
http://hysteriaculture.wordpress.com/2013/09/30/get-into-the-groove-christina-aguilera-we-remain-popballad-87-4-55/comment-page-1/#comment-194
hysteria
Christina Aguilera : We Remain : Pop/Ballad (87% = 4.5/5)
เชื่อว่า ณ ขณะนี้เหล่า Fighter ทั่วทั้งโลกคงจะดีอกดีใจชนิดมือไม้สั่นนั่งกันไม่ติดเก้าอี้แบบดิฉันหลังจากที่ได้ฟัง We Remain เพลงล่าสุดของ คริสทิน่า อากิเลร่า ที่ใช้เป็นหนึ่งในซาวนด์แทร็คประกอบภาพยนตร์เรื่อง The Hunger Games : Catching Fire ที่เพิ่งปล่อยออกมาให้ได้ดื่มด่ำกันไปสดๆร้อนๆหลังจากที่เราๆก็ต่างตื่นเต้นคาดหวังกับเพลงนี้กันไปต่างๆนานาหลังจากที่ได้ฟังคลิปพรีวิวเรียกน้ำย่อยกันไปเมื่อไม่กี่วันนี้เองนะคะซึ่งโดยภาพรวมสำหรับดิฉันก็นับว่าทำออกมาได้ในระดับที่ไม่ทำให้เหล่าสาวกผิดหวังทีเดียว
จะว่าไปแล้วปีนี้ก็นับว่าเป็นปีที่ดีสำหรับคนรักคริสทิน่า อากิเลร่าทีเดียวนะคะเพราะนอกจากเราจะได้เห็นเธอกลับมาผอมสวยเช้งกระเด๊ะสมใจแล้วเรายังได้เห็นได้ติดตามความคืบหน้าด้านผลงานต่างๆของเธอที่ทยอยออกมาสร้างรอยยิ้มให้แฟนๆไม่ว่าจะเป็นการกลับมาอีกครั้งในฐานะออริจินัลโค้ชประจำรายการ The Voice ซีซั่น5ที่ก็กวาดเรตติ้งเปิดตัวไปถล่มทลายตามคาดไหนจะในส่วนของงานแฟชั่นที่ล่าสุดถ้าจำไม่ผิดและเราๆฮือฮากันมากนี่ก็คงจะหนีไม่พ้นการกลับมาขึ้นปกนิตยสารปลุกใจเสือป่าอย่าง Maxim อีกครั้งซึ่งก็การันตีความแซ่บของสาวXtinaได้อย่างดีว่าอะฮั๊นนี้ร้อนแรงไม่หยุดหย่อนมาที่ธุรกิจแบรนด์น้ำหอมซูเปอร์สตาร์ก็เห็นว่าจะออกน้ำหอมตัวใหม่มา (รึเปล่า?) แถมด้วยคลิปในฐานะจิตอาสาที่บินไปสร้างบุญให้เหล่าสาวกร่วมอนุโมทนากันไกลถึงรวันด้าจวบจนโปรเจ็ค Let There Be Love ที่เหล่า Fighter ทั่วทั้งโลกพร้อมใจกันร่วมถ่ายภาพสนับสนุนศิลปินในดวงใจท่านนี้เป็นการตอบรับว่าพวกเราทุกคนรับรู้แล้วถึงสาส์นที่เธอส่งให้แฟนๆใน Official Site ซึ่งโปรเจ็คนี้ทั่วโลกรู้ดีว่าสาวติ๊ปลื้ม Fighter แดนสยามขนาดไหนเพราะสาวเจ้าถึงขั้นทวีตขอบคุณแฟนคลับชาวไทยกันเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตามในเรื่องของงานดนตรีก่อนหน้านี้คือดิฉันก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ยินได้ฟังเพลงใหม่ๆจากเธอภายในปีนี้เพราะดูเหมือนว่าตัวศิลปินเองก็ไม่ได้ส่อเค้าหรือวี่แววใดๆว่าจะมีข่าวคราวของผลงานมามอบให้เหล่าแฟนคลับเป็นชิ้นเป็นอันจนมาระเบิดตู้มเอากับเซอร์ไพร์สใน We Remain นี่แหละค่ะที่จู่ๆก็โผล่ออกมาชนิดไม่ทันได้ตั้งตัวหรือจะให้มโนภาพความคาดหวังใดๆคือดิฉันมารู้อีกทีก็เอาตอนที่นั่งกดฟังคลิปพรีวิวฟังซ้ำไปซ้ำมาแล้วนั่งอมยิ้มพร้อมๆกับเพื่อนๆ Fighter นั่นแลซึ่งอันนี้ไม่รู้ว่าสาวติ๊นาของเราซุ่มเพื่อจะเซอร์ไพร์สแฟนๆหรือว่าเจ้าตัวเองก็ไม่ได้รู้มาก่อนว่าสังกัดเขาทาบทามให้กูไปร้องตอนไหนเช่นกัน (เอ๊ะ! หรือว่ามีข่าวนานแล้วคะแต่ดิฉันอาจจะไม่ไดติดตามซะเองหรือไม่ก็อ่านแล้วลืม?)
หลังจากที่ก่อนหน้านี้ดิฉันก็เพิ่งสอยดาวหมดฟ้ามอบให้แก่ Atlas เพลงประกอบจากภาพยนตร์เรื่องเดียวกันโดยฝีมือของคุณพี่คริส มาร์ทินและผองเพื่อนColdplayที่ส่วนตัวประทับใจหนักหนากับท่วงทำนองของดนตรีอัลเทอเนทีฟร็อคงามระยับเย็นยะเยือกสไตล์ Coldplay แท้ๆที่ฟังแล้วชวนให้หวนคิดถึงมนตร์เสน่ห์ของพวกเขาในงานชุด A Rush Of Blood To The HeadและX&Yที่ยังคงตรึงใจมาจวบจนทุกวันนี้หลังจากที่ช่วงหลังๆพวกพี่ๆจะเริ่มกลายพันธุ์ไปเป็นสายเอ็กซ์เพอริเมนทัลแบบRadioheadและBlur ซึ่งนับว่าเป็นหนึ่งในสิ่งที่น่าสังเกตุและทำให้ส่วนตัวดิฉันเริ่มสนใจอยากที่จะฟังซาวนด์แทร็คของ The Hunger Games : Catching Fire แบบเต็มๆหลังจากที่ได้ฟัง We Remain ของคริสทิน่า อากิเลร่าที่ก็นับว่าต้องจัดให้เป็นงานพ็อพบัลลาดประเภท Classic Christina ที่เหล่า Fighter ทุกคนฟังแล้วก็คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคืองานบัลลาดในแบบฉบับที่เป็นตัวตนของคริสทิน่าแท้ๆ - เช่นเดียวกับที่แฟนๆของColdplayจะรู้สึกต่อAtlasที่ก็เป็นบริทพ็อพตามรากฐานออริจินัลColdplay นี่ไม่รู้ว่าแค่บังเอิญหรือเป็นคอนเส็ปท์ของOSTชุดนี้ - มาที่ตัวเพลงของ We Remain ตัวเพลงเป็นพ็อพบัลลาดสายอดัลท์คอนเทมโพรารี่ย์สไตล์ดิว่า90sที่ดูแล้วเข้าทางคริสทิน่าทีเดียวเพราะถ้าสังเกตุกันดีๆไม่ว่าตลอดทั้ง5อัลบั้มของคริสทิน่าที่แนวดนตรีมาแบบไม่ซ้ำกันแต่ในทุกอัลบั้มเธอก็มีงานบัลลาดรูปแบบนี้เป็นไฮไลท์เสมอๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งในอัลบั้มล่าสุดอย่างLotusไม่ว่าจะเป็น Light Up The Sky,Just A Fool,Blank Page,Sing For MeหรือEmpty Words แม้ว่าอาจจะต่างออกไปในแง่ของมิติด้านความสดของตัวเพลงด้วยเรื่องของทีมโปรดิวซ์ที่ขออนุญาติวิจารณ์ว่ารู้สึกถึงความสังเคราะห์มากกว่าแต่มาพิจารณาในส่วนของสูตรสำเร็จทั้งการประโคมดนตรี การนำเสนอเรียบเรียงตลอดจนความประณีตของเมโลดี้นับว่าทำออกมาได้ไพเราะจนยกให้เป็นซาวนด์แทร็คประกอบภาพยนตร์ขึ้นหิ้งเพลงหนึ่งของปีได้อย่างไม่อายใครเช่นกัน อย่างไรก็ตามส่วนตัวแล้วรู้สึกว่าเพลงนี้ยังคงมีข้อเสียอยู่บ้างในการยัดเยียดลูพกลองที่รกและหนักเกินเพราะธรรมดาแค่เสียงของคริสทิน่าพลังก็สูงพออยู่แล้วพอมาชนกันก็กลายเป็นเล่นงิ้วตีกันมันส์หยดน่าดูชมรวมถึงการใช้เสียงของคริสทิน่าในบางจุดที่ขาดความสมูธจนน่าอึดอัดคือมันเป็นจุดเล็กๆที่ทำให้เพลงมีความไพเราะน้อยลงแต่ในเรื่องของเทคนิค การลงไดนามิค อิมโพรไวซ์และสำคัญที่สุด อินเนอร์ ในการถ่ายทอดเธอคุมเพลงนี้อยู่หมัดอีกสิ่งหนึ่งที่ประทับใจคือมิติของการใช้เสียงประสานล่องลอยเชิงนิวเอจนิดๆในช่วงคอรัสที่ฟังแล้วมีชั้นเชิงมากเล่นเอาถึงกับช็อคทีเดียวยิ่งมาพิจารณาภาคเนื้อหาตามไปด้วยแล้วส่วนตัวขอยกให้นี่เป็นหนึ่งในบัลลาดที่ดีที่สุดของคริสทิน่าประจำทศวรรษนี้เลยก็คงจะไม่เกินไปเท่าไรนัก
ท้ายที่สุดในฐานะ Fighter ที่ติดตามหอบหิ้วกันมาเป็นสิบกว่าปีถึงเธอจะไม่ได้มาอ่านรีวิวของฉันแต่อยากจะใช้พื้นที่นี้บอกว่า ดีใจมากๆนะ ดีใจจริงๆที่ได้ยินได้ฟังงานดีๆระดับนี้คือตอนนี้เชื่อว่าดิฉันคงจะอารมณ์เดียวกับแฟนคลับหลายๆคนที่ไม่สนแล้วว่าคริสทิน่าจะทำเพลงแบบไหนหรือดีขนาดไหนออกมาแม้แต่ว่าอัลบั้มต่อไปจะแป๊กอีกมั้ยหรือจะกลับมาได้หรือจะมีเพลงขึ้นอันดับหนึ่งคือมันมาถึงจุดที่ทำอะไรออกมาก็จะฟังชอบหรือไม่ชอบไว้อีกเรื่อง เรียกได้ว่ามันเดินมาถึงจุดที่ทลายความคาดหวังทุกสิ่งจากผู้หญิงคนนี้สิ้นซากไปแล้วก่อนที่จะกลายเป็นยินดีติดตามและยอมรับในผลงานทุกอย่างทุกระดับจากทุกสภาวะที่เป็นคริสทิน่า อากิเลร่า