ค่ะ อาจจะมอบของขวัญเมอร์รี่คริสมาสต์เร็วไปนิดนะคะเนื่องจากส่วนตัวไม่แน่ใจว่าช่วงเทศกาลจะมีเวลามานั่งเล่นบอร์ดรึเปล่าเพราะ แหม ปลายปีมันก็หมายถึงพาร์ตี้กระหน่ำนะคะ ส่วนตัวก็ตระหนักดีค่ะกับสิ่งที่เคยพูดไว้ว่า จะเลิกรีวิว ก็แน่ค่ะเดี๊ยนก็จะทำตามที่เดี๊ยนพูดทุกประการหากแต่ว่านานทีปีหน กฏทุกกฏบนโลกนี้มันมีไว้สำหรับให้แหกจริงมั้ยล่ะคะ ดังนั้นถือว่ารีวิวนี้เป็นการกลับมาเฉพาะกิจเหมือนกับการกลับมาเยี่ยมบ้านเพื่อนำของขวัญมามอบให้เพื่อนๆนะคะไม่ใช่ฐานะนักรีวิวในกระแสหลักของบอร์ดไปจนถึงตัวแม่ของบอร์ดอย่างที่หลายๆคนเคยกรุณาให้เกียรติมอบตำแหน่งนั้นให้เดี๊ยนอีกต่อไป (ส่วนตัวขอขอบคุณจากใจและขอบอกว่าเป็นเกียรติมากๆค่ะ) ก็ส่วนตัวช่วงนี้ก็มีเวลาว่างสั้นๆมานั่งเขียนอ่ะนะคะก็ถือเสียว่าเป็นงานเขียนจากอดีตคนในบอร์ดที่มอบเป็นของขวัญให้แก่เพื่อนๆที่รักทุกคนและก็ถือว่าเป็นการชดใช้ให้แก่ตัวเองหลังจากที่เลิกจากสิ่งที่ตนรักที่สุดสิ่งหนึ่งไปร่วม3เดือน
ของขวัญคริสมาสต์ปีนี้เดี๊ยนขอมอบโปรเจ็กต์แนสทิน่ากับดิว่าให้เพื่อนๆนะคะ สำหรับ "ดิว่า" ในวงการดนตรีนี่เราก็สามารถนิยามออกไปได้แตกต่างตามทัศนคติ รสนิยมและความเข้าใจในแต่ละระดับของบุคคล บางท่านอาจจะนับถือศิลปินหญิงให้เป็น ดิว่าจากน้ำเสียงในขณะที่บางท่านโฟกัสไปที่ผลงานและการนำเสนอมากกว่าเช่นเดียวกับที่อีกหลายๆท่านที่ตัดสินศิลปินที่เป็นดิว่าจากพลังและอิทธิพลในตัวของพวกเธอ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมาเนี่ยไม่มีใครผิดค่ะเป็นนิยามส่วนบุคคล เพราะว่าที่กล่าวไปทั้งหมดนั่นแหละคือคุณสมบัติเบื้องต้นของการเป็นวีรสตรีที่โดเด่นเป็นแนวหน้าประดับอุตสาหกรรมดนตรี แน่นอนค่ะคนเราร้อยพ่อพันแม่ต่างคนต่างภาพลักษณ์ ต่างการนำเสนอและต่างคุณสมบัติหากแต่สิ่งที่ทุกคนมีเหมือนกันก็คือพลังขับเคลื่อนอย่างมหาศาลที่มีอยู่ในตัวซึ่งพร้อมจะเป็นแรงบันดาลใจและสร้างปรากฏการณ์ที่สั่นสะเทือนไปทั่วโลกและแน่นอนพวกเธอทุกคนล้วนเป็นแถวหน้าทั้งสิ้น จาก100คัดมาเหลือ14นะคะนี่คือรีวิวผลงานล่าสุดของดิว่าจากกระแสหลัก14ท่านที่เดียนเล็งเห็นว่าทรงอิทธิพล น่าสนใจและปฏิเสธที่จะกล่าวถึงไม่ได้ มหาราชินีแห่งเพลงพ็อพมาดอนน่า ตำนานจากยุค90มารายห์ แครีย์ ดาวอันเจิดจรัสช่วงยุค80เจเน็ต แจ็คสัน 2ดิว่าเสียงทองคำอย่างวิทนีย์ ฮุสทันและซีลิน ดิออน แดนซ์ซิ่งควีนตลอดกาลไคลีย์ มิโน้ก 2มือวางอันดับหนึ่งแห่งบัลลังก์เจ้าหญิงแห่งวงการเพลงพ็อพบริทนีย์ สเปียรส์และคริสทิน่า อากิเลร่า ไปจนถึงฝากสาวร็อคอย่างพิ้งค์ ดิว่าที่เพิ่งจะผันตัวไปสู่แวดวงคันทรีย์อย่างเจสซิก้า ซิมป์สัน ดิว่าอาร์แอนด์บีตัวแทนแห่งยุคอย่างอลิช่าส์ คียส์และบียอนเซ่ รวมถึงสาวที่กำลังจะกลายเป็นดิว่าที่น่าจับตามองอย่างริฮานน่าและปิดท้ายด้วยเลโอน่า ลูอิสดาวเด่นประจำปี2008ที่ฉายแววดิว่าโดดเด่นตั้งแต่เริ่มประเดิมสังเวียน ไม่ว่าพวกเธอนั้นจะเป็นดาวค้างฟ้า ดัวอันเจิดจรัส ดาวดวงใหม่หรือดาวที่อับแสงไปแล้วก็ตามแต่ส่วนตัวเดี๊ยนเชื่อว่าตัวโน๊ตที่แตกต่างกันทั้ง14เสียงนี้สามารถผสานกันออกมาได้อย่างกลมกลืนและคงจะทอแสงประกายอยู่ในใจผู้ฟังไปได้อีกนานแสนนานแน่นอน
Madonna : Hard Candy : 4/5
สำหรับเดี๊ยน "มาดอนน่า" ต้องเป็นศิลปินคนแรกที่เดี๊ยนนึกถึงเคียงคู่กับสถานภาพดิว่าอย่างแน่นอน ด้วยการที่ตลอด3ทศวรรษที่เธอยังคงความเป็นหนึ่งในวัฏจักรดนตรีอันแสนเชี่ยวกรากนี้ เธอได้พิสูจน์ศักยภาพในตัวเธอใทุกๆสายตาประจักษ์ตั้งแต่การเป็นศิลปินที่โด่งดัวในแวดวงอินดี้ไต่ระดับมาจนถึงการเป็นเจ้าหญิงแห่งวงการเพลงพ็อพชั่วข้ามคืนสู่ความเป็นไอค่อนอันดับหนึ่งของคนทั่วโลก สาวนักปฏิวัติและล่าสุดกับตำแหน่งอันทรงเกียรติที่เธอสมควรจะได้รับกับสถานะ "มหาราชินีเพลงพ็อพ" แห่งอุตสาหกรรมดนตรี ตลอดระยะเวลาที่เธอพิสูจน์ตัวเองทุกๆแผนการตลาดอันล้ำเลิศ ทุกความคิดสร้างสรรและไอเดียอันบรรเจิดที่เธอสร้างปรากฏการณ์ไปเขย่าอาณาจักรดนตรีทั่วโลกนั้นทุกสิ่งอย่างที่เะอทำตอลบโจทย์ถึงความหมายของคำว่า "ดิว่า" ได้อย่างครบถ้วนและมีชั้นเชิง
รูปแบบเพลง
สำหรับเดี๊ยน Hard Candy เปรียบเสมือนภาคต่อของ Confessions On A Dancefloor โดยเป็นภาคต่อที่มีการจำกัดภาคดนตรีให้แคบลงรวมถึงก้าวสู่ความเป็นเออร์บันมากขึ้น ภาคการนำเสนอโดยรวมถูกพัฒนาให้เข้าถึงง่ายขึ้นรวมถึงสอดคล้องต่ออุปสงค์ของผู้บริโภคในตลาดกระแสหลักยุคปัจจุบันมากขึ้น โดยภาคดนตรีส่วนใหญ่ยังคงยืนพื้นที่ความเป็นแดนซ์-พ็อพ ดิสโก้และอิเล็คโทรนิคเป็นหลักก่อนจะคลุมทิศทางด้วยภาคดนตรีฮิพฮอพอาร์แอนด์บีและฟั้งค์ที่โดเด่นเป็นโทนเอกของงานชุดนี้เพื่อตอบรับกระแสของดนตรีฮิพฮอพอาร์แอนด์บีซึ่งเป็นที่นิยมไม่เสื่อมคลายในอเมริกา (เอากับเขาจนได้นะคะอีเจ๊)
จุดด้อย
ในช่วงแรกก็ยอมรับนะคะว่าค่อนข้างคลั่งและเห่อไปกับปรากฏการณ์ครั้งใหม่ของเธอมากๆแต่ในระยาวเหมือนผ่านกระแสดังกล่าวไปคงต้องขอสารภาพนะคะว่าเป็นหนึ่งในอัลบั้มของมาดอนน่าที่เดี๊ยนรู้สึกเบื่อเร็วอย่างน่าประหลาดใจ (แม้ว่าทุกวันนี้จะฟังอยู่ก็ตาม) ไม่รู้ว่าจะมีสาวกมาดอนน่าคนไหนรู้สึกเหมือนเดียนรึเเปล่าว่างานชุดนี้มีสีสันสูงหากแต่ค่อนข้างจะขาดชั้นเชิงในแบบฉบับที่เจีเคยเติมเต็มให้ผู้ฟังในงานก่อนๆได้ไปโขเลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตามถ้าให้ตัดสินจากเนื้องานแล้วก็ปฏิเสธไม่ได้ค่ะว่ายังทรงคุณภาพ นี่ขนาดรู้สึกเหมือนอีเจ๊ทำออกมาเล่นๆลวกๆแต่ความเหนือชั้นนี่ยังกินขาดอัลบั้มศิลปินนางนายอื่นๆอีกหลายช่วงตัว หนีไม่พ้นที่จะยกให้เป็นอีกหนึ่งอัลบั้มที่ดีที่สุดประจำปี2008อย่างไร้ข้อกังขาเลยทีเดียว อีกประเด็นหนึ่งคือไม่ทราบว่ามีใครคิดเหมือนกันมั้ยว่า "ความขลังของมาดอนน่าในงานชุดนี้นั้นลดลงไปพอสมควร" คือตัวงานยังคงเป็นที่โดดเด่นและน่าสนใจในสายตาของสาธารณชนด้วยความที่เป็นนงานของมาดอนน่า แต่เมื่อมองกันลึกๆแล้วเดี๊ยนรู้สึกว่าในเรื่องของชั้นเชิง ความประณีต ความเป็นออริจินัลและเสน่ห์ในการถ่ายทอดผลงานของเธอมันถูกลดทอนไปจนน่าตกใจ โชคดีที่อีเจ๊ไม่สูญเสียไอเดียบรรเจิดไปด้วยหลายแทร็คที่คลอดออกมาเลยแลดูเหนือศักยภาพในรอบการฟังระยะยาว สาวกอย่างเดียนค่อยหายใจทั่วท้องหน่อย
แทร็คเด็ด
เปิดอัลบั้มด้วย Candy Shop (3.5/5) พ็อพเต้นรำบนภาคการนำเสนอแบบอีสต์โคสต์ฮิพฮอพอาร์แอนด์บีจังหวะโจ๊ะๆ ส่วนตัวขอสารภาพว่าฟั้งครั้งแรกแล้วลมแทบจับเนื่องจากมันฟังดูไร้ชั้นเชิงอย่างมากชนิดที่มาแบบเสี่ยวๆยัดขายกันง่ายๆเลยทีเดียว ในรอบการฟังแรกขอบอกว่าหน้าซีดค่ะประมาณว่า "นี่อีเจ๊หล่อนจะเอาแบบนี้จริงเหรอ" แต่พอให้เวลาปรับตัวฟังไปนานๆแล้วก็รู้สึกว่าความเปรี้ยวในตัวเพลงกด็เพิ่มมากขึ้นตามลำดับเช่นกัน ก็ถือว่าเก๋ไปอีกแบบนะคะที่มาดอนน่ากระชากวัยสับรางลงมาทำฮิพฮอพวัยรุ่นผิดหูผิดตาขนาดนี้ให้ฟังกัน ยิ่งไปกว่านั้นตัดสินกันในระยะยาวแล้วเดียนรู้สึกว่าเป็นแทร็คที่ตอบภาพรวมของอัลบั้มในคอนเส็ปท์ Sticky & Sweet ได้อย่างเหนือชั้นเลยทีเดียว
มาที่บรรดาเพลงที่ถูกเลือกตัดโปรโมตเป็นซิงเกิ้ลกันบ้างเริ่มด้วย 4 Minutes Feat.Justin Timberlake And Timbaland (2.5/5) ซิงเกิ้ลแรกที่เป็นการผสมผสานระหว่างความเป็นแดนซ์พ็อพ ดิสโก้ในแบบฉบับของมาดอนน่าเข้ากับอาร์แอนด์บีฮิพฮอพสไตล์สองหนุ่มที่มาร่วมงานด้วย ผลลัพธ์ออกมาเป็นเออร์บันแดฯซ์พ็อพ ดิสโก้ที่โดเด่นและลงตัวทุกองค์ประกอบฟังแล้วไม่แปลกใจค่ะที่มันจะเป็นปรากฏการณืไปทั่วโลกเนื่องจากความสมควรจะ "ดัง" ในตัวมันมีสูงพอ อย่างสมเหตุสมผลอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามยังยืนยันคำเดิมที่เคยเขียนไปในงานรีวิวชุดที่แล้วนะคะว่าซิงเกิ้ลนี้เป็นิงเกิ้ลแรกของมาดอนน่าที่ไม่กระแทกต่อมความรู้สึกใดๆของเดี๊ยนเลยแม้แต่น้อย โดยส่วนตัวถือว่าเป็นการคัมแบ็คที่ซึมเซาจนน่าสลดใจด้วยซ้ำไม่ว่ามันจะได้อันดับ1ไปกี่ประเทศก็ตามเถิด ซิงเกิ้ลถัดไป Give It To Me Feat. Pharrell Williams (3/5) ในรูปแบบยูโรพ็อพเต้นรำเจืออิเล็คโทรนิคผสานการนำเสนอแบฟั้งค์กี้ย์ฮิพฮอพอาร์แอนด์บีในสไตล์ที่ฟาร์เรลล์ถนัดโดยส่วนตัวรู้สึกว่าภาคการนำเสนอเหมือนภาคต่อที่อ่อนกว่าของSorryหนึ่งช่วงตัว ต่อด้วย Miles Away (5) ซิงเกิ้ลล่าสุดที่ภาคดนตรีเปรียบเสมือนการปลุกวิญญาณพ็อพโฟล์คที่เราคุ้นเคยกันดีจากอัลบั้ม Music ให้ผสานชีวิตใหม่เข้ากับความเป็นเออร์บันทั้งบีทเต้นรำแบบสตรีทอารืแอนด์บี แอมเบี้ยนท์ลอยละล่องและอิเล็คโทรนิคได้อย่างลงตัวส่วนตัวคิดว่าเป็นแทร็คที่ดีที่สุดของงานชุดนี้แล้ว เสียดายที่เพลงๆดีๆแบบนี้ไม่ได้รับการโปรมตมากเท่าที่ควรจะเป็น
สำหรับดาวจรัสแสงดวงอื่นๆในอัลบั้ม ที่โดดเด่นที่สุดจนไม่สามารถเลี่ยงที่จะกล่าวถึงได้คงหนีไม่พ้น She's Not Me (4.5/5) ที่แรงจัดทั้งภาคเนื้อหาและมีชั้นเชิงในการผสมผสานดนตรีโดยภาพรวมยืนพื้นที่พ็อพอาร์แอนด์บีเต้นรำเสริมทัพด้วยโอลด์สคูล โซล ฟั้งค์กี้ย์ ดิสโก้ อาร์แอนด์บีกึ่งๆเทคโนไปจนถึงซาวนด์บีทบ็อกซ์ สตรีทอาร์แอนด์บี คลับแดนซ์และซินธ์พ็อพได้อย่างเจิดจรัสสุดๆ เริ่ดมาก ต่อด้วย Heartbeat (4/5) ต๊ายยยยยย กลิ่นจิ๋มน้าไข่หึ่งเชียวค่ะ ภาคดนตรีเป็นยูโรอิเล็คโทรแดนซ์พ็อพที่ดำเนินบทบาทภายใต้โครงสร้างของบีทไลท์เทคโนก่อนจะตบด้วยความเป็นฟั้งค์และบีทฮิพฮอพอาร์แอนด์บีแน่นๆเข้าไปเพิ่มเสน่ห์อย่างถึงขีดสุด สำหรับ Devil Wouldn't Recognize You (3.5/5) ก็เป็นพ็อพอาร์แอนด์บีละเมียดละไมกึ่งบัลลาดสไตล์ทิมบาแลนด์ สำหรับใครที่ชอบเพลง Cry Me A River หรือ What Goes Around...ของจัสตินก็คงจะชอบได้ไม่ยาก (แต่ไม่เหมาะกับหล่อนเลยนะคะอีเจ๊ ให้ตายกลับมาเป็นออริจินัลเหมือนเดิมเถอะ) ปิดท้ายเก๋ๆกับแทร็คเริ่ดๆอย่าง Beat Goes On Feat. Kanye West (5) โอลด์สคูลพ็อพอาร์แอนด์บีเต้นรำผสานอิเล็คโทรพ็อพ ดิสโก้ ฟั้งค์กี้ย โซล ฮิพฮอพและจังหวะแบบมิดเทมโพช่วงยุค80ได้อย่างเหนือชั้นสุดๆ ยังเชียร์ให้เป็นซิงเกิ้ลจนถึงทุกวันนี้นะคะถ้าตัดมานี่กะเทยเตรียมตัวกันเอาไว้ให้ดีนะคะซ่องระเบิดแน่ๆ
สรุป
ในฐานะสาวกมาดอนน่าแม้ว่วนตัวจะไม่คิดว่านี่จะเป็นหนึ่งในจิ๊กซอว์ชิ้นที่โดดเด่นที่สุดที่ได้รับจากเธอก็ตาม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นหนึ่งในย่างก้าวที่เปี่ยมด้วยความน่าสนใจอย่างยิ่งยวดเป็นรอยต่ออันทรงคุณภาพที่ยังการันตีได้ถึงความเป็นผู้ชนะและผู้อยู่รอดตลอดกาลในอุตสาหกรรมดนตรีของมาดอนน่าดิว่าผู้ซึ่งเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์และจริตจก้านอันหวานหอมเย้ายวนประดุจลูกกวาดแสนสวยหากแต่ฉาบด้วยความแข็งแกร่งและรสชาติที่จัดจ้านไม่ธรรมดา ที่มหาราชินีเพลงพ็อพนางนี้มอบให้แก่อุตสาหกรรมดนตรีมาตลอดร่วม3ทวรรษ
Mariah Carey : E= MC 2 : 3.5/5
สำหรับเดี๊ยนเธอคนนี้คือ "ดิว่า" ตั้งแต่วินาทีแรกที่แจ้งเกิดในวงการ ไม่ว่าจะครหาเธออย่างไรก็ไม่สามารถปฏิเสธข้อเท็จจริงได้ค่ะว่าเะอมีความสามารถในการแต่งเพลงได้อย่างมีวาทะศิลป์และเปี่ยวด้วยชั้นเชิงถ้อยวลีอันไพเราะลึกซึ้ง เธอมีเสียงที่มีคุณสมบัติในน้ำเสียงอันไพเราะดุจได้รับการประทานจากสวรรค์ลูกเล่นการถ่ายทอดบทเพลงที่แสนมหัศจรรย์มีชั้นเชิงหาตัวจับยากและพลังเสียงที่ทรงพลังสะท้านไปถึงก้นบึ้งหัวใจ แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันถึงคุณสมบัติเบื้องต้นของผู้ที่จะเกิดมารับตำแหน่งดิว่าในวงการดนตรีได้อย่างดี เธอมีอันดับหนึ่งบนบิลด์บอรืดชาร์ตมากมายถึง18เพลงแสดงให้เห็นว่าเธอครองความเป็นที่นิยมใบ้านเกิดได้อย่างมั่นคง และสิ่งเหล่านั้นคือเครื่องยืนยันความเป็นดิว่าที่ดีสำหรับเดี๊ยนหรือ? เปล่าเลยไม่ใช่ นั่นแค่ส่วนหนึ่ง สำหรับเดียนเดี๊ยนมองว่ามารายห์เป็นศิลปินที่มีมากกว่านั้น มากกว่าแค่ "ดิว่าที่เสียงดีทั่วๆไป" หากแต่สิ่งที่สะท้อนความเป็นดิว่าในตัวเธอออกมาได้ชัดเจนมากกว่าศักยภาพทางดนตรีที่หลายคนมักจะโฟกัสเธอไปแค่จุดนั้น คงจะหนีไม่พ้นอิทธิพลอันยิ่งใหญ่จากทั้งตัวตนและงานเพลงอันมีจิตวิญญาณของเธอประกอบ (เสียงทรงพลังที่ออกมาจากลำคอไม่มีทางน่าประทับใจเท่ากับออกมาจากจิตวิญญาณแน่นอน) นั่นคงเป็นเหตุผลที่ดีที่สุดที่ทำให้เธอมายืนอยู่ ณ จุดนี้และนั่งอยู่ในใจของคอดนตรีหลายๆท่าน
รูปแบบเพลง
แม่มาลัยเราวางคอนเส็ปท์ไว้ให้อัลบั้มชุดนี้เปรียบเสมือนภาคต่อจากงานชุดที่แล้ว The Emancipation Of Mimi นะคะ ดังนั้นภาคดนตรีโดยรวมใน E = MC 2 ก็ยังคงยืนพื้นที่ความเป็นพ็อพอาร์แอนด์บีผสานฮิพฮอพตามธรรมเนียมก่อนจะต่อยอดรสชาติที่หลากหลายทั้งแดนซ์ ฟั้งค์ ดิสโก้ โอลด์สคูล โซล เร็กเก้ บัลลาด แจ๊ซซ์ไปยันกอสเพลได้อย่างมีชั้นเชิง ในระยะยาวนับว่าเป็นภาคต่อที่เหนือขึ้นมาจากงานชุดที่แล้วอักระดับเลยทีเดียว
จุดด้อย
โดยส่วนตัวแล้วยังนับว่าทำได้ดีไม่ตกไปจากมาตรฐานของเธอนะคะ แม้ว่าในรอบการฟังแรกๆจะรู้สึกว่า แหม มันช่างเนิบเนือยเสมอตัวไปนิดแต่พิสูจน์ในรอบการฟังระยะยาวแล้วกลับเป็นอัลบั้มที่ฟังเพลินที่สุดอัลบั้มหนึ่งของเธออย่างน่าประหลาดใจ แต่อย่างไรก็ตามก็ต้องยอมรับนะคะว่า "ทฤษฎีสัมพันธภาพ" ของเธอนี่ไม่ใช่งานที่จะน้อมคำนับได้ว่าจุดประกายอะไรใหม่ๆหรือเป็นปรากฏการณืระเบิดเถิดเทิงสมชื่อ สมราคาคุยไปจนถึงสมศักดิ์นัก โดยส่วนตัวก็ยอมรับในแนวทางการนำเสนอที่แตกต่างของิลปินแต่ละท่านอยุ่แล้วหากแต่หลายครั้งที่ฟังมารายห์แล้วรู้สึกตะหงิดๆกับสูตรสำเร็จรูปเดิมๆในระยะยาวของเธอ ไม่เปลี่ยนแนวไม่ว่าเพราะว่าเธอทำออกมาได้ดีหากแต่ข้อบกพร้องในบางจุดที่ทำให้เนื้องานเสียเอกภาพไปอย่างน่าเสียดายนั้นเป็นจุดที่แก้ไม่ตกมาตลอด2ทศวรรการเป็นศิลปินนั่นก็เป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ที่ทำให้งานชุดนี้ไม่สามารถจะก้าวไปสู่จุดที่ระเบิดเปรี้ยงสมชื่ออย่างเต็มราคากว่านี้
แทร็คเด็ด
แม้ว่าส่วนตัวจะไม่คิดว่าเป็นแทร็คที่เด็ดเด้งอะไรแต่ Touch My Body (2/5) ซิงเกิ้ลเปิดตัวของเธอก็สามารถทะยานไปสู่อันดับหนึ่งบนบิลด์บอร์ดชาร์ตได้สร้างสถิติอันดับหนึ่งเป็นเพลงที่18ให้แก่มาลัยเอาชนะราชาร็อแอนด์โรลอย่างเอลวิส เพรสลีย์ไปได้อย่างสง่างาม (งวดหน้า4เต่าทองแก่ระวังไว้ให้ดีนะคะ หึหึหึหึ) ทั้งๆที่ตัวเพลงเป็นพ็อพอาร์แอนด์บีเนิบๆเพราะๆที่หาได้มีอะไรแรงหรือโดเด่นในตัวเองไม่ส่วนตัวขอเดาเอางว่าคงเป็นเพราะบารมีและความประสาทแดกชนะใจจากเอ็มวีล้วนๆ ที่น่าแปลกคือซิงเกิ้ลที่สองอย่าง Bye Bye (5) พ็อพอาร์แอนด์บีบัลลาดที่โดเด่นทั้งภาคเนื้อหาที่กระแทกกระทั้นไปถึงก้นบึ้งของหัวใจและภาคการนำเสนอที่ไพเราะละเมียดละไมในสไตล์ที่เราเคยได้ยินจาก We Belong Together กลับทำอันดับได้ไม่ดีเท่าที่ควรจะเป็น มาที่ซิงเกิ้ลที่สาม I'll Be Loving You Long Time (4/5) ถือว่าเป็นม้ามืดเลยนะคะเนื่องจากคนส่วนหญ่ไม่คาดคิดว่าเธอจะกล้าตัดแต่ส่วนตัวเดียนแอบคิดไว้ตั้งแต่แรกแล้วล่ะค่ะว่าเพลงนี้ต้องได้เป็นซิงเกิ้ลแน่ๆแต่ไม่คิดว่าจะตัดออกมาเป็นซิงเกิ้ลต้นๆ ตัวเพลงเป็นโอลด์สคูลพ็อพโซลอาร์แอนด์บีหวานๆผสานความเป็นอดัลท์คอนเทมโพลารีย์ แจ๊ซซ์แอละโมทาวน์โซลได้อย่างลงตัว เป็นแทร็คที่เพราะที่สุดแทร็คหนึ่งในอัลบั้มเลยทีเดียว จ่อด้วย I Stay In Love (4/5) ซิงเกิ้ลล่าสุด พ็อพโซลอาร์แอนด์บีบัลลาดหวานหยดที่ไพเราะและลงตัวทุกองค์ประกอบ เข้าทางมารายห์และลูกแกะมากๆ
สำหรับแทร็คอื่นๆที่เป็นตัวชูโรงของอัลบั้มสำหรับเดียนคงหนีไม่พ้น Migrate Feat. T-Pain (3/5) แทร็คเปิดอัลบั้ม พ้อพอาร์แอนด์บีเต้นรำผสานซาวนด์ฮิพฮอพอาร์แอนด์บีและจังหวะจะโคนแบบอาราเบียนอาร์แอนด์บีอ่อนๆ แม้ว่าจะไม่ได้โยกแรงถึงขั้นเอาคนฟังตีลังกาตามแต่ก็ชวนขยับไม่หน่อยหากแต่เสียดายอย่างเดียวที่มันควรจะแรงและชัดเจนได้มากกว่านี้ ต่อด้วย Love Story (3.5/5) สโลแจมดาวน์เทมโพพ็อพอาร์แอนด์บีบัลลาดเนิบๆนาบๆ ที่ส่วนตัวรู้สึกไม่ค่อยถุกหูในการฟัง2-3รอบแรกๆเท่าไรแต่ระยะยาวสะท้อนความมีมิติในการนำเสนอรอบด้านออกมาได้ดีพอควร จะตัดเป็นซิงเกิ้ลก็คงไม่ขี้เหร่เท่าไร และแน่นอนค่ะแทร็คนี้ไม่พูดถึงไม่ได้ I'm That Chick (4.5/5) โอลด์สคูลแดนซ์-พ็อพ ดิสโก้สุดเปรี้ยวที่เดี๊ยนสถาปนาตัวเองเป็นแม่ยกเชียร์ให้นังมาลัยมันตัดเป็นซิงเกิ้ลเสียที (อีหมีนี่ก็ลีลาวดีเหลือเกินนะคะที่จะมีผัวไม่เห็นท่ามากแบบนี้เลย) เจ้าแม่บัลลาดเขย่าสามโลกก็เป็นมาแล้วสับรางลงไปเป็นสาวอาร์แอนด์บีก้ได้รับการยอมรับเป็นเบอร์ต้นๆนี่ถ้าทศวรรษหน้าแม่มาลัยทำเก๋ลงไปเป็นแดนซ์ซิ่งควีนแดนซ์กระจายกับเข้าล่ะก็ เจ๊แม่ น้าไคย์ นังบี หนูหอก น้องห่านและอีติ๊ ระวังตัวกันไว้ให้ดีนะคะ หนาวจิ๋มแน่พวกหล่อน หึหึหึหึหึ ปิดอัลบั้มด้วย I Wish You Well (5) บลูส์โซลอาร์แอนด์บีบัลลาดผสานความเป็นไลท์แจ๊ซซ์และคอนเทมโพลารีย์กอสเพลจัดๆพร้อมกับภาคเนื้อหาลุ่มลึกเชิงปรัชญาที่บรรจงร้อยเรียงภาษาออกมาได้ได้อย่างเหนือคำว่าวาทะศิลป์งดงามประณีตสุดๆ ฟังแล้วขนลุกที่มรายห์กลั่นเนื้อหาที่เริ่ดล้ำขนาดนี้ออกมาได้
สรุป
แม้ว่าจะไม่ได้มอบอะไรใหม่ๆให้เป็นที่กล่าวขานถึงหรือน่าจดจำมากนักแต่ถ้ามองกันลึกๆดีๆแล้วส่วนตัวเดี๊ยนรู้สึกว่างานชุดนี้เหมือนกับเป็นจุดเริ่มต้นก่อนที่จะขยับขยายไปสู่การเล่นภาคดนตรีใหม่ๆในทศวรรษหน้าอีกครั้ง นับว่าเดปนภาคต่อที่น่าสนใจและติดตามรวมถึงเป็นบทพิสูจน์ที่ดีถึงคุณภาพ มาตรฐานและชั้นเชิงที่เธอคนนี้สามารถรักษาได้ครบถ้วนไม่มีตกไปจากบรรทัดฐานของคำว่าเป็นอัลบั้มที่ดีเลยทีเดียว
Whitney Houston : Just Whitney : 3/5
จากบทพิสูจน์ผลงานในระยะยาวก็คงจะไม่มีใครกล้าปฏิเสธนะคะว่า "วิทนีย์ ฮุสทัน" คือหนึ่งในสุภาพสตรีที่ทรงอิทธิพลที่สุดของอุตสาหกรรมดนตรี เธอๆได้พิสูจน์ตนเองอย่างเหนือชั้นแล้วค่ะว่าเธอเป็นอีกหนึ่งศิลปินหญิงที่ฉายนิยามของคำว่า "ดิว่า" ออกมาจากจิตวิญญาณได้อย่างเป็นรูปธรรม แม้ว่าจะมีหลายคนค่อนขอดว่าเธอคนนี้จบชีวิตในวงการไปแล้วแต่อย่างไรก็ตามความทรงพลังในตัวเธอและศักยภาพทางดนตรีอันพร้อมสรรพในอดีตยังคงเป็นเครื่องเป็นสิ่งที่การันตีได้ดีถึงความมีอิทธิพลอันยิ่งใหญ่ในตัวเธอซึ่งเชื่อว่าคนดนตรีหลายคนยังคงสัมผัสได้ว่าความทรงพลังในวันวานนั้นยังคงมีลมหายใจยืนยงมาจนถึงวินาทีนี้
รูปแบบเพลง
อดัลท์คอนเทมโพลารีย์พ็อพอาร์แอนดืบีผสานอย่างละนิดละหน่อยของฮิพฮฮพ แดนซ์ แจ๊ซซ์และลูกเล่นสแตนดาร์ดพ็อพในเอกลักษณ์ของป้าวิทรวมถึงสรรพสำเนียงการร้องแบบโซลนุ่มนวลในความเป็นคนผิวสีของป้าผสมกลมกลืนกันได้อย่างลงตัว
จุดด้อย
ส่วนตัวสัมผัสได้เช่นเดียวกับหลายๆท่านนะคะที่ว่างานชุดนี้อยู่มนเกณฑ์ที่แผ่วกว่ามาตรฐานงานเดิมๆของป้าวิทเยอะที่สำคัญโดยเฉพาะในเรื่องของพลังเสียงที่ดร็อปและบางลงไปกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัดทีเดียวจึงไม่แปลกนะคะที่งานชุดนี้จะไม่ค่อยสร้างความประทับใจให้บรรดาสาวกของป้าวิทเท่าที่ควรซึ่งก็ต้องยอมรับความเป็นไปตามสัจธรรมนะคะเนื่องจากเธอสร้างมาตรฐานเดิมไว้ซะสูงเสียดฟ้าขนาดนั้นพอทำงานที่ออกอาการปล่อยวางจากจุดสูงสุดมาทำอะไรแกนๆเสมอตัวที่บางสายตาอาจจะมองว่างานเนิบๆนี้แลดูด้อยกว่าศักยภาพของป้าวิทอย่างจนน่าตกใจหลายรายทีหงังไว้สูงก็เลยผิดหวังไปตามๆกันนะคะ มาที่มุมมองของเดียนคนที่ไม่ใช่แฟนเพลงหรือสาวกของป้ากันบ้างโดยส่วนตัวแล้วเนื้องานโดยรวมของงานชุดนี้สำหรับเดียนนับว่าโอเคนะคะไม่ได้แย่อะไรมากเนื่องจากส่วนตัวลองหันไปโฟกัสภาพรวมอื่นๆนอกจากพลังเสียงรวมถึงตัดสินจากศักยภาพ ณ ปัจจุบันของเธอมากที่สุดแล้วคิดว่าทำออกมาได้ลงตัวและเอื้ออำนวยสอดคล้องกับเนื้อเสียง ณ ตอนนี้ของเธอเลยทีเดียว แม้ว่าจะไม่ได้แผดทรงพลังอลังการมีมิติสูงส่งสะใจเท่าเก่าแต่ก็ขอชมในความลงตัวและเอกภาพที่ชัดเจนในเนื้องานที่มีทิศทางและประเด้นในการนำเสนอครบถ้วนน่ะค่ะ
แทร็คเด็ด
ต๊ายยย ฟังแล้วแถสำลักค่ะกับ Whatchulookinat (3/5) ซิลเกิ้ลเปิดตัวในแนวพ็อพอาร์แอนด์บีเต้นรำผสานบีทอาร์แอนด์บีฮิพฮอพชนิดกระชากวัยผิดหูผิดตา ต๊ายตาย ขอสารภาพนะคะว่าตอนที่ได้ยินครั้งแรกที่ปล่อยก๊ากออกมาดังลั่นเลยแหมๆๆๆป้าวิทนี่แอบเก๋ลงมาแร็พโย่วเด็ดสะมีย์เช้าจิกตีกับบรรดาสาวอาร์แอนด์บีรุ่นลูกกับเขาด้วยนะคะ หึหึหึหึ เอาเถอะค่ะฟังวนานๆไปก็ติดหูหนึบชนิดลืมไม่ลงทีเดียว เปรี้ยวป่วงมากค่ะป้า ต่อด้วย One Of Those Days (3.5/5) ซิงเกิ้ลที่สองที่เป็นอัพเทมโปพ็อพอาร์แอนด์บีชิลล์ๆใสๆน่ารักผสานโซลหวานๆได้อย่างลงตัวแม้ว่าจะถูกค่อนขอดว่าแลดูป่วยอย่างไรก็ตามถ้ามองในแง่มุมการนำเสนอวิทนีย์ในมุมมองใหม่แล้วจัดว่าลงตัวทีเดียว มาที่ Love That Man (3/5) โอลด์สคูลแดนซ์-พ็อพสวยๆผสานความเป็นโซลในน้ำเสียงและกลิ่นอายฟั้งค์กี้ย์ยุค70เข้ากับอาร์แอนด์บีและดิสโก้ได้อย่างลงตัว บรรดาป้าๆคุณนายแม่ยกทั้งหลายคนชอบได้ไม่ยากน่ะค่ะ สำหรับแทร็คที่ดีที่สุดสำหรับงานชุดนี้คงหนีไม่พ้น On My Own (5) อดัลท์คอนเทมโพลารีย์พ็อพโซลบัลลาดสูตรสำเร็จที่เพียบพร้อมทั้งความทรงพลังและไพเราะติดหูเข้าทางแฟนๆป้าวิทแน่นอนค่ะแม้ว่าจะไม่ได้แผดกังวานเหนือมนุษย์เทากับบัลลาดแล้วๆมาของป้าแต่ก็ขอชมที่สามารถทำออกมาได้เอื้อำนวยศักยภาพทางน้ำเสียงวินาทีปัจจุบันอย่างถึงขีดสุดแถมยังคงความเป้นบัลลาดที่สมบูรณ์แบบเหนือชั้นและคลาสสิคเช่นเดิม อีกแทรคที่โดนใจเป็นการส่วนตัวคงเป็น My Love Feat. Bobby Brown (4/5) แทร็คที่เธอดูเอ็ทคู่กับสามีตาบ็อบบี้ บราวน์ได้อย่างน่ารักน่าฟังทีเดียวภายใต้ภาคดนตรีที่เป็นพ็อพอาร์แอนด์บีใสกิ๊งผสานบีฮิพฮอพและสรรพสำเนียงความเป็นโซลเพราะๆหวานลอยละล่องคุมทิศทางได้อย่างอยู่หมัด ต๊ายยยย ป้านี่วัยรุ่นพอๆกับอีเจ๊แม่ของเดียนเลยนะคะ หึหึหึหึ ปิดท้ายกับ You Light Up My Life (3.5/5) ในณุปแบบอดัลท์คอนเทมโพลารีย์ที่คงความเป็นสแตนดาร์ดพ็อพสูตรเดิมๆของป้าไว้อย่างครบถ้วนแม้ว่าจะไม่ได้เด็ดเด้งเทียบเท่ากับบรรดาสารพัดฉบับคัฟเวอร์ที่ทำออกมาซะเกลื่อนล้มประดาตายแต่พิจารณาในมาตรฐานความเป็นวิทนีย์ก็ถือว่ร้องออกมาได้น่าประทับใจเลยทีเดียว
สรุป
แม้ว่าอาจจะมีหลายท่านที่รู้สึกผิดหวังกับงานชุดนี้ก็ตามแต่สำหรับเดี๊ยนขอชมนะคะที่อย่างน้อยเธอก็นำความสามารถและชั่วโมงบินมาระบายความประณีตและความลงตัวลงสู่ผลงานรวมถึงรู้จักนำเสนอเนื้องานออกมาให้เอิอ้อำนวยต่อศักยภาพปัจจุบันของเธอมากที่สุด ส่วนตัวแม้จะไม่ใช่แฟนเพลงอย่างเหนียวแน่นของเธอก็ตามแต่ก็ขอเป็นกำลังใจให้กับเธอในการยืนหยัดเพ่อหวนคืนสู่ความเป็นดิว่าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของวาการได้อย่างสมศักดิ์ศรีอีกครั้งในการพิสูจน์ตัวเองจากอัลบั้มชุดหน้าที่กำลังจะออกในปี2009นะคะ
Kylie Minogue : X : 3.5/5
ถ้าจะให้กล่าวถึงดิว่าติดลมบนของบรดาผีเสื้อราตรีทั้งหลายแล้วนอกจากอีเจ๊แม่มาดอนน่าแล้วก็เห็นจะมีแต่เจ๊ไคย์ลีย์ มิโน้กนี่แหละค่ะที่เข้ามาเทียบเคียงรัศมีชนิดกินกันไม่ลงเลยทีเดียว ด้วยจริตจก้านแพรวพราว ความเก๋ของตัวเพลงและลีลาการขับขานเพลงเต้นรำได้อย่างเข้าถึงขนิดกลั่นออกมาจากสายเลือดเลยทีเดียว สิ่งเหล่านี้แหละค่ะที่ทำให้เจ๊ไคย์ของเราเป็นดาวค้างฟ้าของชาวเกย์มาร่วม3ทศวรรษนับพันปีเลยทีเดียว อย่าหาว่าเว่อร์แต่เพลงอีเจ๊เรานี่ตีฟลอรืทุกระดับแตกกระเจิงจริงๆค่ะพิสูจน์มาแล้ว เริ่ด หึหึหึหึ คงจะไม่เกินความจริงไปเท่าใดนักถ้าจะบอกว่าเธอคนนี้คือดิว่าผู้ที่บรรดาคนรักแสงสียามค่ำคืนอย่างเราๆยินดีที่จะถวายหัวใจให้กับการแต่งฟลอร์เต้นรำยามราตรีให้มีสันและเนรมิตชีวิตกลางคืนให้เปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์และความเย้ายวนบาดใจสุดๆชนิดที่ไม่สามารถหาสตรีนางไหนมาทำได้เหนือชั้นเทียบเคียงแดนซ์ซิ่งดิว่าตลอดกาลนางนี้ได้
รูปแบบเพลง
จากซิงเกิ้ลเปิดตัวสุดเก๋อย่าง 2 Hearts ทำเอาเดี๊ยนนึกไปไกลนะคะว่าชุดนี้เจ๊ไคย์ต้องมาแนวแกลมร็อคผสานอิเล็คโทรนิคเปรี้ยวๆแน่แต่พอเอาจริงๆแล้วทำออกมาให้อยากแค่เพลงเดียวแค่นแหละค่ะ ภาพรวมทั้งหมดของชิ้นงานยังคงยืนพื้นอยู่ที่ความเป็นพ็อพเต้นรำผสานอิเล็คโทรนิคโดยบางแทร็คได้รับอิทธิพลจากกลิ่นอายเรโทรแบบพ็อพเต้นรำยุค80 บางแทร็คเป็นยูโรรวมถึงอิทธิพลของความเป็นอาร์แอนด์บีที่เด่นชัดขึ้นมากๆตั้งแต่งานชุดที่แล้วก็ยังคงมีให้เห็นในหลายๆแทร็ค สรุปแล้วสำหรับเดี๊ยน X คือการบูรณาการกันระหว่างงานของเจ๊ไคย์ช่วงต้นยุค90เข้ากับติ่งๆของLight Year/FeverและBody Language ก่อนจะหยิบมาผสมผสานกับซาวนด์ทดลองเพื่อเป็นบันไดปีนไปสู่ภาคดนตรีใหม่ๆที่เป็นไปได้ว่าจะเด่นชัดและเข้มข้นขึ้นอย่างมากในอัลบั้มหน้าแน่นอน
จุดด้อย
ในภาพรวมแล้วอัลบั้มชุดนี้จัดอยู่ในเกณฑ์งานที่เหนือระดับมาตรฐานงานทั่วไปอยู่ดีแต่ถ้าให้วัดในความเป็นไคลีย์แล้วส่วนตัวคิดว่าความแรงทั้งในภาคดนตรีและความเด่นชัดของภาพลักษณ์รวมถึงเอกภาพของตัวเพลงในอัลบั้มยังไม่สร้างความประทับใจได้เทียบเท่ากับงาน3ชุดล่าสุดที่ผ่านมา (ไม่นับรวมฮิต) เรียกได้ว่าแผ่วลงไปอย่างเห็นได้ชัดเลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตามเธอก็เพิ่งจะฟื้นตัวจากมรสุมร้ายแต่ก็สามารถกลับมายืนหยัดได้ด้วยผลงานที่ดีเกินมาตรฐานขนาดนี้นับว่าน่าประทับใจมากๆเลยทีเดียว
แทร็คเด็ด
2 Hearts (4/5) ต๊ายยยย เจ๊ไคย์ของหนูครั้งนี้เปิดตัวได้เปรี้ยวเกิดเริ่ดแรงฤทธิ์มากเชียวค่ะกับภาคดนตรีที่จับเอาพ็อพร็อคมาผสานเข้ากับอิเลคโทรพ็อพ แกลมร็อคและแดนซ์ได้อย่างเหนือชั้นสุดๆผลลัพธ์ออกมาเป็นแดนซื-พ็อพอ่อนๆผสานอิเล็คโทรนิคและแกลมร็อคอ่อนๆสุดเซ็กซี่ที่แม้ว่าจะไม่ได้เด้งถึงขั้นอิเล็คโทรแกลมแต่ก็ออกมาน้องๆGoldfrappเหมือนกัน นอกจากนี้ยังถือเป็นการเปิดศักราชใหม่ของเจ๊ไคย์หลังจากผ่านมรสุมร้ายๆในชีวิตด้วยการฉีกออกไปทำภาคดนตรีและการนำเสนอที่ค้อนข้างแปลกใหม่พอตัวสำหรับไคย์ลีย์เลยทีเดียว ซึ่งก็ให้ผลลัพธ์ออกมามีชั้นเชิงเป็นที่น่าประทับใจสำหรับเดี๊ยนมากๆ ไม่เสียเวลาที่รอคอยค่ะ หึหึหึหึ ต่อด้วยด้วย In My Arms (3.5/5) ที่เห็นแววเป็นซิงเกิ้ลตั้งแต่การฟังรอบแรกๆ พ็อพเต้นรำโชยกลิ่นอายเรทรแบบยุค80ที่ทรงเสน่ห์ตลบอบอวนทั่วเพลงมากๆรวมถึงผสานเอาจังหวะมิดเทมโพอ่อนๆและตบด้วยเสียงสังเคราะห์ ซินธิไซเซอร์และบีทอิเล็คโทรนิคเข้ากับกลิ่นอายของฟั้งค์กี้ย์อ่อนๆปลิวว่อนเป็นแบ็คกราวนด์ทั่วเพลง เริ่ด มาที่ All I See (4/5) กรี๊ดดดดดดๆๆๆๆๆๆๆๆ ไม่น่าเชื่อว่าเจ๊ไคย์จะกล้าทำเพลงนี้ออกมารวมถึงกล้าตัดเป้นซิงเกิ้ลด้วยนะคะ พ็อพอาร์แอนด์บีใสๆคลุมทิศทางโดยโซลหวานๆลอยละล่อง แอร๊ยยยย มะกันมากๆๆๆๆ แม้ว่าแฟนๆไคลีย์ส่วนใหญ่จะไม่ชอบแต่ส่วนตัวเดี๊ยนชอบมากๆเลยทีเดียว สำหรับซิงเกิ้ลล่าสุด The One (4) ต๊ายยยยย กะเทยมากกกกกกกกก ตัวเพลงเป็นอิเล็คโทรแดนซ์-พ็อพที่เสริมทัพด้วยบีทไลท์เทคโนกับยูโรแดนซ์แรงๆผสานซินธิไซเซอร์และตบด้วยกลิ่นดิสโก้สมัย70-80จางๆปิดท้ายได้อย่างสง่างาม แม้ว่าฟังแล้วอาจจะไม่ได้โฉ่งฉ่างซ่องระเบิดแบบซิงเกิ้ลแดนซืกระจายหลายๆเพลงก่อนหน้านี้ของเจ๊แต่กพิสูจน์ตัวเองได้ดีว่าเก๋จิกแบบลึกๆชนิดที่ถ้าเผลออาจะฆ่า Heartbeat ของอีเจ๊แม่เดี๊ยนตายไปเลยทีเดียว
สำหรับแทร็คที่โดดเด่นที่สุดในงานชุดนี้คงหนีไม่พ้น Like A Drug (5) ที่ภาคดนตรีเป็นอิเล็คโทรแดนซ์พ็อพล่อกะเทยแรงๆพร้อมกับการหยอดจริตจก้านสรรพสำเนียงกรีดกรายกระตู้วู้ในแบบฉบับที่อีเจ๊ไคย์คนเดียวในโลกเท่านั้นที่ทำเพลงแบบนี้ได้ เข้าทางสาวกเจ๊แบบสุดๆนะคะ ถ้าตัดเป็นซิงเกิ้ลล่ะก็ฟลอร์แตกซ่องกระจุยแน่นอนค่ะ พวกกะเทยฟังแล้วต้องลงไปดิ้นเร่าๆเพราะโปรเจสเตอโรนเทียมมันร้อนรนจนอักเสบแน่นอน หึหึหึ ปิดท้ายกับ Cosmic (4/5) บัลลาดสวยๆในแบบฉบับโอลสคูลพ็อพออเครสตร้าบัลลาดผสานบีทอาร์แอนด์บีและอารมณ์โซลหวานๆสุดอลังการได้อย่างลงตัว ขอเชียร์ให้เป็นบัลลาดขึ้นหิ้งเพลงต่อไปของบรรดานางโชว์ในอัลคาซ่าร์เลยค่ะ
สรุป
แม้ว่าจะไม่ได้เก๋ในระดับเดียวกับ Light Years ไม่ได้แดนซ์แรงเว่อร์ฟลอร์แตกเหมือน Fever และไม่ได้กรีดกรายไฮโซเทียบเท่ากับ Body Language ก็ตามแต่การบูรณาการงานเหล่านั้นเข้าด้วยกันพร้อมกับหยอดจริตจก้าน ชั้นเชิงและความเป้นไคลีย์ในปัจจุบันลงไปให้ผู้ฟังใน X นั้นก็ยังคงเปี่ยมด้วยเสน่ห์และมนต์ขลังแบบไม่มีตก ถือว่าเป็นการเริ่มต้นการผจญภัยบทใหม่ที่ดีสำหรับชีวิตของเธอภายใต้ท้องฟ้าอันแสนสดใสงดงามอีกครั้ง (No More Rain!)
Britney Spears : Circus : 4/5
ถึงตรงนี้เดี๊ยนเชื่อว่าหลายคนคงจะเกิดคำถามว่า "บริทนีย์เป็นดิว่าด้วยเหรอ?"/"เว่อร์ว่ะ มากไปมั้ง เธอก็แค่พ็อพไอค่อนที่ดังมากๆคนหนึ่ง" ไม่ก็ " อีคนรีวิวเนี่ยเข้าใจความหมายของคำว่า ดิว่า รึเปล่าวะ บริทนีย์มีคุณสมบัติอะไรที่บอกว่าเธอเป็นดิว่า?" และอื่นๆอีกมากมายที่เดียนยอมรับฟังและยินดีจะให้คุณๆที่ไม่เห็นด้วยกับเดียนนี่ตั้งคำถามไปไม่จบไม่สิ้นจนกว่าจะพอใจนะคะ มารับฟังทัศนคติของเดียนกันบ้างค่ะแน่นอนค่ะขอสารภาพว่าเดี๊ยนมองเธอคนนี้เป้นดิว่าอย่างแน่นอน ซึ่งสำหรับเดี๊ยนไม่ถือว่าเว่อร์หรือมากไปที่จะยกย่องศิลปินดีๆคนหนึ่งให้เข้าวังเวียนอันทรงเกียรติดังกล่าวเนื่องจากเธอได้ผ่านบทพิสูจน์ระยะยาวจากเดี๊ยนแล้วว่าเธอมีคุณสมบัติและดีพอ ตลอดเวลาที่จับตามองเจ้าหญิงแห่งเพลงพ็อพคนนี้เธอฉายแววพัฒนาการทางดนตรีที่เป็นไปในทิศทางที่สูงขึ้นในทุกๆอัลบั้มอย่างน่าภูมิใจแม้จะถูกค่อนขอดว่ากะโหลกกะลาแต่ก็น่าภูมิใจที่เธอคนนี้ก็ไม่เคยปล่อยผลงานที่ต่ำกว่ามาตรฐานมาสู่สาธารณชนเลย นอกจากนี้เดียนเชื่อค่ะว่าตัวเองเข้าใจความหมายของคำว่า "ดิว่า" ดีและแน่นอนดีเกินกว่าที่จะประเมินคุณสมบัติและตัดสินศิลปินหญิงว่าเหมาะสมแก่การสุภาพสตรีแถวหน้าแห่งสังคมอุตสาหกรรมโดยยึดบรรทัดฐานอยู่แค่เรื่องของ "เสียง" แต่มิได้พิจารณาคุณสมบัติอื่นๆประกอบเลย เช่นเดียวกับที่มาดอนน่า/เจเน็ต/ไคลีย์และเจนนิเฟอร์ โลเพซก็คงจะเป็นดิว่าไม่ได้ถ้าโลกดนตรีมีบรรทัดฐานในการตัดสินคุณภาพของศิลปินอยู่แค่เรื่องเดียว ในทางกลับกันศิลปินหญิงเสียงสวรรค์ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นดิว่าบางท่านกลับมีเนื้องานที่เปี่ยมด้วยพลังเสียงหากแต่ไร้ความสร้างสรรและความน่าติดตามเสียจนสามารถเอาแผ่นซีดีไปทำที่รองถ้วยกาแฟได้เลยทีเดียวแต่ก็แปลกที่ได้รับการยกย่องจนน่าตกใจ เป็นเรื่องชวนคิดและชวนบขันสำหรับเดี๊ยนเลยทีเดียว สำหรับบริทนีย์แม้ว่าเนื้องานโดยรวมก่อนหน้านี้จะออกแนวก้ำกึ่งมากกว่าเพื่อนร่วมเจเนอเรชั่นหลายๆคนที่ฉายแววโดดเด่นออกมาในช่วงวินาทีแรกๆแต่อย่างไรก็ตามวันนี้เดี๊ยนเชื่อว่าเธอได้ระเบิดศักยภาพที่สูงยิ่งขึ้นกว่าที่โลกเคยได้รับอย่างสมศักดิ์ศรีเลยทีเดียว ความมีอิทธิพลในตัวของเธอที่เข้าไปประทับอยู่ในใจผู้บริโภค (แม้ว่าส่วนมากจะมาจากภาพลักษณ์มากกว่าคุณภาพก็ตาม) และการที่พ็อพไอค่อนดังๆคนนี้ระเบิดพลังอันมหาศาลของเธอที่ทรงพลังจนเขย่าอาณาจักรเพลงพ็อพให้สะเทือนไปทั้งโลกได้มากกว่าพ็อพไอค่อนดังๆและแน่นอนดิว่าเสียงดีๆหลายคน การก้าวจากศิลปินหญิงที่โด่งดังเพียงชั่วข้ามคืนและมีข้อครหาหลายประการเป็นชะงักติดหลังสู่การถูกอ้าแขนต้อนรับให้เป็นตำนานหน้าใหญ่ที่จารึกไว้ในพงศาวดารยุค2000อย่างยากที่จะปฏิเสธได้นั้น ขุมพลังและอิทธิพลอันยิ่งใหญ่ที่โลกดนตรีได้รับจากตัวเธอนั้นเจียระไนให้เะอคนนี้เป็นดิว่าสำหรับเดียนอย่างไร้ข้อครหาใดๆ
รูปแบบเพลง
หลังจากที่ได้ฟัง Circus สตูดิโออัลบั้มชุดล่าสุดจากเธอ ส่วนตัวต้องขอยอมรับค่ะว่านี่คือ "การหวนคืนสู่บัลลังก์" อย่างแท้จริง เนื่องจากงานชุดนี้เธอได้ฉายให้เหนชัดถึงพัฒนาการ ความเปลี่ยนแปลง ความละเมียดละไมและศักยภาพที่เหนือระดับขึ้นกว่างานชุดที่แล้วๆมาขึ้นมากจนน่าตกใจ สำหรับภาคดนตรีโดยรวมในCircusยังคงยืนพื้นอยู่ที่ความเป็นอัลบั้มพ้อพเต้นรำรสชาติจัดจ้านที่มีการปรุงคุณภาพของส่วนผสมให้ลงตัวยิ่งขึ้นและทรงคุณภาพกว่าที่เคยได้ลองลิ้มรสมา หัวใจของงานชุดนี้ยังคงมีแก่นอยู่ที่ภาคดนตรีอิเล็คโทรพ็อพและแดนซ์ก่อนจะบกระดับด้วยความเป็นเออร์บันทั้งอาร์แอนด์บี ฟั้งค์รวมถึงผสานบีทฮิพฮอพหนักๆและความเป็นโซลจางๆมาอย่างละนิดละหน่อยก่อนจะต่อยอดสูความเป็นนิวเวฟ ซินธ์พ็อพ ดิสโก้ เทคโนและแทรนซ์ที่ถูกแซมเข้ามาเป็นสีสันได้อย่างลงตัวเช่นเดียวกันกับภาคบัลลาดที่ถูกพัฒนาขึ้นให้มีความโดดเด่นน่าประทับใจไม่แพ้กัน นี่คืออัลบั้มของบริทนีย์ที่ดีที่สุดสำหรับเดี๊ยน
จุดด้อย
ส่วนตัวแล้วอยากให้เธอสลัดความกะโหลกกะลาแบบเดิมๆในบางแทร็คออกไปให้สิ้นซากเสียทีแล้วหันสู่การนำเสนอภาคดนตรีในแบบฉบับที่แรง แกร่งและเปรี้ยวจัดจ้านไปแบบเต็มที่เลยก็คงจะส่งผลให้ภาพรวมของอัลบั้มออกมาเหนือระดับกว่าที่ได้ยินมาก ลองคิดดูว่าถ้าเธอปรับภาคการนำเสนอในบางแทร็คที่ฟังดูแล้วตลกอย่าง Womanizer/If You Seek AmyหรือMmm Papiออกไปแล้วแทนที่ด้วยเพลงเต้นรำแรงๆหนักหน่วงมีชั้นเชิงที่เปี่ยมด้วยสีสัน รสชาติและมิติของความเป็นบริทนีย์ในยุคใหม่ รวมถึงตั้งใจพัฒาภาคการนำเสนอในทุกแทร็คให้ออกมาชัดเจน ลงตัวและเนียนกว่านี้รับรองว่าครั้งต่อๆไปงานของวเธอจะไม่หยุดอยู่สูงสุดแค่4ดาวสำหรับเดี๊ยนแน่ๆ
แทร็คเด็ด
เกินคาดนะคะกับซิงเกิ้ลแรก Womanizer (3/5) อิเล็คโทรพ็อพเต้นรำโครงสร้างง่ายๆผสานลูกเล่นซินธพ็อพและกลิ่นอายนิวเวฟจางๆ ส่วนตัวขอสารภาพนะคะว่าไม่ก่อให้เกิดความประทับใจสำหรับเดี๊ยนเท่าที่ควรเพราะนอกจากมันจะฟังเหมือน Keep Gettin' Better ในฉบับที่อ่อนยวบกว่าของยัยติ๊นาเพื่อนซี้แล้วยังเป็นิงเกิ้ลเปิดตัวที่มีความน่าสนใจน้อยที่สุดในบรรดาเพลงเปิดตัวทั้งหมดของเธอเรียกได้ว่าสร้างความรู้สึกพึงพอใจให้เดียนได้ไม่สมกับระดับที่เป็นบริทนีย์เลย แต่อย่างไรก็ตามก็ไม่น่าเชื่อนะคะว่าเพลงที่ดูธรรมดาๆมากๆเพลงนี้จะผงาดขึ้นไปถึงอันดับ1บนบิลด์บอร์ดชาร์ตได้ นอกจากมันเป็นอะไรที่มาเหนือเมฆสุดๆถึงขั้นพลิกความคาดหมายแล้วยังทลายข้อครหาที่ว่าเกือบ10ปีมีอันดับ1อยู่แค่เพลงเดียวได้อย่างราบคาบ เป็นการฟื้นคืนชีพสู่จุดสูงสุดได้อย่างน่าขนลุกทีเดียว
เมื่อได้ลองฟังบรรดาสมาชิกท่านอื่นๆในอัลบั้มแล้วขอบอกเลยค่ะว่าซิงเกิ้ลแรกนี่เป็นแค่ของเล่นสำหรับเธอเลยทีเดียวเพราะคาราวานเพลงแดนซ์ชั้นเยี่ยมจะทยอยเดินหน้าเข้ามาทำความรู้จักกับคุณตั้งแต่ต้นยันจบอัลบั้มเลยทีเดียว เริ่มด้วยไทเทิ่ลแทร็คเก๋ๆ Circus (4/5) เออร์บันอิเล็คโทรแดนซ์พ็อพที่อัดแน่นด้วยบีทเริ่ดๆทั้งซาวนด์ไลท์เทคโน อาร์แอนด์บีเต้นรำและคลับแดนซ์ได้อย่างเหนือชั้นสุดๆ เพิ่มเสน่ห์ด้วยการหยอดบีทกีตาร์อคูสติคอาร์แอนด์บีก่อนจะไปพบกับท่อนคอรัสสุดกระแทกกระทั้นทำเอาหายใจหายคอแถบไม่ทันส่วนตัวฟังแล้วตกใจมากๆค่ะเนื่องจากตัวเพลงแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการทางดนตรีอย่างเด่นชัดและรวดเร็วชนิดที่ไม่ทันให้ฝ่ายค้านตั้งตัวครหาเลย เริ่ดสุดๆ แอร๊ยยยยยยยยย หรือจะเป็น Kill The Light (4/5) ที่จุดประกายความสนใจตั้งแต่อินโทรไปยันสรรพสำเนียงการร้องที่กราดเกรี้ยวดุดันขึ้นผิดหูผิดตาของบริทนีย์คลอไปกับภาคดนตรีแบบอิเล็คโทรพ็อพแดนซ์หนักๆที่ผสานความเป็นเออร์บันพ็อพ อาร์แอนด์บีและฟั้งค์หนักๆได้อย่างลงตัวนี่ถ้าใส่ความเปนฮิพอพและจังเกิ้ลลงไปมากกว่านี้ล่ะก็มีหวังคงได้ยินบริทนีย์ทำดรัมแอนด์เบสส์เก๋ๆให้ฟังกันแน่ๆ เสียดายที่ความพยายามจะเล่นกับภาคดนตรีมากเกินไปกลับกลายเป็นความบ้าพลังที่ทำให้เกิดความไม่ลงตัวในบางจุดแต่อย่างไรก็ตามโดยรวมแล้วจัดว่าเป็นแทร็คชั้นนำของอัลบั้มเลยทีเดียว มาที่ Unusual You (4.5/5) พ็อพแทรนซ์ลอยๆที่เจือบีทอิเล็คโทรนิคพ็อพหวานๆ แดนซ์เฮ้าส์เย็นๆและความเป็นเทคโนหม่นๆตึ้บๆเข้าด้วยกันอย่างกลมกล่อมฟังแล้วชวนให้นึกถึงภาคที่มีมิติขึ้นมาอีกหนึ่งช่วงตัวของ Heaven On Earth ไฮโซมากๆ อีกหนึ่งแทร็คที่ฟังแล้วปิ๊งเข้าอย่างจังคือ Shattered Glass (4/5) เออร์บันอิเล็คโทรแดนซพ็อพดิสโก้ผสานฟั้งค์สวยๆแม้ว่ามุขนี้จะถูกนำมาใช้ในหมู่ของศิลปินอิเลคโทรนิคเต้นรำจนค่อนข้างเกร่อแล้วก็ตามแต่ส่วนตัวปฏิเสธไม่ลงว่าบริทนีย์ทำออกมาได้ลงตัวและมีเสน่าห์มากเลยทีเดียว หนึ่งในแทร็คที่น่าจับตามองมากที่สุดคงจะหนีไม่พ้น Mannequin (4.5/5) ที่เห็นว่าร่วมงานกับเลดี้ กาก้าจับมือกันเนรมิตเพลงเต้นรำในรูปแบบแดนซ์พ็อพอิเล็คโทรนิคผสานเทคโนอาร์แอนด์บีก่อนจะตบด้วยความเป็นฟั้งค์ ดิสโก้และฮิพฮอพลงไปได้อย่างเจิดจรัสนับว่าเป็นอีกหนึ่งแทร็คเต้นรำที่ฉายแววอนาคตสวยงามเลยทีเดียว ในขณะเดียวกัน Lace And Leather (4.5/5) ก็ฉายแววความเป็นดาวรุ่งที่จะครองใจคออาร์แอนด์บีเต้นรำร่วมสมัยทุกหัวระแหง โดยองค์ประกอบยืนพื้นที่ความเป็นโอลด์สคูลแดนซ์พ็อพอาร์แอนด์บีที่กรีดกรายด้วยองค์ประกอบชั้นดีอย่างฟั้งค์กี้ย์ โซล ดิสโก้ นิวเวฟและอิเล็คโทรนิคเสริมทัพได้อย่างมีชั้นเชิง ต๊ายยยย ทุกแทร็คในย่อหน้านี้นี่ตัดเป็นซิงเกิ้ลได้หมดเลยนะคะเนี่ย
ในส่วนของงานอัลบั้มนี้ก็แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการที่เด่นชัดขึ้นเช่นกัน เริ่มด้วย Out Of Under (3.5/5) อดัลท์คอนเทมโพลารีย์พ็อพบัลลาดที่มีสูตรสำเร็จเป็นเมนท์สตรีมที่ติดหูและครบเครื่องในแบบฉบับของบริทนีย์จัดว่าร้องได้ไพเราะและลงตัวมากๆ ส่วน Blur (3.5/5) ก็เป็นตัวแทนที่ดีของบริทนีย์ในยุคที่ก้าวสู่ความเป็นเออร์บันเต็มตัวยิ่งขึ้น สโลแจมดาวน์เทมโพพ็อพอาร์แอนด์บีบัลลาดสุดเซ็กซี่และติดหูกระชากใจหนึบหนับจัดว่าเป็นอีกหนึ่งตัวแทนที่แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีของบริทนีย์ทีเดียว และทิ้งท้ายได้อย่างน่าประทับใจกับ My Baby (5) บัลลาดที่เธอร่วมงานกับวาเนสซ่า คาร์ลทันที่ภาคดนตรีงดงามระยิบระยับบนความเป็นสแตนดาร์ดเพียโนพ็อพบริสุทธิ์ไปกันได้ดีกับการใช้เสียงสังเคราะห์ที่ช่วยหยอดสรรพสำเนียงการร้องแบบกึ่งแอมเบี้ยนท์ลอยๆที่นุ่มนวลแต่ทรงพลังกรีดความรู้สึกเข้ามาขับขานภาคเนื้อหาบริสุทธิ์ทรงพลังกึ่งกอสเพล ซึ่งหลอมรวมถ่ายทอดความรักอันปราศจากเงื่อนไข ความอบอุ่นและความรู้สึกบริสุทธิ์งดงามออกมาจากจิตวิญญาณของคุณแม่ผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ได้อย่างเกินคำว่าน่าประทับใจ
สรุป
ส่วนตัวต้องขอบอกนะคะว่ารู้สึก "ภูมิใจ" ชนิดที่ไม่เคยภูมิใจในตัวเธอมาร่วม4-5ปีเลยทีเดียว แม้ว่าเดียนจะไม่ใช่สาวกตัวกลั่นของเธอแต่ก็มีความสุขที่ได้เห็นพัฒนาการอย่างไม่หยุดยั้งจากเธอ ได้สัมผัสเนื้องานที่น่าพึงพอใจที่สุดจากเธอและเหนือสิ่งอื่นใดได้ต้อนรับเธอหวนคืนสู่บัลลังก์พร้อมกับผลงานที่เปี่ยมด้วยคุณภาพและที่สำคัญที่สุดไม่มีอะไรจะสำคัญไปกว่าได้เห็นการกลับมาเริ่มต้นของชีวิตใหม่อย่างสง่างามทั้งในฐานะศิลปินคุณภาพและสตรีเพศผู้แข็งแกร่งที่สุดคนหนึ่งที่เคยรู้จักมา
Christina Aguilera : Keep Gettin' Better A Decade Of Hits : 4.5/5
เป็นอีกครั้งนะคะที่พบกับประสบการณ์ความรู้สึกที่ว่า "เขียนไม่ออก" เนื่องจากการจะเอ่ยอะไรที่เธอคนนี้เป็นอะไรที่ยากมากๆสำหรับเดี๊ยนทุกครั้งแม้ว่าจะเป็นการเกริ่นอะไรถึงเพียงสั้นๆก็ตาม ส่วนตัวแล้วเชื่อว่าเป็นที่ทราบกันดีสำหรับเพื่อนๆที่ติดตามงานเขียนของเดี๊ยนมาตลอดนะคะว่า "คริสทิน่า อากิเลร่า" เป็นศิลปินที่มีอิทธิพลต่อเดี๊ยนค่อนข้างสูงเลยทีเดียว ด้วยความที่เธอเปรียบเสมือนภาพสะท้อนความเป็นเดี๊ยนในทุกขณะน่ะค่ะ เป็นไอดอลในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เป็นแรงบันดาลใจทางงานเขียนและดนตรีรวมถึงเป็นตัวแทนหลายๆอย่างจากคนในเจเนอเรชั่นเดียวกันที่ยังคงทำให้อุตสาหกรรมดนตรีมีสีสันและยังคงมีเสน่ห์สำหรับเดี๊ยน ส่วนตัวค่อนข้างดีใจนะคะที่ได้เลื่อกเธอให้เป็นต้นแบบและได้เติบโตมาพร้อมๆกับพัฒนาการทางดนตรีของเธอ ได้จับตามองเธอตั้งแต่ช่วงแรกเริ่มน่ะค่ะ โอ้โห พูดไปก็ใจหายเพราะว่าเวลาช่างผ่านไปรวดเร็วมากๆเกือบ10กว่าปีนับตั้งแต่วันแรกที่เดี๊ยนประทับใจศิลปินสาวผมบลอนด์หน้าใหม่คนหนึ่งในเพลง Genie In A Bottleแล้วก็คอยดูเธอก้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆสู่ความเป็นทีนดิว่า พ็อพไอค่อนจนพัฒนาตัวเองมาสู่จุดที่ยืนบนความเป็นแนวหน้าในอุตสาหกรรมดนตรีอย่างเต็มตัวเป็น"ดิว่า" จากจุดเริ่มต้นในวันนั้นเดียนบอกได้ตามตรงเลยว่าภูมิใจในตัวเธอคนนี้มากๆเพราะได้เห็นทั้งพัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงทั้งทางภาพลักษณ์และดนตรีอย่างเด่นชัดหลากหลายไปจนถึงเห็นแรงบันดาลใจคนนี้มีครอบครัวที่มีความสุขได้ทำหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่และสง่างามที่สุดของเพศหญิงนั่นคือการเป็น "คุณแม่" ทุกบทบาทที่เธอเป็นมัน เอ่อ มีความสัมพันธ์กับเดียนทางจิตวิญญาณอย่างประหลาดอ่ะค่ะ เพราะตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็นเธอ "ผู้หญิงคนนี้คือคนที่ใช่มาตลอด" สำหรับบางท่านอาจจะมีนะคะที่ไม่เห็นด้วยสำหรับเดียนว่าเธอคนนี้เป็นดิว่าคือมันอาจจะเร็วไปสำหรับบางท่านแต่สำหรับเดียนการที่ใครคนหนึ่งเข้ามามีชีวิตอยู่ในใจเรารวมถึงมอบอิทธิพลและแรงบันดาลใจเหนือเราอย่างมากมายเหลือเกิน ไม่ว่าเธอจะเป็นใครก็ตามเธอคนนั้นเป็น "ดิว่า" สำหรับเดี๊ยนแน่นอน
จุดด้อย
เรื่องเพลงนี่ก็ไม่รู้จะไปติอะไรนะคะเนื่องจากอัลบั้มชุดนี้เป็นงานรวมฮิตคือทุกแทร็คล้วนแต่แข็งและก็ประสบความสำเร็จในการโลดแล่นบนชาร์ตเพลงนะคะ แต่อย่างไรก็ตามมีใครรู้สึกบ้างมั้ยคะว่ารวมฮิตชุดนี้มันดูป่วงๆประสาทๆยังไงก็ไม่รู้เป็นเครื่องยืนยันได้ดีนะคะว่ายังไม่ถึงเวลาอันสมควรที่คริสทิน่าจะออกงานรวมฮิตแม้ว่าจะมีเพลงมากมายถึง16เพลงก็ตามเถิด ไม่รู้ต้นสังกัดคิดกันยังไงนะคะถึงได้ปฏิบัติกับอีติ๊นาของเดี๊ยนราวกับเป็นตัวจำอวดตั้งแต่งานชุด Back To Basic แล้วโปรโมตได้ตลกมากๆจากอัลบั้มเรโทรดีๆทำให้กลายเป็นอะไรที่ถ่อยสนิทได้โดยปริยายขอคารวะฝ่ายการตลาดอีติ๊จากใจค่ะ และแน่นนอนนะคะฝ่ายการตลาดยังสืบสานเจตนารมณืในการโปรโมตงานรวมฮิตชุดนี้ได้อย่างต่ำช้าเช่นเดิม ยกตัวอย่างเช่น Keep Gettin' Better ช่วงแรกนับว่ากระแสดีเกินคาดเลยทีเดียวตัวเพลงดูมึนๆเบลอๆเอ๋อขนาดนั้นยังเปิดตัวได้สูงถึงอันดับ7หลังจากสัปดาห์เปิดตัวก็อันตรธานหายไปเสร้ออยู่ที่ท็อป30อย่างรวดเร็วหลังจากนั้นต้นสังกัดกะดหลกกะลากับนางติ๊นาจอมขี้เกียจจึงจะเกี่ยวก้อยกันมาโปรโมต นี่พวกหล่อนคิดว่ากำลังนั่งแคะหนมครกกันอยู่รึไงคะ แอร๊ยๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ยังค่ะยังด่าไม่จบแล้วไม่รู้จะอะไรนักหนานะคะจะออกรวมฮิตทั้งทีแต่เพลงดีๆอย่าง Can't Hold Us Down กับ The Voice Within'ก็ช่างใจกว้างตัดออกไปได้ ไม่ทราบว่ามันงกตามประเพณีหรือว่าจะเอาเก็บไว้ยัดในรวมฮิตชุดหน้าคะหล่อน อันนี้ก็ไม่ทราบนะคะสุดแท้แต่อีติ๊ไม่สามารถเดาเจตนารมณืมันได้แต่อย่างไรก็ตามเห็นด่ามายาวๆเนี่ยจริงๆก็ไม่ปฏิเสนะคะว่าแอบชื่นใจอีนังติ๊จนออกนอกหน้าที่อย่างน้อยก็ยังมีแก่ใจออกมาออกงานคั่นเวลาให้แฟนๆหายคิดถึงบ้าง ถึงงวดนี้จะดูประดักประเดิดไปนิดแต่ก็ยังดีกว่าทะลึ่งหายหน้าหายตาไปสิงอยู่ในอเวจีแล้วปล่อยให้แฟนๆรอแล้วรอเล่าอนย่างไม่มีจุดหมายอย่างช่วงStripped กับ Back To Basic อ่ะค่ะ
รูปแบบเพลง+แทร็คเด็ด
แหมมมม จะว่าไปมันก็เด็ดทุกแทร็คนั่นแหละค่ะก็เพราะว่ามันเป็นรวมฮิตนี่คะ ตั้งแต่แทร็คแรกยันแทร็คสุดท้ายสามารถบ่งบอกถึงความหลากหลายทางภาคดนตรี พัฒนาการและความไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ตลอดการผจญภัยอันแสนหฤหรรษ์บนถนนสายดนตรีของศิลปินนางนี้ได้ดีเลยทีเดียว เริ่มต้นกับบรรดาซิงเกิ้ลจากงานชุดแรกอย่าง Genie In A Bottle (5) ซิงเกิ้ลแรกในแบบฉบับอาร์แอนด์บี พ็อพที่โดเด่นลบนภาคการนำเสนอที่ใช้สรรพสำเนียงแบบโซลในการถ่ายทอดขับขานพร้อมกับภาคเนื้อหาและจริตจก้านอันหาตัวจับยากยิ่ง หรือจะเป็น What A Girl Wants (3/5) ทีนพ็อพบับเบิ้ลกัมจังหวะสนุกๆที่ท่อนคอรัสสามารถจับคุณได้อย่างอยู่หมัดตั้งแต่รอบแรกที่ฟังไปจนถึง Come On Over (All I Want Is You) (4/5) พ็อพแดนซ์สไตล์ทีนดิว่าน่ารักๆที่เจือความเป็นอาร์แอนด์บีจางๆและทีนพ็อพดิสโก้สดใสๆได้อย่างลงตัว นับเป็น3แทร็ค3สไตล์ที่นอกจะจะโดดเด่นจนดาหน้าขึ้นไปถึงอันดับหนึ่งบนบิลด์บอรืดชาร์ตเป็น3เพลงแรกของเธอแล้วยังจัดว่าเป็นตัวแทนที่ดีสำหรับพ็อพสไตล์ทีนดิว่าปลายทศวรรษ90เลยทีเดียว เช่นเดียวกับ I Turn To You (4/5) พ็อพบัลลาดสุดทรงพลังที่เจือความเป็นอาร์แอนด์บี โซลและอดัลท์คอนเทมโพลารีย์ไว้ในสัดส่วนที่พอเหมาะแม้ว่าจะพลาดอันดับ1ไปอย่างน่าเสียดายแต่ก้ถือว่าเป็นหนึ่งในเพลงที่ประสบความสำเร็จในฐานะการเป็นที่จดจำของผู้ฟัง เป็นมิตรกับสถานีวิทยุรวมทั้งเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีสำหรับจำพวก Easy Listening หรือ Forever Love จะสามารถเห็นได้ว่าเพลงนี้ไม่เคยห่างหายไปจากการเป็นแทร็คลิสต์ในบรรดาอัลบั้มดังกล่าวเลยแม้กาลเวลาจะผ่านไปร่วมเกือบสืบปีก็ตาม
สำหรับช่วงคั่นเวลาที่คริสทิน่าได้ไปร่วมงานกับศิลปินท่านอื่นๆนั้นคงปฏิเสธไม่ได้ว่า2เพลงที่โดดเด่นที่สุดคงจะหนีไม่พ้น Nobody Wants To Be Lonely (4/5) ละทินพ็อพบัลลาดเซ็กซี่หวานหยดและทรงพลังที่เธอดูเอ็ทคู่กับริคกี้ย มาร์ทินได้อย่างไพเราะน่าประทับใจและแน่นอนจะขาดเพลงนี้ไม่ได้ Lady Marmalade (5) อีกหนึ่งงานเพลงที่ดีและยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอซึ่งร่วมงานกับมิสซี่ เอเลียต/พิ้งค์/ลิล คิมและมายาในซาวนด์แทร็คประกอบภาพยนตร์เรื่อง Moulin Rouge ซึ่งระบาดไปทั่วโซนเกย์ซอยสองสีลมยันบ้านผีโสเภณีซอย4พัทยาใต้ โดยตัวเพลงได้ทำการคัฟเวอร์ปลุกวิญญาณมาจากต้นฉบับเก่าของ3ป้าLabelleและเนรมิตต้อนรับศักราชใหม่ด้วยการบีบความเป็นพ็อพอาร์แอนด์บีเต้นรำผสานบีทอาร์แอนด์บีฮิพฮอพที่โดเด่นบน4น้ำเสียง4สรรพสำเนียงที่แตกต่างไม่ว่าจะเป็นอาร์แอนด์บีหวานๆนุ่มๆสไตล์มายา เสียงดิบกร้าวทรงเสน่ห์กึ่งร็อคกึ่งโซลในแบของพิ้งค์ไปจนถึงการหยอดท่อนแร็พเจ็บๆเก๋ๆของลิล คิมและโดเด่นที่สุดกับการใช้ลูกเล่นการ้องแบบบลูส์อายส์โซลที่เข้าทางคริสทิน่า ก่อนจะปิดฉากได้อย่างนาประทับใจด้วยการที่ป้าอึ่งมิสซี่ เอเลียตร่ายชื่อให้แต่ละนางโชว์ลูกเล่นเอกลักษณ์เฉพาะตัวชนิดที่ไม่มีใครยอมใคร แรงขนาดนี้จึงไม่ประหลาดใจที่จะขึ้นอันดับ1เป็นเพลงที่4ของคริสทิน่า (และหวังว่าจะไม่ใช่เพลงสุดท้ายนะคะ อันดับหนึ่งสี่เพลงมาร่วม8ปีแล้วหล่อน ทำอะไรซักอย่างสิคะ)
มาที่3ซิงเกิ้ลจากอัลบั้ม Stripped สตูดิโออัลบั้มชุดที่2ของเธอโดยประเดิมที่ Dirrty (4.5/5) ซิงเกิ้ลเปิดตัวในแนวพ็อพอาร์แอนด์บีเต้นรำผสานความเป็นอาร์แอนด์บีฮิพฮอพแรงๆก่อนจะผสานความเป็นแร็พ แดนซ์-พ็อพและร็อคได้อย่างมีชั้นเชิง แม้ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จบนชาร์ตเพลงบ้านเกิดแต่ส่วนตัวเดีญนก็รู้สึกภูมิใจมากๆที่เห็นคริสทิน่าสามารถฉีกตัวเองทิ้งออกจากกรอบเดิมๆได้อย่างหมดจดและแนบเนียนสุดๆ มาที่ Beautiful (5) พ็อพบัลลาดบริสุทธิ์ที่ภาคดนตรีเป็นการปะทะกันของสแตนดาร์ดเพียโนพ็อพก่อนจะเพิ่มความเป็นเมนท์สตรีมสุดอลังการด้วยเครื่องสายไปกันได้ดีกับภาคเนื้อหาที่ใช้วาทะศิลป์แต่งออกมาได้อย่างอัจฉริยะและลึกซึ้งบาดขั้วหัวใจคลอเคลียไปกับการขับขานด้วยน้ำเสียงแบบพ็อพโซลนุ่มๆแต่ทรงพลังเชือดเฉือนทุกตัวโน๊ตเป็นเพลงที่ดีที่สุดในชีวิตการทำงานของคริสทิน่า และแน่นอนจะขาดไม่ได้กับ Fighter (3.5/5) พ็อพร็อคดิบกร้าวผสานลูกเล่นอย่างละนิดของฮาร์ดคอร์ เมทัล โกธิคและสครีมโมได้อย่างมีชั้นเชิง ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็น3แทร็คที่ต่างกันสุดขั้วแต่ลงตัวเหนือคำบรรยาย นับว่าเป็นตัวแทนที่ดีในการแสดงให้เห็นถึงความหลากหลาย พัฒนาการและการระเบิดศักยภาพทางดนตรีหลายๆด้านของคริสทิน่าออกมาได้อย่างดีเลยทีเดียว
ต่อกันด้วยบรรดาซิงเกิ้ลจากอัลบั้ม Back To Basic งานที่เธอหวนกลับสู่ภาคดนตรีที่เป็นแรงบันดาลใจอย่างโซล บลูส์และแจ๊ซซ์พร้อมทั้งปรุงแต่งเข้ากับจังหวะจะโคนร่วมสมัยทั้งฟั้งค์ ฮิพฮอพ อาร์แอนด์บี แดนซ์ลงสู่พ็อพได้อย่างลงตัวพิสูจน์ได้ใน Ain't No Other Man (5) ซิงเกิ้ลแรกเพลบงเก่งประจำอัลบั้ม มาที่งานบัลลาดอย่าง Hurt (3.5/5) ที่ภาคดนตรีเปนเมนท์สตรีมพ็อพบัลลาดผสานบลูส์อายส์โซลยุค50 แม้ว่าส่วนตัวจะคิดว่าเะอเข้าได้ไม่ถึงความดิบสดในการถ่ายทอดภาคดนตรีดังกล่าวเท่าที่ควรแต่มองในแง่ของการนำเสนออย่างมีมิติสมยุคแล้วก็ถือว่าทำได้ดีไปอีกแบบเลยทีเดียว (ส่วนตัวไม่ชอบเพลงนี้เลยค่ะไม่รู้จะหน้ามืดรีบตัดออกมาทำไม) และโดเด่นสุดๆกับ Candy Man (5) คืนบรรยากาศหวานๆช่วงยุค30ด้วยดนตรีสวิงแจ๊ซซ์ที่ชวนให้นึกถึงศิลปินสวิงในยุคนั้นอย่างบิลลี่ ฮอลิเดย/เอลล่า ฟิทซ์เจอรัลด์/แอนนิต้า โอเดย์ไปจนถึงเค้านท์แบสซี่เลยทีเดียว เริ่ดมากๆ
สำหรับ4เพลงสุดพิเศษที่เธอมอบให้แฟนๆในงานชุดนี้นอกจากจะเป็นไปตามรรมเนียมอัลบั้มรวมฮิตที่ควรมีการคืนกำไรให้แก่ผู้ฟังแล้วยังเปรียบเสมือนเมนูเรียกน้ำย่อยก่อนที่จะไปพบกันแบบเต็มๆในงานชุดหน้าเปรียบเสมือนสัญญาณเตือนให้แฟนๆเตรียมตัวในการปรับระดับหูไปกับการเปลี่บนแปลงภาคดนตรีครั้งใหม่ของเธออีกครั้งกับก้าวใหม่ในคอนเส็ปท์ Futuristic เริ่มด้วย Keep Gettin' Better (3/5) ไทเทิ่ลแทร็คที่เพิ่งตัดเป็นซิงเกิ้ลล่าสุดกับภาคดนตรีอิเล็คโทรพ็อพแดนซ์ผสานบีทดิสโก้ตึ้บๆ ยูโรพ็อพและลูกเล่นแบบอิเล็คโทรแกลมอ่อนๆในแบบฉบับที่ชวนให้นึกถึง Goldfrapp/มาดอนน่า/เกว็น สเทฟานีและแน่นอนไคลีย์ มิโน้กแม้ว่าช่วงแรกๆจะรู้สึกแปลกๆกับมันแต่นานๆไปแล้วปฏิเสธไม่ลงว่าติดหูจนหลอนเข้าไปในหัวเลยทีเดียว มาที่ Dynamite (3/5) อิเล็คโทรพ็อพเต้นรำเสริมทัพด้วยความเป็นคลับแดนซ์ ฟั้งค์แลัจังหวะดั๊บอ่อนๆได้อย่างลงตัวนับว่าเป็นอีกแทร็คที่ติดหูได้ง่ายเช่นกัน ส่วนอีสองแทร็คเป็นการหยิบซิงเกิ้ลเก่าๆของเธอมาปรุงแต่งต้อนรับยุคอนาคต เริ่มที่ Genie 2.0 (4/5) ซึ่งเป็นภาค Futuristic ของ Genie In A Bottle ซิงเกิ้ลแรกและอันดับหนึ่งเพลงแรกของเธอในแนวแดนซ์-พ็อพ เทคโนจัดๆเจืออิเล็คโทรนิคเข้มข้น เฮ้าส์ลอยๆ แทรนซ์และยูโรดิสโก้อวกาศตึ้บๆ นับว่าเป็นการปรุงแต่งที่เก๋เข้าขั้น ปิดท้ายด้วย You Are What You Are (Beautiful) (4.5/5) ต๊ายยยย เปลี่ยนแปลงชนิดพลิกตีนเลยทีเดียวค่ะจากพ็อพบัลลาดทรงพลังมาเป็นดีพเฮาส์อิเล็คโทรนิคแอมเบี้ยนท์บัลลาดลอยๆก่อนจะนำบีทไลท์เทคโนและไซคลีเดลฃิกแบบเจือจางมาเนรมิตสภาพแวดล้อมแบบเคลติคขลังๆเย็นๆ อู๊ยยย ฟังแล้วขนลุกนึกว่าเอ้นย่าหนีตายมาร้องอิเล็คโทรนิคนะคะเนี่ย เริ่ดมาก
ป.ล. ชักเสียวสันหลังกับอัลบั้มหน้าของหล่อนแล้วสิคะ นี่แค่ออเดิร์ฟขำๆหล่อนยังตะลุยโลกอวกาศขนาดนี้แล้วของจริงนี่จะไม่สร้างแกแล็กซี่ใหม่อยู่เองเลยหรือไงคะ อีติ๊
สรุป
สำหรับเดี๊ยนงานชุดนี้ก็นับได้ว่าเป็นผลสรุปบทพิสูจน์ในฐานะศิลปินคุณภาพองค์แรกนะคะ จัดได้ว่าเป็นงานทรงคุณภาพพอที่จะวางเคียงข้างกับงานรวมฮิตของดิว่าท่านอื่นๆอย่างมาดอนน่า/มารายห์/วิทนีย์/บริทนีย์ สเปียรส์รวมไปถึงบรรดาศิลปินพ็อพอย่าง N'sync/BSB/สไปซ์เกิลไปจนถึงระดับตำนานบนหิ้งเดียวกันได้อย่างสมศักดิ์ศรีเลยทีเดียว
Jessica Simpson : Do You Know : 2.5/5
เจสซิก้า ซิมป์สันเคยพิสูจน์ความสามารถในการร้องเพลงและพลังเสียงอันสุดทรงพลังหาตัวจับยากจนใครๆก็ยอมรับเธอมาแล้วใน Sweet Kisses สตูดิโออัลบั้มชุดแรกของเธอและหลายคนลงความเห็นว่าเป็นเพียงอัลบั้มเดียวที่เธอฉายศักยภาพเข้าขั้นดิว่าที่มีอยู่ในตัวเธออย่างเต็มที่ที่สุดในขณะที่งานเพลงหลังจากนั้นของเธอสร้างข้อครหามากกว่าความน่าประทับใจ แต่อย่างไรก็ตามเดี๊ยนเล็งเห็นว่าเธอยังคงเป็นนักร้องที่เปี่ยมด้วยศักยภาพและพรวรรค์ในการใช้น้ำเสียงชนิดฟ้าประทานมาเลยทีเดียวหากแต่เหมือนกรรมก้อนใหญ่บังนะคะเนื่องจากผลงานหลังจากนั้นไม่สามารถระเบิดศักยภาพออกมาได้ในแบบที่เทียบเท่าหรือเหนือกว่า แต่ส่วนตัวแล้วเว้นส์ยังคงสั่งให้เชื่อในตัวเะอต่อไปเนื่องจากเห็นว่าเธอคนนี้เป็นศิลปินที่มีพรสวรรค์อยู่จริงๆและถ้ามันไม่เน่า ไม่บูดไปเสียก่อนเชื่อว่าถ้าเธอสามารถสร้างความลงตัวให้แก่งานของเธอได้รวมทั้งกล้าที่จะระเบิดศักยภาพออกมาในแบบฉบับของตนเองล่ะก็ เธอคนนี้มีอะไรมากกว่าที่เห็นแน่นอน
ป.ล. หวังอย่างเดียวว่าศักยภาพของหล่อนมันคงไม่ต้องรอลงโรงฉายนานถึงชาติหน้านะคะ คงจะไม่ตามไปพิสูจน์ด้วยแต่อย่างใด หึหึหึหึหึ
รูปแบบเพลง+จุดด้อย
จากแนวพ็อพบัลลาดทรงพลังสไตล์ดิว่าในอัลบั้มแรกสู่ความเป็นทีนพ็อพสไตล์บริทนีย์และพ็อพลูกผสมหลากหลายในงานถัดๆมาจนไปถึงงานที่หน้ามืดจับไปทุกตลาดอย่างอัลบั้มที่แล้ว ในการเดินทางครั้งใหม่กับ Do You Know เจสซิก้าเลือกที่จะเบนเข็มสู่ตลาดคันทรีย์โดยเขยิบภาคดนตรีเข้าสู่ความเป็นคันทรีย์พ็อพผสานพ็อพร็อค โฟล์ค บลูส์(แบบจางมากๆ)ไปจนถึงภาคบัลลาดที่รูปแบบการนำเสนอชวนให้คิดถึงบัลลาดในสไตล์เดียวกับบรรดาคันทรีย์ดิว่าตั้งแต่ดอลลี่ พาร์ทันไล่ไปจนถึงชาไนญ่า ทเวน/เฟธ ฮิล/ลีแอน ไรห์ม/ทริช่า เยียร์วู้ดยันรุ่นเล็กอย่างแคร์รีย์ อันเดอร์วู้ดจนถึงซีลิน ดิออนตอนแปลงร่างลงไปทำคันทรีย์เลยทีเดียว ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วเดียนยอมรับนะคะว่าเนื้อเสียงของเจสซิก้านี่ไปกันได้ดีกับแนวคันทรีย์แนวโฟล์คแบบนี้มากเลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตามถึงจะเข้ากันแต่ภาพรวมก็ใช่ว่าจะยุรยาตรออกมาด้วยดีนะคะถึงเธอจะถูกกาลเทศะกับแนวคันทรีย์มากกว่าที่ได้ยินมาดอนน่าทำฮิพฮอพ มารายห์ทำร็อคหรือคริสทิน่ากับบียอนเซ่แข่งกันทำอิเล็คโทรนิคก็เถอะอย่างไรก็ตามภาคการนำเสนอเนื้องานโดยรวมเดี๊ยนคิดว่าเจสซิก้าเข้าไม่ถึงจิตวิญญาณของดนตรีชนิดนี้เอาเสียเลยทีเดียว ฟังดูก็รู้ค่ะว่าจุดประสงค์ของเธอไม่ได้ต้องการที่จะผันตัวมาเป็นศิลปินคันทรีย์จริงๆหากแต่เป็นการลองตลาดรวมถึงเป็นการขยายไปสู่ฐานผู้ฟังคันทรีย์ที่ค่อนข้างกว้างแน่นกว่าดนตรีแยฃนวอื่นๆในอเมริกาซึ่งก็ถือว่าฉลาดแยบยลค่ะในการนำชื่อเสียงและบารมีที่สั่งสมมาจากฝั่งพ็อพไปลงสังเวียนใหม่นี้ความเป็นพ็อพไอค่อน ดารารวมถึงศักดิ์ศรีระดับดิว่าของเธอคงจะสร้างแต้มต่อที่ได้เปรียบนางอื่นๆไม่น้อยหากแต่เดี๊ยนว่าเธอไม่เฉลียวรอบคอบเท่าที่ควรเอาเสียเลยเนื่องจาก ใช่ค่ะคิดถูกเพราะฐานคนฟังคันทรีย์กว้างจริงแต่การเป็นที่ยอมรับในแวดวงนี้ไม่ได้ง่ายดายอย่างแน่นอนหากเธอพิสูจน์ตัวเองได้ไม่ดีพอที่จะเข้าตากรรมการล่ะก็ระวังจะถูกไล่แห่หนีกลับมาทำพ็อพแบบเดิมๆไม่ทันนะคะ (แล้วในตลาดพ็อพที่ว่าดังกันง่ายๆรายวันแล้วเธอยัง เอ่อ....) แถมฟังเนื้องานโดยรวมในงานชุดนี้แล้วก็คงจะพูดไม่ได้เต็มปากนะคะว่าเป็นบทพิสูจน์ที่ดีเนื่องจาก แหมมมมม พูดกันตามตรงนะคะว่าเธอไต่ไปไม่ถึงมาตรฐานว่ะคือยอมรับค่ะว่าภาคดนตรีให้พื้นที่กับความเป็นคันทรีย์มากขึ้นแต่มันออกมาแลดูหลอกๆกลวงๆมากกว่าที่จะทำออกมาแบบแสดงให้เห็นถึงความเคารพในจิตวิญญาณของภาคดนตรีชนิดนี้จริงๆรวมถึงชั้นเชิงในการนำเสนอ การเรียบเรียงถ้าพูดแบบตรงๆใจร้ายๆเลยก็คือทำออกมาได้อย่างจืดฃืด ปวกเปียก ขาดเสน่ห์น่าติดตามและไร้มิติจนน่าตกใจ แต่อย่างไรก็ตามพิจารณาในแง่ดีของตัวงานจากมาตรฐานของเธอแล้วก็ต้องนับว่างานชุดนี้เป็นงานชุดที่มีเอกภาพในตัวงานค่อนข้างสูงมากๆรวมถึงนำเสนอคอนเส็ปท์ทางภาคดนตีได้เด่นชัดที่สุดจากเธอเลยทีเดียวอีกประเด็นถ้าฟังกันแบบไม่คิดมากหรือไม่ไปเทียบกับบรรดาคันทรีย์ดิว่าหลายแหล่แล้วต้องจัดว่าเป็นอัลบั้มที่เพราะมากๆอัลบั้มหนึ่งเลยทีเดียว
แทร็คเด็ด
แม้ว่าจะไม่ได้สร้างความประทับใจเท่าที่ควรแต่เมื่อฟังภาพรวมของอัลบั้มทั้งชุดแล้วต้องนับว่าซิงเกิ้ลแรก Come On Over (2.5/5) เป็นการเลือกเปิดตัวที่บ่งบอกภาพรวมของงานชุดนี้ได้อย่างดีเลยทีเดียวกับภาคดนตรีคันทรีย์พ็อพร็อคจังหวะสนุกๆเจือกีตาร์โฟล์คบลูส์ใสๆเพราะๆที่แม้ว่าการนำเสนอจะดูแปร่งๆพิกลแต่ก็ไม่ปฏิเสธว่าเพราะติดหูรวมถึงเป็นแทร็คที่แสดงอิทธิพลของความเป็นคันทรีย์ในตัวงานออกมาได้อย่างชัดเจนมากกว่าหลายๆแทร็ค สำหรับผู้ที่ประทับใจงานบัลลาดสไตล์เจสซิก้าคงจะชอบ Remember That (3/5) ได้ไม่ยาก พ็อพบัลลาดที่ภาคการนำเสนอและเรียบเรียงดนตรีคงความเป็นคันทรีย์ในแบบเดียวกันกับชาไนญ่า ทเวน/เฟธ ฮิลและแคร์รีย์ อันเดอร์วู้ดเพียงแต่ว่าในแนวทางของเจสนี่ความเป็นพ็อพจะสูงโด่ชนิดที่กลบกลิ่นคันทรีย์จางๆในตัวเพลงมิดไปเลย ต่อด้วย Still Beautiful (3/5) ต๊ายยยย พ็อพคันทรีย์จังหวะสนุกๆน่ารักเชยลากตามธรรมเนียมคันทรีย์นั่นแหละค่ะแต่ส่วนตัวแล้วจัดว่าเป็นแทร็คที่เพราะติดหูและโด่นมากๆเลยทีเดียว แทร็คถัดไป When I Loved You Like That (3.5/5) เมนท์สตรีมพ็อพบัลลาดมฃที่ผสานลูกเล่นของการเรียบเรียงดนตรีงดงามระยิบระยับในแบบฉบับคันทรีย์ โฟล์คและบลูส์ลงไปแต่งแต้มยกระดับความไพเราะได้อย่างดีทีเดียว
แทร็คที่ดีที่สุดสำหรับงานชุดนี้เดี๊ยนขอยกให้ Pray Out Loud (4/5) เมนท์สตรีมคันทรีย์พ็อพบัลลาดติดกลิ่นอดัลท์คอนเทมโพลารีย์และพ็อพร็อคเชยๆกอสเพลอ่อนๆที่มีสูตรสำเร็จอันไพเราะติดหูจากท่อนคอรัสและภาคเนื้อหาสะท้านใจผนวกเข้ากับน้ำเสียงทรงพลังหวานหยดที่ทุกองค์ประกอบสานเสน่ห์และเอกลักษณ์ในการนำเสนอเพลงคันทรีย์ตามธรรมเนียมออกมาได้อย่างเหนือชั้น มาที่ Man Enough (3.5/5) คุมคนฟังอยู่หมัดกับพ็อพโฟล์คคันทรีย์เพราะๆผสานบลูส์เหงาๆ ร็อคจางๆและน้ำเสียงโซลสุดทรงพลัง จัดว่าเป็นแทร็คบัลลาดอีกแทร็คที่น่าสนใจและโดดเด่นออกมามากกว่าแทร็คบัลลาดเอือ่ยๆน่าเบื่ออีกค่อนอัลบั้ม ปิดท้ายด้วย Do You Know Feat. Dolly Parton (3/5) ไทเทิ่ลแทร็คที่ร่วมงานกับระดับราชินีคันทรีย์อย่างป้าดอลลี่ พาร์ทันโดยส่วนตัวไม่ปฏิเสธความโดดเด่นและความไพเราะค่ะคันทรีย์พ็อพโฟล์คบัลลาดผสานบลูส์ร็อคสวยๆละเมียดละไมที่ทั้งคู่ร้องออกมาได้เพราะเอาเรื่องเลยทีเดียว หากแต่ส่วนตัวแอบผิดหวังนะคะ แหม ได้ร่วมงานกับเจ้าป้าราชินีลูกทุ่งตัวจริงแล้วทำไมงานมันถึงออกมาได้แกนๆแบบนี้ล่ะคะเจสเอ๋ย?ยิ่งเรื่องเสียงนี่ไม่ต้องพูดถึงเลยค่ะไปกันคนละทิศละทางเลยทีเดียวอีเจสอาศัยเรนจ์เสียงพ็อพดิว่าทรงพลังตะโกนแผดแว๊ดๆๆๆๆๆๆขโมยซีนเป็นซีลิน ดิออนเลยทีเดียวส่วนเจ้าป้าก็ร้องซะหลบเสียงหลานเต็มที่เลย ฟังๆไปก็ตลกดีเหมือนกัน ออกมากลายเป็นเพราะแบบเพลียๆป่วงๆไปซะได้
สรุป
อีกครั้งที่อาจจะไม่สามารถเรียกว่าเป็นงานที่ดึงศักยภาพอันยิ่งใหญ่จากเธอออกมาได้อย่างน่าประทับใจแต่อย่างไรก็ตามหากเธอมุ่งมั่นที่จะเดินทางสายคันทรีย์จริงๆอย่างที่พูดล่ะก็แม้ว่าจะไม่ใช่ปฐมบทแห่งการเริ่มต้นครั้งใหม่ที่ดีนักแต่ก็ถือว่ามาถูกทางค่อยๆเก็บเล็กผสมน้อย พัฒนาและเจียระไนตัวเองเรื่อยๆรับรองว่าได้สิ่งที่เหมาะมาอยู่ในมือตัวเองบวกกับศักยภาพทางน้ำเสียงอันหาตัวจับยากระดับนี้แล้วเธอคนนี้จะต้องสร้างย่างก้าวในอนคตที่เปี่ยมด้วยคุณภาพให้โลกประจักษ์อย่างแน่นอน
P!nk : Funhouse : 3.5/5
เธอคนนี้อาจจะไม่เหมาะกับคำว่า "ดิว่า" ในสายตาใครหลายๆคนนะคะ เนื่องด้วยการนำเสนอเพลงและการยอมรับที่ยังนับว่าไม่กว้างขวางเท่าที่ควรจากก่อนหน้านี้ หากแต่ถ้าคุณได้ติดตามเส้นทางดนตรีที่น่าสนใจยิ่งของสาวร็อคนางนี้แล้วล่ะก็คุณจะไม่ปฏิเสธเลยค่ะว่าเธอคนนี้มีคุณสมบัติและศักยภาพเพียบพร้อมทุกประการทั้งความสามารถทางดนตรี น้ำเสียงอันทรงพลังหาตัวจับยาก ไอเดียบรรเจิดและภาพลักษณืที่แรงและแหวกชนิดที่ดิว่านางอื่นๆอึ้งไปเลยหากแต่ดชก็เป็นเพราะภาพลักษณ์ดังกล่าวนะคะที่สร้างความจำกัดทางการยอมรับในหมู่กว้างแเธอเนื่องจากค่อนข้างจะดุและแรงเกินมาตรฐานดิว่านางอื่นๆที่ค่อนข้างธรรมดาสามัญกว่าเจ๊พิ้งค์มาก แต่อย่างไรก็ตามงานชุดนี้ถือว่าเป็นฤกษ์ดีค่ะที่จะประกาศว่ากาลเวลาเป็นเครื่องเจียระไนคุณภาพศิลปินได้ดีที่สุด ณ วันนี้เธอมายืนในจุดที่เดี๊ยนคิดว่าเธอสมครจะได้ยืนก่อนใครเพื่อนมาตั้งนานแล้ว
รูปแบบดนตรี
ทิศทางโดยรวมยังคงยืนพื้นที่ความเป็นพ็อพร็อคและโฟล์คค่อนข้างสูงเช่นเดียวกับงานชุดที่แล้วหากแต่บทบาทของความเป็นอัลเทอเนทีฟในการนำเสนอนั้นเข้มข้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะต่อยอดไปสู่อารืแอน์บี แดนซ์ โซล แจ๊ซซ์ คันทรีย์ ฟั้งค์และอิเลคโทรนิคได้ในระดับที่ชวนฟัง นอกจากนี้ในส่วนของภาคบัลลาดยังต้องขอชมว่าเธอทำออกมาได้ไพเราะละเมียดละไมมากๆชนิดที่จับคนฟังทุกขาอยู่หมัดทั้งประจำและจรเชื่อว้าหลงรักหลายๆเพลงในนี้ได้ไม่ยากแน่นอนค่ะรวมถึงแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการในการนำเสนอบัลลาดที่เหนือระดับขึ้นไปเรื่อยๆได้อย่างน่าประทับใจเลยทีเดียว
จุดด้อย
แม้ว่าเนื้องานจะอยู่ในระดับที่น่าประทับใจตามเดิมนะคะ แต่ส่วนตัวรู้สึกว่างานชุดนี้เนื้องานโดยรวมดูอ่อนที่สุดจากในบรรดาทุกๆอัลบั้มของเธอเลยทีเดียวคือมันไม่แย่ถึงขั้นน่าผิดหวังก็จริงแต่ก็สัมผัสได้ชัดเจนว่าชั้นเชิง มิติในการนำเสนอ เอกภาพและความแรงในตัวงานนั้นแผ่วลงอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตามเมื่อมองกับการแลกต่อการเข้าถึงผู้ฟังได้กว้างขวางขึ้นด้สวยการลดความซับซ้อนทางการนำเสนอลง ปรับงานให้พ็อพและฟังง่ายขึ้นมากหากแต่ยังคงความละเมียดละไม ความประณีตไพเราะพร้อมทั้งเนื้อหากระแทกใจที่พัฒนาความเจ็บของภาษาขึ้นไปเรื่อยๆอย่างไม่หยุดยั้งแล้วล่ะก็ต้องถือว่าเป้นภาคใหม่ที่ชวนติดตามไม่น้อยทีเดียว
แทร็คเด็ด
แน่ล่ะคะคงไม่มีแทร็คไหนเหมาะที่จะหยิบมาเปิดงานได้ดีไปกว่า So What (3/5) ซิงเกิ้ลเปิดตัวที่เป็นพ็อพร็อคกวนๆผสานบีทเต้นรำ อัลเทอเนทีฟและอิเล็คโทรนิคป่วงๆที่ผลลัพธ์ออกมาดนใจวัยรุ่นจนยอดโหลดถล่มทลายจนทะยานไปปรากฏตัวที่อันดับ3 ณ บิลบอร์ดชาร์ตก่อนจะก้าวไปสู่อันดับหนึ่งได้อย่างงดงามสร้างสถิติอันดับหนึ่งเพลงที่2หลังจากLady Marmaladeในปี2001ที่เธอต้องไปแชร์เครดิตกับอีก3นางที่เหลือน่ะค่ะ ส่วนตัวต้องขอเรียนตามตรงนะคะว่าเป็นอีกหนึ่งซิงเกิ้ลที่เหนือความคาดหมายเดียนมากๆเพราะส่วนตัวคิดว่าออกจะธรรมดาไปจนถึงแลดูไม่มีอะไรมากมายด้วยซ้ำแต่กลับประสบความสำเร็จอย่างน่าประทับใจ ต๊ายยย น่าเห็นใจซิงเกิ้ลดีๆเพลงอื่นอย่างพวกMost Girl/There You Go/Just Like A Pill อะไรพวกนี้นะคะ หึหึหึหึ มาที่ Sober (4/5) ที่วางไว้เป็นซิงเกิ้ลที่สองกับภาคดนตรีอัลเทอเนทีฟพ็อพร็อคบัลลาดที่ผสานอารมร์ฮาร์คร็อค พั้งค์และลูกเล่นการนำเสนอที่ให้อารมณ์กรั๊นจ์แบบNirvanaอ่อนๆ ฟังแล้วนึกถึง Long Way To Happy ในงานชุดที่แล้วขึ้นตะหงิดๆแต่อย่างไรก้ตามเพราะชนะเลิศค่ะ อีกแทร็คที่เดี๊ยนเดาว่ามีแววเป็นซิงเกิ้ลคือ Please Don't Leave Me (3/5) พ็อพร็อคผสานโฟล์คใสๆที่ติดหูชะงัดตั้งแต่รอบแรกที่ฟังใครที่ชอบเพลงเก่าๆของเธอแบบ Who Knew/Leave Me Alone (I'm Lonely)/Walk AwayหรือSave My Lifeคงจะชอบเพลงนี้กันได้ไม่ยาก
ย่อหน้าอุทิศให้ในส่วนของงานบัลลาดซึ่งเป็นไฮไลท์ที่โดเด่นมากๆของงานชุดนี้ ประเดิมความไพเราะกันด้วย Crystal Ball (4.5/5) ที่คุมคนฟังอยู่หมัดด้วยภาคดนตรีเรียบง่ายแต่ประณีตงดงามด้วยการปูพื้นด้วยความเป้นพ้อพโฟล์คใสกระจ่างบริสุทธิ์กรีดกรายด้วยอารมณ์คันทรีย์เจือจางเรียบง่ายแต่อยู่หมัด ต๊ายยยย นี่หล่อนทำเพลงสอนมวยอีเจสได้เริ่ดมากๆค่ะ หรือจะเป็น I Don't Believe You (4/5) อดัลท์คอนเทมโพลารีย์เมนท์สตรีมพ้อพบัลลาดผสานสรรพสำเนียงโล อาร์แอนด์บี โฟล์คและร็อคอย่างพอเหมาะสูตรสำเร็จเดียวกันกับที่ได้ยินใน Nobody Knows นั่นแหละค่ะ แทร็คถัดไป Mean (5) กรี๊ดดดดดดดดดๆๆๆๆๆๆๆๆเริ่ดสุดฤทธิ์จตัวเพลงเป็นโอลด์สคูลโมทาวน์พ็อพโซลอาร์แอนด์บีบัลลาดเพราะที่เปิดตัวด้วยกีตาร์บลูส์เข้มๆก่อนจะต่อยอดสู่ความเป็นบลูส์โซลคันทรีย์ฟั้งค์หนักๆผสานพ็อพโฟล์คหรูและบิ๊กแบนด์อลังการได้อย่างมีมิติ เพราะมากๆ และปิดท้ายอัลบั้มได้อย่างโดดเด่นสุดๆกับ Glitter In The Air (5) สแตนดาร์ดเพียโนพ็อพบัลลาดบริสุทธิ์ยืนพื้นแต่งแต้มด้วยความประณีตแบบฟล์คสวยๆก่อนจะเสริมทัพด้วยความเป็นแจ๊ซซ์ โซล อาร์แอนด์บีตามแบบฉบับของพิ้งค์ แอร๊ยยยย เรียบง่ายแต่ไพเราะชนิดที่เล่นเอาคนฟังจุกไปหลายนาทีเลยทีเดียว เริ่ดมากๆๆๆๆๆๆๆๆ
สรุป
หลังจากที่พิสูจน์ตัวเองอย่างไม่หยุดยั้ง ณ วินาทีนี้ศักยภาพและคุณสมบัติความเป้นศิลปินคุณภาพที่ไม่เคยจางหายไปจากตัวเธอนับตั้งแต่วันแรกที่ลงสังเวียนก็ได้นำพาศิลปินมากความสามารถนางนี้มาส่งถึงฝั่งที่คนเจ๋งๆอย่างเธอสมควรจะอยู่เสียทีนะคะ เห็นมั้ยล่ะว่ากาลเวลาพิสูจน์คนได้ดีเยี่ยมจริงๆ
[
Beyonce : I Am...Sasha Fierce:3.5/5
จากความเห็นส่วนตัวของเดี๊ยน บียอนเซ่ คือหนึ่งในศิลปินหญิงที่ฉายแววความเป็น "ดิว่า" ออกมาได้อย่างโดเด่นชัดเจนที่สุดคนหนึ่งประจำทศวรรษ2000เลยทีเดียว เธอคนนี้มีพร้อมสรรพทั้งเสียงอันทรงพลัง ภาพลักษณ์อันโดดเด่นและแรงขับเคลื่อนในตัวที่รุนแรงมหาศาลจนผลักดันให้เธอเข้าสู่ทำเนียบดิว่าด้วยการพิสูจน์ในฐานะศิลปินเดี่ยวในระยะเวลาอันรวดเร็ว คงจะไม่ผิดใช่ไหมคะที่จะบอกว่าเธอคือหนึ่งในตัวแทนของดิว่าประจำเจเนอเรชั่นนี้เลยทีเดียว
จุดด้อย
ลงความเห็นกันหลายเสียงรวมทั้งเดี๊ยนด้วยนะคะว่างานชุดนี้เป็นงานที่ดีทั้งในแง่ของพัฒนาการ ความแปลกใหม่และคอนเส็ปท์ในการนำเสนอตัวงานอันเด่นชัดหากแต่ขาดความสมูทและอารมณปะติดปะต่อในการฟังไปอย่างน่าเสียดายเนื่องจากทั้ง2แผ่นนี่เป็นอะไรที่คนละชั้วกันชนิดเล่นเอาคนฟังปรับประสาทหูรับไม่ทันเลยทีเดียว ใน I Am... ส่วนตัวขอยอมรับนะคะว่ามีพัฒนาการในการนำเสนอรอบด้านทั้งมิติในภาคดนตรี ชั้นเชิงในการใช้เสียงที่สูงขึ้นมากๆรวมถึงความไพเราะประณีตและละเมียดละไมจนเข้าขั้นน่าประทับใจอย่างเห็นได้ชัดเลยทีเดียว งานนี้คอดิว่าบัลลาดมีกรี๊ดค่ะแต่อย่างไรก็ตามถ้าฟังในช่วงที่ประสาทไม่แข็งล่ะก็มีสิทธิ์สลบคาสเตอริโอได้แน่นอน มาที่อีกแผ่น Sasha Fierce ที่เอาใจขาแดนซ์ (แน่สิยะ ลองอีบีกล้าทำบัลลาดล้วนหมด16แทร็คล่ะก็กะเทยสาวกหล่อนต้องพร้อมใจโดดตึกกันแน่ๆ หึหึหึหึ) สำหรับเดียนคิดว่าภาคการนำเสนอด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัดเลยทีเดียวฟังไปฟังมาแล้วรู้เลยว่าเป็นงานลองผิดลองถูกแถมเป็นซาวนด์ทดลองแบบประดักประเดิดขาดความลงตัวและทิศทางในการนำเสนอเพลงเต้นรำที่ทรงพลังในแบบที่บียอนเซ่เคยทำได้ในก่อนหน้านี้น่ะค่ะ คืดมันดูไม่ค่อยเป็นออริจินัลเท่าไรอ่ะค่ะ โชคดีนะคะที่เมื่อเอาเนื้องานโดยรวมมาประเมินแล้วยังช่วยๆอุดรูรั่วได้มิดอยู่บ้าง แต่อย่างไรก็ตามต้องยอมรับนะคะว่าภาคการนำเสนอยังไม่ลงตัวจนน่าประทับใจในแบบเดียวกับศิลปินอาร์แอนดืบีที่ออกอัลบั้มคู่หลายอื่นๆอย่าง Speakerboxx....ของ Oustkast/Sweat&Suitของเนลลีย์ไปจนถึงงานของดิว่าในสังเวียนเดียวกันอย่าง Back To Basic ของคริสทิน่า อากิเลร่าที่ทำออกมาได้ลงตัวและกลมกลืนในระดับที่เรียกความน่าฟังกว่ามาก
รูปแบบเพลง+แทร็คเด็ด
สำหรับแผ่นแรก I Am... ให้ภาพรวมออกมาเป็นงานอดัลท์คอนเทมโพลารีย์อาร์แอนด์บี พ็อพบัลลาดเพราะๆละเมียดละไมตามธรรมเนียมดิว่าบัลลาดนุ่มลึกทรงพลังอลังการ ที่เรียกว่าเป็นอาร์แอนด์บี พ็อพเนื่องจากเนื้องานมีความเป็นพ็อพสูงขึ้นและโดเด่นขึ้นมากจนน่าตกใจลบความทรงจำเกี่ยวกับภาคการนำเสนอแบบโซลฟูลอาร์แอนด์บีเนิบนาบฟังยากจากงานชุดก่อนๆไปเลยเนื่องจากทิศทางในงานชุดนี้เป็นอดัลท์คอนเทมโพลารีย์บัลลาดที่ยังคงสรรพสำเนียงแบบอาร์แอนด์บีและโซลจากความเป็นคนผิวสีของบียอนเซ่อยู่ เปิดงานด้วย If I Were A Boy (4/5) ซิงเกิ้ลแรกที่เป็นพ็อพอารืแอนด์บีบัลลาดโครงสร้างเรียบง่ายสานด้วยการถ่ายทอดด้วยน้ำเสียงแบบบลูส์โซลนุ่มละมุนคอไปกับภาคเนื้อหาที่ทรงพลังเชือดเฉือนกรีดขั้วหัวใจสตรีทั้งโลกเลยทีเดียว เริ่ด มาที่ Halo (5) แทร็คที่สร้างความประทับใจให้เดี๊ยนมากที่สุดในงานชุดนี้กับงานอดัลท์คอนเทมโพลารีย์บัลลาดเจือความเป็นคลาสสิคและเมนท์สตรีมพ็อพหวานๆอลังการลงไปแยืนพื้นได้อย่างดีก่อนจะตบอารืแอนด์บีและโซลติดกอสเพลเข้าไปเสริมทิศทางให้เด่นชัดยิ่งขึ้น ถือ ว่าเป็นการนำเสนอภาคดนตรีของบียอนเซ่ในมุมมองใหม่ที่มีมิติสูงขึ้นอย่างเห้นได้ชัดเลยทีเดียว อีกแทร็คที่น่าจับตามองคงจะหนีไม่พ้น Ave Maria (5) อดัลท์คอนเทมโพลารีย์อาร์แอนด์บีพ็อพบัลลาดเพราะๆที่โดเด่นด้วยภาคดนตรีคลาสสิคอารืแอนด์บี สแตนดารืดเพียโนพ็อพบริสุทธิ์และอารมณ์กอสเพลขลังๆเหนือสิ่งอื่นใดน้ำเสียงที่อบอุ่นนุ่มนวลทรงพลังบาดลึกสุดๆ ต่อด้วย Broken-Hearted Girl (3.5/5) น่าจะถูกใจแฟนๆบียอนเซ่ไปจนถึงคนที่ชอบบัลลาดของเลโอน่า ลูอิส/เดลทา กู๊ดเรมไปจนถึงงานในยุคแรกๆของมารายห์นะคะ พ็อพโซลอาร์แอนด์บีบัลลาดทรงพลังที่ผสานอารมณืคลาสสิคอารืแอนด์บี ไลท์แจ๊ซซ์และบลูส์โซลลงมาได้งดงามระยิบระยับกับท่อนคอรัสที่ไพเราะตามสูตรสำเร็จดิว่าบัลลาดมาก
ในส่วนของ Sasha Fierce เป็นการนำเสนออีกด้านที่ดุดันและเปรี้ยวปราดขึ้นบนดนตรีเต้นรำหลากหลาที่ไม่ได้ยืนพื้นที่ความเป็นอาร์แอนด์บีดังเดิมหากแต่ปรับเข้าหาความหลากหลายกับอารฒณืแดนซ์-*พ็อพผสานอาร์แอนด์บี ฮิพฮอพ ฟั้งค์ ดิสโก้ อิเล็คโทรนิค เทคโนไปจนถึงสรรพสำเนียงเร็กเก้แดนซ์ฮอลล์ที่ได้ยินกันใน Single Ladies (Put A Ring On It) (3/5) ซิงเกิ้ลแรกที่อัดอย่างละนิดอย่างละหน่อยที่ได้กล่าวมาข้างต้นเว้นแต่ดิสโก้กับเทคโนที่ไม่มีให้เห็นนะคะ ฟังๆแล้วนึกถึงGet Me Bodiedในงานชุดที่แล้วอยู่เหมือนกันเห็นป่วงๆแบบนี้แต่ฟันอันดับหนึ่งบิลด์บอร์ดเพลงล่าสุดให้เะอไปแล้วนะคะ ต๊ายยยยยย สมควรจะเลิกเชื่อถือชาร์ตนี้ได้แล้ว แทร็คถัดไป Radio (3/5) ต๊ายยยย ฟังแล้วฮาค่ะใครจะไปคิดว่าจะได้ยินหล่อนทำพ็อพเต้นรำอิเล็คโทรนิคแบบนี้ให้ฟังโดยตัวเพลงใส่ควาสมเป็นเออร์บัน ฟั้งค์ ดิสโก้และเทคโนอ่อนๆในส่วนผสมที่พอเหมาะแต่เดี๊ยนว่าพอหล่อนเป็นคนร้องแล้วมันออกมาไม่ค่อยเหมาะเท่าไรเลยค่ะ พูดจริงๆนะคะมันดูไม่ใช่เธออ่ะบี มาที่ Diva (4.5/5) กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ จะต้องระเบิดเปรี้ยงในคลับแน่นอนค่ะ ฮิพฮอพอารืแอนด์บีคลับแดนซ์แรงๆผสานเออร์บันแดนซ์พ็อพจัดๆ กิ๊บเก๋ล่อกะเทยมากๆถ้าตัดมาล่ะก็มีหวังกรุงลงกา(เทย)แตกแน่นอน อีพวกกะเทยฮิพฮฮพแร็พโย่วจิกฝรั่งอย่าแม่อีบิดหนีในบอร์ดเราฝึกเซิ้งกันไว้ให้ดีนะคะ หึหึหึหหึ จะว่าไปเพลงนี้เสียงหล่อนคล้ายน้องห่านในPon De Replay มากๆแอร๊ยยยเพลงเริ่ดแล้วแต่อย่าวอนน่าบีได้มั้ยคะนังบี ต่อด้วย Sweet Dreams (3.5/5)แดนซ์-พ็อพ เทคโนสวยๆติดกลิ่นฟั้งค์กีย์อ่อนๆจัดว่าเป็นอีกแทร็คที่ติดหูชะงัด น่าตัดเป็นซิงเกิ้ลอยู่นะคะ
สรุป
โดยส่วนตัวแล้วใน I Am สำหรับเดี๊ยนคืองานคัมแบ็คที่ยิ่งใหญ่ระดับดิว่าจากเธอ ในขณะที่ Sasha Fierceเป็นงานเต้นรำตามประเพณีที่เธอทำออกมาเอาใจแฟนเพลงขาแดนซ์จัดว่าเป็นของแถมเล่นๆขำๆ ที่ต่อยอดความเหนือชั้นในแทร็คแรกได้สมศักดิ์ศรีเลยทีเดียว
Alicia Keys : As I Am : 4/5
สำหรับเธอคนนี้คงจะไม่มีอะไรให้ต้องเกริ่นยาวนะคะ จากระยะทางกว่า3อัลบั้มที่เปี่ยมด้วยคุณภาพอลิช่า คียส์คือศิลปินที่ช่วยยกระดับเพลงแนวโซลอาร์แอนด์บีฟังยากให้กลายเป็นขนมหวานที่เข้าถึงผู้ฟังได้กว้างขึ้น ด้วยเลือดศิลปินอันเข้มข้นและพรสวรรค์ทางดนตรีที่เหนือชั้นหาตัวจับยากแล้วนั้น ก็เพียงพอที่คนดนตรีทั้งหลายจะคารวะเพชรแห่งโซลอาร์แอนด์บีนางนี้ให้เป็นดิวว่าและอัญมณีล้ำค่าที่คอดนตรีทุกคนควรมีผลงานไว้ครอบครอง
รูปแบบเพลง
งานเพลงของอลิช่าส์ คียส์ใน As I Am ยังคงยืนพื้นอยู่ที่ความเป็นพ็อพโซลอาร์แอนด์บีผสานบลูส์ แจ๊ซซ์ ฟั้งค์และคลาสสิคเช่นเดียวกับ2อัลบั้มที่ผ่านมา หากแต่ได้ลดทอนบทบาทของภาคความเป็นเออร์บันดิบๆหม่นๆลงและหยอดความเป็นพ็อพเข้าไปแทนที่ค่อนข้างมาก ผลลัพธ์ออกมาเป็นอัลบั้มแบล็คมิวสิคที่หวานละมุนนุ่มหูและเพิ่ขอบเขตความฟังง่ายขั้นไปอีกระดับและไม่ดิบกร้าวจนเล่นเอาผู้ฟังแถบหอบอีกต่อไป ถือว่าเป็นย่างก้าวใหม่ที่นำพาพ้นงานของตนเองและเพลงแนวโซลอาร์แอนด์บีฟังยากให้เข้าสู่ความเเป็นสากลมากขึ้นอย่างน่าประทับใจเลยทีเดียว
จุดด้อย
ในเรื่องของเนื้องานสำหรับเธอคนนี้แถบจะหาอะไรมาติไม่ได้เลยจริงๆถึงแม้ว่าภาคการนำเสนอยังคงยืนพื้นอยู่ที่แนวแนวเดิมๆแต่ต้องยอมรับว่าภาคการนำเสนอนั้นถือว่าพัฒนาไปมากเลยทีเดียวมีการขัดเกลาเจียระไนเพื่อให้เข้าถึงผู้ฟังได้กว้างขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นับว่าเป็นงานของบอลิช่า คียส์ที่เพราะฟังง่ายที่สุดในบรรดาทุกอัลบั้มสำหรับเดียนเลยทีเดียว
แทร็คเด็ด
เริ่มต้นด้วย No One (4/5) ซิงเกิ้ลเปิดตัวในแบบฉบับพ็อพโซลอาร์แอนด์บีละเมียดละไมกึ่งบัลลาดติดกลิ่นฟั้งค์และบีทฮิพออพอ่อนๆผสมกันเป้นเนื้อเดียวได้อย่างนวลเนียนมากๆ แม้ว่าส่วนตัวในช่วงแรกๆจะรู้สึกว่าธรรมดาเกินกว่าจะเป็นซิงเกิ้ลเปิดตัวของศิลปินระดับอลิช่าส์ คียส์แต่ในระยาวติดใจในความสวยงามของภาคดนตรีที่ประณีตและไพเราะติดหูจัดๆ ต่อด้วย Wreckless Love (4/5) ที่ชวนให้นึกถึง Heartburn งานจากชุดที่แล้ว โอลดืสคูลฟั้งคโซลอาร์แอนด์บีผสานบลูส์ สวิงและสแตนดาร์ดแจ๊ซซ์ได้อย่างลงตัวฟังแล้วได้อารมณืเพลงพ็อพโซลสมัยยุคโมทาวน์อย่างมาก เช่นเดียวกันกับ The Thing About Love (4.5/5) บลูส์โซลอาร์แอนด์บีบัลลาดเจือความเป็นสแตนดาร์ดเพียโนแจ๊ซซ์และคลาสสิคเมนท์สตรีมพ็อพส่วนผสมเดียวกันกับบัลลาดในยุค50ของป้าซาร่าห์ วอห์นดิว่าแจ๊ซซืชื่อก้องโลกไล่ลงมาจนถึงช่วงยุค60-70นั่นแหละค่ะ เป็นหนึ่งในแทร็คที่ไพเราะอลังการที่สุดในอัลบั้ม Superwoman (4/5) บลูส์โซลอาร์แอนด์บีบัลลาดความหมายเริ่ดๆที่ภาคการนำเสนอชวนให้นึกถึง A Woman's Worth จากงานชุดแรก Song In A Minor เรียกได้ว่าเป็นภาคต่อของกันและกันได้เลยหากแต่เพลงนี้มาในรูปแบบที่พ็อพกว่ามากก็เท่านั้น
Lesson Learned Feat. John Mayer (4.5/5) กรี๊ดๆๆๆๆๆมันต้องเริ่ดอยู่แล้วล่ะค่ะเพราะว่าได้สามีเดี๊ยนอย่างจอห์น เมเยอร์สุดหล่อน่ารักมากถึงมากที่สุดมาร่วมงานด้วย งานนี้จึงเป็นการพบกันครึ่งทางระหว่างความเป็นบลูส์โซลอารืแอนด์บีในแบบฉบับอลิช่าผสานเข้ากับบลูส์ร็อคเข้มๆโฟล์คและคันทรีย์หม่นๆสไตล์จอห์น เมเยอร์ งานนี้ก็ไม่รู้นะคะว่าจะนิยามออกมาเป็นศัพท์ทางดนตรีว่าอะไรเพราะว่านี้มันก็เข้าขั้นจะน้องๆบลูส์กราสแล้วนี่ถ้าใส่บลูส์ที่ดิบกว่านี้เหยาะคันทรีย์และร็อคเข้าไปให้จัดจ้านกว้าที่ได้ยินล่ะก็อีอลิช่ากลายร่างแน่ๆค่ะ หึหึหึ แทร็คถัดไป Tell You Something (Nana's Reprise) (5) นี่ไม่พูดถึงไม่ได้นะคะ อดัลท์คอนเทมโพลารีย์พ็อพโซลอาร์แอนด์บีหวานนุ่มอบอุ่นที่เหยาะความเป็นพ็อพร้อคอ่อนๆเข้าไปเพิ่มความไพเราะและมนตขลังของตัวเเพลงให้เกิดความน่าประทับใจอย่างถึงขีดสุดเลยทีเดียว พ็อพที่สุดและเพราะที่สุดในชีวิตการทำงานของเธอแล้ว ปิดอัลบั้มอย่างทรงพลังด้วย Sure Looks Good To Me (5) ที่ภาคดนตรีเป็นบลูส์โซลอาร์แอนด์บีบัลลาดเสริมทัพด้วยความเป็นแจ๊ซซ์ คลาสสิคและกอสเพลได้อย่างมีชั้นเชิงพร้อมกับภาคเนื้อหาและการขับขานสุดเชือดเฉือนใจปิดมหากาพย์บทที่3อำลาผู้ฟังได้อย่างสง่างาม
สรุป
งานชุดนี้คือภาคต่อที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพและความน่าประทับใจจากอลิช่า คียส์ รวมถึงยังเป็นบทพิสูจน์ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ทั้งในฐานะศิลปิน ดิว่าและอนาคตอันสุกสกาวเจิดจรัสของแวดวงโซลอาร์แอนด์บีที่คอดนตรีทุกคนไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
Rihanna : Good Girl Gone Bad : 3/5
เธอคนนี้ศักดิ์ศรีอาจจะไม่ถึงขั้นดิว่านะคะชนิดสมบูรณ์แบบในขณะนี้สำหรับใครหลายๆคนนะคะ แต่สำหรับเดียนเท่าที่ดูจากพัฒนาการ การฉายแววความสามารถรวมถึงการเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางและรวดเร็วในช่วงหลังๆแล้ว ค่อนข้างจะแน่ใจเลยทีเดียวค่ะว่าในอนาคตเธอคนนี้ต้องสามารถก้าวเข้าสู่ทำเนียบดิว่าได้อย่างสง่างามแน่นอน พลังขับเคลื่อนอันมหาศาลในตัวเธอมันทำให้เดี๊ยนเชื่อนะคะว่า ตัวเองนั่งมองคนที่กำลังเป็นดิว่าอยู่
รูปแบบดนตรี
ใน Good Girl Gone Bad ริฮานน่าได้ลดบทบาทของภาคดนตรีแบบเร็กเก้แดนซ์ฮอลล์จากงาน2ชุดที่แล้วลงและคงเหลือไว้เฉพาะสรรพสำเนียงก่อนจะขยับเข้าสู่ความเป็นพ็อพมากขึ้นโดยภาคดนตรียืนพื้นที่มีความเป็นพ็อพอาร์แอนด์บีผสานฮิพฮอพและแดนซ์ก่อนจะต่อยอดสู่ความเปนบัลลาด ซอฟต์ร็อค อิเล็คโทรนิค อคูสติคแลบะเทคโนเป็นต้น นับว่าเป็นย่างก้าวทดลองที่ประสบความสำเร็จล้นหลามเลยทีเดียว
จุดด้อย
งานชุดนี้เธอฉายแววพัฒนาการขึ้นมากกว่า2ชุดที่แล้วอย่างเห็นได้ชัดค่ะอันนี้ยอมรับเพียงแต่ว่าส่วนตัวคิดว่าถึงงานชุดนี้จะเป็นงานที่ค่อนแข็งและอยู่ในระดับที่แรงพอควรและทีเดียวแต่ภาพรวมยังไปได้ไม่ถึงขีดสุดเนื่องจากบางแทร็คยังอยู่ในระดับแกนๆขาดสีสันที่น่าสนใจไปจนถึงเรื่อยเปื่อยไปนิด นอกจากนี้ในภาคบัลลาดสำหรับเดี๊ยนคิดว่าเธอยังทำได้ไม่ดีเท่าที่ควรนักก็คงจะต้องอาศัยเวลาในการขัดเกลาและแก้ไขข้อเสียบางจุดนะคะ วินาทีนี้เธอก็ติดลมบนแล้วหากหมั่นเจียระไนตัวเองให้เข้าสู่คำว่าไม่มีที่ติได้มากกว่านี้ล่ะก็ หน้าไหนก็สอยเธอคนนี้ไม่ลง
แทร็คเด็ด
Don't Stop The Music (5) ฟังแล้วตกใจมากๆๆๆค่ะ เพราะส่วนตัวไม่คิดว่าจะได้ยินเธอทำเพลงเต้นรำที่แข็งในระดับนี้ออกมาได้ตัวเพลงเป็นแดนซ์พ็อพ เทคโนที่ผสานดิสโก้และเออร์บันได้อย่าลงตัวสุดๆ ฟังแล้วซูฮกค่ะ เป็นเพลงที่ล่อกะเทยที่สุดแล้วในชีวิตการทำงานของเธอ เริ่ด ต่อด้วย Shut Up And Drive (3/5) ซิงเกิ้ลที่สองที่ภาคดนตรียืนพื้นที่ซอฟต์ร็อคผสานบีทเต้นรำแบบอิเล็คโทรพ็อพแดนซ์จางๆน่ะค่ะ แม้ว่าจะไม่ได้ลงตัวมากมายหรือดีจนถึงขั้นแปะป้ายแต่ก็ถือว่าเป็นเพลงที่เท่ห์และแปลกใหม่พอตัวสำหรับเธอเลยทีเดียว มาที่ Push Up On Me (3.5/5) เออร์บันอิเล็คโทรพ็อพแดนซ์เก๋ๆที่ใส่บีทอาร์แอนด์บีและนำซาวนด์อิเลคโทรนิอคมาวาดความเป็นดิสโก้อย่างเหนือชั้น ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเพลงเต้นรำที่น่าสนใจมากๆแทร็คหนึ่งเลยทีเดียว น่าตัดเป็นซิงเกิ้ล สลับมาฟังเพลงช้ากันบ้างดีมั้ยคะขอแนะนำ Hate That I Love You Feat.Ne-Yo (4/5) อคูสติคพ็อพอาร์แอนด์บีบัลลาดเนียนๆเตจือความเป็นโซลหวานๆคุมทิศทางได้อย่างอยู่หมัด คออาร์แอนด์บีต้องถูกใจแน่ๆเพราะมากๆ หรือจะเป็น Good G
แก้ไขล่าสุดโดย Da Nastina เมื่อ Mon Dec 15, 2008 1:06 pm, ทั้งหมด 42 ครั้ง
_________________