ตั้งแต่ที่ผมรู้จักภาพยนตร์เรื่อง ผมไม่เคยคิดว่านี่คือ หนังเก่า แม้แต่น้อย ด้วยเหตุผลหลายประการในตัวของภาพยนตร์เอง ที่ทำให้มันดูทันสมัยทุกครั้งที่หยิบขึ้นมาชม เพราะเหตุการณ์ในภาพยนตร์คือเหตุการณ์ในโลกอนาคต อันใกล้นี้ที่โหดร้ายและน่ากลัวอย่างบ้าคลั่ง และทุกครั้งที่หยิบขึ้นมาชม ความคิดที่ผุดขึ้นมาในสมองทุกครั้งก็คือ มันเป็นโลกอนาคตที่ต้องเป็นจริงซักวันแน่นอน และที่น่ากลัวกว่าคือ ระหว่างที่คุณกำลังนั่งอ่านบทความนี้ มันอาจเป็นจริงขึ้นไปแล้วก็ได้...
ตลอดชีวิตการชมภาพยนตร์ของผมมา Fight Club เป็นหนังเรื่องแรกๆ ในชีวิตที่ผมตั้งใจชม จนเวลาผ่านไปให้ผมได้แหวกว่ายในวงการภาพยนตร์นับร้อยนับพันเรื่อง หากนับคงไม่ไหว ว่าผมชม Fight Club ไปทั้งหมดกี่รอบแล้ว จนเมื่อวันหนึ่งที่ทำให้ผมตกใจกับตัวเองเหมือนกัน เมื่อผมเบนสายตาไปดูเลขปีของภาพยนตร์เรื่อง เพราะมันทำให้ผมรู้ว่า ผมดูมันมานานกว่า สิบ ปี แล้ว.........

นำเรื่อง: Fight Club คือหนังที่เต็มไปด้วยฉากต่อสู้ ความบ้าคลั่ง เลือด ความรุนแรง ซาดิส และการหักมุมขั้นร้ายแรง จึงเป็นที่แน่นอนว่ามันเป็นภาพยนตร์ที่ไม่เหมาะกับคนทุกกลุ่ม หากคุณทนสิ่งที่กล่าวมาได้ไม่แข็งแรงนัก นี่ก็คงไม่ใช่หนังที่สร้างบันเทิงให้กับคุณ แต่หากคุณมีความสนใจ และอยากรู้ว่า อะไรหนอ ที่ซ่อนอยู่ภายใต้กลิ่นคาวเลือด บนร่างกายชุ่มเหงื่อที่แลดูสกปรก คุณก็ลองอ่านบทความต่อไปนี้ แล้วหาภาพยนตร์เรื่อง Fight Club มาชมครับ แล้วเรามาดูกันว่าอีกสิบปีข้างหน้ากลิ่นเลือดของภาพยนตร์เรื่องนี้ ยังแรงสาดแดงสดอยู่หรือป่าว

ข้อดีข้อเด่น: Edward Norton ถูกให้เครดิท ในภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า ผู้บรรยาย ทั้งที่เขาเป็นตัวละครนำของเรื่องนี้แท้ๆ แต่กลับไม่มีการเอ่ยถึงชื่อและนาสกุลจริง ของเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียวในเรื่อง มันช่างเป็นอะไรที่แปลกซะจริง ว่าไหมครับ แต่การบรรยายของเขาเป็นอะไรที่วิจิตรมาก เพราะมันเป็นการเล่าเรื่องของตัวเขาเอง สิ่งที่เขาต้องเผชิญและความรู้สึกของตัวละครในขณะนั้น และเป็นการบรรยายที่ทำให้หนังไม่น่าเบื่อเลยซักฉาก การบรรยายด้วยภาษาเสียดสีอารมณ์ตัวละคร ภาษาที่สะท้อนอารมณ์อย่างตรงไปตรงมา และจิกกันอย่างเมามันส์ และบางประโยคก็แปลกจนคลาสสิก อย่าง Im Jacks fucking life และอีกมากมาย

Edward บรรยายให้เราเห็นถึงชีวิตชายคนหนึ่งในสังคมที่กำลังจะพังลงทุกวินาที สังคมที่เน่าขึ้นทุกขณะ สังคมของสัตว์ที่คิดว่าตัวเองศรีวิลัยที่สุดในโลก สังคมของมนุษย์ สังคมแบบนี้ทำให้คนเราบ้าขึ้นทุกวัน แบบไม่รู้ตัว ชายคนนี้เกิดนอนไม่หลับขึ้นมาติดต่อกันหลายวัน นานเข้าๆ ทั้งที่เขาเองไม่รู้สาเหตุเหมือนกัน แต่ทางออกของเขาเศร้ากว่านั้นเยอะ เขาต้องไปร่วมกลุ่มคนใกล้ตาย อย่างกลุ่มคนเป็นโรคมะเร็ง พยาธิลำไส้ กอดคนเหล่านั้นแล้วร้องไห้ จนตาบวม จากนั้นจึงกลับบ้านมานอนหลับได้
หากถามผมว่าทำไมเขาต้องเป็นอย่างนั้น ผมขอตอบตามความเข้าใจครับ ว่าเขา เหงา และ เบื่อ สองสิ่งนี้คือสิ่งที่ทำร้ายความเป็นมนุษย์ได้มากที่สุดสิ่งหนึ่ง โดยไม่มีใครคาดคิดและนึกถึง ว่าภัยอันตรายของมันรุนแรงและร้ายกาจขนาดไหน
ทั้งที่เขามีชีวิตที่ไม่ต้องทนอดทนหิว เขามีคอนโดหรูเหมือนชีวิตคนเมืองดีๆ ทั่วไปนี่แหละ และไอ้การที่ทุกๆ คนต้องการอะไรเหมือนๆ กันหมด มีชีวิตเป็นมนุษย์เงินเดือนเหมือนๆ กัน ในบ้านมีข้าวของเครื่องใช้เหมือนๆ กัน และเป็นหนี้บัตรเครดิทนับแสนนับหมื่นเหมือนๆ กัน มันคือรูปแบบสังคมที่น่าเบื่อ และน่าสมเพชเสียจริง แต่ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป เมื่อเขาได้พบชายคนหนึ่งชื่อ Tyler แสดงโดย Brat Pitt

Tyler เป็นตัวละครที่โฉดอย่างแท้จริง และคงหายากมากๆ ที่จะหาตัวละครใดโฉดในระดับเดียวกับเขา หากคุณคิดว่าสังคมนี้รอบๆ นี้มันต่ำนัก Tyler นี่แหละครับ คือคำตอบที่ลงตัวที่สุด เพราะเขาไม่ใช่คนที่ทำให้สังคมมันต่ำลงหรอกนะ แต่เขาคือคนที่จะทำให้สังคมต่ำๆ นี่สะเทื่อนครั้งใหญ่เท่านั้นแหละ ไม่ว่าจะเป็นตัดต่อหนังโป๊ให้เด็กดู ราดครีมสลัดในภัตตาคารหรูด้วยวิปครีมส่วนตัว และการริเริ่มโปรเจคเมย์แฮม

และอีกตัวละครที่สะท้อนสังคมอย่างเด่นชัดเลยก็คือ มาร์ล่า ซิงเกอร์ เธอคือนางมารร้ายแห่งยุคสังคมมืดและเสื่อมโทรมอย่างแท้จริง และก็ไม่มีใครรับบทนี้ไปได้ดีกว่าเธออีกแล้ว เธอเป็นนักแสดงหญิงที่เหมาะกับงานด้านนี้จริงๆ ข้อขอยอมรับเลยครับ

และหากกฎเหล็กของ Fight Club คือ ห้ามพูดถึง Fight Club กฎเหล็กของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือห้ามพูดถึงตอนจบเด็ดขาด เพราะมันมีตอนจบที่หักมุมขั้นร้ายแรง และฉลาดนักปราชญ์มากๆ ไม่ใช่ว่าหักมุมแล้วจบ แต่หักมุมแล้วลุยต่อกับเนื้อเรื่องที่เข้มข้นขึ้นไปอีกต่างหาก ทำให้หนังตอบโจทย์ตัวเองได้อย่างดีเยี่ยมในความบ้าคลั่ง กระหายเลือด และความรุนแรง ที่เรียกว่าแรงทั้งนามธรรมและมโนธรรม จนถึงนาทีสุดท้ายของภาพยนตร์เมื่อโปรเจค เมย์แฮม สำฤทธิ์ผล

ข้อด้อยข้อเสีย: ภาพยนตร์เรื่องนี้ ไม่เหมาะกับคนหัวอ่อน คนชอบสีชมพู คนชอบหนังแนวบันทึกรักซินเดอร์เลล่า คนชอบจัดดอกไม้เวลาว่าง คนที่ใส่กางเกงในลายคิดตี้ และคนไม่ฉลาดดูหนัง (โง่) เพราะอย่างที่แจ้งให้ทราบแต่แรก ว่าหากคุณเป็นคนชอบหนังโหด เลือดสาดพร้อมขี้มูกยาวเป็นสาย หักมุมอย่างรุนแรงและมีชั้นเชิง เหตุการณ์เลวร้าย ดิ่งลงเหว กับตัวละครบ้าคลั่ง และอยากเห็นความหายนะที่แท้จริง ภาพยนตร์เรื่องนี้จะ ไม่มีข้อเสียสำหรับคุณครับ!!!

สรุป: สำหรับคนที่เบื่อหนังแบบบะหมี่กึงสำเร็จรูปแกะซองใส่น้ำร้อนทาน และอยากดูอะไรที่จริงจัง แบบคนหัวศิลป์เค้าดูกัน Fight Club คือหนึ่งตัวเลือกที่ผมแนะนำ นอกจากจะได้ความมันส์บ้าๆ แล้ว ยังได้แง่มุมวิเคราะห์สังคมเน่าๆ ในโลกในนี้ ที่รอการถอยหลังสู่จุดเริ่มต้นเข้าไปทุกวัน
เกรด: A-
______________________________________________

บทบันทึก: ภาพยนตร์เรื่อง Fight Club บ้าพลังเลือดไปถึงบนเวทีออสก้ามาแล้วครับ เพราะได้เข้าชิงในสาขา Best Effect, Sound Effect Editing และในส่วนของเรทติ้งที่ IMDB ก็สูงถึง 8.8 เต็ม 10 เลยทีเดียว ด้วยตัวเลขผู้โหวตมากถึง 323,082 อยู่ในอันดับที่ 20 ของเรทติ้งที่สูงที่สุด และหนึ่งในนั้นก็มีคะแนนโหวตของเวเฟอร์รวมอยู่ด้วย
นอกเหนื่อจากเรื่องราววัลแล้วภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างกระแสดาราดังอย่าง Edward Norton และ Brad Pitt ได้มากโขเลย ตั้งแต่เรื่อง Fight Club ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะเห็น Edward ถ่ายแบบต่างๆ พร้อมคราบเลือด และ Brad Pitt ในคราบเพลย์บอยเท่ๆ กวนๆ จวบจนทุกวันนี้ สิบปีผ่านมา มีหนังน้อยเรื่องนัก ที่จะส่งกลิ่นเลือดได้แรงเท่าภาพยนตร์เรื่องนี้
คลิกเพื่ออ่านขุดหนังเก่า มาแนะนำครั้งที่หนึ่ง : The Shawshank Redemption (1994)
_________________
คุยหนังภาษาหมา
