มาดอนน่าคือผู้คุมโปรดิวซ์เซอร์ หาใช่โปรดิวซ์เซอร์มาคุมมาดอนน่า หลากหลายโปรดิวซ์เซอร์ที่ได้ร่วมงานกับมาดอนน่า อาทิ Stuart Price, William Orbit หรือ Mirwais ต่างก็รู้ดีว่า สมควรที่จะตั้งมาดอนน่าไว้บนหิ้ง พร้อมรับคำบรรชาจากเธอ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่มาดอนน่าเล่นกับของตลาดแบบนี้ การเลือกใช้โปรดิวซ์เซอร์มือทองอย่าง Timbaland และ The Neptunes มาทำเพลงให้ ไม่ใช่ปัญหา จากที่ได้ฟังอัลบั้ม Hard Candy จนจบทั้ง 12 แทร็ค (+ โบนัสแทร็คอีก 1) จึงได้รู้ว่า มาดอนน่าคือผู้กุมทิศทางของอัลบั้มและไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาเด่นกว่าเธอ นั้นเป็นเรื่องจริง
สตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 11 ของมาดอนน่า ใช้ลุคที่แสดงถึงความเป็นฮิพฮอพอย่าง เข็มขัด หรือ accessories ยิบย่อย สร้อย กำไล ต่างๆ และใช้ลูกอม ขนมหวานเป็นแบ็คกราวน์ ดังชื่ออัลบั้มว่า Hard Candy หวาน อร่อย แต่ต่อยหนัก มาดอนน่าจับของหวานมาผนวกกับความเป็นฮิพฮอพ มันดูจะไม่เข้ากัน แต่พอได้ลองแล้วก็กลมกล่อม พอจะให้คำที่สองตามมาอย่างไม่เขินอาย
สิ่งแรกที่เห็นจากภาพรวมของอัลบั้มคือ ความเปรี้ยว อันที่จริงมาดอนน่าได้พกพาความเปรี้ยวล้ำของอิเลคโทรนิก้ามาตั้งแต่เมื่อครั้ง Ray of Light และมาเด่นชัดเอาตอน Music (เอาแค่ 3 แทร็คแรกเท่านั้นนะ) และ Confessions on a Dancefloor คือคำตอบสุดท้ายของอิเลคโทรนิก้าที่หนีไม่พ้นเพลงแดนซ์ ซึ่งก็ได้เห็นกันชัดๆในงานของ Moby อัลบั้ม Hard Candy ไม่ได้หยิบเอาอิเลคโทรนิก้าขึ้นมาเป็นตัวนำ และไม่ได้ใช้ฮิพฮอพชูโรงเหมือนศิลปินเพลงฮิพฮอพทั่วไป แต่ใช้ความหวานของดนตรีเป็นตัวเรียกแขก ยังแซมด้วยความล้ำของดนตรี อันเป็นหมัดเด็ดของมาดอนน่า ที่ฮุคไม่ยั้ง กัดไม่ปล่อย ดังคำจำกัดความของอัลบั้มที่ว่า Sticky & Sweet
Track By Track 10 คะแนนเต็ม
Candy Shop
ครั้งแรกที่ได้ฟัง ผมไม่คิดว่าเพลงจะดีเด่อะไร ออกจะจืดๆซะด้วยซ้ำ แต่เมื่อได้ฟังผ่านหูฟัง เสียงกลองนั่นทำเอาผมหลงรักเลยทีเดียว เนื้อเพลงดูจะอ่อนๆไปหน่อยตรงที่ "Don't pretend you're not hungry, I've seen it before" แต่ก็ต้องมาแพ้กับขนม นม เนย ที่มาดอนน่านำเสนออยู่ตลอดเวลา อืมมม ขนมร้านนี้อร่อยได้ใจจริงๆ
8 ส่วน 10
4 Minutes (Featuring Timbaland & Justin Timberlake)
ซิงเกิ้ลแรกเอาไว้เรียกแขก บีทของทิมบาแลนด์ขึ้นชื่อลือชาว่าเด็ดอยู่แล้ว จึงไม่น่าห่วงในอันดับชาร์ต เครื่องเป่าสุดสำราญ เสียงกลองระทึกใจ เดาไม่ยากว่าเหล่าค้างคาวยามค่ำคืนคงจะถูกอกถูกใจกับเพลงนี้นักหนา มาดอนน่าลงมาเล่นกับของตลาด ถือว่าทำได้ดีในระดับหนึ่ง แม้จะใช้ทิมบาแลนด์กรุยทางนำหน้าไปก่อน แต่เธอยังคงเหยียบโปรดิวซ์เซอร์ซะมิด สรุปคือชอบ แต่ไม่ใช่อารมณ์ปลื้ม
6 ส่วน 10
Give It 2 Me
เป็นการฟิวชั่นกันระหว่างดิสโก้ในยุค 70 เข้ากับความเป็นอิเลคโทรนิก้า ว่าที่ซิงเกิ้ลที่ 2 น่าจะไปได้สวยในชาร์ตของเพลงแดนซ์ และไม่น่าเชื่อว่า Pharell จะทำเพลงได้ล้ำขนาดนี้ ตัวเพลงแบ่งภาคกันอย่างชัดเจน แต่ขอติตรงเนื้อเพลงที่ว่า Get stupid มาดอนน่าพยายามเล่นคำเหมือนเดิม แต่พลาด ใครมันจะอยากดูงี่เง่าในปาร์ตี้ย์ล่ะเจ๊ ถึงเจ๊จะบอกว่าคืนนี้จะปลดปล่อยให้มันสุดๆก็เหอะ
10 ส่วน 10
Heartbeat
ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังฟัง Donna Summer ตอนช่วงยุค 80 ยังไงหยั่งงั้น แต่แล้วก็โดน Pharell ไล่ความรู้สึกนั้นไป กลายเป็นการกลับไปในยุคดั้งเดิมของมาดอนน่า ประโยคที่ว่า "When I dance I feel free" หรือ "See my booty get down" นึกไปถึง Into The Groove แต่ก็ยังไม่ใช่แทร็คโปรดปรานอะไร
6 ส่วน 10
Miles Away
เออร์บัน พ็อพ แบบที่พาเอา Nelly Furtado ดังมาแล้วใน Say It Right มาดอนน่าเหนือชั้นกว่าด้วยการลงฝีมือเกากีต้าร์ เสริมความเท่ห์ด้วยบีทบ็อกซ์ของทิมบาแลนด์ เนื้อเพลงสุดแสนจะมั่นใจว่า "When I'm gone you'll realize That I'm the best thing that happened to you" คือท่อนประชดคนรักที่ฟังแล้วน้ำตาจะไหล เนื้อเพลงที่แต่งออกมาเรียกน้ำตาคนฟังโดยแท้ เหมือนกับเพลงดีแต่ไม่มีบุญเป็นซิงเกิ้ลอย่าง Nothing Fails
10 ส่วน 10
She's Not Me
ชอบจังเลยนะเจ๊ย้อนยุคเนี่ย อารมณ์แบบ Lucky Star หรือ Like A Virgin ลอยมาเลย โอเค Pharell ยังคงใช้บีทนิ้งหน่องอย่างต่อเนื่อง แถมยังเรียกคะแนนเพิ่มจากเสียงนกหวีด ฟังเพลินๆ สบายๆ แต่ตรงช่วงแยกตอนสุดท้ายๆคุ้นๆเหมือนเคยได้ยินที่ไหน เอ ใช่จากอัลบั้มของไอ้หยอยรึเปล่าหว่า ปิดท้ายเพลงด้วยเครื่องสายเป็นอันจบข่าว
6 ส่วน 10
Incredible
ผมชอบแทร็คนี้ที่สุดละ มาดอนน่าทำเพลงได้น่ารักน่าหยิกจริงๆ "Sex with you is incredible" ให้อารมณ์อีโรติกเบาๆ ในส่วนของ instruments สามารถเอาไปเปิดฟังเล่นๆในเลาจ์ก็ได้ Pharell ยังตามมาส่งเสียงกันเหมือนเมื่อแทร็ค Heartbeat ในช่วงสุดท้ายใช้ลูกเล่นเยอะไปหน่อย แต่ฟังไปก็เพลินดีเหมือนกัน ชอบตรงเสียงกลองนั่นแหล่ะ
9.5 ส่วน 10
Beat Goes On (Featuring Kanye West)
เมื่อครั้งยังเป็นเดโม่ ฟังครั้งแรกก็ไม่ชอบทันที รู้สึกมันจะง่ายๆกลวงๆไปหน่อยล่ะมั้ง แต่พอได้ฟังเวอร์ชั่นนี้แล้วคิดถึงเดโม่เวอร์ชั่นแฮะ ทำใหม่ซะไม่เหลือเค้าโครงเดิม โอเค ดนตรีจัดอยู่ในเกณฑ์ดี ได้ Kanye West มาแร็พให้มันก็เท่านั้น ฟังแล้วไม่เข้ากัน ไม่มีซะยังดีกว่า "Get down / Beep, beep / Gotta get outta your seat " ฟังดูน่ารักนะ แต่ไม่ชอบเพลงนี้ที่สุดในอัลบั้มล่ะ อาจจะเป็นเพราะแทร็คที่ผ่านมามันเปรี้ยวและล้ำกว่านี้ล่ะมั้ง
5 ส่วน 10
Dance 2Night
จัสตินอาสาพาเจ๊ไปเที่ยวคลับ พร้อมทั้งสั่งสอนว่าไม่ควรแบ่งแยกชนชั้นวรรณะ ไม่จำเป็นต้องสวย ต้องรวยก็เข้าคลับได้ แต่เจ๊คงไม่รู้ว่าในบางที่ คนจนห้ามเข้า ไม่สวยอย่าผ่าน สอบตกเรื่องเนื้อเพลงไปหนึ่ง อีกทั้งจัสตินก็แซมเสียงมาตลอด ทำไมไม่ยักกะมีเครดิตว่า Featuring ทีตอน 4 Minutes ร้องมากกว่านี้ยิ่งต้องสมควรใช้คำว่า Duet ถึงจะถูก
5 ส่วน 10
Spanish Lesson
เล่นกับลาตินอีกครั้ง หลังจากที่เคยเล่นมาแล้วเมื่อ La Isla Bonita คุณแม่ขอสอนภาษาสเปน โดยวางโครงดนตรีในแบบ salsa & circus แต่ฟังไปฟังมาก็เกิดความรำคาญ จะฮิพฮอพหรือจะลาตินดี กลายเป็นแทร็คจืดๆ สมควรกดข้ามในทันที เพราะฟังไม่มีอะไรเล๊ย นอกจากเนื้อเพลงที่ดูจะเก๋ก็เท่านั้น
5 ส่วน 10
Devil Wouldn't Recognise You
กลับมาเป็นบัลลาดอีกครั้ง ได้ backvocal เป็นนายหยอยคนเดิม ฟังดูไม่หนีจาก What Goes Around...Comes Around เท่าไหร่ เจ๊สมควรจะโดนชาวบ้านกัดจนเลือดซิบข้อหาทำเพลงได้เหมือนชาวบ้านขนาดนี้ แต่เห็นชื่อผู้ร่วมงานแล้วก็ไม่ระแคะระคายอะไร มีแต่จะปลงว่ามาดอนน่าโดนทิมบาแลนด์สิงเอาจริงๆก็แทร็คนี้แหล่ะ ซึ่งปกติมาดอนน่าจะไม่เป็นแบบนี้
8.5 ส่วน 10
Voices
"Who is the Master? Who is the Slave" อาจจะเป็นสิ่งเดียวที่คนจะจำได้จากเพลง ก็มันไม่มีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่ เราคงเบื่อจัสตินเข้าซะแล้ว เออร์บัน มืดมัวแบบคนดำ แม้มาดอนน่าจะทำได้ดี แต่ก็ไม่อยากจะชม เพราะมันไม่ได้ดีขนาดนั้น สมควรจะตัดเพลงนี้ออกแล้วยัด Ring My Bell ที่เป็นโบนัสแทร็คให้ญี่ปุ่นมาใส่จะดีกว่า
6 ส่วน 10
สิ่งที่ได้จากการร่วมงานของ มาดอนน่า, Timbaland และ The Neptunes ดูเหมือนจะเป็นอะไรที่บังเอิญจะไปเหมือนคนนู้นคนนี้ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เพราะเป็นความล้าหลังของมาดอนน่าเองที่ร่วมงานกันช้า บางแทร็คดีขนาดนี้ ยังชมได้ไม่เต็มปาก อย่างแทร็ค Devil Wouldn't Recognise You จำใจต้องกัดทั้งๆที่ชอบนักหนา
โชคยังดีที่มาดอนน่าทำเพลงเป็นโปรเจ็คเธอยังสามารถพัฒนางานเพลงได้เรื่อยๆไม่มีวันหยุด ต่างจากนักร้องเพลงบัลลาด เซลีน ดิออน หรือเพลงคันทรี่อย่าง เฟธ ฮิลล์ ที่อยู่วงการมาก็นาน แต่งานเพลงยังคงไม่ไปไหน ทำดีที่สุดก็คือเสมอตัว มาดอนน่าเปลี่ยนตัวเองทั้งลุคและแนวเพลงไปเรื่อยๆ จึงไม่สามารถนำงานใหม่ไปเปรียบงานเก่าได้ หรือนำใครมาเปรียบเทียบเธอได้ เพราะเธอเลือกที่จะพัฒนามากกว่าย่ำอยู่กับความสำเร็จ
แก้ไขล่าสุดโดย Inspirit-BomB เมื่อ Thu May 22, 2008 11:12 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
_________________
