ไมค์ ไทสัน อดีต(คนเคยเป็น)วีรบุรุษกับสตรี(ในโลกภาพยนตร์)ที่โลกต้องน้อมรับ
กระทู้นี้เป็นการวิจารณ์ระหว่างชีวิตจริงไม่อิงละครของไมค์ ไทสัน อดีตวีรบุรุษผู้แปรผันเป็นดาวร้ายบนและหลังสังเวียนโดยที่แฟนๆของเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน และก่อนที่เราจะมาขุดคุ้ยเรื่องราวอันแสนน่าจดจำไว้เป็นบทเรียนแก่ชีวิตนี้ คงต้องให้เกียรติโดยการพูดคุยถึงอดีตของเขาที่เคยรุ่งโรจน์กันก่อนดีกว่า(หากไม่อยากอ่านเยอะ ก็ข้ามไปอ่าน บทวิจารณ์หนังอย่าง Millon dolar baby ได้นะจ๊ะ)
ครั้งหนึ่ง ไมค์ ไทสัน เคยได้ชื่อว่าเป็นแชมป์เปียนผู้ยิ่งใหญ่ จนได้รับฉายาว่า มฤตยูดำ ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่ใครเอ่ยนามนี้ก็เป็นอันรู้กันว่า คือ ฉายาแห่งราชาบนสังเวียน เขาคือ ไมค์ ไทสัน
ย้อนหลังกลับไปเมื่อเดือน พ.ย. ปี 1986 ไทสัน ในวัยแค่ 20 ปี พกสถิติสุดห้าวหาญ ชนะรวด 26 ไฟต์ ซึ่งในจำนวนนี้เป็นชัยชนะแบบไม่ครบยกถึง 24 ครั้ง ขึ้นสังเวียนมวยที่โรงแรมฮิสตัน ในลาสเวกัส รัฐเนวาดา ชิงแชมป์โลกกับ เทรเวอร์ เบอร์บิค แชมป์ของสภามวยโลก(ดับเบิลยูบีซี) ที่เพิ่งชิงแชมป์ได้เมื่อ 8 เดือนก่อนหน้านั้น ด้วยการชนะคะแนน พิงค์ลอน โธมัส แบบฉิวเฉียด
เกมการชกกำปั้นจบลงแบบรวดเร็วเกินคาด เมื่อ เบอร์บิค ถูกไทสัน ไล่ยำใหญ่อยู่ข้างเดียว และเพียงแค่ยกที่ 2 ก็ส่งเบอร์บิค ลงไปกองกับพื้นถึง 2 หน
ที่สำคัญ ไทสัน สร้างประวัติศาสตร์เป็นแชมป์โลกรุ่นยักษ์ที่อายุน้อยที่สุดด้วยวัย 20 ปี 4 เดือน ทำลายสถิติเดิมของ ฟลอยด์ เพ็ต เตอร์สัน ซึ่งเป็นแชมป์ด้วยวัยแค่ 21 ปี 10 เดือน และที่เหลือเชื่อก็คือทั้งไทสัน และ เพ็ตเตอร์สัน มีโค้ชคนเดียวกันคือ คัส ดามาโต
ไทสัน ไม่หยุดอยู่แค่แชมป์ ดับเบิลยูบีซี เมื่อ 7 มี.ค. 1987 ไทสัน ชนะคะแนน เจมส์ โบนครัชเชอร์ สมิธ ในการชกล้มแชมป์ ดับเบิลยูบีซี-ดับเลิยยูบีเอ จากนั้นในวันที่ 1 ส.ค. ไทสัน ชนะคะแนน โทนี ทัคเกอร์ อย่างเป็นเอกฉันท์อีก แย่งแชมป์ไอบีเอฟ ของทัคเกอร์ มาครองได้อีกเส้น ทำให้ มฤตยูดำ กลายเป็นนักชนคนแรกของโลกที่เป็นแชมป์โลกรุ่นยักษ์ครบทั้ง 3 สถาบัน
ตอนนั้น ไทสัน โด่งดังคับฟ้า แม้กระทั่งนินเทนโด บริษัทผลิตเกมยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น ยังออกเกมส์ที่ชื่อว่า พันซ์ เอาท์ ซึ่งเป็นเรื่องราวของนักชกคนหนึ่งที่ไต่เต้าขึ้นเรื่อยๆจนไฟต์สุดท้ายต้องพบกับบอสใหญ่ คือ ไมค์ ไทสัน นั่นเอง
แต่ไทสัน ยิ่งใหญ่ได้แค่ 2 ปีเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาที่สั้นเอามากๆเลยสำหรับผู้ที่ประสบความสำเร็จในอาชีพนักกีฬาอย่างเขา โดยเฉพาะนักชกผู้ยิ่งใหญ่ที่ยากจะมีใครมาลบสถิติลงได้
เมื่อวันที่ 11 ก.พ. 1990 ฟ้าผ่ากลางกรุงโตเกียว เมื่อไทสันที่ขึ้นเวทีด้วยการเป็นต่อถึง 42-1 กลับมาพลาดท่าพ่ายน็อก เจมส์ บัสเตอร์ ดักลาส มวยรองบ่อน แบบเหลือเชื่อในยกที่ 10 ซึ่งควฝามปราชัยของไทสันในไฟต์ดังกล่าวถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์พลิกล็อกที่สุดในวงการกีฬาเลยทีเดียว
หลังเสียแชมป์ ไทสัน ทำฟอร์มด้วยการคว่ำ เฮนรี ทิลแมนน์ และอเลกซ์ สจวร์ต ก่อนจะเผชิญมรสุมชีวิต(ที่ตัวเองเป็นคนก่อ) เมื่อตกเป็นผู้ต้องหาคดีข่มขืนนางงามผิวดำ วันที่ 10 ก.พ. 1992 ไทสัน โดนตัดสินโทษจำคุก 6 ปี แต่เนื่งจากประพฤติตัวดี ไทสัน จึงได้รับการปล่อยตัวเมื่อเดือน มี.ค. 1995 หลังใช้ชีวิตในคุกนาน 3 ปี พร้อมกับการมีภาพข่าวกิจกรรมต่างๆของเขาในคุกเป็นระยะๆ ซึ่งในระหว่างนั้นไทสันได้หันมานับถือศาสนาอิสลามพร้อมกับใช้ชื่อใหม่ว่า มาลิค อับดุล ลาชิช
ไทสัน ใช้เวลาแค่ปีเดียวก็ได้แชมป์ดับเบิลยูบีซีมาครองเป็นของปลอบใจหลังห่างหายไปจากวงการนาน 3 ปี ด้วยการชนะ แฟรงค์ บรูโน ก่อนที่เดือน ก.ย. จะชนะบรูซ เซลดอน ยกแรกได้แชมป์ของดัลเบิลยูมีเอมาครองอีกเส้น และวันที่ 9 พ.ย. 1996 ไทสัน ประสบความปราชัยเป็นครั้งที่ 2 ในชีวิต เมื่อพลาดท่าพ่าย อีแวนเดอร์ โฮลีฟิลด์ แบบหมดสภาพในยกที่ 11
28 มิ.ย. 1997 คือวันที่ประวัติศาสตร์วงการกีฬาต้องจารึก ต้องจารึกไว้จริงๆขอย้ำ กับการขึ้นชกล้างตากับอดีตคู่ปรับ โอลี ฟิลด์ ที่เอ็มจีเอ็ม แกรนด์ การ์เดน อารีนา สังเวียนเดิมโดยที่ไทสัน ได้ค่าตัวถึง 30 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่โฮลีฟิลด์ได้ค่าตัว 35 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือเป็นสถิติค่าตัวที่มากที่สุดในยุคนั้น
ผลการชกก็จบลงแบบไม่คาดคิดเมื่อไทสัน (ซึ่งไม่รู้ว่าไปติดใจหนัง Silent of the lamp ในบท Hanibal มาหรือเปล่า)ได้กัดหูของโฮลิฟิลด์จนหลุดติดคาปากไทสัน(โอ๋ พระเจ้าจอร์จทำปายยยด๊ายย) ไทสันจึงโดนปรับแพ้ฟาวล์ และโดนปรับเงิน 3 ล้านเหรียญสหรัฐ พร้อมโดนยึดใบอณุญาตชกมวยด้วย(ก็สมควรนะ ดีไม่กัดแก้มเขาล่ะ)
ในปี 1999 ไทสัน ติดคุกเป็นครั้งที่ 2 เมื่อไปชกต่อยนอกสังเวียนกับคนขี่มอเตอร์ไซต์ 2 คน หลังเกิดอุบัติเหตุทางท้องถนน คราวนี้ไทสันก็ย้ายกลับบ้านเดิมคือ ซังเตอีกครั้ง โดยอยู่ในนั้นนาน 9 เดือน
หลังจากออกจากคุก ไทสัน ทำฟอร์มอยู่หลายไฟต์ ก่อนจะขึ้นชกกับ เลน็อกซ์ ลูอิส สุดยอดนักชกรุ่นยักษ์ในเวลานั้น แน่นอนว่าไทสันซึ่งเลยจุดสุดยอดของอาชีพนักมวยแล้ว จึงพ่ายแพ้ไปในยกที่ 8
1 ปี ถัดมา ไทสัน มีปัญหาทางการเงินอย่างรุนแรงจนถูกฟ้องร้องให้เป็นคนล้มละลาย ซึ่งน่าสงสัยมากเหลือเกินว่าเงินที่เขาหาได้จากการชกมวยมาตลอดนั้นหายไปไหนลำพังแค่เงิน 30 ล้านเหรียญสหรัฐที่ได้จากไฟร์รีแมตซ์กับโฮลิฟิลด์ เป็นบางคนใช้ทั้งชาติก็ไม่หมดแล้ว แต่ไทสันกลับใช้เงินที่เขาหามาได้จากการชกมวยถึง 300 ล้านเหรียญสหรัฐ เสียหมดเกลี้ยง แถมยังเป็นหนี้สินอีกต่างหาก
มีคนบอกว่าเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะไทสัน ไม่มีความรู้เขาจึงใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย บวกกับการที่เขาไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมคนจึงถูกคนฉลาดพากันปอกลอกหรือโกงทรัพย์สินไปจนหมด
ในช่วงเวลาที่ตกต่ำที่สุด ถึงขนาดมีข่าวว่า ไทสันอยากจะไปเป็นนักแสดงนักโป๊(ท่าทางเงินคงงามน่าดูเลยเว้ย คงดูโหดดี) เพื่อหาเงินมาเลี้ยงชีพด้วยซ้ำ แต่เป็นจริงหรือเปล่าก็ไม่ยืนยันแน่ชัด
อย่างไรก็ตาม แม้จะตกต่ำเพียงไร แต่ไทสันก็ไม่ทิ้งลาย(ด่าง)เดิมๆ เมื่อปลายปีที่แล้ว ไทสัน โดนตำรวจจับกุมตัวเนื่องจากขับรถอันตรายที่หน้าผับแห่งหนึ่งในเมืองสกอตต์สเดล รัฐอริโซนา ซึ่งหลังจากตำรวจค้นรถ พบว่า ไทสัน มีโคเคนในครอบครองทั้งในรถรวมทั้งในกระเป๋าเสื้อด้วย มฤตยูดำโดนจับกุมตัว พร้อมถูกตังข้อหามีสารเสพติดร้ายแรงไว้ในครอบครอง และขับรถขณะมึนเมา
เมื่อไม่นานมานี้ ไทสัน เดินทางให้การต่อศาลในเมืองสกอตต์สเดล พร้อมรับสารภาพทั้ง 2 ข้อหา ซึ่งอาจจะทำให้เขาต้องเข้าไปชดใช้กรรมในคุกอีก 4 ปี 3 เดือนเลยทีเดียว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเมตตาของศาลในการพิจารณาโทษที่จะมีขึ้นในวันที่ 19 พ.ย.นี้ ซึ่งดูแนวโน้มแล้ว โอกาสที่ไทสันจะได้กลับบ้านเดิม พบเพื่อนเก่าในมุ้งสายบัวเป็นหนที่สามมีสูงมั่กๆ
ชีวิตของไทสันจัดได้ว่ามีสีสันอย่างมากมาย แต่ก็แฝงไปด้วยข้อคิดมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องที่ว่าชีวิตคนเรามีขึ้นมีลง เพราะฉะนั้นอย่าใช้ชีวิตอย่างประมาทเป็นดีที่สุด
ดาราหนังโป๊ผู้ที่จะได้แสดงเป็นคู่ขาพี่ไมค์ ท้าทางอยากลองของ เพราะมีข่าวแว่วมาว่าของพี่แก ยาว 14 นิ้ว นี่คนหรือปลาวาฬว่ะเนี่ย
VS. Million dollar baby
ว่าด้วยเรื่องจริงชีวิตจริงของอดีตนักชกผู้ยิ่งใหญ่แล้ว มาว่าเปรียบเปรยกันต่อกับ หนังที่สร้างเกี่ยวกับสังเวียนนักมวยเช่นกัน และเรื่องนี้ก็ได้รับรางวัลออสการ์มากมายเหลือเกิน นั่นคือ Millon dollar baby ซึ่งสิ่งที่ต่างคงไม่ใช่แค่ตัวนักชกเป็นแค่เพศหญิงแต่ยังมีอะไรอีกมากมายในหนังเรื่องนี้ได้ค้นหา
ในตัวหนังจะคล้ายๆกับหนังชีวิตหลายๆเรื่องไม่ว่าจะเป็น Invicible ,ฝันไม่หมดไฟ และอีกหลายเรื่องที่อายุเป็นเพียงตัวเลข แต่พรสวรรค์ พรแสวงและกำลังใจพร้อมกับโอกาสต่างหากล่ะที่จะบ่งบอกว่า คุณ..เกิดมาเพื่อสิ่งนี้หรือเปล่า หากว่าสิ่งนี้ ตำแหน่งนี้ เวทีนี้ รางวัลนี้ และเสื้อเบอร์นี้เป็นของคุณ ก็ไม่มีใครมาแย่งคุณได้หรอก แต่คุณต่างหากล่ะที่ยอมให้เขาแย่งไป
หนัง Million dollor baby แม้เป็นเพียงเรื่องแต่งขึ้นมาที่นำพาให้ทั้งตัวผู้กำกับและดาราหญิงยอดเยี่ยมอย่าง
ฮิลารี่ สแวงค์ กอคคอกันได้รางวัลเรื่องนี้ไปเชยชมอย่างเปรมปรี แต่เค้าโครงของเรื่องก็สะท้อนความเป็นจริงของชีวิตได้มากมายเรื่องบางเรื่องที่สร้างมาจากเรื่องจริงด้วยซ้ำ
เริ่มที่โค๊ชแฟรงก์กี้ ดันน์(คริส อีสต์วูด) ผู้ฝึกสอนและปลุกปั้นนักมวยให้มีชื่อเสียงมาหลายต่อหลายคนและแต่ละคนก็ได้หน้าลืมหลังพร้อมไปสู่สิ่งที่ดีกว่าโดยย้ายไปอยู่กับค่ายอื่นกันหมด บวกกับมีปัญหากับลูกสาวของเขาจนไม่ได้เจอะเจอกันทำให้ดันน์เริ่มหมดศรัทธาในตัวเองพร้อมกับใช้ชีวิตไปวันๆกับโรงยิมฝึกมวยเก่าๆของเขา และไม่คิดว่าจะสร้างนักมวยคนไหนให้มาเป็นบาดแผนในใจอีก ดันน์อยู่กับผู้ดูแลโรงยิมที่ชื่อ สแคป(มอร์แกน ฟรีแมน)ผู้ไม่เคยทิ้งเขาไปไหน และเคยเป็นอดีตนักมวยที่มีชื่อเสียงที่ ดันน์ ปั้นมาเองกับมือ ก่อนจะหมดเขี้ยวเล็บไปกับความพ่ายแพ้ในอดีตเพราะความประมาทและไม่ฟังคำเตือนที่โค๊ชดันน์พูดอยู่เสมอว่า ให้ระวังตัวอยู่เสมอ (หากเขียนประโยคผิดเพี้ยนไปขออภัยด้วยนะ)ซึ่งคำพูดนี้ก็เสมือนเป็นการเตือนตัวดันน์เองเช่นกัน
วันเวลาผ่านไปกับการเข็ดขยาดในการสร้างนักมวยดีๆสักคน ซึ่งอันที่จริงดันน์ไม่ต้องการอะไรมากมายนัก นอกจากการให้เกียรติเขา หรือการจดจำเขาบ้างในฐานะผู้ที่ได้สร้างอนาคตให้แก่นักมวยที่โด่งดังแต่ละคนจนมีอนาคตที่แสนสดใส ทว่า แต่ละคนนั้นก็จากหายไปไม่เคยเหลียวแลมองกลับมายังโรงยิมเก่าๆและผู้ฝึกสอนแก่ๆแห่งนี้อีกเลย กระทั่งวันนึงกับผู้หญิง แม็กกี้ (ฮิลารี่ สแวงค์)ซึ่งไม่มีอะไรน่าสนใจ และเป็นเด็กเสิร์ฟธรรมดาที่เติบโตมาพร้อมกับสภาพแวดล้อมที่แสนเลวร้าย เธอสู้ชีวิตและเก็บหอมรอมริบด้วยการเก็บอาหารที่ลูกค้าทานเหลือกลับบ้าน เธอทำงานอย่างหนัก และไม่มีใครคนไหนเลียงแลเห็นความสำคัญหรือแม้กระทั่งเห็นว่าเธอมีตัวตนด้วยซ้ำ แม้แต่แม่ของเธอเอง แต่สิ่งหนึ่งโด่งเด่นอยู่ข้างในและยากจะดับมันคือพลังและความมุ่งมั่นที่เธอมี เธอมีความฝันที่ยากจะก้าวถึง ไม่ว่าจะด้วยอายุที่ล่วงเลยวัยแห่งการชกมวยแล้ว อาหารที่เธอบริโภคเข้าไปล้วนแต่มีไขมัน และเป็นเศษอาหารทั้งนั้น เงินเก็บอันน้อยนิดของเธอ และเธอไม่เคยชกมวยมาก่อนด้วยซ้ำ
เธอไม่มีคุณสมบัติใดๆเลย ไม่มีเลยจริงๆ และเป็นใครก็ต้องส่ายหน้ากับความฝันบ้าๆไร้สาระของเธอเอง แต่เธอก็ไม่เคยแคร์และยอมทำตามกฎทุกอย่างโดยไม่เคยอ้างความลำบากหรือสถานะที่เธอเป็น เธอยอมฝึกซ้อมดั่งผู้หญิงหรือชายวัยรุ่นทั่วไปที่อายุเกือบยี่สิบหรือยี่สิบต้นๆ แต่เธออายุสามสิบแล้ว เธอยอมเก็บเงินจ่ายค่าเรียนโดยไม่ร้องขอลดหย่อน อ้างฐานะความเป็นอยู่ใดๆต่อ สแครป ผู้ดูแลโรงยิม และฝึกซ้อมอย่างรู้เหน็ดเหนื่อย เหมือนคนมีเวลาว่างมากพอไม่ต้องทำงาน ทั้งๆที่เธอต้องทำงานเพื่อความอยู่รอดเรื่องปากท้องด้วยซ้ำ แต่ยังไงก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่เคยเป็นข้ออ้างของเธอเลย ไม่เคยเลยจริงๆ นอกเสียจากการต้องการการยอมรับจากโค๊ชดันน์ที่เธอใฝ่ฝันจะเป็นนักมวยของเขา
โค๊ชดันน์ไม่เคยรับผู้หญิงมาเป็นนักมวยและนั่นไม่เคยอยู่ในความคิดของเขาเลย เขาคัดค้านที่จะรับแม็กกี้มาฝึกซ้อมที่โรงยิมของเขาด้วยซ้ำ แต่ผู้ที่เห็นสิ่งที่แตกต่างลึกๆข้างในตัวเขานั้น คือ สแครป เขาเห็นหัวใจที่ยิ่งใหญ่และความพยายามอันใหญ่ยิ่ง(ไม่ใช่คำขวัญเรื่องสไปรซ์เดอร์แมนนะ) ของแม็กกี้ สแครปสนับสนุนอย่างเต็มที่ที่จะให้เธอเข้ามาฝึกซ้อมได้ตลอดเวลาที่เธอต้องการ จนเวลาผ่าน ความพยายามและความมุ่งมั่นของแม็กกี้ละลายอคติของดันน์ที่มีต่อผู้หญิงคนนี้ทีละนิด เขาเริ่มฝึกสอนเธอ ปลุกปั้นเธอเรื่อยๆ จนได้พบกับความจริงที่ว่า คำว่าไม่สำหรับเขาเกือบจะทำลายความฝันและพรสวรรค์ที่เขาไม่เคยคาดคิดจะได้มองเห็นจากผู้หญิงธรรมดาๆคนนี้มาก่อนเลย และนอกจากนั้น เธอไม่แค่อาศัยแค่พรสวรรค์สรรสร้างตัวเธอขึ้นมา เธอยังคงขยันในการฝึกซ้อมและกระตือรือร้นทุกครั้งในการขึ้นเวที พร้อมกับความมั่นใจในตัวผู้ฝึกสอนที่เป็นดั่งพ่อคนที่สองของเธอ ว่าจะดูแลเธอได้ทุกครั้งแม้เธอจะยืนอยู่บนเวทีเพียงคนเดียว แต่ก็เหมือนมีโค๊ชและสแครปยืนอยู่ด้วยเสมอ เพราะด้วยประสบการณ์ที่เขามี ทำให้เขาสามารถมองเห็นจุดอ่อนของคู่ต่อสู้ได้ และการแก้ไขสถานการณ์ได้เสมอ เธอจึงเชื่อมั่นในพวกเขาเสมอเช่นกัน แต่มีอยู่สิ่งนึงที่เธอได้เผลอลืมไป อาจเป็นเพราะเธอเป็นคนที่เชื่อมั่นในตัวเองสูงและเป็นคนหัวรั้นในบางครั้ง จึงนำสิ่งผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่มาสู่การขึ้นเวทีครั้งสำคัญของเธอ คำพูดที่ว่า จงระวังไว้เสมอ จึงเสมือนเป็นประโยคที่ฝังแน่นอยู่ในสมองของเธออย่างไม่ลืมเลือน จวบจนวันสุดท้ายของชีวิต
แต่ถึงกระนั้น ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นก็ไม่ทำให้เธอ โค๊ช และสแครป เสียใจเลย พวกเขายังคงให้กำลังและคอยดูและเธอเสมอ เธอยังเป็นนักชกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่พวกเขาได้พบเจอ และจะตราตรึงอยู่ในใจตลอดไป
และแม้ผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้มา นอกจากการไม่เชื่อฟังในประโยคของดันน์เท่านั้นว่า จนระวังตัวไว้เสมอ การที่แม็กกี้สามารถมายืน ณ จุดนี้ และทำความฝันที่เธอเคยหวังมาตลอดให้เป็นจริง แม้เพียงชั่วเวลาที่ไม่นานนัก ก็ทำให้เธอมีความสุขยิ่งนักและไม่คิดตัดพ้อ ต่อว่า ต่อพระเจ้าหรือใดๆทั้งสิ้นกับเวลาที่หมดไป และสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับตัวเธอเลย การที่เธอได้รับมอบความสุข มิตรภาพ ความรักที่สแครปและดันน์มีให้เธออย่างลูก กับช่วงเวลาที่เธอได้ยืนอยู่บนเวทีชกมวย ก็ถือเป็นของขวัญชิ้นใหญ่ที่พระเจ้าประทานมาให้เธอแล้ว
ข้อมูลเล็กๆน้อยๆ
- ตอนแรก แซนดร้า บูลล็อกซ์ และแอซลี่ย์ จัดด์ ถูกทาบทามให้มารับบทเป็นแม็กกี้ แต่สุดท้าย ฮิลลารี่ก็ได้ไปครอง
- หนังเรื่องนี้ทำให้สาวแกร่ง นักล่ารางวัลออสการ์ของเรามีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น 19 ปอน์ด ซึ่งเป็นผลมาจากการซ้อมอย่างหนักเพื่อรับบทนี้ ซึ่งน้ำหนักที่เพิ่มมาเป็นกล้ามเนื้อล้วนๆ
สรุป มุมมองระหว่างหนังกับชีวิตจริง
หากให้เทียบความภาคภูมิใจนั้น ขอเป็นเยี่ยงแม็กกี้ดีกว่า เพราะมีศักดิ์ศรีดีกว่า แม้จะพบความยากลำบากแม้จนสุดท้ายของชีวิตก็ตาม แต่ก็ไม่เคยมีคำว่าเสียใจกับสิ่งที่ได้ทำ และพูดได้เต็มปากว่า นี่คือความภูมิใจของฉัน นี่คืออาชีพของฉัน และนี่คือศักดิ์ศรีของฉัน ดีกว่าการสร้างสิ่งดีๆมาและทำลายตัวเองซะเอง เพราะแม็กกี้ทำผิดพลาดเพราะความชั่วร้ายของฝ่ายคู่ชก แต่ไทสันทำลายตัวเองเอาซะเอง อย่างนี้ ขอเป็นแม็กกี้โ,ลด แต่หากเป็นไทสันก็จะไม่ทำอัตวิบากกรรมตัวเองเยี่ยงนี้แน่นอน