
Eragon ทั้งอบอุ่น และเร้าใจ
**วิจารณ์ในมุมมองของผู้ที่ไม่ได้อ่านหนังสือมาก่อนนะครับ**
นำเรื่อง: ก่อนที่ผมจะไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมได้ข่าวมาหนาหูมากมายว่าเรื่องนี้ เป็นเหมือนการนำเอาภาพยนตร์เรื่อง เดอะ ลอร์ด ออฟ เดอะ ริงส์ และ สตาร์ วอรส์ มาผสมผสานกัน และผมก็อดคิดไม่ได้ว่า มันจะทำได้หรูหราขนาดนั้นเลยหรอ? ทีมงานสร้างจะเก่งแค่ไหนที่นำเอาภาพยนตร์ที่โด่งดังที่สุดในรอบร้อยปีทั้งสองเรื่องนี้มาผสมผสานกันได้? ด้วยความกังวลทั้งหลาย มันก็นำมาซึ่งความไม่มั่นใจ ว่า เอรากอนจะทำได้ดีตามราคาค่าคุยหรือป่าว ยิ่งเห็นโปสเตอร์ที่ทำออกมาได้แนวแบบเรียบง่ายมาก คือการนำเอาตัวละครมายืนโชว์หน้าเรียงกันไปตามความเป็นผู้เป็นคน ปกซีดีเพลงลุกทุ่งบางอันยังดูดีมีสไตล์กว่าเลย และยังอดคิดไม่ได้อีกว่าหากเรื่องนี้เป็นเนื้อเรื่องเกี่ยวกับมังกร ทั้งเรื่องคงนี้ไม่พ้นการขายภาพมังกรบินไปมาสวยงามเป็นฉาก ๆ ไป และขอบอกจากใจจริงเลยว่าไม่ได้คาดหวังกับเนื้อเรื่องเลยแม้แต่น้อย
แต่ถึงกระนั้นก็เถอะ เมื่อได้ไปรับชมเรื่องนี้มาจริง ๆ ก็ถึงจะได้รู้แจ้งว่า ทั้งหมดที่คิดว่าไม่ถูกต้องเลยแม้แต่อย่างเดียว

เนื้อเรื่องของเอรากอน มีเพียงกลิ่นไอของความเป็น เดอะ ลอร์ด มาเพียงปราย ๆ ซึ่งไม่ถือว่าน่าเกลียดแต่อย่างได เพราะเป็นภูมิหลังในนิทานพื้นบ้านฝั่งยุโรปอยู่แล้วที่จะมีตัวประหลาดหรือผู้วิเศษแนวนี้ ส่วนความเป็นสตาร์ วอร์ ก็เพียงแค่บางส่วนยิบ ย่อย หาใช่ประเด็นหรือแกนหลักของเนื้อเรื่อง เอรากอนมีเอกลักษณ์ ความเป็นตัวเองที่น่ารักอบอุ่น และเร้าใจอย่างแรงกล้า มันเป็นเยี่ยงไรก็อ่านต่อกันไปเลย
ข้อดีข้อเด่น: ก่อนอื่นเลยต้องขอชมที่ตัวนักแสดงนำผู้รับบท เอรากอน ซึ่งถือว่าทำได้น่าพอใจมากในระดับของนักแสดงหน้าใหม่ อาจมีช่วงแรก ๆ ที่ดูขัด ๆ เขิน ๆ และไม่ตามไปกับอารมณ์หนัง แต่เมื่อเวลาผ่านไป กว่าจะรู้ตัวอีกที่ ผมก็รู้สึกว่าไอพ่อหนุ่มคนนี้ได้สวมวิญาณเอรากอนเข้าไปจริง ๆ ซะแล้ว ด้วยใบหน้าที่ดูบ้านนอกจากใจจริง มันเต็มไปด้วยความ ไม่รู้ และ ความใสซื่อ เมื่อตัวละครต้องฝ่าฟันอันตรายทั้งหลาย สิ่งเหลานี้แหละที่เรียกคะแนนจากคนดูได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย จนต้องเอาใจช่วย ให้เอรากอนผู้นี้ โบยบินบนหลังมังกรคู่ใจ เซฟีร่าได้อย่างสง่างาม เมื่อคนดูลุ้นที่จะเอาใจช่วยตัวละครแล้วนั้น มันก็ย่อมทำให้หนังสนุกสนานตามมาเป็นลำดับ
ในส่วนของเนื้อเรื่องนั้น ผมเองก็ไม่ได้อ่านหนังสือมาก่อนจึงไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่าหนังที่ทำออกมาในรูปแบบนี้มันตามอารมณ์ในฉบับของหนังสือมากน้อยเพียงใด แต่หากมองในมุมโดยรวมของภาพยนตร์ก็ถือว่า มีความน่าติดตามอยู่พอตัว และถือว่าน่าพอใจในการเปิดตัวภาคที่หนึ่งจากทั้งสามภาค ถึงแม้จะมีสิ่งขัดหูขัดตาอยู่บ้างแต่ เดี๋ยวค่อยมาว่ากัน
ในเรื่องของสเปเชี่ยลเอฟเฟค นั้นไม่มีอะไรต้องนำมากล่าวให้มากนัก เพราะก็ทำมาได้มาตรฐานของหนังสมัยนี้อยู่แล้ว แค่อยากจะชม ตรงนี้อีกนิดนึ่งเท่านั้นว่า ทีมงานทำแววตาของ เซฟีร่า ได้มีอารมณ์ดีมาก เหมือนกับมังกรตัวนี้ตัวนี้สามารถสื่อสารทางจิตใจกับ เอรากอน ได้จริง ๆ ซึ่งจุดนี้ถือเป็นจุดขายอีกจุดหนึ่งของเรื่องนี้ก็ว่าได้ นั้นคือความอบอุ่นระหว่าง มังกรและผู้ขี่มัน

คุณจะมีความสุขไปกับมิตรภาพอันน่ารักของเอรากอนและเซฟีร่า ตั้งแต่น่าทีแรกที่ทั้งคู่ได้พบกัน จนสร้างความสัมพันธ์อันน่าสงสารเห็นใจ และเข้มแข็งไม่แพ้ คณะพันธมิตรแห่งแหวน เลยทีเดียว ผมเองก็นึกไม่ออกว่าหากคนใดคนหนึ่งต้องจบชีวิตลง (ในภาคต่อไป) นั้นจะเป็นฉากที่เศร้าใจมากมายเพียงใด
และเมื่อเนื้อเรื่องเดินทางมาถึงฉากไคล์แม๊กซ์ก็ทำให้คนดูหวือหวาตกใจได้พอควร อาจไม่ถึงขีดสุดของหลาย ๆ คน แต่มันก็ไม่ใช่ภาพที่คุณจะหาชมได้ในหนังดาษๆ พื้นเพทั่วไปแน่นอน ยิ่งเห็นการร่วมแรงร่วมใจของมังกรและผู้ขี่ จนทั้งสองรวมเป็นหนึ่งเดียว มันช่างเร้าใจและพาผมมีความสุขยิ่งนัก เหมือนกับได้โบยบินไปร่วมกับเซฟีร่าก็ไม่ปาน
จุดอับและข้อเสีย : แฟน ๆ หนังสือต้องไม่พอใจกันอย่างแรงเป็นแน่ ด้วยเหตุผลเดิม ๆ ของการนำหนังสือมาทำเป็นภาพยนตร์ นั้นคือการตัดและหดหายของเนื้อเรื่อง จนสิ่งต่างๆ ที่แฟนๆ คาดหวังจะได้ชมกัน มันกลับหายวับไปในกลีบเมฆ ถึงยังไงแฟนๆ หนังสือก็ควรทำใจกันแต่เนิ่นๆ แล้วว่ามันจะต้องมีการตัดเนื้อเรื่องส่วนมากออกอย่างแน่นอน (ผมเองล่ะชินกับเรื่องที่ผ่านมาทั้งหลายแล้ว) ซึ่งเรื่องเอรากอน มีการตัดบั่นทอนไปอย่างเยอะมาก จนทำให้หลายอย่างของเรื่องมันไม่สมเหตุสมผลเลย นี่ขนาดผมไม่เคยได้อ่านหนังสือมาก่อนยังรู้สึกได้เลยว่า ตัวละครหลายๆ ตัวน่าจะมีบทบาทและได้แสดงความสำคัญต่อเนื้อเรื่องมากกว่านี้ ไม่น่าจะทำให้พวกเขากลายเป็นเพียงตัวประกอบรายวัน เพราะหนังพยายามใส่ใจกับตัวละครหลักมากเกินไป
ยกตัวอย่างเช่นฉากสุดท้ายที่มีการรบกันทั้งบนฟากฟ้าและพื้นพิภพ หนังแทบไม่ให้คนดูได้เห็นเลยว่าเกินอะไรขึ้นที่ด้านล่างบ้าง จ้องแต่โฟกัสไปที่ด้านบนลูกเดียวเล่นเอาหลายคนเมามังกรกันไปเลย ซึ่งตรงนี้แหละถือเป็นจุดพลาดอันยิ่งใหญ่ของเอรากอน

หนังเรื่อง ๆ หนึ่งจะดีเยี่ยมได้นั้น จำเป็นต้องใช้ตัวละครอย่างคุ้มค่าและสมเหตุสมผล ขออนุญาตยกตัวอย่างมาให้ชมกัน (ไม่ได้เอามาเปรียบเทียบนะครับ แค่ยกตัวอย่าง) อย่างเช่นในเรื่องของ เดอะ ลอร์ด ตัวละครนั้นมีจุดเด่นของตัวเองทุกตัว และหนังก็สละเวลาให้พวกเขาเหล่านั้นได้โลดแล่นฉายเดี่ยวกันอย่างถ้วนหน้า นั้นเป็นสิ่งที่เพิ่มความน่าสนุกสนานและมีน้ำหนักในกับตัวภาพยนตร์ ไม่ใช่เน้นที่ตัวเอกจนมากเกินไปจนลืมไปว่า บางทีคนดูเค้าอาจจะอยากดูตัวละครอื่นผลัดกันขึ้นมาเด่นบ้างก็ได้นะ หากหนังสนใจอยู่ที่จุดเดียวมากเกินไปแล้วมันไม่ถูกใจคนดูล่ะก็ เตรียมเก็บเสื่อกลับบ้านไปได้เลย ซึ่งผมเองก็ค่อนข้างมั่นใจว่า ในฉบับของหนังสือคงได้มีการให้น้ำหนักไว้อย่างสมดุลแน่นอน

สรุปส่งท้าย :หากไม่เอาเรื่องของหนังสือมายึดติดจนมากนัก เอรากอนถือเป็นหนังที่ดูสนุกที่อบอวลไปด้วยความอบอุ่น และเต็มไปด้วยฉากอันเร้าใจ ซึ่งอาจถูกใจใครหลายคนที่ชอบหนังแนวนี้เลยทีเดียว และนั้นก็รวมถึงผมด้วย แต่หากคุณยังอดไม่ได้ที่จะอารมณ์เสียกับส่วนของหนังที่ถูกตัดหายไป ก็ใจเย็นไว้ก่อน เพราะผมเพิ่งได้ยินข่าวแววมาว่า เรื่องนี้จะมี ดีวีดีแบบฉบับเต็มด้วยนะ ว่าแล้วผมก็เฝ้ารออย่างมีความสุข ที่จะได้เป็นเจ้าของดีวีดีชุดนั้น และโบยบินอีกครั้งไปกับ เซฟีร่าและ เอรากอน ในภาคต่อของเรื่องที่กำลังจะตามในวันเวลาอันไม่นานเกินรอ
ความชอบ : 4.5 เต็ม 5
เกรด : B
แก้ไขล่าสุดโดย Darth เวเฟอร์ เมื่อ Mon Dec 25, 2006 2:02 am, ทั้งหมด 2 ครั้ง
_________________
คุยหนังภาษาหมา
