ปิลันตา
FF>>Member ระดับเบบี๋

เข้าร่วม: 28 Nov 2007
ตอบ: 19
|
 บทวิจารณ์ รักแห่งสยาม ที่แน่นปึ๊กน่าอ่านที่สุดจากพันทิป
จากคุณแท็กซี่นิรนาม ที่เค้าว่ากันว่าเป็นหนึ่งในผู้กำกับแถวหน้าของเมืองไทย
ใช้ล็อคอินมาเล่นในพันทิป เท่าที่อ่าน ดูเค้ามีความรู้เรื่องหนัง เรื่องนิเทศเยอะมากๆ
มาอ่านกันค่ะ
รักแห่งสยาม (สปอยล์นิดหน่อย
แต่ไม่เป็นไรมากมั้ง หนังมันไม่มีหักมุมนิ)
ความรักคืออะไร?
ความรักคือการได้พบเจอและผูกพันกับสิ่งอันพึงปรารถนาเท่านั้นหรือ
แต่มีความผูกพันใดเล่าที่ไม่ลงเอยด้วยการพลัดพราก
มีหรือไม่?
เพราะทันทีที่เราผูกพันกับสิ่งอันเป็นที่รัก
ทันนั้นเราย่อมเริ่มนับถอยหลังรอเวลาที่จะพลัดพรากจากมัน
นี่คือสัจธรรม ความรักกับการสูญเสียคือด้านสองด้านของเหรียญๆเดียวกัน และการพลัดพรากนั้น
ทำให้ความผูกพันครบถ้วน
สมบูรณ์
และงดงาม
รักแห่งสยาม คือหนึ่งในภาพยนตร์ไทยกระแสหลักสมัยใหม่ไม่กี่เรื่องที่พูดถึงประเด็นนี้อย่างชัดเจนและซื่อสัตย์ มันอาจจะไม่ใช่ภาพยนตร์ที่มีคุณค่าทางศิลปะสูงส่งมากมาย แต่มันก็กล้าหาญในสิ่งที่มันบอก และบอกอย่างซื่อตรงอย่างที่หาได้ยากในหนังไทย ไม่มีแม้แต่น้อยที่มันจะพยายามโกหกดั่งเช่นภาพยนตร์ประโลมโลกที่พูดถึงความรักเพียงแค่ด้านเดียว ที่ทำขึ้นเพื่อส่งเสริมการโกหกตนเองในด้านนี้ของคน ที่ทำมามอมเมาเพื่อขายเด็กอ่อนหัด แต่ รักแห่งสยามทำขึ้นเพื่อเราทุกๆคนที่ยินดีกับการชื่นชมสัจธรรมข้อนี้
นี่คือหนังของมนุษย์ครับ ไม่ใช่แค่หนังของวัยรุ่น หนังY หนังเกย์ หรือของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ตราบใดก็ตามที่คุณเป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์ที่ไม่นิยมการโกหกตัวเองจนหน้ามืดตามัว คุณไปดูหนังเรื่องนี้ได้อย่างมีความสุขแน่นอน
ผมเห็นกระทู้ข่างล่างมากมายโจมตีเรื่องการโปรโมตหนังเรื่องนี้ ส่วนตัวผมไม่เห็นประเด็นนี้จะเป็นสาระ คนทำโปรโมตย่อมมีหน้าที่ทำงานของเขาให้ดีที่สุด หน้าที่ของเขาคือขายมัน อะไรที่ขายได้ในสังคมหน้าไหว้หลังหลอกอย่างเราๆทุกคนก็ทราบกันดีอยู่ แล้วสังคมมันเป็นอย่างนี้เพราะเหตุใดหรือ
ก็เพราะพวกเราทุกคนนั่นแหละ เราทุกคนมีส่วนรับผิดชอบต่อความปลิ้นปล้อนของสังคมนี้ เพราะฉะนั้นถ้าอยากจะด่า
กรุณาอย่าลืมด่าตัวต้นเหตุด้วย
1. บท
รักแห่งสยาม คือเรื่องราวของครอบครัวๆหนึ่งที่ได้รับบาดแผลจากการสูญเสียลูกสาว ที่แม้เวลาเนิ่นนานผ่านไป บาดแผลนี้ก็ไม่อาจเยียวยา แต่มันกลับยิ่งกลัดหนองบ่อนเซาะครอบครัวนี้และผู้คนรอบข้าง ก็เหมือนกระจกที่ถูกกระแทก แม้ไม่แตกในทันใด แต่ในที่สุดรอยร้าวก็ค่อยๆแผ่ขยาย
กัดกินไปทั่วทั้งผืนกระจก
นี่ไม่ใช่แค่หนัง coming of age อะไรอย่างที่ว่ากัน แต่ผมก็ไม่ทราบว่าจะไปบัญญัติว่ามันเป็นหนังอะไรไปเพื่อเหตุใดเช่นกัน เอาเป็นว่าบทมันดีน่ะนะ เขาเลือกเล่าเรื่องแบบ first person โดยเล่าเรื่องจากตัวเอก คือลูกชายที่ชื่อ โต้ง เป็นหลัก สลับกับเรื่องราวของผู้คนที่อยู่รายรอบโต้ง ตัวหลักๆก็มี
พ่อ ผู้ถูกบาดแผลกัดเซาะจนล่มสลายทางจิตวิญญาณ
แม่ ผู้พยายามประคับประคองครอบครัวด้วยการแบกรับทุกสิ่งทุกอย่างไว้
มิว เพื่อนของโต้ง
ผู้โหยหาความรัก
บวกด้วยตัวโจ๊กเกอร์อีกหนึ่งตัวคือ จูน เทพธิดาแห่งความโดดเดี่ยว ผู้ที่จะมาทดสอบความแข็งแกร่งทางจิตวิญญาณของครอบครัวนี้ มาให้โอกาสครอบครัวนี้กล่าวลา
เพื่อทำความรักให้สมบูรณ์
บทมันง่ายมากเลยครับ แต่ในความง่ายนั้นคือความโคตรยาก เพราะคนทำเขาเลือกวิธีเล่าเรื่องที่จ๊าบมั่กๆสำหรับผม คือตัวละครรู้อะไรเห็นอะไรแค่ไหน เราก็รู้ก็เห็นแค่นั้น เพราะฉะนั้นเมื่อเรื่องทั้งเรื่องคือการโกหกตัวเองของตัวละคร เราก็จะมีความหวังลมๆแล้งๆตามตัวละครไปด้วย ทั้งๆที่ก็รู้ๆกันอยู่ว่าไอ้ตัวลูกสาวน่ะ
ตายห่าไปตั้งแต่แรกแล้ว แต่เราก็ยอมหลอกตัวเองตามไปกับตัวละครด้วย
แล้วทีนี้คนทำบทเขาเจตนาที่จะเล่าเรื่องแบบ linear คือเล่าไปเรื่อยๆ ไม่มีสลับเวลาแบบหนังทั่วไป อาจจะเพื่อโชว์ว่าข้าไม่บ้าพลังแล้ว แต่เมื่อพยายามจะไม่บ้าพลัง มันก็เลยกลายเป็นความบ้าพลังที่จะไม่บ้าพลังขึ้นมา
เอิ๊กกก เขาก็เลยต้องประดิษฐ์ไอ้ตัวโจ๊กเกอร์จูนนี่ขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่นำเอาปมในอดีตมาจำแลงแผลงฤทธิ์อีกครั้งในปัจจุบัน แทนที่จะใช้การย้อนเวลากลับไปสอบสวนปมในอดีตแบบหนังทั่วไป
ก็ดี เท่ห์ไปอีกแบบ
ที่ผมชอบอีกอย่างสำหรับบทหนังเรื่องนี้คือบทพูดครับ ผมว่ามะเดี่ยวเขียนบทพูดเก่ง เขาเข้าใจ cinematic function of dialog คือรู้ว่าบทพูดในภาพยนตร์มีหน้าที่อะไร ไม่ใช่สักแต่จะยัดบทพูดใส่ปากตัวละครเพื่อเล่าเรื่องมั่งล่ะ เพื่อใช้แทนการกระทำมั่งล่ะ แบบที่เราเจอว่าเป็นปัญหาสามัญของหนังไทย เขาเขียนบทพูดได้ดีมีศิลปะมั่กๆ ซึ่งมันยากนะทั่นผู้ชม สำหรับผมนี่ บทพูดเป็นอะไรที่เขียนยากที่สุดของบทหนังแล้วครับ
บทพูดตอนเดียวที่ผมไม่ค่อยชอบคือตอนที่จูนสารภาพอดีตของตัวเองกับแม่ ผมว่ามันย้วยไปหน่อย แต่พอมาทบทวนดูอีกที มันมีฟังค์ชั่นกึ่งๆเมจิคัล มันจึงมีสิทธิ์ย้วยได้ถ้ามันได้อารมณ์ ฉะนั้นปัญหาจึงอาจจะเป็นนักแสดงในบทนี้ซึ่งก็คือพลอย ไลลา ตีบทไม่แตกก็ได้ แต่ถ้าเป็นอย่างนี้จริงก็ต้องโทษผู้กำกับ ที่ช่วยเขาไม่พอให้เขาเข้าถึงบท เพราะพลอยไม่ใช่นักแสดงขรี้ๆ (ถึงแม้จะขี้เกียจมั่งก็เหอะ
เอิ๊กกก) ยังไงก็ตามแต่เนื่องจากคนทำบทกับผกก.มันคนๆเดียวกัน ความย้วยในฉากนี้จึงโทษใครไม่ได้เลย
รับไปนะทั่นนะ กั่กๆๆๆ
(ไม่ได้เนรคุณทั่นนะ แม้ทั่นเคยชมงานผมไว้ แต่ตอนนี้ผมทำตามหน้าที่นะครับ จะให้ตะบี้ตะบันชมทั่นคืนอย่างเดียว เดี๋ยวคนจะติฉินว่าฮั้วกัน ทั้งๆที่เราไม่ได้รู้จักสักหน่อย
เอิ๊กกก)
แก้ไขล่าสุดโดย ปิลันตา เมื่อ Thu Nov 29, 2007 5:01 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
|