หรือ (Bruce Almighty) ก็ตลกครึ่งๆกลางๆขำไม่เต็มที่นัก หรืออาจเป็นเพราะมุขไม่ลึกเหมือนเมื่อก่อน แต่ยังไงซะ เขายังอยู่เกาะอยู่ในช่วงอายุของตลาดนักแสดงได้ในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะการเป็นนักแสดงตลก แม้นานๆทีจะมีหนังของเขาออกมาซะทีก็ตาม ก็อาจเป็นเพราะวัยที่เหยียบ 45 ปี แล้วด้วย จึงเป็นส่วนหนึ่งของวงจรชีวิตในแวดวงฮอลลีวูดที่เริ่มนับถอยหลัง

แต่ยังไงซะ เขาถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของรุ่นพี่ที่น้องๆดาราตลกมากมายน่าเดินตามตัวอย่าง ไม่ว่าจะในจอหรือนอกจอ แต่เอกลักษณ์นั้น คงต้องบอกว่าของใครของมันไม่มีใครเลียนแบบใคร และเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้ป๋าจิม คนนี้ได้แจ้งเกิดมาตลอดจนวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้ม การแสดงท่าทางต่างๆของเขา (ที่ดาราไทยบางคนก็นำมาเลียนแบบ รวมทั้งดาราฮ่องกงบางคนด้วย) ไม่มีใครปฎิเสธได้ว่านี่คือสิ่งที่ทำให้เราจดจำเขาได้ นั่นเอง

แต่ยังไงซะ เชื่อได้ว่าแม้ความรุ่งโรจน์ของเขาอาจไม่เหมือนเก่าเพราะเข้าสู่วัยกลางคน แต่เขาคงไม่ลาขาดวงการนี้ไปอย่างแน่นอน อาจเป็นเพราะว่า นอกจากบทตลกร้าย ตลกล้อเลียนที่บางที่เราอาจเอียนไปกับเขานั้น เขายังสามารถแสดงบทชีวิตต่างๆได้ค่อนข้างดี แม้อาจไม่ดีเลิศเลอ แต่ก็ถือว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งโดยเฉพาะ The Number 23 ที่ทำให้ใครต่อใครเริ่มคลั่งไคล้เลข 23 กันไปไม่น้อยเลย ดังนั้นหากจะคิดว่าอนาคตของจิมจะเป็นเช่นไร คิดว่า ถ้าเขาไม่ทำลายตัวเองโดยการก่อคดีต่างๆ เสพยา เหมือนดาราฮอลลีวูดหลายๆคนไปซะก่อน(เหมือนเป็นแฟชั่นส่วนหนึ่งเลยแหละ ที่ต้องมีฟี้ยา เป็นข่าวสักระยะๆ) เขาคงได้เป็นดารารุ่นลายครามที่น่านับถือและมีเสน่ห์ต่อหนังอย่าง (คุณปู่)แอนโทนี่ ฮอฟกิ้น และ (คุณตา)แจ็ค นิโคสัน อีกเรื่องที่สร้างความสำเร็จและเป็นบททดสอบว่า ป๋าจิมก็แสดงหนังดราม่า ความรัก ไซไฟ แบบนี้ได้ ก็คือ Eternal Sunshine of the Spotless Mind (ลบเธอ....ไม่ให้ลืม) ซึ่งก็สร้างความประทับใจให้นักวิจารณ์ไว้หลายคนเช่นกัน ดังนั้น คิดว่าอนาคตของเขาในเรื่องหนังตลกนั้น อาจออกมานานๆที อย่าง Fun with Dick and Jane และ Bruce Almighty ก็ห่างกันถึง 3 ปี ถึงจะออกมาปรากฏโฉมให้เราได้ระลึกว่า เขายังอยู่เป็นระยะๆ แต่สิ่งที่แทรกแซงระหว่างที่ห่างหายไปนั้นคงเป็น หนังแนวดราม่า หรือสืบสวน หรือหนังที่ท้าทายความสามารถต่างๆตามประสบการณ์ของป๋าแกไป

เรามาดูประวัติเล็กๆน้อยๆของเขาสักหน่อยดีกว่า ว่า ป๋าจิม นั้น แท้จริงเขาเป็นเช่นไร ที่จริงเขาเป็นที่ซีเรียส จริงจังต่อชีวิตมากๆ ชีวิตตอนเด็กๆเขาค่อนข้างลำบากมาก และยากจนมากๆ พ่อของเขาทำงานอย่างหนักจนวันสุดท้ายของชีวิต และไม่เคยประสบพบกับฐานะที่ดีขึ้นเสียที

จนกระทั่งเมื่อจิม แคร์รี่ เริ่มได้ทำงานและได้เข้าวงการ เขาก็เขียนตัวเลขเป็นเงินจำนวน 100 ล้านเหรียญ ไว้ในเช็คหนึ่งใบ (ซึ่งที่จริงเขาก็ไม่มีเงินถึงขนาดนั้นหรอก หรือไม่มีด้วยซ้ำ) และ จิม ก็พกเช็คนั้นไว้ในกระเป๋าทุกวันๆ และคิดว่าสักวันนึงเขาจะได้เงินตามที่เขียนไว้ในเช็คนั่น และเขาก็ได้จริงๆ ในวันที่ จิม ทำสำเร็จนั้น เขาได้ไปกอดหลุมศพพ่อของเขาแล้วร้องไห้อย่างเป็นบ้านเป็นหลัง ด้วยความดีใจและเอาเช็คที่มีเงิน 100 ล้านเหรียญจริงๆให้พ่อของเขาดู(หน้าหลุมศพ)



:: ประวัติย่อ :: (เป็นประวัติที่หาได้จากในเว็บนะจ๊ะ เอาไว้ดูเพิ่มเติม หากต้องการรู้จักป๋าแกมากขึ้น)
เด็กหนุ่มคนเล็กสุดในบรรดาลูกสี่คนของ เพอร์ซี่ (เป็นนักบัญชี และเป็นนักแซกโซโฟน เพลงแจส) แคทเธอรีน จิม แคร์รี่ เป็นคนที่ชอบเอาใจใส่ต่อสิ่งภายนอกอย่างไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ดังเช่นเด็กที่มีการกระทำที่เหมือนเดิมอย่างสม่ำเสมอ เขาเคนส่งประวัติของตัวเองไปที่รายการ "The Carol Burnett Show" (1967) เมื่อตอนที่อายุได้ 10 ขวบ

จิมในช่วงวัยหนุ่มได้กลายเป็นคนเศร้า แต่ยังไงก็ตามเมื่อครอบครัวได้ถูกบีบบังคับให้ย้ายออกจากบ้านที่โคซี่ ในนิวมาร์เก็ต ไปที่ สการ์โบรูจ (ชานเมืองของโตรอนโต) พวกเขาทั้งหมดก็ได้ปลอดภัยจากการถูกข่มขู่ และเขาก็ได้งานดูแลอาคารในโรงงานผลิตล้อรถ ติตัน จิมทำงานวันละ 8 ชม. หลังจากเลิกเรียน (ไม่แปลกใจว่าทั้งผลการเรียนและจิตใจของเขานั้นย่ำแย่)

เมื่อในที่สุดพวกเขาก็ละทิ้งโรงงาน ครอบครัวต้องออกไปอยู่ในรถแวน โฟล์คสวาเก้น จนกระทั่งพวกเขากลับมาที่โตรอนโต กลับมาอย่างมีหลักฐานที่มั่นคง จิมตัดสินใจมุ่งสู่การเล่นตลกในคลับแห่งหนึ่ง เขาแสดงครั้งแรกที่ Yuk-Yuk's, ซึ่งเป็นหนึ่งในหลายๆ คลับที่ได้ช่วยฝึกฝนพื้นฐานให้กับจิมอยู่หลายปี จิมจึงหยุดการเรียนไฮสคูลเอาไว้ ในงานของเขาที่เคยร่วมแสดงกับดาราที่มีชื่อเสียง (ในจำนวนนั้นมี ไมเคิล แลนดอน และ เจมส์ สจ๊วต)

และในปี 1979 เขาก็ได้ย้ายมาที่ลอสแองเจิลลิส เขาใช้กลวิธีที่ทำให้ตัวเองได้เข้าไปที่ คอมเมดี้ สโตร์ ซึ่งได้ทำให้ร็อดนีย์ แดนเจอร์ฟิลด์ ประทับใจมาก และก็ทำให้ละครตลกเกี่ยวกับทหารผ่านศึก ได้เซ็นสัญญากับเขาในการเปิดแสดงตลอดทั้งฤดู ระหว่างช่วงเวลานี้จิมได้พบกับสาวเสิร์ฟ เมลิซ่า วูมเมอร์ และได้แต่งงานกับเธอ พวกเขามีลูกสาวคือ เจน ต่อมาทั้งคู่ก็ได้หย่าร้างกัน จิมเป็นโสตอยู่ไม่นานก็ได้แต่งงานใหม่เป็นครั้งที่ 2 กับนักแสดงสาว ลอร์เรน ฮอลลี่

การเฝ้าดูวิถีชีวิตที่ตกไปอยู่กับการเตร็ดเตร่ จิมเริ่มต้นมองไปรอบๆ ตัว เกี่ยวกับพฤติกรรมของคนอื่น เขาได้พบส่วนหนึ่งว่าเขาเป็นผู้ที่เพิ่งเริ่มเป็นนักแสดงการ์ตูน ในหนังซิดคอมเรื่องสั้น ที่มีชื่อว่า "The Duck Factory" (1984) ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จในขณะนั้น ประสบการณ์ได้สอนให้จิม มั่นใจในและการแสดงของเขาก็ดูมีพลังมากขึ้นกว่าเดิม

จิมได้เข้ามาเป็นนักแสดงและเขาสามารถสร้างชื่อเสียงให้แก่ตัวเองในแง่ที่เป็นนักแสดงที่ชอบเกะกะระราน (หนึ่งในคาแรกเตอร์ที่โด่งดังอันหนึ่ง คือนักดับเพลิงโรคจิต บิล) การเปลี่ยนแปลงสถานะของจิมจากทีวี สู่จอยักษ์ ด้วยการรับบทนำเต็มตัวจากเรื่อง Ace Ventura : Per Detective ในปี 1994 และต่อมาด้วยหนังซูเปอร์ฮีโร่ The Mask ในปีเดียวกัน มันทำให้คนดูสงสัยว่าเขาจะสามารถไปไกลได้แค่ไหน ในที่สุด ในเดือนธันวาคม เขาก็ทำให้โรงภาพยนตร์เต็มไปด้วยคนดูจากบทพี่น้องโง่เซ่อที่แสนน่ารักในเรื่อง Dumb & Dumber ในปี 1994 (เป็นเรื่องแรกของเขาที่มีรายได้รวมกว่าครึ่งล้านดอลล่าร์ ในวันเดียว)

จิมได้นำการเล่นตลกแบบบ้าคลั่งมาใส่ไว้ในเรื่อง Batman Forever ในปี 1995 แทนที่โรบิน วิลเลี่ยม ที่เป็นลิดด์เลอร์ เขายังคงทำให้ภาพยนตร์ทะลุเป้าอีกเช่นเคยใน Ace Ventura: When Nature Calls ในปี 1995 และได้เซ็นสัญญากับโซนี่ เพื่อเป็นดารานำให้กับเรื่อง The Cable Guy ในปี 1996 (แทนที่ คริส ฟาร์ลีย์) ด้วยเงินจำนวน 20 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนักแสดงตลกคนนี้ แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้กลับน่าผิดหวังทั้งจากนักวิจารณ์ และในส่วนของรายได้ แต่จิมก็ยังกระโดดกลับมาด้วยพลังที่เต็มเปี่ยมในภาพยนตร์เรื่อง Liar Liar ในปี 1997 น่ากังวลว่าความสามารถพิเศษในการแสดงตลกอาจจะจืดจางลงในไม่ช้า จิมจึงได้ตัดสินใจเปลี่ยนบทบาทของเขา ในปี 1998 เขาได้ลงทุนด้วยเงินจำนวนมากและยิ้มยิงฟันทำหน้าซื่อ เพื่อเป็นดาราให้กับ ปีเตอร์ เวียร์ ในเรื่อง The Truman Show ภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับเซลล์แมนที่หย่าภรรยาและทั้งชีวิตคือหัวใจสำคัญของทีวีโชว์ จิมได้แสดงให้เห็นว่าการที่ไม่มีลักษณะของความจริงใจได้ทำให้คนดูต้องแปลกใจ เขาชนะเลิศรางวัลโกลด์เด้น โกลบ จากบทบาทนี้ และชนะใจแฟนๆ อีกมากที่คาดไม่ถึง และยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสก้าอีกด้วย

จิมถูกดึงออกจากการเป็นสมาชิกที่อคาเดมี่ จากการคัดเลือกของกลุ่มคนใจแคบที่อยู่ในนั้น บางทีแรงบันดาลใจก็อาจมาจากการถูกดูแคลน จิมโยนตัวเองลงไปที่บทบาทต่อไปด้วยความเพิกเฉย เขาแสดงเรื่อง Man on the Moon ในปี 1999 และอีกครั้งที่เขารับบทคนบ้าคลั่งในเรื่อง Me, Myself & Irene ในปี 2000 แสดงร่วมกับ เรอเน่ เซลวีเกอร์ ที่ในเรื่องเขาต้องตกหลุมรักเธอ และในชีวิตจริงเขาก็ได้ตกหลุมรักเธอด้วย ไม่กี่เดือนหลังจากถ่ายทำเสร็จ ทั่งคู่ก็ประกาศอย่างเป็นทางการ

จิมได้รับบทอีกครั้งด้วยการต้องสวมชุดขนสัตว์สีเขียวในเรื่อง Grinch Stole Christmas ในปี 2000 และยังมีตามมาอีกหลายเรื่องเช่น Bruce Almighty ในปี 2003 และเรื่อง Eternal Sunshine of the Spotless Mind ในปี 2004 และ เรื่อง Fun with Dick and Jane ในปี 2006


:: ประวัติย่อ :: (เป็นประวัติที่หาได้จากในเว็บนะจ๊ะ เอาไว้ดูเพิ่มเติม หากต้องการรู้จักป๋าแกมากขึ้น)
เด็กหนุ่มคนเล็กสุดในบรรดาลูกสี่คนของ เพอร์ซี่ (เป็นนักบัญชี และเป็นนักแซกโซโฟน เพลงแจส) แคทเธอรีน จิม แคร์รี่ เป็นคนที่ชอบเอาใจใส่ต่อสิ่งภายนอกอย่างไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ดังเช่นเด็กที่มีการกระทำที่เหมือนเดิมอย่างสม่ำเสมอ เขาเคนส่งประวัติของตัวเองไปที่รายการ "The Carol Burnett Show" (1967) เมื่อตอนที่อายุได้ 10 ขวบ

จิมในช่วงวัยหนุ่มได้กลายเป็นคนเศร้า แต่ยังไงก็ตามเมื่อครอบครัวได้ถูกบีบบังคับให้ย้ายออกจากบ้านที่โคซี่ ในนิวมาร์เก็ต ไปที่ สการ์โบรูจ (ชานเมืองของโตรอนโต) พวกเขาทั้งหมดก็ได้ปลอดภัยจากการถูกข่มขู่ และเขาก็ได้งานดูแลอาคารในโรงงานผลิตล้อรถ ติตัน จิมทำงานวันละ 8 ชม. หลังจากเลิกเรียน (ไม่แปลกใจว่าทั้งผลการเรียนและจิตใจของเขานั้นย่ำแย่)

เมื่อในที่สุดพวกเขาก็ละทิ้งโรงงาน ครอบครัวต้องออกไปอยู่ในรถแวน โฟล์คสวาเก้น จนกระทั่งพวกเขากลับมาที่โตรอนโต กลับมาอย่างมีหลักฐานที่มั่นคง จิมตัดสินใจมุ่งสู่การเล่นตลกในคลับแห่งหนึ่ง เขาแสดงครั้งแรกที่ Yuk-Yuk's, ซึ่งเป็นหนึ่งในหลายๆ คลับที่ได้ช่วยฝึกฝนพื้นฐานให้กับจิมอยู่หลายปี จิมจึงหยุดการเรียนไฮสคูลเอาไว้ ในงานของเขาที่เคยร่วมแสดงกับดาราที่มีชื่อเสียง (ในจำนวนนั้นมี ไมเคิล แลนดอน และ เจมส์ สจ๊วต)

และในปี 1979 เขาก็ได้ย้ายมาที่ลอสแองเจิลลิส เขาใช้กลวิธีที่ทำให้ตัวเองได้เข้าไปที่ คอมเมดี้ สโตร์ ซึ่งได้ทำให้ร็อดนีย์ แดนเจอร์ฟิลด์ ประทับใจมาก และก็ทำให้ละครตลกเกี่ยวกับทหารผ่านศึก ได้เซ็นสัญญากับเขาในการเปิดแสดงตลอดทั้งฤดู ระหว่างช่วงเวลานี้จิมได้พบกับสาวเสิร์ฟ เมลิซ่า วูมเมอร์ และได้แต่งงานกับเธอ พวกเขามีลูกสาวคือ เจน ต่อมาทั้งคู่ก็ได้หย่าร้างกัน จิมเป็นโสตอยู่ไม่นานก็ได้แต่งงานใหม่เป็นครั้งที่ 2 กับนักแสดงสาว ลอร์เรน ฮอลลี่

การเฝ้าดูวิถีชีวิตที่ตกไปอยู่กับการเตร็ดเตร่ จิมเริ่มต้นมองไปรอบๆ ตัว เกี่ยวกับพฤติกรรมของคนอื่น เขาได้พบส่วนหนึ่งว่าเขาเป็นผู้ที่เพิ่งเริ่มเป็นนักแสดงการ์ตูน ในหนังซิดคอมเรื่องสั้น ที่มีชื่อว่า "The Duck Factory" (1984) ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จในขณะนั้น ประสบการณ์ได้สอนให้จิม มั่นใจในและการแสดงของเขาก็ดูมีพลังมากขึ้นกว่าเดิม

จิมได้เข้ามาเป็นนักแสดงและเขาสามารถสร้างชื่อเสียงให้แก่ตัวเองในแง่ที่เป็นนักแสดงที่ชอบเกะกะระราน (หนึ่งในคาแรกเตอร์ที่โด่งดังอันหนึ่ง คือนักดับเพลิงโรคจิต บิล) การเปลี่ยนแปลงสถานะของจิมจากทีวี สู่จอยักษ์ ด้วยการรับบทนำเต็มตัวจากเรื่อง Ace Ventura : Per Detective ในปี 1994 และต่อมาด้วยหนังซูเปอร์ฮีโร่ The Mask ในปีเดียวกัน มันทำให้คนดูสงสัยว่าเขาจะสามารถไปไกลได้แค่ไหน ในที่สุด ในเดือนธันวาคม เขาก็ทำให้โรงภาพยนตร์เต็มไปด้วยคนดูจากบทพี่น้องโง่เซ่อที่แสนน่ารักในเรื่อง Dumb & Dumber ในปี 1994 (เป็นเรื่องแรกของเขาที่มีรายได้รวมกว่าครึ่งล้านดอลล่าร์ ในวันเดียว)

จิมได้นำการเล่นตลกแบบบ้าคลั่งมาใส่ไว้ในเรื่อง Batman Forever ในปี 1995 แทนที่โรบิน วิลเลี่ยม ที่เป็นลิดด์เลอร์ เขายังคงทำให้ภาพยนตร์ทะลุเป้าอีกเช่นเคยใน Ace Ventura: When Nature Calls ในปี 1995 และได้เซ็นสัญญากับโซนี่ เพื่อเป็นดารานำให้กับเรื่อง The Cable Guy ในปี 1996 (แทนที่ คริส ฟาร์ลีย์) ด้วยเงินจำนวน 20 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนักแสดงตลกคนนี้ แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้กลับน่าผิดหวังทั้งจากนักวิจารณ์ และในส่วนของรายได้ แต่จิมก็ยังกระโดดกลับมาด้วยพลังที่เต็มเปี่ยมในภาพยนตร์เรื่อง Liar Liar ในปี 1997 น่ากังวลว่าความสามารถพิเศษในการแสดงตลกอาจจะจืดจางลงในไม่ช้า จิมจึงได้ตัดสินใจเปลี่ยนบทบาทของเขา ในปี 1998 เขาได้ลงทุนด้วยเงินจำนวนมากและยิ้มยิงฟันทำหน้าซื่อ เพื่อเป็นดาราให้กับ ปีเตอร์ เวียร์ ในเรื่อง The Truman Show ภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับเซลล์แมนที่หย่าภรรยาและทั้งชีวิตคือหัวใจสำคัญของทีวีโชว์ จิมได้แสดงให้เห็นว่าการที่ไม่มีลักษณะของความจริงใจได้ทำให้คนดูต้องแปลกใจ เขาชนะเลิศรางวัลโกลด์เด้น โกลบ จากบทบาทนี้ และชนะใจแฟนๆ อีกมากที่คาดไม่ถึง และยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสก้าอีกด้วย

จิมถูกดึงออกจากการเป็นสมาชิกที่อคาเดมี่ จากการคัดเลือกของกลุ่มคนใจแคบที่อยู่ในนั้น บางทีแรงบันดาลใจก็อาจมาจากการถูกดูแคลน จิมโยนตัวเองลงไปที่บทบาทต่อไปด้วยความเพิกเฉย เขาแสดงเรื่อง Man on the Moon ในปี 1999 และอีกครั้งที่เขารับบทคนบ้าคลั่งในเรื่อง Me, Myself & Irene ในปี 2000 แสดงร่วมกับ เรอเน่ เซลวีเกอร์ ที่ในเรื่องเขาต้องตกหลุมรักเธอ และในชีวิตจริงเขาก็ได้ตกหลุมรักเธอด้วย ไม่กี่เดือนหลังจากถ่ายทำเสร็จ ทั่งคู่ก็ประกาศอย่างเป็นทางการ

จิมได้รับบทอีกครั้งด้วยการต้องสวมชุดขนสัตว์สีเขียวในเรื่อง Grinch Stole Christmas ในปี 2000 และยังมีตามมาอีกหลายเรื่องเช่น Bruce Almighty ในปี 2003 และเรื่อง Eternal Sunshine of the Spotless Mind ในปี 2004 และ เรื่อง Fun with Dick and Jane ในปี 2006



ปล. ลืมบอกไป เขาได้รับรางวัล MTV หรือ POP CORN AWARD มากที่สุดในบรรดาดาราทุกคน และทุกสาขาเลย ให้ดิ้นตาย

Laughing Cool Unlike like

ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ส่ง Email MSN Messenger
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
ชีวิตเหมือนดาราตลกจริงๆ ( ก็เป็นอยู่แล้ว )

ต้องมาแนวนี้ตลอด ชีวิตยากจน เป็นคนซีเรียส แต่ประสบความสำเร็ว เพราะความตลกของตัวเอง

ลุงว่า ถ้าหนัง มันสู้พวก อดัมส์ หรือ วิล แฟร์รอล ได้


ก็ได้น่ะ แต่อยู่ที่จังหวะอะไรมากกว่ามั้ง

ปล

จขทก มาเขียนรีวิวหนังเรื่อยๆ ก็ติดตามตลอดน่ะครับ อิอิ


ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
ความเห็นตรงกัน


_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว MSN Messenger
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
หนังของจิมแครี่ย์เราชอบทุกเรื่องมากมาย


_________________

ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ส่ง Email
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
จิม แคร์รี่ย คือ ดาราตลกต้นแบบของฮลลลี้สวู้ดรุ่นใหม่ได้เลย ในตอนนี้ถ้านับการแสดงเท่าที่ผ่านมาก ตั้งแต่ The Mask ถึง Bruce Almighty เค้าสร้างการแสดงที่เป็นตัวของตัวเอง ยากที่จะมีคนมาลอกเลียนแบบได้ ... คือถ้านึกแล้วต้องเป็นจิม แน่นอน

ส่วนตัวแล้ว ชอบจิม ในบทดราม่า ... คือ เค้าเปนดาราตลกมาเล่นบทเครียดบ้างก้อดีนะ นี่เปนทางที่จิมพยายามทำมาตลอด แล้วก้อทำได้จนได้ดีใน The Truman Show วึ่งอาจเปนหนังตลกบ้างในสายตาบางคน แต่เรื่องนี้เนื่อเรื่องหลักดราม่ามาก ๆ ... จากโทนหนังแล้ว ชอบการแสดงของจิมเรื่องนี้ นับว่า เข้าตาจอร์จมากเลย ทั้งอารมณ์ สีหน้า และท่าทางที่แสดงออกมา

ส่วนในบทที่ตลกที่ทำได้ดีที่สุด ก้อคงเปนบทแจ้งเกิดของพี่แก ก้อคือ ไอ้หน้าเขียว The Mask นั้นแหละ ขนาดดูตามเคเบิ้ลในตอนนี้ทั้งที่ก้อจำได้นะว่าเนื้อเรื่องมันเปนยังงัย แต่ก้ออดฮาไม่ได้เลย 555 นึกถึง The Mask ก้อต้องนึกถึง จิม แคร์รี่ย แน่นอน .....

พักหลัง จิม รับงานส่วนมากแล้ว จะออกแนวที่ไม่ใช่เปนหนังชวัร์ว่าตลกเลย คือตอนนี้จิมมันนอกจากจะหาบทที่ฉีกออกไปจากแนวเดิม แต่เอาเข้าจริงแล้ว คาแร็กเตอร์ของจิม แล้วมันก้อเล่นยบทไม่ได้มาก เหมือนกับที่ รัสเซลล์หน้าไม่ให้เล่นตลก นั้นแหละ .... สมควรที่จิมน่าจะกินของเก่าแต่หามุขใหม่ ๆ เหมือนนักแสดงอย่าง อดัม แซนด์เลอร์ หากินอยู่ในตอนนี้ นะคับ จะดีกว่านะ



_________________
I can make the bad guy good for a weekend.
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว MSN Messenger
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
ฉันว่า จิม แครี่ เป็นแรงบันดาลใจให้กับนักแสดงรุ่นใหม่ๆมากกว่าคะ แม้ว่าช่วงนี้ไม่ค่อยเห็นงานพี่แกเท่าไร แต่ฉันชอบหนังจิมนะคะ อย่างว่าหละคะ จังหวะชีวิต มีสูงสุดก็ต้องมีต่ำสุด


_________________

>>>...Blink 182...<<<
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ตำแหน่ง AIM Yahoo Messenger MSN Messenger
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
เวลาเห็นหน้าพี่แกทีไรคิดถึงหนังตลกทุกที

แต่ก็ยังสามารถเล่นแนวอื่นได้อ่ะนะ ไม่เหมือนมิสเตอร์บีนอ่ะ

ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
จริงๆแร๊วว จิมแครี่เป็นลูกนอกสมรสของมารายห์ แครี่ค่ะ
จดทะเบียนไว้แร๊วที่แครายนี่เอง ใกล้ๆเดอะมอลล์

ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
พึ่งจะได้ดูBruce Almighty อีำกรอบเมื่อวานนี้เอง............ชอบหันงที่จิม เล่นหลายเรื่อง Cool อขากดูหนังที่เขาเปลี่ยนบทบาทแต่ยังหาเวลาไม่ได้เลย Sad

แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
ตอบ หน้า 1 จาก 1
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
  


copyright : forwardmag.com - contact : forwardmag@yahoo.com, forwardmag@gmail.com