˹���á Forward Magazine

ตอบ

(18+) ฤดูร้อนนั้นฉัน…ขาย (1+2)
ผู้ตั้ง ข้อความ
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ (18+) ฤดูร้อนนั้นฉัน…ขาย (1+2) 


http://www.facebook.com/HysteriaCulture

http://hysteriaculture.wordpress.com

(18+ : โคมทอง+สุสานนักเรียนฉบับปิดเทอม) ฤดูร้อนนั้นฉัน…ขาย

(สำหรับนิยาย18+ ของทางเพจในครั้งนี้เป็นเรื่องจากซีรี่ยส์ “โคมทอง” นิยายห่ามๆเกี่ยวกับอาชีพ “กะหรี่” ของทางเพจผนวกกับ “สุสานนักเรียน” ซึ่งเป็นนิยายสยองขวัญของทางเพจแต่เป็นในฉบับปิดเทอมซึ่งเรื่องนี้เป็น EP แรกของโปรเจ็คสุสานนักเรียนช่วงปิดเทอมฤดูร้อนโดยเนื้อเรื่องในตอนนี้ไม่มีส่วนใดเกี่ยวข้องกคบที่โรงเรียน “เซนต์มาบุส” แม้แต่น้อยเพียงแต่ตัวละครเอกของเรื่องเป็นเด็กนักเรียนโรงเรียนเซนต์มาบุส ก่อนอื่นต้องกราบเรียนก่อนว่านิยายเรื่องนี้ “ไม่ใช่” นิยายจำพวก “ประสบการณ์เสียว” เพราะทางเพจเราไม่ได้เขียนนำเสนอเรื่องใต้สะดือรวมถึงจะแตกต่างจากนิยาย18+ก่อนหน้านี้ของเพจที่เน้นหยาบเน้นฮาและกระเดียดไปทางประสาทๆเข้าว่า ในขณะที่เรื่องนี้จะมาแนวหม่นๆเศร้าๆและเนื้อหาบีบคั้นรุนแรงจนต้องจั่วเรต18+

นิยายเรื่องนี้ถือเป็นลิขสิทธิ์ของ “นายมัลนร ล้ำสกุลวงศ์” เจ้าของเฟซบุ๊คส์ “http://www.facebook.com/armandvladjekylldangouleme8774″ และเป็รเจ้าของเพจและบล็อคนิตยสารHysteriaหรือHysteria Culture “http://www.facebook.com/hysteriaculture” และ “https://hysteriaculture.wordpress.com” แต่เพียงผู้เดียว ห้ามมิให้ผู้อื่นนำส่วนหนึ่งส่วนใดของนิยายเรื่องนี้ไปเผยแพร่หรือดัดแปลงโดยมิได้รับอนุญาติ)

“หนูลงมาอยู่ที่พัทยาทำไมครับ? แล้วทำไมถึงไม่กลับไปเรียนสักทีฮึ?!” วาฑิตสถาปนิกหนุ่มอายุ28หันไปถาม “โบว์” เด็กสาวหน้าตาสะสวยที่กำลังนอนเปลือยกายอยู่ในอ้อมแขนของเขา เรือนร่างงามของเด็กสาววัย17กำลังถูกมือข้างซ้ายที่เป็นอิสระของสถาปนิกรูปหล่อลูบไล้ไปตามใจปรารถนาระหว่างที่เขากำลังรอคำตอบจากเธออยู่ เขามองไปที่ตากลมโตสีฟ้าสว่างสดใสของโบว์ที่ถึงแม้จะดูรู้ว่าเป็นบิ๊กอายแต่ดวงตาของเด็กสาวคนนี้ก็ช่างสะกดจิตสะกดใจของเขาให้หลงใหลเหลือเกินน่าแปลกที่เขามาผ่านคู่นอนมาเกินครึ่งร้อยทั้งสาวแท้และสาวเทียมแต่เขากลับไม่เคยรู้สึกพิเศษกับใครอย่างที่เคยเกิดกับเด็กสาวคนนี้มาก่อน

“หนูยังกลับลงไปตอนนี้ไม่ได้หรอกค่ะ” โบว์ตอบพลางซบหน้าลงตรงแผงอกกำยำของชายหนุ่มเสียงตอบอู้อี้ที่เล็ดลอดออกมาไม่เต็มที่นั้นกลบเกลื่อนความเศร้าหมองในใจของเธอได้อย่างมิดชิดจนวาฑิตไม่ทันสังเกต “มะรืนนี้แฟนพี่มีกำหนดคลอดลูกพอดีถ้าไม่รังเกียจเราจะติดรถพี่กลับไปมั้ยล่ะ?” ชายหนุ่มหยั่งเชิงถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบปกติทั้งที่ในใจของเขาสงสัยไม่น้อยว่ามันคงจะมีสาเหตุอะไรสักอย่างที่ทำให้นักเรียนหญิงม.ปลายจากโรงเรียนเอกชนชื่อดังระดับประเทศคนนี้ต้องผันตัวมาเป็นสาวที่ทำงานอยู่ตามมุมมืดในผับของพัทยาใต้และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอก็ตามเขาก็พร้อมที่จะช่วยเหลือเด็กสาวคนนี้ มันเป็นความถูกชะตาที่แสนจะประหลาดเพราะก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคิดจะยกคู่นอนคนไหนเสมอ “ภาวิณี” ภรรยาที่เพรียบพร้อมของเขาเลยแม้แต่คนเดียวซึ่งมันก็น่าแปลกใจไม่น้อยว่าทำไมจู่ๆเขาถึงคิดอยากจะมามีบ้านน้อยเอาเมื่อตอนที่กำลังจะเป็นพ่อคนแบบเต็มตัวชนิดหาสาเหตุไม่ได้

“ลำบากอะไรก็บอกพี่ได้นะ ไม่มีเงินไปเรียนรึเปล่าหรือว่าทะเลาะกับพ่อแม่? ถ้ากลับบ้านไม่ได้ก็บอกพี่ได้นะ พี่จะหาที่อยู่ให้อยู่ พี่อยากให้เรากลับไปเรียนจริงๆนะรู้รึเปล่า!” วาฑิตขยี้หัวเด็กสาวที่เริ่มใช้ลิ้นโลมเลียชอนไชไปตามหัวนมของชายหนุ่มแทนคำขอบคุณก่อนที่เกมส์รักครั้งที่สองจะปะทุขึ้น วาฑิตนอนบิดตัวไปมาระหว่างมองร่างของเด็กสาวที่กำลังปฏิบัติกิจอยู่บนตัวของเขา ชายหนุ่มมองใบหน้าของโบว์ที่ส่องประกายในความมืดด้วยความเคลิบเคลิ้มก่อนที่ภาพทั้งหมดจะค่อยๆหลั่งไหลเข้ามาในหัวของเขา

- – “พี่ๆแถวนี้มีห้องเช่าที่ไหนยังว่างอยู่บ้างอ่ะ?” โบว์ในชุดสายเดี่ยวคล้องคอสีชมพูลายจุดขาวและกระโปรงระบายสีครีมสั้นจุดหอบข้าวของพะรุงพะรังมาถามมอเตอร์ไซค์หน้าซอยๆหนึ่งย่านบางละมุง เธอเป็นเด็กสาววัยรุ่นหน้าตาสะสวยรูปร่างสูงโปร่งชนิดที่สามารถจับไปเป็นนางแบบได้ทีเดียวแม้ว่าผิวของเธอจะออกคล้ำเข้มเป็นสีแทนไม่ขาวใสแบบสาวเกาหลีแบบที่นิยมกันในสมัยนี้แต่มันก็ขับขานกับรูปหน้าและเรือนผมของเธอที่ตอนนี้ย้อมเป็นสีบลอนด์สว่างได้อย่างดี “ที่ดีๆแพงๆมาช่วงนี้ก็เต็มหมดแล้วสิจ๊ะคนสวย ตอนนี้ก็โน่นที่สราญศิลป์คอนโดท้ายซอยอ่ะจ๊ะ มันเปิดเป็นเกสท์เฮ้าส์รายวันเกรดอาจจะต่ำกว่าเขาหน่อยแต่ก็ยังโอเคกว่าเกสท์เฮ้าส์ว่างๆที่อื่นอ่ะนะ น้ำอุ่นก็ไม่มี แอร์ก็ไม่มี ห้องอาบน้ำขี้เยี่ยวรวมชั้นแถมสกปรกอีกต่างหาก ที่นี่สะอาดมีครบแน่นอนยกเว้นฟิตเนส ซาวน่า บริการอาหารเช้ากับสระว่ายน้ำพี่รับประกันจ้ะ” หนุ่มมอเตอร์ไซค์รีบตอบปร๋อ “งั้นไปสิพี่ เท่าไรอ่ะ?!” โบว์หันกลับมาถามเสียงเซ็งๆเมื่อรู้ว่าที่พักจะไม่มีสระว่ายน้ำ ซาวน่า ฟิตเนสและบริการอาหารเช้า “ท้ายซอยก็ร้อยนึงจ๊ะ” มอเตอร์ไซค์แบบมือ “โห!!! อะไรวะพี่ท้ายซอยแค่เนี้ยตั้งร้อยนึง เอาเปรียบเกินไปป่ะ!” โบว์หันมามองคนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างผ่านแว่นตาแบรนด์D&Gสีน้ำตาลของเธอ “ไอ้สัตว์เอ๊ยเหนื่อยฉิบหาย” โบว์แบกสัมภาระพะรุงพะรังของเธอจากปากซอบมากองลงที่หน้าประตูทางเข้าของสราญศิลป์คอนโดพลางยืนหอบซี่โครงบาน “ไงล่ะคนสวยมัน ‘แค่นี้’ อย่างที่มึงบอกมั้ย? ฮ่าฮ่าฮ่า” คนขับวินมอเตอร์ไซค์ที่เพิ่งคุยเธอเมื่อเกือบครึ่งชั่วโมงที่แล้วหน้าปากซอยตะโกนเย้ยหยันระหว่างที่ซ้อนผู้โดยสารจากปากซิยผ่านไป “อีนี่นิ! จะเข้าไปพักก็รีบเข้าไปซะสิเกะกะขวางทางคนจะเข็นขยะ” เสียงตะโกนของแม่บ้านทำเอาโบว์สะดุ้งก่อนที่จะรีบยกกระเป๋าเดินเข้าไปเพราะเธอเห็นว่าใบหน้าถมึงทึงและไฝสองเม็ดเป้งๆบนปากของแม่บ้านที่นี่น่าจะมีฤทธิ์เดชที่ทรงพลังในระดับที่เธอไม่สามารถต่อกรด้วยได้ – -

วาฑิตค่อยลืมตาขึ้นอย่างกะปลกกะเปลี้ยเขารู้สึกว่าตัวเขาชาไปทั้งตัวในขณะที่อาการสะลึมสะลือได้ค่อยๆคลายเป็นปลิดทิ้งแล้ว ชายหนุ่งเบิกตาโพลงกับร่างที่กำลังขย่มเขาอยู่ร่างเปลือยของศพหญิงสาวที่ขึ้นอืดจนบวมเป่ง ปากของเธอเป็นสีม่วงคล้ำจนดูเหมือนดำสนิทและบวมเป่งเหมือนปากครุฑในขณะที่ตาสีฟ้าที่เคยดูสวยงามคู่นั้น ณ ขณะนี้มันลอยค้างแล้วดูขุ่นมัวจากน้ำหนองสีขาวๆที่กำลังไหลเยิ้ม “อ๊ากกกกก!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!” วาฑิตแหกปากร้องลั่นก่อนจะรวบรวมพลังทั้งหมดเหวี่ยงร่างนั้นลงจากเตียงก่อนที่เขาจะรีบกระโดดไปตะกายหยิบกางเกงที่วางบนพื้น ชายหนุ่มยืนแข็งทื่อเมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ของหญิงสาวด้านหลังมันไม่ใช่เพราะเขากลัวหากแต่เสียงร้องนั้นมันช่างกรีดแทงเสียจนจิตใจเขาแทบจะสลาย เขาค่อยๆรวบรวมความกล้าหันไปทางร่างของเด็กสาวที่กำลังนั่งร้องไห้อยู่บนเตียง “โบว์” กลับมามีรูปร่างและหน้าตาที่สะสวยเช่นเดิมแล้วขณะนี้เธอกำลังร้องไห้ด้วยความทุกข์ทรมานบนเตียง “มีอะไรให้ผมช่วยรึเปล่า?” วาฑิตพูดเสียงสั่นเครือ “ทำไม? ทำไมพี่ถึงจะช่วยหนูล่ะคะ?!!!” วิญญาณของเด็กสาวเงยหน้าพลางคร่ำครวญ “ก็พี่บอกแล้วนี่ว่าถ้าเดือดร้อนอะไรให้บอก ไม่รู้สิรู้แค่ว่าต้องช่วย พี่อยากจะช่วยเราจริงๆนะ” วาฑิตค่อยๆหย่อนตัวลงบนเตียงแล้วนั่งลงข้างๆเด็กสาวก่อนที่เธอจะค่อยๆเปิดปากเล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟัง




แก้ไขล่าสุดโดย Armand D'Angouleme เมื่อ Tue Apr 15, 2014 4:13 am, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
วาฑิตยืนอยู่ตรงปากซอย “สราญศิลป์คอนโด” ย่านบางละมุงตอนเช้าตรู่ชายหนุ่มเดินวนไปวนมาพลางจิบกาแฟเย็นจาก7Elevenหัวมุมถนนเพื่อดับความรู้สึกกระวนกระวายใจเขาเริ่มจะรู้สึกไม่ค่อยแน่ใจสำหรับสิ่งที่กำลังตัดสินใจจะทำว่ามันดีสำหรับตัวของเขาแล้วจริงๆหรือก่อนที่ชายหนุ่มจะสะดุ้งสุดตัวจากเสียงตะโกนด้านหลังจนปล่อยกาแฟที่เหลืออยู่ครึ่งแก้วตกจนสาดกระเซ็นเต็มพื้น “ผมขอโทษครับพี่ๆ เห็นพี่ยืนมองหาอะไรตั้งนานก็เลยนึกว่าพี่รอมอเตอร์ไซค์อยู่” คนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างยกมือไหว้ปลกๆที่เขาทำให้วาฑิตตกใจ “ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไรๆ ไม่เป็นไรจริงๆ” วาฑิตรีบปฏิเสธที่จะรับเงินค่ากาแฟที่วินมอเตอร์ไซค์หนุ่มยินดีจะชดใช้ให้ “ผมแค่กำลังใช้ความคิดอยู่น่ะครับ คือผมเพิ่งขับรถมาถึงเพื่อนแนะนำว่ามีเกสท์เฮ้าส์ถูกๆชื่อ ‘สราญศิลป์’ คอนโดอยู่แถวๆนี้แต่ว่าไปไม่ถูกโทรหามันๆก็ไม่รับ” วาฑิตแสร้งพูดหน้าตาย

“เอ่อ พี่ครับ พี่จะไปพักที่คอนโดนั่นจริงๆเหรอครับ? อย่าไปเลยพี่เคยมีเด็กผู้หญิงตายที่นั่นเมื่อเดือนเมษาที่แล้วแม่งหลอกซะจนไม่มีแขกที่ไหนกล้าไปพักที่นั่นเลย คนไทยเจ๊กญี่ปุ่นฝรั่งโดนกันซะกระเจิดกระเจิงหมด” คนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างหน้าถอดสี “เฮ้ย!!! มันดุขนาดนั้นเลยเหรอวะน้อง?” วาฑิตแกล้งทำเป็นหัวเราะประหนึ่งไม่เชื่อทั้งๆที่ในใจของเขาตอนนี้มันเขย่าเสียไม่เป็นจังหวะจนหัวใจของสถาปนิกหนุ่มแทบจะวาย “จริงๆนะครับพี่อีนั่นล่อซะวินมอเตอร์ไซค์ต้องย้ายหนีไปตั้งซอยอื่นเลย ตั้งแต่ช่วงสองทุ่มขึ้นไปซอยนี้ก็ร้างแล้วพี่ไม่มีใครกล้าขับรถเข้าออกเลยขนาดพวกเด็กแว๊นซ์ที่ตอนแรกมันลองของกันนะยังเจอหลอกซะเตลิดเปิดเปิง คืออีเด็กนี้เหมือนกับว่ามันยังไม่รู้ว่ามันตายหรืออะไรนี่แหละทุกวันนี้เด็กเซเว่นยังเห็นมันเดินหอบกระเป๋าเข้าไปที่เกสท์เฮ้าส์นั่นทุกเช้ามืดเลยพี่” วินมอเตอร์ไซค์หนุ่มพูดจบก็รีบเบิ้ลคันเร่งขับจากไปชนิดไม่พูดไม่จาก่อนที่วาฑิตจะหันไปมองภาพของเด็กสาวที่กำลังหอบสัมภาระพะรุงพะรังแล้วๆค่อยๆเดินก้มหน้าเข้าไปในซอยสราญศิลป์ช้าๆ วาฑิตรีบกระโดดขึ้นรถแล้วขับตรงตามเข้าไปเพราะเขาจำภาพของเรือนผมสีบลอนด์ที่ยาวสลวยนั้นได้ติดตา

“โบว์ โบว์ครับ” วาฑิตเปิดกระจกพลางเรียกหญิงสาวขณะขับรถเลียบข้างๆเธอ “โบว์ให้พี่มาที่นี่ทำไมครับ? โบว์จะทำอะไร?” วาฑิตถามอย่างหวาดๆในรถเมื่อเด็กสาวหยุดเดินพลางหันหน้ามามองเขาด้วยแววตาเลื่อนลอย “หนูอยู่ห้องหมายเลข66″ คำตอบของโบว์มาพร้อมกับภาพที่พุ่งเข้ามาในหัว

- – “เธอทำไมมาซะเช้าเลยล่ะ? แล้วนี่อายุเท่าไร?! เจ้ไม่ให้พวกที่มาทำงานอย่างว่าพักที่นี่หรอกนะเธอรู้รึเปล่า!!!” ภาพของอาซิ้มคนจีนแก่ๆปรากฏตรงหน้าวาฑิตเธอมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า “โอ๊ยยย เจ๊พูดให้มันดีๆหน่อยหนูเป็นนักเรียนแค่ลงมาเที่ยวพัทยาเฉยๆ เอานี่บัตรนักเรียนรู้จักรึเปล่า ‘โรงเรียนเซนต์มาบุส’ น่ะ! จริงๆถ้าแถวๆพัทยาใต้มันมีที่พักหนูก็ไม่ถ่อมาถึงที่นี่หรอกค่ะ แม่บ้านดุยังกับหมาแล้วยังมาเจอธุรการน่าตบแบบนี้อีก จะให้พักมั้ยคะ? ไม่ให้ก็จะไปที่อื่น” โบว์นั่งไขว่ห้างพลางเบ้ปากใส่อาซิ้มธุรการคอนโดด้วยอากัปกิริยาที่สุดแสนจะหยาบคาย “ก็เจ้เป็นเจ้าของที่นี่ เจ้ก็มีสิทธิ์ถามคนเช่าทุกคนไม่ใช่เหรอ?” อาซิ้มธุรการกลบเกลื่อนความเสียหน้าด้วยน้ำเสียงดุๆ “แล้วก่อนเปิดเกสท์เฮ้าส์นี่เจ๊ทำอาชีพอย่างว่ามาก่อนรึเปล่าคะถึงได้รู้ดีจัง? ถ้าทำก็บอกนะคะหนูจะได้ไปพักที่อื่น!” โบว์จิกเสียงใส่ก่อนที่จะชูแบงค์พันเป็นฟ่อนใส่หน้าอาซิ้มที่กำลังจะอ้าปากตอบโต้ “ได๋อ่า ได๋เอ้ย มาช่วยเข็นของคุณน้องเขาขึ้นห้องพักหน่อยเร็ว!” อาซิ้มธุรการกดโทรศัพท์เรียกแม่บ้านที่เดินหน้าบึ้งตึงเข้ามาในห้องหลังจากนั้นไม่เกินห้านาที โดยที่โบว์หันไปยักคิ้วและยิ้มเย้ยเธอด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความท้าทาย

“มาจากไหนล่ะเรา?!” แม่บ้านถามเด็กสาวเสียงห้วนๆระหว่างอยู่ในลิฟท์ “กรุงเทพฯ!” โบว์ตอบน้ำเสียงแข็งๆโดยไม่ใส่ใจ “มาทำงานที่นี่เหรอ?” แม่บ้านถามต่อ “เปล่า แค่มาเที่ยวยังเรียนอยู่!” โบว์ตอบห้วนๆด้วยความรำคาญ “เด็กเรียนหนังสือที่ไหนจะกล้ามาเที่ยวที่นี่คนเดียวล่ะ! ฉันดูแว๊บเดียวก็รู้แล้วว่าเธอเป็นพวกสาวนั่งดริ๊งค์” แม่บ้านพูดน้ำเสียงเหยียดๆระหว่างเข็นสัมภาระของโบว์มาระหว่างทาง “แสดงว่าป้าเคยนั่งมาบ่อยน่ะสิ ถึงได้ดูแว๊บเดียวรู้ หน้าอย่างป้าไปนั่งดริ๊งค์ได้ด้วยเหรอคะ? แขกเหรื่อไม่กระเจิงกันหมดเลยเหรอไงป้า?!!!” โบว์ย้อนด้วยน้ำเสียงกวนๆทำเอาแม่บ้านจอมสอดเงียบไปทันควัน “เอานี่!!!” เธอกระแทกกุญแจลงในมือโบว์หลังจากไขประตูห้องพลางยกสัมภาระของเธอกระแทกกับพื้นห้องอย่างไม่สบอารมณ์ “มีอะไรก็เรียกแล้วกัน!” เธอหันมาแยกเขี้ยวใส่โบว์ก่อนที่จะสะดุดขาของเด็กสาวจนล้มคว่ำตรงหน้าประตูห้อง “ขอบคุณค่ะป้า!” โบว์โยนเหรียญสลึง4-5เหรียญใส่ร่างของแม่บ้านที่นอนร้องโอดโอยพลางกุมสะโพกด้วยความเจ็บปวดเป็นค่าทิปที่ช่วยเธอยกกระเป๋าก่อนจะกระแทกประตูใส่ – -

“คุณๆ คุณคะๆ คุณ มานอนอะไรตรงนี้คะ” วาฑิตลืมตาขึ้นแล้วเห็นใบหน้าของป้าแม่บ้านที่เขาเห็นในฝันถึงสองครั้งมายืนชะโงกหน้ามองดูเขาอยู่ข้างประตูรถ “เจ้ธุรการตื่นมาไหว้เจ้าพอดีถ้าคุณต้องการห้องพักก็เชิญติดต่อที่ห้องธุรการได้นะคะ” วาฑิตรีบดับเครื่องยนต์พลางปลดเซฟที่ย์เบลท์ออกก่อนจะหันไปขอบคุณป้าแม่บ้านแต่กลับเป็นเจ้ธุรการที่กำลังเดินตรงมาทางเขาแทน

“ช่วงสองสามเดือนมานี้กิจการที่นี่ไม่ค่อยดีเท่าไรแต่เจ้ก็ดูแลทุกห้องดีเหมือนเดิมล่ะนะ ความสะอาดและความปลอดภัยยังคงหายห่วงเหมือนเดิมแต่ราคาเจ้คิดถูกลงก่อนหน้านี้รายเดือนเจ้คิดเดือนละ4,500รายวันก็วันละ250แต่นี่ถ้าจะเช่าเป็นเดือนช่วงนี้โปรโมชั่นหั่นราคาเหลือเดือนละ2,500กับรายวันๆละ150 ให้มีเงินเข้ามาบ้างก็พอเพราะตึกนี่ก็ตึกเจ้ของๆเจ้เองอยู่แล้วธุรกิจอย่างอื่นเจ้ก็มีไม่ใช่ไม่มี ไม่เดือดร้อนหรอก ว่าแต่คุณจะพักห้องไหนดีละคะ?” อาซิ้มธุรการถามระหว่างที่เสิร์ฟน้ำเปล่าให้วาฑิต “ผะ ผม เอ่อ 66ครับห้องเลขที่66ว่างมั้ยครับ? ผม เอ่อ เผอิญชอบเลขนี้” อาซิ้มธุรการดูตัวกระตุกไปนิดนึงก่อนที่เธอจะพยักหน้า “ว่างค่ะ!”

วาฑิตขึ้นลิฟท์มาบนชั้นหกคนเดียวแรกๆเขาก็ดูจะตื่นกลัวกับบรรยากาศเงียบเชียบวังเวงในเกสท์เฮ้าส์แห่งนี้แต่ไปๆมาๆเขากลับรู้สึกว่ามันก็ดูอบอุ่นเป็นมิตรและตกแต่งได้อย่างสวยงามสบายตาดี อีกหนึ่งบททดสอบที่ดูสาหัสสากรรจ์สำหรับเขาก็คือการที่ต้องใช้เวลาหลายนาทีสำหรับรวบรวมความกล้าเพื่อที่จะไขประตูเข้าไปในห้อง66 วินาทีแรกที่เขาเปิดประตูและก้าวเข้าไปในห้องนั้นที่แสงสว่างจะดวงอาทิตย์เริ่มจะส่องเข้ามาเป็นสีชมพูรำไรมันไม่ได้ดูน่ากลัวอย่างที่คิดกลับกันเมื่อเขาเปิดไฟสำรวจไปรอบห้องมันกลับเป็นห้องที่สวยงามและดูจากการตกแต่งแล้วหรูหราเกินราคาแค่4,500ต่อเดือนไปอีกเกือบครึ่งทีเดียว “โบว์!” สถาปนิกหนุ่มเอ่ยชื่อของหญิงสาวที่ยืนมองเขามาจากมุมมืดของห้อง มันน่าแปลกที่ครั้งนี้เขากลับไม่รู้สึกหวาดกลัวเธอเลยแม้แต่นิดเดียวเขายืนมองเธอเดินตรงมายังตู้ใส่เสื้อผ้าพลางคุกเข่าลงอย่างเศร้ๆ “มีอะไรในนี้เหรอโบว์?” ทันทีที่วาฑิตเปิดตู้โบว์ก็กรีดร้องเสียงดังสนั่นพลางวิ่งไปคดตัวอยู่ที่มุมมืดตรงกำแพงๆ “เอามันออกไปที เอาออกไปทีๆ” เด็กสาวร้องไห้คร่ำครวญก่อนที่วาฑิตจะหันไปเห็นผ้ายันตร์ที่ลงอักขระคล้ายตัวอักษรเขมรอยู่ชายหนุ่มดูเหมือนจะเข้าใจเรื่องทั้งหมดทันทีเขาฉีกผ้ายันตร์นั้นออกเป็นสองซีกก่อนที่จะขยำมันลงชักโครกแล้วกดทิ้ง วาฑิตเดินออกมาจากห้องน้ำแล้วเห็นโบว์กำลังหยิบจดหมายแผ่นหนึ่งขึ้นมาอ่านพลางอมยิ้มอย่างมีความสุขเธอหันมามองวาฑิตเชิงขอบคุณก่อนจะยื่นจดหมายให้วาฑิตอ่าน

- – “โบว์เหรอลูก? นี่แม่เองนะ แม่ขอโทษที่ต้องส่งลูกไปอยู่ประจำที่หอโรงเรียนตั้งสองเดือนแต่แม่จำเป็นจริงๆที่ต้องมาดูแลสาขาใหม่ของร้านเราที่อเมริกากับนิวซีแลนด์ซึ่งก็คงต้องใช้เวลาประมาณสองเดือนในการจัดแจงทุกสิ่งทุกอย่าง ที่หอโรงเรียนแม้จะหรูหราแต่แม่รู้ว่ามันอาจจะไม่สะดวกสบายเท่ากับที่บ้านของเรามีกฏระเบียบทั้งในการเข้าออก ใช้อินเตอร์เน็ตก็เป็นเวลาแถมยังต้องสวดมนต์ทุกหกโมงเย็นกับเรียนคำสอนทุกวันอาทิตย์ แต่น้องโบว์เข้าใจเหตุผลแม่ใช่มั้ยลูกเพราะแม่เป็นห่วงเรื่องของ “ความปลอดภัย” ของหนูมากที่สุด แม่เหลือหนูเพียงคนเดียวในชีวิตหลังจากที่พ่อเสียแล้วแม่ก็เชื่อว่าช่วงเวลาที่แม่อยู่ไกลที่สุดคุณพ่ออธิการ,ซิสเตอร์,บาทหลวงและมิสมาสเตอร์ทุกคนจะดูแลหนูได้ดีที่สุด ถ้าหนูสงสัยว่ารอยยับๆบนกระดาษคืออะไร มันคือน้ำตาของคุณแม่เองแม่คิดถึงและเป็นห่วงหนูมากจริงๆ แล้วอย่าหาว่าเชยเลยนะที่แม่ไม่ส่งLineมาให้เพราะแม่อยากให้หนูเก็บลายมือและกลิ่นน้ำหอมของแม่ที่พรมลงกระดาษไว้จะได้รู้สึกเหมือนกับว่าแม่อยู่กับหนูตลอดจนกว่าแม่จะกลับไปนะ แม่จะเฟซไทม์หาทุกวันเลยนะคะลูก แม่สัญญา – -

วาฑิตเงยหน้ามองโบว์ที่หยิบล็อกเก็ตอันนึงมาทาบไว้กลางอกพลางยิ้งอย่างมีความสุขก่อนจะเปิดให้วาฑิตดู “ช่วยพาของๆหนูกลับไปบ้านที ไปพาแม่หนูมารับหนูกลับบ้าน ตัวของหนูยังอยู่ที่นี่ อย่าเพิ่งเช็คเอ๊าท์!” โบว์มองวาฑิตด้วยสายตาวิงวอน


ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
โปรดติดตามตอนต่อไป

Smile

ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
ตอบ หน้า 1 จาก 1
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
  


copyright : forwardmag.com - contact : forwardmag@yahoo.com, forwardmag@gmail.com