ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
ปิลันตา
FF>>Member ระดับเบบี๋
เข้าร่วม: 28 Nov 2007
ตอบ: 19
|
Re: Love of Siam: ความพยายามในการใส่เสน่ห์
พิม (ลุงนีล) พิมพ์ว่า:Darth เวเฟอร์ พิมพ์ว่า:
แต่ในเวลาเดียวกันหนังมีสร้างเสน่ห์ให้ตรงตรึงใจใครหลายๆ คน ซึ่งเห็นได้ชัดว่าความตราตรึงเหล่านั้นมันมาจากนักแสดง และบทที่เป็นประสบการณ์ของใครหลายคน ลองคิดดูดี ๆ ซิครับ ว่าหากคุณจะยกหนังเรื่องนี้ให้เป็น หนังดีที่สุดเรื่องหนึ่งของไทย อะไรที่ทำให้มันได้ใจคุณถึงเพียงนั้น เสน่ห์ของตัวภาพยนตร์ หรือเสน่ห์ของนักแสดง กันแน่? เพราะสำหรับผมแล้วนั้นหนังดีจะต้องมีอะไรให้คนดูมากกว่า ความซ้ำซาก และเสน่ห์ทางรูปกายภายนอก
ชื่นชอบ: 2 เต็ม 5
เกรด: C+
ลุงว่า วิจารณ์นี้ จะเน้นหนักไปในทางการดูบทบาทของนักแสดงและองค์ประกอบของบท ที่คนส่วนใหญ่คงร้องกรึ้ด หากบางคนที่บอกว่า " โอ้แสดงดีน่ะ เหมือนวัยรุ่นตามบทเลย" ที่นี้ มันก็จะมองได้ประมาณว่า อีนี้เล่นแข็ง หรือโดนบทบังคับแข็ง ตามที่ลุงเคยเห็นคนอื่นวิจารณ์มา แต่สรุปว่า เล่นแข็งนั้นแหละ ในขณะที่พิชกลับอ่อนโยนกับบทและค่อนข้างแตกแพล้งในระดับนึงแหละ ( ฉากจบ ลุงไม่คิดว่าจะซิ้งน่ะ รู้สึกเฉยๆ ) แต่ถ้าจะมองตามคนที่วิจารณ์หนังและดูมาตราฐานคนแสดง ก็อย่างที่เห็นนั้นแหละครับ เหมาะสมหล่ะ
บางที สิ่งที่หนังใส่ไปเยอะๆ คือ บทแนวแฝงข้อคิด ที่บางที ลุงก็รู้สึกรั่วๆบ้างน่ะ เหมือนเยอะไป แต่ก็ถือว่า ดีกว่าหนังทั่วๆไป ในขณะเดียวกัน ความเป็นมาสเตอร์พีช มันก็ไม่ได้เด่นชัดเพราะบทไร้ทิศทางอย่างที่พี่เฟอร์ว่าแหละ จนบัดนี้ ลุงยังงงว่า ทำไมยัยจอยต้องกลับเชียงใหม่ด้วย...???
แต่ลุงว่า พี่เฟอร์มาแปลกๆตาหน่อย ตรงที่เหมือนรุมฉาก"หน้าบ้าน"เต็มที่ อย่างไงไม่รู้ เพราะผลลัพนธ์ของฉากดังกล่าวมั้ง อันนี้ ลุงก็เก็บไว้พิจารณาต่อไป เพราะบทหนังที่เขียน มันค่อนข้างมองได้หลายมุมน่ะ จับได้หลายประเด็น มันก็เลยดูเสี่ยงๆต่อทั้งการด่าและการชมไปในเวลาเดียวกัน นั้นแหละ เพราะบางคนอาจจะแย้งว่า ฉากนี้ บอกอะไรๆๆๆๆๆ ว่าไป แต่ลุงรู้สึกว่า บทมันเป็นอย่างงั้นน่ะ พี่เฟอร์อาจจะบอกว่า ยัดเยียด แต่บางคนก็ชอบอ่ะ ประมาณนั้น
แต่เรื่องนี้ สิ่งที่ดีที่สุด ลุงว่า ถ้ามาช่าเกิดฟลุ๊คชนะสินจัย เรื่องตัดต่อน่ะ ได้แน่ๆ ชัวร์ๆ ประกันหัวได้เลย อิอิ ส่วนความเห็นอื่นๆ อยู่ในรีต่อๆไปน่ะครับ อิอิ
เรื่องยัยจอย ก่อนอื่นต้องบอกว่า ในเรื่องเค้าชื่อจูนค่ะ
ที่จูนกลับเชียงใหม่ เป็นประเด็นที่ง่ายมาก ไม่ต้องรอบอกใบ้
จูนไม่มีเงินเก็บพอจะไปเรียนต่อค่ะ เพราะถูกไล่ออกจากงาน
คงท้อแท้ในชีวิต และคิดว่า คงปลงๆเพราะได้เห็นความหมายของคำว่ารักหลายรูปแบบ
เธอคงกลับไปเพื่อค้นหาความรักของตนเองกับครอบครับ ซึ่งไม่แน่ว่าเธออาจจะโกหก ครอบครัวเธออาจจะยังมีชีวิตอยู่ แต่เธอโกหกเพื่อให้สินจัยมีกำลังใจค่ะ
|
Wed Nov 28, 2007 7:52 pm |
|
|
ปิลันตา
FF>>Member ระดับเบบี๋
เข้าร่วม: 28 Nov 2007
ตอบ: 19
|
Re: Love of Siam: ความพยายามในการใส่เสน่ห์
Darth เวเฟอร์ พิมพ์ว่า:Love of Siam: ความพยายามในการใส่เสน่ห์
นำเรื่อง: รักแห่งสยาม ว่าด้วยเรื่องแห่ง รัก และว่าด้วยเรื่องของ สยาม เพื่องแค่ชื่อเรื่องสองคำนี้ก็สามารถสื่อความหมายได้มากมายหลายระดับ เปรียบเสมือนหนังเรื่องนี้จะเต็มไปด้วยไออุ่นอันอบอวลของความรัก ความรักแห่งดินแดนสยาม ความรักที่มีมากมายหลายรูปแบบ และอีกอย่างตัวหนังก็ไดโปรโมทในจุดนี้อย่างเด่นชัด ไม่ว่าจะเป็น โปสเตอร์ โฆษณา หรือ มิวสิควีดีโอ และหากมองไล่ไปถึงรายชื่อนักแสดงของภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วละก็ เสียงกระซิบก็ลอยเข้าหูซ้ายและหูขวาของเวเฟอร์เป็นเนื่องๆ ว่า รักแห่งสยามเรื่องนี้ จะเป็นหนังรักดีๆ อีกเรื่องหนึ่งของประเทศไทยที่ได้ใจผมอย่างไม่ยากเลย
แต่หลังจากการซึมซับภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเวลาร่วมสามชั่วโมงครึ่ง สิ่งที่ผมได้รับตอบแทนมาก็คือ การจงใจจับวาง ในหลายๆ ส่วนของภาพยนตร์ จนน่ารำคาญ พร้อมทั้งช่องโหว่มากมาย ในความอ่อนปวกเปียกแทบตลอดทั้งเรื่อง
จริงเหรอคะ น่ารำคาญเพราะอคติหรือ น่ารำคาญเพราะตัวบท เรามาแย้งพร้อมๆกันค่ะ
ข้อด้อยข้อเสีย ในส่วนแรกของภาพยนตร์นั้น เต็มไปด้วยการปูทางที่เข้าใจค่อนข้างง่าย การปูทางในรูปแบบนี้ทำให้คนดูตามเรื่องราวไปพร้อมๆ กัน โดยไม่มีใครหลุดวงโครจรของภาพยนตร์ แต่สำหรับคนดูมีกึ๋น พวกเขาสามารถเดาทิศทางของภาพยนตร์ได้ตลอดทั้งเรื่อง ว่าเหตุการณ์ที่เหลือจะดำเนินไปในทิศทางใด
และในความคิดเห็นส่วนตัวของผมสิบนาทีแรกของภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ว่าจะเป็น เหตุการณ์ มุมมอง ตัวละคร หรือ สิ่งแวดล้อม ได้แรงบัลดาลใจมาจากภาพยนตร์เรื่องใด ไม่ว่าจะเป็นหนุ่มน้อยในโรงเรียนคริสตจักรผู้มีน้ำเสียงอันไพเราะ กับอีกหนึ่งหนุ่มผู้ไร้ความสำคัญในสายตาคนอื่น (เพราะเขาได้แสดงเป็นแค่แกะ) แต่ทั้งสองผูกพันธ์กันอย่างสนิดสนมจงใจ จนถึงวันที้ต้องจากลา โดยฉากนั้นมีหนึ่งหนุ่มอยู่บนรถ อีกหนึ่งหนุ่มวิ่งตามมา แต่ทำได้แค่ส่งสายตามองพร้อมน้ำตาที่ไหลริน ไม่ทราบว่าเหตุการณ์เหล่านี้มาจากแรงบัลดาลใจหรือเป็นการลอกเลียนแบบจากหนังเกย์ชื่อดังจากประเทศฝรั่งเศษ เรื่อง Bad Education กันแน่ครับ? แล้วอย่าให้กล่าวถึงฉากสองหนุ่มนอนคุยกันบนเตียงเลยครับว่าได้แรงบันดาลใจจากภาพยนตร์เรื่องอะไรอีก...
คิดว่าตรงนี้ไม่เกี่ยวกับหนังเรื่องนั้นนะคะ คุณดูหนังใช้อคติค่ะ ใช้พื้นฐานเบื้องต้นก่อนเข้าโรงว่า ถ้าเจอฉากหนึ่งที่คล้ายหนังเรื่องไหน สงสัยไว้ก่อนเลยว่าเค้าคงก๊อบมา ไม่ก็ได้แรงบันดาลใจมา ทั้งๆที่ผู้กำกับใช้เวลาเขียนบท5ปีค่ะ และหนังเนื้อเรื่องคล้ายกัน ไม่จำเป็นต้องก๊อบมานะคะ แต่หนังทำมาจากเรื่องจริงค่ะ ฉะนั้นแนวทางคงมาจากชีวิตจริง แต่คุณอาจไม่เคยเจอเหตุการแบบนี้ จึงคิดว่าก๊อบๆกันมา
จากการเริ่มต้นของเรื่อง หนังก็พยายามอย่างสุดใจที่จะนำเสนอความรักของหนุ่มโต้งและมิว อย่างมากเกินความจำเป็นซ้ำๆ ซากๆ ยกตัวอย่างเมื่อมิวไม่สามารถแต่งเพลงรักได้ มิวจึงโทรหาโต้ง จากนั้นเพลงรักสุดหวานจากใจสาวของหนุ่มมิวจึงบังเกิด เพียงแค่การสื่อถึงความรักของทั้งสองเพียงแค่นี้ก็อบอุ่นน่ารักดีอยู่แล้ว ของสองตัวละครนี้ แต่หนังยังไม่หยุด หนังยังใส่ฉากเพิ่มดีกรีความหวานของทั้งสองนี้ขึ้นมาเรื่อยๆ เป็นเวลาร่วมหนึ่งชั่วโมงเต็ม จนนำไปสู่ฉากเลิฟซีนที่ดุสะอิดสะเอียน และไม่สมจริงจนน่าอึดอัด เพราะนอกจากจะเป็นฉากที่จงใจใส่โดยไม่คำนึงถึงความสมจริงแล้ว นักแสดงยังเล่นฉากเลิฟซีนได้อย่างไร้แรงดึงดูดซึ่งกันและกัน ประหนึ่งเพียงแค่นำปากมาประกบกันให้เรียกว่าเป็นการจูบเท่านั้นเอง โดยลืมไปหรือเปล่าครับง่า จุดประสงค์ที่แท้จริงแล้วของการจูบคืออะไรกันแน่?
จากความเห็นนี้ เดาว่าคุณคงไม่เคยผ่านความรักมา ประเด็นแรก เค้าต้องการเล่าเรื่องค่ะว่าความรักของมิวและโต้ง เกิดขึ้นได้อย่างไร
คิดว่านิสัยของโต้งในเรื่องคงเป็นประเภท ชอบปกป้องคน ตอนเด็กๆโต้งคงไม่ชอบเห็นการถูกรังแก ยิ่งเป็นคริสเตียนด้วยแล้ว ด้านความรักเป็นสิ่งสำคัญมาก โต้งคงเห็นมิวเป็นเพื่อนแถวๆบ้านด้วย
จากจุดนี้ มิวฅซึ่งเป็นเด็กที่ไม่มีใครนอกจากอาม่าแล้ว เค้าคงเหงามากๆ พอได้มาเจอโต้งอีกครั้ง สิ่งต่างๆที่โต้งเคยทำให้ประทับใจ ก็คงพรั่งพรูมาจากความทรงจำเก่าๆ ถึงเวลานี้ ดิฉันไม่เห็นว่ามันจะเยอะตรงไหนเลย ที่มีฉากชายรักชายเยอะไป คิดว่าน้อยไปด้วยซ้ำ ประเด็นครอบครับของโต้งยังเยอะกว่ามากๆ ไปดูนี่ไม่คิดว่าเป็นหนังเกย์นะคะ คิดว่าเป็นหนังดราม่าสอดไส้ความรักเกย์
หนังสื่อความรักทุกรูปแบบจริงๆ
ยิ่งไอ้ฉากที่คุณว่าสะอิดสะเอียน เดาว่าถ้าคุณไม่เป็นชายแท้ที่เกลียดเกย์มากๆ ก็คงเป็นเกย์ที่แอ๊บแมนมากๆ หรือไม่ก็เป็นเกย์ที่ไม่เคยผ่านประสบการณ์เหล่านี้มา
หนังของพจน์ อานนท์ น่าเกลียดกว่าเยอะค่ะ
ฉากนี้ถือเป็นจุดอ่อนที่หนังโจมตีตัวเองโดยไม่รู้ตัว เพราะมันดูไม่สมเหตุสมผล และง่ายเกินไป ผมจะแจกแจงให้ดูครับว่าทำไม มิวและโต้งต้องจูบกันที่สวนหน้าบ้านเพื่อให้ตัวละครแม่มาเห็น จากนั้นตัวละครแม่จะได้เข้ามาขัดขวางความรักของทั้งคู่ ซึ่งจะได้เป็นปัญหาใหญ่อีกชิ้นหนึ่งของเนื้อเรื่อง เพราะถ้าหากสองคนนี้ไม่มาพลอดรักกันอย่างประเจิดประเจ้อเช่นนี้ ตัวละครแม่ก็คงจะไม่มาข้องแวะในจุดนี้ จริงไหมครับ? ซึ่งเมื่อคิดดูดีๆ แล้ว จะเห็นถึงความโง่ของตัวละครได้อย่างดีเลยครับ เขานอนกอดกันสองต่อสองอย่างปลอดภัยในห้องนอนทั้งคืนไม่ยักจะทำอะไรกัน แต่ในสวนหลังบ้านที่ซึ่งจะมีใครมาพบเห็นได้ง่ายๆ ทั้งสองกลับเลือกที่จะใช้เป็นที่แลกลิ้นกัน อย่าบอกนะครับว่าต้องจูบกันจริงๆ เพราะเพิ่งจะซึ้งในบทเพลงที่เพิ่งมอบให้ เพราะแค่นี้หนังก็เยิ้มจนแมลงตอมแล้วครับ หยุดเทน้ำตาลแล้วปรุงรสภาพยนตร์ของคุณด้วยเครื่องปรุงชนิดอื่นซักที เพราะรูปแบบภาพยนตร์แบบนี้สำหรับผม มันก็เป็นเพียงแค่การจงใจจับวาง จงใจใส่ฉาก โดยไม่คำนึงถึงความสมจริง และความคิด และมิติของตัวละครเอาซะเลย แต่ถึงกระนั้นนะครับ ระหว่างที่ผมชมฉากๆนี้ ผมยังคิดกับตัวเองเสมอว่า หนังอาจจะกำลังพาคนดูไปสู่อะไรๆ ที่มันตรึงใจและน่าประทับใจ ให้ตรงคอนเซ็ปของคำว่า รักแห่งสยาม ให้มันมากกว่านี้ แต่ความหวังของผมก็ถูกโยนคืนมาแบบไม่ใยดีด้วยตัวละครทื่อๆ เช่นนี้แหละครับ
บางส่วนที่คุณพูดมาก็ถูก เช่นเรื่องที่ทำไมต้องจูบกันที่สวนหลังบ้าน แล้วแม่มาเห็น
อันนี้แล้วแต่จะตีความนะคะ คนที่ระวังตัว ปกปิดก็คิดว่า โอ้ยย เว่อร์ ทำไมต้องมาจูบกันตรงนี้
แต่บางคนที่อารมณ์มันพาไป ต่อให้ล่อแหลมแค่ไหน ก็ทำกันได้
เพื่อนดิฉันยังเคยร่วมเพศกันขณะที่ดิฉันนอนอยู่ข้างๆมันเลยค่ะ น่าตกใจมาก
หรือตัวดิฉันเองนี่แหละ ที่แอบจูจุ๊บกับแฟนตอนแม่แฟนเผลอหันหลังให้ เหมือนเป็นอารมณ์ที่ห้ามไม่ไหว
คิดว่าผู้กับกับ คุณมะเดี่ยวที่เขียนบทเอง คงผ่านประสบการณือย่างนี้มาเอง หรือไม่ก็ได้ถามจากคนใกล้เยงว่าเคยอะไรอย่างนี้มั๊ย
ถ้าแม่ไม่มาเห็น แล้วหนังจะเดินเรื่องต่อยังไงคะ ประเด็นความรักที่เป็นจริงในสังคมและเจ็บปวดคงไม่เกิดให้เราได้ตระหนักในหนังเรื่องนี้
โดนัท
โต้ง เธอยังรักเราอยู่หรือเปล่า"
ตัวละครโดนัทชี้ให้เห็นถึงนิสัยสาวสวยผู้มีแฟนหนุ่ม ในบ้านเราทุกวันนี้ นิสัยของผู้หญิงสวยทั่วไปที่อยากให้แฟนมาดูแล เอาใจ ซื้อของให้ พาไปเที่ยว โดยที่ไม่คำนึงด้วยซ้ำว่าแฟนนั้นรักตัวเธอบ้างหรือเปล่า หรือตัวเธอเองนั้นรักแฟนเธอบ้างหรือเปล่า? ความรักแบบนี้คิดว่ามันจะรอดไปได้กี่น้ำเชียวครับ ประโยคทิ้งท้ายของเธอแสดงธาตุแท้สาวสวยผู้ไม่รักจริงได้ดีเชียวครับ ผมค่อนค้างชอบตรงนี้ แต่ที่น่าตลกจริงๆ เกี่ยวกับตัวละครตัวนี้ก็คือ เธอช่างเป็นตัวละครที่โชคดีมาก เพราะว่าเธอถูกโปรโมทในฐานะ หนึ่งในตัวละครนำทั้งสี่
แต่ความจริงแล้วในเนื้อเรื่องนั้น จะเห็นได้เลยว่าตัวละครโดนัทเป็นตัวละครที่ ไม่มีก็ได้ ไม่จำเป็นต้องใส่ตัวละครนี้มาเพื่อสร้างฉาก เย็นชาใส่แฟน หรอกครับ เพราะเพียงแค่นี้ก็เห็นได้ชัดว่า ตัวละครโต้งฝักใฝ่เพศใด อีกอย่างการแสดงของเธอนั้น ผมว่ามันก็อยู่ต่ำกว่ามาตรฐานหนังเด็กทั่วไปด้วยซ้ำ หรืออาจจะเป็นเพราะบทไม่อำนวย ก็คิดดูเอากันเองเถอะครับ
เพราะหนังไม่ต้องการสื่ออะไรมากกับบทของโดนัทไงคะ ง่ายๆ แค่อยากให้คนรู้ว่า เด็กสาวสมัยนี้มีความรักอย่างนี้กันเยอะ แค่นั้นเอง และเท่าที่เห็น เค้าก็ไม่ได้โปรโมทมากขนาดนั้น หรือถ้าจะเอามาโปรโมท ก็ไม่แปลก ซึ่งอาจเป็นแผนการตลาดหรืออาจเป็นตัวเดินเรื่องคนนึง ถึงไม่สำคัญมาก แต่ก็ถือเป็นตัวหลักได้
โต้ง
เราเป็นอะไรอ่ะ เราเป็นอะไร..."
ก่อนพูดถึงตัวละครโต้ง ขอกล่าวถึงการแสดงของนายมาริโอ้ กันก่อนนะครับ สำหรับผมนายคนนี้เล่นได้ทื่อมากครับ ซากกะเบือที่บ้านผมยังมีส่วนเว้าส่วนโค้งมากกว่าการแสดงของเขาซะอีก ไม่ว่าจะเป็นฉากเดิน ฉากคุย ฉากซึ้ง ฉากสนุก นายมาริโอ้ก็มีโทนเดียว พอจะดูเป็นนักแสดงขึ้นมาหน่อยก็ตรงฉาก ซอกคอ ที่สามารถทำให้ตัวละครมีมิติขึ้นมาหน่อย แต่โดยภาพรวมแล้ว นายคนนี้ดูท่าจะไม่มีฝีมือทางการแสดงเท่ากับการถ่ายแบบเดินแบบเท่าไหร่นัก แต่ยังไงซะนี่ก็เป็นเพียงแค่การแสดงหนังใหญ่เรื่องแรกของเขา แต่หากโด่งดังได้เล่นต่ออีกสอง สามเรื่อง แล้วยังจะมาโทนเดียวแบบนี้อีก ก็คงไม่เสียเวลามาวิจารณ์นายคนนี้แล้วละครับ
แปลกนะคะ คุณมองแค่ความทื่อ ซึ่งจริงๆอาจเป็นบุคลิคของโต้งในหนังนะคะ ประเด็นนี้ ทำให้ได้เห็นการเป็นนักวิจารณ์ของคุณได้ว่า ยังต้องฝึกอีกเยอะ เพราะเท่าที่ดูๆ
ดิฉันคิดว่า มาริโอ้เล่นได้ดีทีเดียวกับการแสดงครั้งแรก
เค้าเล่นเหมือนเด็กที่อมทุกข์กับปัญหาของครอบครัวแต่ก็เหมือนไม่ได้ใส่ใจ แต่จริงๆแล้วเค้ารักทุกๆคนในครอบครัวมาก
เท่าที่ดิฉันได้ไปอ่านความเห็นของคนต่างๆตามเวบหรือแม้กระทั่ง ผู้กำกับหรือนักแสดงที่อยู่ในวงการบันเทิง คิดว่ามาริโอ้เล่นได้ดี ถึงจะไม่ดีมากเท่าน้องพิช แต่มาริโอ้สื่อดวงตาได้อมความเศร้ามากๆ เหมือนเด็กที่แบกความทุกข์มานานตั้งแต่เจอสภาพครบอครัว
ที่สำคัญ ตอนดิฉันเด็กๆเรียนมัธยม ดิฉันมีเพื่อนผู้ชายที่เงียบๆ เท่ห์ๆ ดูทื่อๆแบบนี้เยอะคะ
ที่ดูทื่อๆคิดว่าเป็นบุคลิกนะคะ ไม่ใช่การแสดง เพราะสำเนียงการพูดก็ลื่นไหลดีนี่คะ ไม่เห็นเหมือนคนท่องบทเลย
ลองกลับไปดูอีกรอบนะคะ
มาว่ากันต่อที่ตัวละครโต้ง สืบเนื่องจากการแสดงทื่อๆ นั้นทำให้ตัวละครดูเรียบ ง่าย และยากที่จะรู้ว่าในหัวเค้าคิดอะไรอยู่ ซึ่งอันที่จริงผมคิดว่า ในหัวเขาอาจจะไม่มีอะไรให้คิดมากนักหรอกมั้ง ต่อให้พี่หายแกก็นิ่ง พ่อป่วยแกก็นิ่งมองดู แม่เครียดแกก็นิ่ง เลิกกับแฟนนี่ยิ่งนิ่ง ถ้าชีวิตจริงนิ่งได้มากมายขนาดนี้ผมคิดว่าต้องไปปรึกษาแพทย์แล้วละครับ
แต่ดิฉันคิดว่าชีวิตจริง ไม่มีใครมาฟูมฟายหรอกค่ะ คุณคงไม่เคยพบการปัญหาเหล่านี้ มันไม่เหมือนละครเจ็ดสี หรือละครช่องสามนะคะ ที่จะต้องมาร้องไห้ปานจะขาดใจ น้ำตาแทบจะเป็นเลือด มันเป็นชีวิตค่ะ ชีวิตจริงที่บางครอบครัว รู้สึกชาชิน
ดิฉันว่าหนังทำได้เหมือนชีวิตจริงออก ถึงจะไม่สมบูรณ์ก็เถอะ
อ่านความเห็นนี้แล้วตกใจมาก ชีวิตจริงเวลาเจอปัญหาอะไร คนเค้าไม่ค่อยฟูมฟายกันในทีเดียวหรอกค่ะ เค้าจะค่อยๆแสดงอารมณ์ออกมา เช่นโต้งที่เจอะเจอปัญหาที่บ้านทุกวัน
จนได้มาเจอมิว อย่างที่เค้าอยากจะหรีไปค้างบ้านมิว คงเพราะเบื่อปัญหาที่บ้าน
ไม่จำเป็นนะคะที่โต้งต้องลุกขึ้นมาปฏิวัตสถานการณ์ภายในบ้านให้เห็นว่า พ่อครับลุกขึ้นสู้นะ
แม่ครับ ลดทิฐิลงบ้าง หรือออกล่าตามหาพี่สาว
อ้อๆๆ อีกอย่าง อย่างน้อยเค้าก็พาจูนมาหลอกพ่อไงคะว่าเป็นแตง แค่นี้ยังไม่เว่อร์พอเหรอคะ
อันนี้น่าจะสมใจคอละครไทยได้นะคะ
แต่โชคดีเป็นของเขาครับ เพราะเขาเป็นนักแสดงที่มีเสน่ห์สูงเลยทีเดียวครับ การทำสีหน้าเรียบๆ แล้วพูดบทซึ้งๆ น่าสงสารๆ ก็เรียกใจคนดูได้ครึ่ง ค่อนโรงภาพยนตร์ อย่างเช่น เดี๋ยวถ้าโต้งคิดไม่ถูกใจแม่ แม่ก็ดุโต้งอีกอ่ะ ถ้าเป็นนัแสดงคนอื่นพูดอาจไม่ซึ้งเท่าไหร่นัก แต่ดันเป็นหนุ่มมาริโอ้พร้อมใบหน้าใสซื่อ หล่อเหล่าสำนึกผิด บทนี้จึงดูดีขึ้นไปถนัดตา จริงไหมล่ะครับ
ปัญหาของตัวละครนี้คือการตัดสินใจว่าเขาจะเลือกเดินชีวิตในเส้นทางใด โดยที่จะไม่ทำให้แม่ของเขาปวดหัวไปมากกว่านี้ ในความคิดของผมคิดว่าประเด็นปัญหาของเขาเป็นประเด็นที่ดีมากต่อสังคมทุกวันนี้ เพราะมีวัยรุ่นไม่น้อยที่กำลังเผชิญปัญหาเดียวกับโต้งอยู่ แต่ทว่า การตัดสินใจและการกระทำของเขา กลับไม่ตอบปัญหาที่คาใจตัวเขาเองได้ดีเท่าไหร่นัก จากเด็กสับสนจนต้องจูบชาย จับนมหญิง เพียงเพื่อจะได้รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรกันแน่ สุดท้ายเขาก็มองโลกในแง่ดีขึ้นมาฉับพลันแล้วเลือกเส้นทางที่ทำให้แม่ยิ้มได้ แต่ผมอดที่จะถามไม่ได้ครับ ว่าจบแบบนี้จะทำให้ตัวละครมีความสุขไปได้เนินนานเท่าไหร่เชียว?
ตรงนั้นไม่ต้องไปตีโจทย์ก็ได้ ผู้กำกับต้องการให้เราเดาค่ะ หรืออาจจะให้เราคิดเล่นๆว่าจะเป็นอย่างไรต่อ
วัยหัวเลี้ยวหัวต่ออย่างโต้ง ไม่แปลกหรอกถ้าจะสับสนหลงระเริงทำนู้นทำนี่
ยิ่งสังคมปิดๆเปิดๆเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้ เค้าก็ยิ่งต้องการค้นหาตนเอง
โชคร้ายที่เพื่อนๆของวโต้ง ดูเป็นเด็กใจแตก กินเหล้า เที่ยวหญิง ซึ่งสังคมชายแบบนี้ ไม่ค่อยแบบรับพวกชายรักชายค่ะ ต่างกับเพื่อนๆของมิวที่ ไม่รังเกียจมิวเลย
แตง
ใช่ซิ ฉันมันเป็นแค่คนนอก
ตัวละครแตงถือเป็นอีกหนึ่งตัวละครที่ค่อนข้างสำคัญ เธอทำหลายๆ อย่างที่ช่วยให้เนื้อเรื่องดำเนินไปข้างหน้าได้เรื่อยๆ จนจบลงในตอนท้าย แต่คำถามที่สำคัญที่สุดก็คือ อะไรเป็นแรงจูงใจในการกระทำทั้งหมดของเธอ ไม่ว่าจะเป็นการหนีออกจากบ้าน ทั้งๆ ที่เธอก็ไม่ได้ดูมีปัญหาอะไรใหญ่โตกับทางบ้านเลย อะไรเป็นแรงจูงใจให้เธอกลับเข้ามาโดยที่ไม่บอกความจริงในใจ อะไรเป็นแรงจูงใจที่ทำให้เธอต้องกลับไปที่เชียงใหม่อีกครั้งแล้วทิ้งครอบครัวอันน่ารัก น่าสงสาร ให้ประคองกันไปพร้อมน้ำตา อะไรทำให้เธอกลายเป็นคนใหม่ที่กล้ากลับมาทิ้งคำสอน ไว้สอนแม่ของเธอเอง อะไรคือสิ่งที่เธอต้องการจริงๆ ขนาดเธอเป็นตัวละครที่สำคัญกับหลายประเด็นในเรื่อง แต่ตัวละครนี้กลับไร้นำหนักและเหตุผลในการกระทำอย่างไม่น่าให้อภัยจริง แต่โชคดียังมีที่พลอยเล่นได้ดูดี น่ารักสดใส ทำให้ภาพบนจอมีอะไรน่ามองเวลาที่เธอปรากฏออกมา แต่หากวิเคราะห์ตัวละครนี้มากเท่าไหร่กลับมีปัญหาผุดขึ้นมามากขึ้นเทานั้น
คุณดูหนังแล้วเข้าใจมั๊ยคะเนี่ย
จูนกับแตงนี่คนละตัวค่ะ
เพียงแต่หนังต้องการจะเล่นกับคนดู ให้บางอารมณ์เราคิดว่า เอ๊ะหรือจูนก็คือแตงนะ แต่พยายามหลอกทุกคนว่าไม่ใช่
แตง
เธอไม่ได้หนีออกจากบ้านค่ะ เธออาจจะตายไปแล้ว แต่ครอบครัวนี้ยังพยายามหลอกตัวเองกันว่า แต่หลงทาง ยังไม่กลับมา พ่อก็ถามอยู่ทุกวันว่า แตงไปไหนๆ ทำไมในรูปนี้ไม่มีแตง
แม่ก็ได้แต่ตอบว่า เค้าไม่อยู่แล้ว อารมณืสีหน้าสินจัยตอนนั้น คงประมาณว่าเบื่อที่จะตอบแล้วว่าแตงไม่อยู่แล้ว เค้าตายไปแล้ว เค้าหายไปในป่าแล้ว ไม่ใช่แตงหนีออกจากบ้าน
จูน
เมื่อจูนเข้ามาในชีวิตของทุกคน แน่นอนว่าทุกคนคงมีความหวัง
สินจัยก็ถามว่าเป็นใครมาจากไหน และด้วยความบังเอิญหรือผู้กำกับต้องการเล่นตลกให้คุณDarth เวเฟอร์ งงเล่นๆว่าจูนต้องเป็นแตงแต่เล่นละครตบตาแม่เหมือนที่ละครช่องเจ็ดชอบทำ
คิดว่าจุดนี้มันเป็นการสร้างความหวังให้เกิดขึ้นมากับคนดู แต่ชีวิตจริงไม่โชคดีเหมือนละครค่ะ ความจริงก็คือความจริง
จูนเธอก็มาสารภาพแล้วว่าเธอไม่ใช่คนๆนั้น เธอไม่มีงาน เงินไม่พอเรียนต่อ เธอจึงต้องกลับไปเชียงใหม่
ถ้าจูนเป็นแตงจริงๆ ทำไม่เธอไม่กลับมาหาพ่อแม่เพื่อขอเงินไปเรียนต่อละคะ จะทำตัวลึกลับไปทำติ่งอะไร เหนื่อยเปล่าๆ แถมเป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะไม่แสดงความรู้สึกอะไรออกมาเลย
คุณผิดพลาดอย่างแรงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
ในการตีโจทย์ว่าสองคนนี้เป็นคนเดียวกันนะคะ
ข้อดีข้อเด่น: ข้อดีของภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็มีอยู่พอตัวนะครับ ซึ่งข้อดีที่โด่ดเด่นที่สุดก็ต้องไปตัวละครสุนีย์ แหละครับ ที่รับบทโดยสินจัย ดาราชั้นนำของบ้านเรา นอกจากในประเด็นของการแสดงของเธอแล้วนั้น ที่ผมอยากจะชื่นชมในละครเรื่องนี้ก็คือมุมกล้องครับ มุมกล้องเรื่องนี้ทำได้สวยงามในหลายๆ ฉาก โดยเฉพาะฉากการเดินที่สยาม ถึงจะดูละม้ายกับมุมกล้องหนังชื่อดังบางเรื่อง ก็ไม่อยากเอามาว่ากัน เพราะถึงยังไง มุมกล้องที่คุณทำได้ ก็อยู่ในระดับเหนือกว่าหนังหลาย ๆ เรื่องที่ผมได้ชมมาในระยะนี้ แต่เวลาที่หนังเปลี่ยนฉากแล้วมีเสียงของฉากต่อไปดังขึ้นมาก่อนซักพัก แล้วค่อยเห็นภาพของฉากนั้นก็ดี แต่ว่าคุณใช้มันเยอะเกินไปมาก จนทำให้หนังดูช้า งุ่มง่าม ไปโดยปริยาย
ข้อนี้อคติล้วนๆ ใช้มุมกล้องเดียวกับหนังเรื่องอื่น ไม่จำเป็นต้องหมายความว่าเค้าจะลอกมานีคะ การเรียนภาพยนต์คิดว่าของแบบนี้ นำมาใช้ต่อๆกันได้ อีกอย่างเค้าอาจจะขอทริบิวผลงานของคนที่เค้าปลื้ม
และอีกอย่างที่อยากชมคือเพลงประกอบครับ ขอยอมรับเลยละกันว่าเป็นเพลงที่ไพเราะ ติดหูติดปากได้ง่ายจากการฟังไม่กี่รอบ เนื้อหาโดนใจคนเคยมีความรัก ถึงแม้จะเป็นความรักช่วงสั้นๆ อย่างที่เห็นในตัวหนังก็เถอะ
ว่าจากเรื่องเพลงและมุมกล้องแล้วขอกลับมาที่ตัวละครสุนีย์อย่างเป็นทางการนะครับ
เพลงเพราะจริงๆค่ะ
สุนีย์
ฉันยังทำดีไม่พออีกหรอ
การแสดงของสินจัยของกล่าวสั้นๆ ให้เข้าใจตามกันว่าอยู่ในระดับที่เธอสมควรจะทำได้อยู่แล้ว และมันก็น่าชื่นชมมากเพราะมีนักแสดงบ้านเราไม่มากนักที่จะสร้างฝีมือได้ในระดับนี้ ซึ่งมันสงผลให้ตัวละครน่าเชื่อถือ น่าเห็นใจ และน่าเคารพ ยิ่งตัวละครเจอปัญหามากเท่าไหร่ คนดูก็จะยิ่งเห็นใจเธอมากเท่านั้น การแสดงของสินจัย ช่วยให้หนังเรื่องนี้มีมิติและมุมมองข้อคิดขิ้นมาอีกเยอะ หากปราศจากเธอแล้ว คงไม่ต้องนึกเลยว่าหนังเรื่องนี้จะมีรูปร่างหน้าตาเป็นเยี่ยงไร และสิ่งที่ผมคิดมาตลอดเกี่ยวกับตัวละครนี้ก็คือ เธอช่างเป็นตัวละครสุดยอดคุณแม่จริงๆ เธอทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเท่าที่แม่หนึ่งคนจะทำเพื่อลูกได้แล้ว ติดอยู่เพียงนิดเดียวเท่านั้นเอง ผมว่าเธออาจจะลืมคิดไปว่าเส้นทางที่เธอเลือกให้ลูกมันคือเส้นทางที่จะทำให้ลูกของเธอมีความสุขอย่างแท้จริงไปตลอดชีวิตหรือเปล่า? เส้นทางนี้คือเส้นทางที่ลูกเธอต้องการจริงๆ หรอ? เพราะเส้นทางที่ดีและสมบูรณ์แบบที่สุด มันไม่ได้แปลว่าถือเส้นทางที่ทุกคนต้องการ...
คุณสินจัยเป็นนักแสดงที่ใช้เทคนิเคลค่ะ ไม่เหมือนพลอยที่ใช้Metheod ไม่รู้สะกดถูกป่าว
คือสินจัยใช้เทคนิคขั้นเทพมาใช้ในการแสดง ส่วนพลอยใช้ตัวเองเข้าไปอยู่ในโลกนั้นจริงๆ
หญิง
ตราบใดที่มีรัก ย่อมมีหวัง
ตัวละครหญิง เป็นตัวละครที่ผมชอบที่สุดในเรื่องนี้ครับ เพราะบทบาทของเธอแสดงออกมาได้อย่างชัดเจนที่สุด ว่าเธอต้องการอะไร และการแสดงของเธอก็น่ารักเหมาะสมกับบทบาทอย่างดีมาก เห็นได้หลายๆครั้งว่า เธอเป็นตัวละครที่มีปัญหาทรมานใจไม่น้อยกว่าคนอื่นๆ แต่เธอเป็นตัวละครเดียวที่ยังออกมา ยิ้มได้ ยังออกมาสร้างความรู้สึกดีให้ตัวละครอื่นได้ ยกตัวอย่างฉาก อ้อนวอน นรกแตก ที่ร้านขายของเล่น นั้นเป็นเหตุผลที่ผมชอบตัวละครนี้ที่สุด ถึงแม้ตอนจบเธอจะถูกทิ้งแบบไร้ใยดีเท่าที่ควรก็ตาม ว่าตัวละครที่มีจุดประสงค์แรงและนำเรื่องผ่านอุปสรรคในหลายอย่าง แต่สิ่งที่เธอได้รับตอบแทนก็การยืนร้องไห้ โดยที่มีคนยืนรายล้อมแต่ไม่มีใครเข้าใจเธอจริงๆ ซักคน...
ชอบหญิงเหมือนกันค่ะ ตัวละครหญิง ต้องการสื่อให้เห็นความรักที่บริสุทธิ์ค่ะ เสียสละให้คนที่เรารักไปมีความสุขได้
คิดว่าช่วงท้ายๆ หญิงก็แอบๆชอบโต้งแล้วเหมือนกัน
มิว
มันเหงาจนน่ากลัว
มิวเป็นตัวละครที่ได้ความน่าสงสารจากผมอย่างเต็มหน้าตัก ตัวละครที่โดนความเหงากัดกินหัวใจ จนไม่รู้ว่าหัวใจของตัวกระซิบบอกอะไรกับตัวเองอยู่ ผมสงสารมิวในสิ่งที่เขาต้องเผชิญ เพราะความเหงานั้นถือเป็นสิ่งที่โหดร้ายที่สุดสิ่งหนึ่งที่มีในโลกใบนี้ เมื่อมิวได้พบโต้ง คนที่ช่วยบรรเทาอาการเหล่านั้นได้ มิวจึงสร้างสรรค์ความสุขสำเร็จ เพียงแค่นอนกอดหมอนที่มีกลิ่นไอ ความเหงาของมิวก็จางหายไปไม่น้อยเลย แต่แล้วสวรรค์กลั่นแกล้ง เมื่อชีวิตมันไม่ง่ายอย่างที่คิด ความรักของเขาถูกขัดขวางความเหงาของเขาก็กลับมาอีกครั้ง ซึ่งนักแสดงก็ทำหน้าที่ได้น่าพอใจมากครับ สำหรับมือใหม่ หากมีการพัฒนาฝีมือขึ้นไปเรื่อยๆ ก็อาจจะได้ใจผมมากกว่านี้ ซึ่งผมจะติดตามดูต่อไป
แต่กระนั้นก็เถอะ สิ่งที่มิวได้รับในตอนท้ายก็ไม่แตกต่างจากตัวละครอื่นเท่าไหร่นัก เขามีความสุขเขายิ้ม เหมือนบางอย่างได้เติมเต็ม เมื่อของเล่นชิ้นสุดท้าย ถูกต่ออย่างสมบูรณ์ แต่ในเวลานั้นน้ำตาเขาก็ไหลไม่หยุด ในอนาคตต่อไป เมื่อความเศร้าเหือดหายไปจากใจมิว และเขาได้มองเห็นของเล่นชิ้นนี้อีกครั้ง ผมเชื่อว่ามันจะทำให้รอยยิ้มมิวกลับมาได้เสมอ เพียงแต่นี้คือบทเรียนชิ้นใหญ่ที่มิวต้องรับรู้ ว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญกว่ากันในชิวิต และอะไรคือสิ่งที่เขาควรใขว่คว้ามาให้ได้ หรืออะไรเป็นสิ่งที่เขาควรทำใจและปล่อยมันไป... โชคดีครับ มิว...
ความเหงาเป็นของคู่กับมนุษย์ค่ะ ส่วนตัวคิดว่า มิวโชคดีกว่าโต้ง
มิวมีเพื่อนที่ดี เข้าใจในความเป็นเพศที่สาม
มีโอกาสในการทำเพลง
หน้าตาน่ารัก
คือพูดง่ายๆ ถึงมิวจะเหงา แต่หนทางชีวิตของเค้าดูดีกว่าโต้ง
ที่โต้งมีแต่เพื่อนแย่ๆ อาจนำพาไปในทางที่ผิด ทั้งปัญหาครอบครับที่ตอนจบเราก็เดาต่อไม่ได้ว่า จะดีขึ้นหรือจะร้ายลง
ซ้ำโต้งอาจจะยังไม่เข้าใจตัวเองมากขึ้นไปอีก
คิดว่าโต้งน่าสงสารกว่าค่ะ ต้องมาบอกคนที่รักว่า เป็นแฟนกันไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่รักนะ
มันเจ็บปวดกว่า
สรุปส่งท้าย: รักแห่งสยามเป็นหนังที่ชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในหลายหลังคาเรือนทุกวันนี้ แต่ตัวหนังยังไม่สามารถแก้ปัญหาที่ตัวเองผูกขึ้นมาเองได้อย่างสมเหตุสมผลดีนัก หากหนังเรื่องนี้จะหาที่มาที่ไปของตัวละครและน้ำหนักแรงจูงใจให้ ชัดเจนและมั่นคงกว่านี้ หนังอาจจะดูเข้มข้นขึ้นอีกหลายเท่าตัวเลยทีเดียว และที่สำคัญก็คือหนังไม่ได้สร้างความประทับในช่วงท้ายได้คุ้มกับที่สร้างปมลากยาวไว้ร่วมสามชั่วโมง หากใจความของหนังที่จะนำเสนอมีเพียงแค่นี้ ก็ควรที่จะทำให้หนังกระชับขึ้น บีบส่วนที่ผสมกันได้ให้มันไหลลื่นเข้ากัน และตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นทิ้งออกไป หนังเรื่องนี้จะงดงามขึ้นมาทันควัน
ถ้าหนังจบแบบครอบครับที่แสนสุข พ่อแม่ลูก มีหมาอีกสักตัวสองตัว
โต้งได้รักกะมิว
ทุกคนมีทางออกสวยหรู
ก็คิดว่าหนังคงดีต้นปลายเลว
เพราะคุณค่าคงหายไป เพราะหนังเรื่องนี้มีสิ่งที่ต้องการสะท้อนคือความจริงของสังคมค่ะ
แต่ในเวลาเดียวกันหนังมีสร้างเสน่ห์ให้ตรงตรึงใจใครหลายๆ คน ซึ่งเห็นได้ชัดว่าความตราตรึงเหล่านั้นมันมาจากนักแสดง และบทที่เป็นประสบการณ์ของใครหลายคน ลองคิดดูดี ๆ ซิครับ ว่าหากคุณจะยกหนังเรื่องนี้ให้เป็น หนังดีที่สุดเรื่องหนึ่งของไทย อะไรที่ทำให้มันได้ใจคุณถึงเพียงนั้น เสน่ห์ของตัวภาพยนตร์ หรือเสน่ห์ของนักแสดง กันแน่? เพราะสำหรับผมแล้วนั้นหนังดีจะต้องมีอะไรให้คนดูมากกว่า ความซ้ำซาก และเสน่ห์ทางรูปกายภายนอก
หลายองค์ประกอบค่ะ หนังเรื่องนี้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่า เป็นหนังที่ดีด้วย คนชอบด้วย
ไม่ใช้ทำมาอาร์ตแต่คนไม่ดู หรือทำมาคนดูเยอะแต่ห่วย
ถ้าไม่ดีจริง คนในพันทิบคงไม่พยายามสร้างห้องหนังเรื่องนี้กันหรอกค่ะ ขวัญใจมหาชน ทั้งเกย์ ชาย หญิง ทอม ดี้ สารพัดค่ะ
ชื่น
ชอบ: 2 เต็ม 5
เกรด: C+
|
Wed Nov 28, 2007 8:56 pm |
|
|
apple asmar
FF>>Member ระดับเบบี๋
เข้าร่วม: 12 Sep 2007
ตอบ: 10
ที่อยู่: ความลับ
|
บอกก่อนเลยว่ายังไม่เคยดูแต่อ่านวิจารณ์แล้วดุเด็ดเผ็ดมันมากนายกลับมาแล้วเวเฟอร์
|
Thu Nov 29, 2007 9:33 am |
|
|
cpforpalm
FF>>Member ระดับเบบี๋
เข้าร่วม: 30 Nov 2007
ตอบ: 9
|
ข้อคิดเห็นที่แตกต่าง ของ รักแห่งสยาม
ปกติผมซื้อ Forw Mag เป็นประจำครับ ตรงที่มีเนื้อหาหลายหลาย
วันหนึ่ง มีคนทำ link บทวิจารณ์ของคุณมาให้อ่าน
แล้วก็มาสะดุดกับบทความคุณนี่แหละ เลยขอโพสแลกเปลี่ยนความเห็นซักหน่อย
... รักแห่งสยาม ...
หนังมีประเด็นความรักที่มีหลายรูปแบบ บทบาทหลักทุกตัวละครมีข้อขัดแย้งหรือปมในใจ หนังมีประเด็นหลักๆอยู่จริงๆแค่ 3 เรื่องๆเท่านั้น
1. ปัญหา coming - of -age ของวัยนี้ เน้นในเรื่องเกย์ ( มี conflict แรงที่สุด )
2. ประเด็นเกี่ยวกับปัญหาในครอบครัวโต้ง
3. ประเด็นวงออกัสมีปัญหาจากการที่มิวเปลี่ยนไป
ในประเด็นอื่น ถือเป็นประเด็นเสริมที่เอาเข้ามาให้น้ำหนักของสามเรื่องนี้ ในดูหนักแน่นและบางครั้งมันแทบจะทะลุประเด็นหลักไปเลย ( เช่นประเด็นที่หญิงช้ำรัก ที่หลงรักเกย์ )
การวางบทนั้น ผมคิดว่าบทภาพยนตร์ได้วางประเด็นได้ซ้อนทับแบบเหลื่อมกันเริ่มต้นแค่เล็กน้อยก่อนที่จะมาซ้อนกันเป็นเหตุการณ์ที่ต่อเนื่อง ทำให้การตัดสินใจของบางคน ส่งผลถึงเหตุการณ์หนึ่งที่เกี่ยวกันได้อย่างกลายๆ ทำให้หนังเรื่องนี้มีการกระทำบางอย่างที่ส่งผลต่อความคิดของผู้ชมซ่อนอยู่ ต้องดูอย่างมีสมาธิและไร้อคติ !!!
เริ่มฉากเจ้าปัญหาฉากที่ 1 ... ฉากมิวตอนเด็กร้องให้เมื่อจากโต้ง
เด็กครับ...เด็ก เด็กอย่างมิวไม่มีเพื่อนมากนะครับ โดนแกล้งประจำ โต้งคือเพื่อนคนเดียวที่เล่นด้วย โต้งเป็นคนให้ของขวัญ เพื่อนถ่ายรูปและอีกสารพัดสารเพ แต่ในขณะที่โต้งมีเพื่อนเล่นมากกว่า คำถาม...ตรงไหนชี้ว่า คนหนึ่งมีเพื่อนเล่น อีกคนค่อนข้างไร้เพื่อนยามเด็ก
คำตอบ ... ฉากที่โต้งตอนเด็กมีเพื่อนเล่นฟุตบอล แต่มิวได้เดินดูน้ำหวานชะเง้อมองคนอื่นเล่น รวมถึงฉากที่ล้างถาดใส่สี คิดเองนะครับ เด็กนะครับ จะวาดรูปที คงมีเพื่อนทำเป็นกลุ่ม ( ยกเว้นมันจะส่งการบ้านไม่ทัน ) แต่นี่ ทำอะไรก็ทำคนเดียวไปหมดตอนเด็ก .. แล้วไอ้โต้งก้เจอเหตุการณ์ที่มิวโดนแกล้วถอดกางเกงดู " จุ๊ " เลยเข้าไปช่วย
กลับมาประเด็นเดิม ... อย่างที่เห็น ว่ามิวนั้นไร้เพื่อน เผลอๆอาจโดนมองเป็นเกย์ตั้งแต่เด็ก ( เหตุการณ์ในห้องน้ำนั่นแหละ ชนวนบอกเหตุการณ์เป็นเกย์ของมิว เด็กผู้ชายด้วยกันคงไม่แกล้งเด็กที่สู้ตัวเองได้หรอกครับ มันจะแกล้งคนที่อ่อนแอกว่า อันนี้เป็นธรรมชาติเด็ก ที่หลายคนมองเช่นผมมั้ย ) กอรปกับ อารมณ์ศิลปินกว่าของมิวที่อาม่าปลูกฝัง ไม่แปลกเลยที่เมื่อเพื่อนเล่นคนเดียวอย่างโต้งจากไป มิวจะร้องให้
ลอกมั้ยกับ La Mala Educacion : จากกันแล้วร้องให้ในเด็กเจอกันออกจะบ่อย อาจไม่แปลกที่มีการซ้ำกัน เพราะหากไม่ร้องให้ สิ่งที่หนังจะขาดไปคือ
1. อารมณ์อันอ่อนไหวของมิว
2. ความรู้สึกของมิวที่เริ่มต้นจะมากกว่าเพื่อนแต่เด็ก มันอาจไม่ชัดแจ้ง แต่มันก็เกิดประเด็นให้คิด
ถ้าไม่ร้องให้หล่ะ .... หนังก็จะเบาในประเด็นที่ว่ามิวนั้น มีหัวใจที่พิเศษขึ้นมากกว่าเพื่อนกับโต้งมาแต่เด็ก อันที่จริงอายุแค่นั้น มันไม่เกี่ยวกับเรื่องแฟนหรอกครับ มันเกี่ยวข้องกับอารมณ์เพื่อนล้วนๆ แต่เป็นเพื่อนที่น่าจะพิเศษกว่าเพื่อนปกติ พอจะเข้าใจประเด็นมั้ยครับ !!!
ปล. La Mala Educacion หรือ Bad Education เป็นภาพยนตร์จากประเทศสเปนครับ หาได้มาจากฝรั่เศส ถ้าคุณเป็นพวกที่ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับภาพยนตร์และการวิจารณ์หนังในช่วงรางวัล จะรู้ว่า ปีนั้นเกิดข้อถงเถียงกันมากที่สเปนไม่เลือกส่งหนัง La Mala Educacion ของ Pedro ผู้ที่มีดีกรีรางวัลออสการ์ในสาขาบทภาพยนตร์และเข้าชิงผู้กำกับยอดเยี่ยมจาก Talk to her ( หนังที่โคตรดูยากเรื่องหนึ่งของผม บทดีจริงๆ แต่นมเต็มไปหมด o_O ' ) รวมถึงเคยได้ออสการ์ภาพยนตร์ภาษาต่างปรเทศมาก่อนแล้วจาก All about my mother ... แต่กลับส่ง The Sea inside เข้าเสียบแทน ( แถมผลออสการ์ออกมาก็เหมือนตบหน้า Pedro ที่ The Sea Inside ได้ Best Foriegn Language Film อีกต่างหาก ) ... ไม่ทราบว่าพิมพ์ผิดหรือเข้าใจผิด แต่ผมแก้ให้ถูกต้องแล้วนะครับ
อ้อ !!! ฝรั่งเศส เขียอย่างนี้นะครับ ไม่ใช่ฝรั่งเศษ อันนั้นมันเศษส่วน !!!!
|
Fri Nov 30, 2007 4:34 am |
|
|
cpforpalm
FF>>Member ระดับเบบี๋
เข้าร่วม: 30 Nov 2007
ตอบ: 9
|
ข้อคิดเห็นที่แตกต่าง ของ รักแห่งสยาม
ฉากเจ้าปัญหาที่สอง ... ฉาก " จุ๊บ " อันโด่งดัง
อันนี้บอกตรงว่า มันอยู่ที่มุมมอง ถ้าคุณมองแบบรับผิดชอบต่อสังคม มันอาจไม่เหมาะสม หรือมองด้วยความรู้สึกที่อคติ ( อคติ ของผม หมายถึง การให้มุมมองที่ขัดแย้งกับความรู้สึกของตนเป็นหลัก ไม่ได้แปลว่า มองแบบใส่ร้ายอะไรทำนองนั้นนะครับ )ก็จะเห็นว่ามันเกินเลยได้ แต่ถ้ามองว่าคือการแสดงออกซึ่งสัญญาณบางอย่างในหนัง การจูบมันมีความหมายต่อหนังเรื่องนี้มากทีเดียว มันคือจุดเปลี่ยนความสัมพันธ์รพหว่างเด็กหนุ่มจาก 50 - 50 มาแบบเต็มร้อย รวมถึงความรู้สึกของผู้เป็นแม่ที่เห็นเหตุการณ์จากการที่คลุมเครือในความสัมพันธ์ของลูกชายกับเพื่อน ให้ชัดแจ้ง และ รวมถึงเป็นการช๊อคคนดูด้วย !!!
คำถาม ... หนังมีประเด็นอะไรต้องให้ทั้งคู่จูบกัน
ข้อนี้ ถ้าดูหนังแบบเอารายละเอียดของความหมาย ดูรอบเดียวอาจจะไม่ GET นัก แต่ถ้าลองสังเกตุ จะพบว่า มันมีฉากหนึ่งที่เอ๊กซ์และมิว ( ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกันในโรงเรียน เรียนโรงเรียนเดียวกัน อยู่ชมรมดนตรีเหมือนกัน ) ต้องทำการ CPR ซึ่งจะต้องมีการผายปอดกัน พบว่า แม้ขนาดสนิทกันแบบเข้าอกเข้าใจ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผู้ชายจะต้องจูบกัน มันมีข้อกั้นกลางระหว่างความสัมพันธ์ฉันเพื่อน
นั่นคือ การจูบ !!!
นั่นแหละประเด็น มีคนหลายคนมองข้ามในส่วนที่หนังต้องการจะสื่ออย่างน่าเสียดาย อันที่จริง การที่มิวจะโกรธเอ๊กซ์จนไม่คุยกัน มีเรื่องต้องร้อยแปดที่มะเดี่ยวจะเขียนให้ทั้งคู่โกรธจนไม่แยแสกันได้ แต่ทำใมต้องเอาเรื่อง CPR ที่ต้องผายปอด มาให้ผิดใจกันเล่า !!!
มองเห็นเสน่ห์ของบทหนังเรื่องนี้หรือยังครับ !!!
หนังเรื่องนี้มีเสน่ห์ตรงนี้แหละ จุดเล็ๆน้อยๆที่เราต่างมองข้าม มันกลับเป็นตัวชี้วัดถึงการกระทำที่เกิดขึ้นต่อมาของอีกตัวละคร และเป็นประเด็นซ้อนทับกันในการแสดงของนักแสดงแค่ครั้งเดียว ทั้งในเรื่องการแสดงความสัมพันธ์และการแตกแยกของเพื่อนจากการหยอกล้อที่เกินเลย !!
มิวไม่ตอบสนองการสัมผัสที่ริมฝีปากด้วยปากของเอ๊กซ์ เพราะไม่ได้รักเอ๊กซ์แบบแฟน แต่โต้งนั้นอีกอย่าง
ดังนั้น จูบจึงเป็นการแสดงออกถึงว่า ตอนนี้ ทั้งคู่ได้ทะลายกำแพงที่กั้นระหว่างความเป็นเพื่อนออกไปแล้ว ความรู้สึกของทั้งคู่มันมากกว่าที่จะเป็นแฟนกันแล้ว
คำถามต่อเนื่อง ... ทำใมต้องจูบที่หน้าบ้านหล่ะ ที่อื่นมีเยอะแยะถมไป !!!
อันนี้ ต้องเข้าใจถึงธรรมชาติของฮอร์โมน แรงผลักดันทางเพศ และ ลักษณะของวัยรุ่น ช่วง Coming - on - Age นะครับว่า เป็นช่วงที่ปรับเปลี่ยนจากเด็กสู่ผู้ใหญ่ บางเรื่องก็มีเหตุผล บางเรื่องก็อารมณ์ล้วนๆ เมื่อทั้งคู่นั่งคุยกันอยู่หน้าบ้าน ( อันนี้พ่อแม่ก็ไม่ได้คิดอะไรหรอก เพื่อนนั่งคุยกัน ) มันมีเคมีที่สื่อหากันจากท่านั่ง ที่มิวจะนั่งชิดโต้งเพื่อแสดงถึงสัมพันธ์ที่สูงมากขึ้นกว่าเพื่อน
นอกประเด็น ... พิจารณาท่านั่ง : ตั้งแต่วัยเด็ก โต้งแข็งแรงกว่ามิว โต้งเล่นกีฬา โต้งช่วยมิวในห้องน้ำ ดังนั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมา โต้งจึงอยู่ในสถานะที่คอยปกป้องมิวกลายๆหากอยู่ด้วยกัน เลยกลายเป็นว่า โต้งจะนั่งค่อนไปข้างหลังมิวหน่อยๆ เมื่อถึงอารมณ์ซึ้ง โต้งเลยโน้มศีรษะของมิวลงมาที่ไหล่แล้วลูบผม
ตรงนี้ โปรดอย่ามองแบบอคติ ... ให้ลองคิดว่า หากเป็นชายกับหญิง รักกัน คงทำไม่ต่างกัน เกย์ก็คนเหมือนกัน ไม่ต่างกันหรอก !
แล้วถึงตอนนั้น
มันอยู่ที่คำถามของมิว ... มิวถามว่า โต้งรู้สึกอย่างไร ... โต้งเลือกจะจูบแทนการบอกความรู้สึก
เห็นมั้ยครับ ว่าแรงขับดันทางเพศมีอิทธิพล และภาษากายมีความหมายยิ่งกว่าภาษาพูด ที่สำคัญ จูบเป็นการแสดงออกอย่างสากลที่บ่งบอกถึงความรัก ( หากใช้บางกรณีก็บ่งบอกถึงอารมณ์ใคร่ กรณีนี้ ทั้งคู่ ไม่น่าจะคิดเรื่องอารมณ์ใคร่หรอกครับ )
วัยนี้นะครับ เขาถึงมีคำว่า " 18 ฝน " ไงครับ คือมันทำอะไรโดยไม่คิดได้ง่ายๆ แต่มันเป็นแรงผลักดันของฮอร์โมนภายในที่มีอิทธิพลต่อความคิด ในเรื่องเพศก็เช่นกัน ( ขอทำความเข้าใจนะครับ คำว่าเรื่องเพศ ทางการแพทย์ไม่ได้กระโดดลงเรื่องเตียงอย่างเดียว แต่รวมถึงการแสดงออกถึงความรักต่ออีกฝ่ายด้วย )
ตอนคนจะเข้าด้ายเข้าเข็มมันรอไหวเหรอครับ ที่แจ๊คกับเอนนิสก็ยังไม่เห็นรอ ทั้งที่เอนนิสรู้ว่าลูกเมียอยู่บนบ้านแท้ แต่คงคิดว่าไม่เห็น ไม่ต่างจากโต้งที่รู้ว่าแม่อยู่กับจูนหลังบ้าน พ่อนอนอยู่ คงไม่มีใครเห็นเหมือนกัน
แต่ทำม๊ายยยยย .... อัลม่า กับ สุนีย์ ต้องประสบเหตุการณ์เดียวกัน !!!!
คำถามต่อเนื่อง ต้องจูบด้วยเหรอ ถึงจะทรงอิทธิพลต่อสุนีย์ ?
แน่นอนครับ แน่นอน .... อันที่จริงสุนีย์การที่สุนีย์เห็นทั้งคู่โอบกอดกัน มันไม่พอเหรอครับ !!?? มันพอครับ แต่แรงส่งมันไม่แรงครับ ถ้าจะเรื่องอีกครึ่งนั้นต้องการให้มันหนักแน่นมากในทางอารมณ์ของสุนีย์ สุนีย์ต้องเห็นทั้งคู่จูบกัน อย่างที่บอก การจูบแสดงถึงมิตรภาพที่ไม่ใช่แค่เพื่อน
จึงเป็นเหตุผล ที่สุนีย์ไม่มีทางเชื่อว่า มิวไม่ได้รักโต้งสุนีย์ฉันเพื่อนเมื่อเผชิญหน้ากันที่บ้านมิว !!
คำถามยอกย้อน ... แล้วทำใมไม่จูบกันตั้งแต่คืนที่กลับจากซ้อมดนตรีซะเลยเล่า !!!
โอย ! ( ถามเอง เหนื่อยเองที่จะตอบ -_- " ) ย้อนกลับอีกละ ต้องพูดถึงจำนวนครั้งที่โต้งไปบ้านมิว จำได้มั้ย โต้งไปบ้านมิวกี่ครั้งในหนัง
ตอบ 3 ครั้ง แต่ได้เข้าไปที่ห้องนอนแค่ 2 ครั้ง ( อันนี้นับเฉพาะตอนมัธยมนะ )
สองครั้งที่ไปนั้น ครั้งแรก โต้งถามถึงมิวว่า เคยเห็นเขากลับมาบ้างใหม ? ซึ่งถ้าเขากลับมา ต้องก็อยากจะถามว่า ทำใมถึงทิ้งพวกเราไป ?
มันคือการสารภาพว่า รักที่สูญเสียของโต้ง คือการสูญเสียพี่แตงโดยไม่ตั้งตัว ไม่ได้กล่าวลาเลยซักคำ
ครั้งที่สอง มิวเล่าถึงความเหงาที่ Here กับมิว โดยเริ่มต้นที่เมื่อพบว่าอาม่าต้องจากเขาไป จากนั้น มิวก็ต้องอยู่คนเดียวอย่างไร้เพื่อน ( เพื่อนของมิวในวัยเด็กที่มิวให้ความสำคัญ คือ อาม่า จากการที่อาม่าเรียกมิวว่าเพื่อน คนที่สอง คือ โต้ง )
โต้งกอดมิวตอนนั้นหน่ะ ถามจริง มันอยู่ในอารมณ์จะพิศวาสอะไรกันเล่า มันเป็นความเข้าใจซึ่งกันและกันในการสูญเสีย ตรงนั้นที่ทั้งคู่พบว่าต่างคนต่างมีช่องว่างของกันและกัน ช่องว่างที่เป็นรักที่สูญเสียอย่างไม่มีทางได้กลับคืนของทั้งคู่ ( และนั่น อาจเป็นการเริ่มเปิดเผยตัวตนของโต้งต่อมิว เมื่อดึงมิวมานอนซบไหล่ แต่อย่างว่า อารมณ์นั้น ใครจะคิดเรื่องสัปดน !! )
คำถามสุดท้ายของประเด็นนี้ ( สำหรับคนขี้สงสัย ! )... ย้อนกลับในคืนที่โต้งนอนกอดมิว ทำใมโต้งกลับบ้านมา ยังต้องมานอนอีก มันเหนื่อยอะไรมาเหรอ !!!??
ผู้รู้ท่านหนึ่ง เขียนลงเวปพันทิพว่า การนอนที่มีอีกคนมานอนหนุ่นไหล่ ซบอกอยู่นั้น คนนอนซบหน่ะไม่เท่าไหร่ คนถูกซบนี่แหละ เหนื่อย!!! เพราะว่ามันไม่ใช่การนอนที่สบายนักนัก มักจะหลับๆตื่นๆตลอดคืน ไม่แปลกที่กลับถึงบ้าน โต้งจะนอนต่อ !!
เอาเป็นว่า สำหรับฉากนี้ คงน่าจะพอ !!
|
Fri Nov 30, 2007 4:36 am |
|
|
cpforpalm
FF>>Member ระดับเบบี๋
เข้าร่วม: 30 Nov 2007
ตอบ: 9
|
ข้อคิดเห็นที่แตกต่าง ของ รักแห่งสยาม
ปล. จากreply เดิม : จุ๊บแค่ 10 วินาที โดนถกกันไปเป็นเดือนๆ ทีเลื้อยลิ้นใน Bangkok Love Story ไม่ยักกะแบนอะไร !!
สำหรับเจ้าของกระทู้ :: การมองประเด็นหนังนั้น การที่เอาตัวเองเป็น Centre of Universe นั้น จะทำให้เราพลาดการสื่อความหมายในหนังหลายๆเรื่องอย่างน่าเสียดาย ทัศนคติมันอาจแก้ยาก แต่สำหรับคุณ ผมไม่เห็นเป็นเรื่องยาก ในเมื่อคุณก็เคยดู Bad Education มาแล้ว ออกจะเอาข้างหลังกันเอี๊ยดอ๊าดๆ ฉากเซ๊กซ์ลากยากจะร่วมนาที แถมอีตาเกล กราเซีย ยังโชว์ดงใบเฟิร์นหราเต็มจอด้วยอีก !! จูบกัน 10 วินาที ทำใมมันยากที่จะดูนักหล่ะครับ
ว่ากันด้วยตัวละคร หล่ะนะ
โดนสับรายแรก " โดนัท "
ขอไม่วิจารณ์การแสดงของเจ๊แกแล้วกัน อันที่จริงแม้เบสท์จะไม่ได้เล่นดีอะไร ( แข็งไปหน่อยด้วย ) แต่ก็ไม่ได้ขัดหูขัดตามากนัก น่าจะเรียกว่า ไม่ได้ออกมาขัดหูขัดตาบ่อยครั้งมากนัก น่าจะเหมาะกว่านะ งานหน้าเอาใหม่น้องเบสท์ ไปเทคคอร์สการแสดงเพิ่มอีกหน่อยนะ
อ้าว !! ตัดชีออกไปเลยซิ ไม่น่าจะมีผลต่อเรื่อง !!
แหง่ว !!! ( *_* " ) ใครจะมาเป็น conflict ในเรื่องเพศให้กับโต้งหล่ะ อย่าลืมนะ!! ว่าโต้งยังมีความคิดขัดแย้งในเรื่องนี้อยู่ทั้งเรื่อง เพราะหาใช่แค่มันดูผิดปกติแล้ว นั่นอาจถือเป็นบาป คือสิ่งผิด ( มีผู้รู้คนหนึ่งชี้ประเด็นให้ผม ตรงโปสเตอร์รูปไม้กางเขน พื้นเขียว ที่ข้างล่างมีตัวอักษรว่า iBELIEVE ) ถ้าไม่มีโดนัท โต้งก็ไม่ต่างอะไรจากมิวนักซิ นั่นแหละ ที่ทำให้บทของโต้งซับซ้อนยิ่งนัก ( รออ่าน " โดนสับ " คนต่อไปนะครับ ) ตัวน้องเบสท์ก็น่าจะพอเรียกตัวเองได้ว่า สวยเด่น สวยเลือกได้นะ เพราะเธอไม่ขี้เหร่อะไร แต่บทหาวิธีใช้ใช้เธอไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย ( หรือกลัวใช้มากกว่านี้ ก็กลัวน้องแกโดนสับเรื่องการแสดงอีกแหละ !! เอาเป็นว่าพี่พอให้อภัย มือใหม่ หัดเข้ากล้อง )
โดนสับรายที่สอง " โต้ง " หนักหน่อย!! เหรอ !!!???
อันจะว่าการแสดงของโต้งมันดูแข็งๆหน่ะ ควรจะศึกษากิริยาของนายนี่ก่อน ลองดูลักษณะตัวละครซักหน่อย ... โต้งมีลักษณะที่คนทั่วไปพูดว่า " ถ้าไม่รู้จักกัน ไม่รู้ว่าเป็นเกย์หรอก " เพราะอย่างว่า บทสร้างมาเพื่อให้เป็นเด็กหน้าตาดี ( ไม่งั้นไม่ได้น้องโดนัท "สวยเลือกได้ " มาทำแฟนแน่ๆครับ ) แต่ที่ต้องลำบากในการ casting งานนี้คือ นักแสดงที่อายุราวๆโต้ง ที่ต้องมีสีหน้า " อมทุกข์ " โดยธรรมชาติเมื่อใบหน้านิ่งสนิท สังเกตซักนิดว่า เจ้าหมอนี่ตัดสกินเฮด ต่างจากเพื่อนรุ่นๆเดียวกันจะพยายามเลี้ยงผมด้านหน้าหรอไม่ก็ตั้งทรงขึ้นสูงหน่อยๆแบบเบบี๋โมฮ๊อค ไม่ใช่อะไรหรอกครับ มันเป็นเทคนิคบางอย่างในการแสดง แสดงว่า เมื่อเปิดหน้าเจ้าหมอนี่ แล้วทำหน้าอมทุกข์ จะพบว่า คิ้ว หน้าผาก ตา ปาก มันไปด้วยกันหมด
ถ้าจะถามว่าใครเล่นแข็งหน่ะเหรอ บอกแบบไม่กลัวแฟนคลับเขาด่าเลยว่า " จุ๊น เดอะกิ๊ก "
การเล่นอารมณ์บนใบหน้า ถือเป็นงานหินมากสำหรับนักแสดงนะครับ เพราะการพูดจะช่วยดึงอารมณ์การแสดงได้ส่วนหนึ่ง แต่เจ้าโอ้ต้องเป็นคนพูดน้อย พูดห้วน จุดสำคัญหน้าตาต้องอมทุกข์ หาไม่เช่นนั้น มันคงไม่รอด และคนดูไม่สื่อแน่ๆ
ถามจริงนะ ลองไปถามคนที่ดูหนังเรื่องนี้ด้วยกันด้วยเลยว่า เจ้าโอ้ทำหน้ายังไงเมื่อบอกแม่ว่า " ถ้าเลือกไม่ถูกใจ แม่ก็ว่าอีก " ใบหน้านั้นดู " แบ๊ว " หรือ " อมทุกข์ " กันแน่
ใบหน้าของโอ้ที่ไม่พอใจแม่ที่ได้ยินว่าแม่ไปคุยกับมิว ใบหน้าที่มองไปนอกหน้าต่างที่ห้องมิวเพื่อมองหาพี่แตง ใบหน้าที่มองกลับไปหามิวเมื่อเดินสวนกันหลังที่มิวเลิกติดต่อ
สำหรับผม เจ้าหมอนี่ " อมทุกข์ " ชัดๆ
ความหล่อมันหน่ะไม่ใช่ประเด็น แต่ถ้า "แบ๊ว " มันก็ยอมรับว่า " แบ๊ว " แต่นี่มัน " อมทุกข์ " มากกว่า " แบ๊ว "
ฉากไหน... ไม้เด็ดของโอ้หล่ะ ที่พอจะเชื่อว่า พี่แกแสดงเป็นบ้าง ?
ให้เป็น ... ฉากโมโหหญิง คิดจะปล้ำหญิงแต่ทำไม่ได้ แถมหญิงยังท้าทายให้จับหน้าอก ก่อนจะกระชากมือออกอย่างรวดเร็ว
ใบหน้า สายตา ท่าทางที่แสดงออกหลังจากที่กระชากมือนั่นแหละ มันใช่เลย ... ดูเก็บกดยิ่งนัก สีหน้า สายตาที่เหมือนคนอยากจะร้องให้แต่ร้องไม่ออก ท่าทางแบบคนกลั้นความรู้สึกหนักแล้วรั่วออกมารอบเดียวมันใช่เลยหล่ะ ตอนแรกดูฉากนี้ ก็รู้สึกว่าพี่แกใช้ได้ ... แต่พออ่านบทความพี่แท๊กซี่นิรนาม ย้อนกลับไปในโรง โอ!!! น้อง ท่าทางน้องใช่จริงๆด้วย ยอมรับแล้ว !!!
ลักษณะแบบนี้ที่เคยเห็นมาก่อน ก็ไม่ใช่อื่นไกล ... ฮีธ ใน หุบเขาเร้นลับ นั่นแหละ
สังเกตมั้ยครับ ตัวละครนี้จะมีสีหน้าดูเป็นสุขและผ่อนคลายมากว่าเมื่ออยู่กับมิว ... ฉากนี้คงไม่ยาก แต่ก็อีกหล่ะ ฉากที่เหลือมันทุกข์ล้วนๆ โจทย์ยากมั้ยครับ
นี่ยังไม่นับฉากที่ชายแท้ทั้งหลาย ( เสริม..ดร. คินเซย์ ได้ทำการวิจัยแล้วว่า ผู้ชายที่มีรสนิยมแบบ Exclusively Heterosexual , no homosexual มันมีไม่ถึง 10 % นะครับ ) ขยาดที่จะดู จะรับรู้คือ ฉากจูบนั้น เจ้าโอ้ก็ทำได้ แล้วก็คุมเกมได้นิ่งด้วย ไม่รุนแรงแต่สื่อสารได้ว่ามีความรู้สึก แค่เอาปากแตะกันก็ยากละ อันนี้น่าให้คะแนนพิศวาสนะครับ เพราะถ้าเป็นคุณๆเล่นเอง คงแหยะๆ ผะอืดผะอมไม่ใช่น้อย !!!
ฉากท้ายๆ โต้งไม่ได้มองโลกในแง่ดีในฉับพลันหรอกครับ มันมีที่มาของมัน
- โต้งได้อ่านข้อความของจูน ได้กำลังใจจากจูน ผู้หญิงที่ละม้ายพี่สาว มันเหมือนจูนเข้ามาเติมชีวิตช่วงสั้นๆช่วงหนึ่งของโต้ง อย่างที่รู้ ก่อนที่จูนจากไป จูนได้ทิ้งข้อความบางอย่างที่ทำให้รู้สึกดี
- การพูดกับแม่เรื่องตุ๊กตา อันที่จริง การเลือกตุ๊กตาของโต้ง เพราะโต้งชอบสีแดงเท่านั้น ( จากบากของผู้กำกับ แต่ตัวหนังกลับแฝงนัยไว้ว่า เส้นทางข้างหน้าของโต้ง คือการเลือกที่จะรัก " เพศ " ไหน ) สิ่งที่โต้งได้รับจากแม่ในเหตุการณ์นี้ หลังจากที่ตลอดเรื่องที่โต้งอยู่กับแม่สองต่อสองแล้วไม่เคยได้เลยคือ .. รอยยิ้ม .. นี่เป็นจุดเล็กๆอีกที่หลายคนข้ามไปอีกแล้ว ลูกชายจะดีใจอะไรไปมากกว่าได้เห็นรอยยิ้มของแม่ครับ นี่เป็นจุดเริ่มแรกที่แม่ " ยื่น " ทางเลือกให้โต้งเลือก หลังจากที่ตลอดเรื่องแม่แทบไม่ให้ทางเลือกอะไรกับโต้งเลย
- หลังจากที่ผ่านเหตุการณ์ของแม่ เมื่อเจอโดนัท หนุ่มโต้งจากสภาพที่เป็นคนไม่รู้อะไร ไม่อยากตัดสินใจ ตอบคำถามในสไตล์ " ไม่รู้ดิ " ... เมื่อต้องเผชิญกับการที่ต้องเลือกระหว่างโดนัทกับมิว นี่เป็นครั้งที่สองที่โต้งตัดสินใจจะเลือกเพียงหนึ่ง ซึ่งเมื่อพี่แกสามารถพูดออกมาได้ซะทีว่าจะขอเลิกโดนัท มันเหมือนยกภูเขาออกจากอก สีหน้า ท่าทาง มันเปลี่ยนไปเลย สังเกตุมั้ยครับ !!
แต่เมื่อเจอมิว โต้กลับเลือกที่จะไม่ต่อยอดความสัมพันธ์ แต่ขอเก็บความรู้สึกนี้ในใจตลอดไป คำตอบอยู่ที่โปสเตอร์หัวเตียงสีเขียวของโต้งครับ นั่นคือสิ่งที่โต้งเลือก ในวัย Coming - on - age อย่างที่รู้ มันทำอะไรตามอารมณ์ค่อนข้างมาก แต่ก็ต้องมีเป็นบททดสอบแห่งชีวิตที่จะตัดสินใจโดยงานนี้คือการตัดสินใจที่โต้งใช้เหตุผลตัดสินใจ และมี " ความเชื่อ " ( iBELIEVE ) เป็นเหตุผล
ความหมายของโปสเตอร์ คงพอแปลออกนะครับ แปลไม่ออก ลองไป
อ่านความเห็นคนอื่นในเวปอื่นบ้างนะครับ เผื่อจะได้ " มองต่างมุม " ซะบ้าง !!
สรุป !! โอ้เล่นไม่แข็งครับ อาจจะไม่ได้ท่าทาง ลวดลาย สายตา แพรวพราวอะไร แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่บทต้องการ บทต้องการเด็กชายอมทุกข์ทีบุคลิกแข็ง ( ต่างจากเล่นแข็ง ) ผู้ซึ่งมืดบอดในปัญหาชีวิตและจมกับอดีตที่หาคำตอบไม่ได้ และปัญหาใหม่คือ การที่ไม่เข้าใจตัวเองในเรื่องเพศ โอ้ทำได้ในระดับที่น่าพอใจ ไม่เต็มสิบแต่ไม่ขี้เหร่ ไม่ได้แย่จนเว่อร์อย่างที่คุณว่าไว้ซักหน่อย ทั้งที่ท่วงหน้าของเขาโดยธรรมชาติมันน่าจะตรงบุคลิกมากกว่า อย่างที่บอก ไปดู "จุ๊น เดอะกิ๊ก " ก่อนนะครับ แล้วค่อยนิยามคำว่า " แข็ง " นั้น แปลว่าอะไร ?
ปล. สำหรับคำถามที่ว่าจบแบบนี้จะทำให้ตัวละครมีความสุขไปได้เนินนานเท่าไหร่เชียว
คุณมะเดี่ยวตอบสั้นๆ แต่ไม่ต้องอธิบายเพิ่มครับ " ทุกคนมีแผล แต่ชีวิตต้องดำเนินต่อไป "
|
Fri Nov 30, 2007 4:44 am |
|
|
cpforpalm
FF>>Member ระดับเบบี๋
เข้าร่วม: 30 Nov 2007
ตอบ: 9
|
ข้อคิดเห็นที่แตกต่าง ของ รักแห่งสยาม
โดนถากรายที่สาม " พลอย "
การมองของ จขกท ก็เป็นได้ครับ บทนี้ดูอ่อนมากในหลักการณ์เพราะเธอเหมือนคนที่โผล่เข้ามาแบบไร้เหตุผล แล้วจากไปพร้อมกระดาษทิ้งไว้เล่นหนึ่งปึก ไว้ให้โต้งเล่นเกมหาของ
แต่เปล่าเลย ... conflict ของสุนีย์จะแก้ยังไงครับ ถ้าไม่มีจูน !!!
กลับกลายเป็นว่า จูนนี่แหละ คือผู้นำมาซึ่งความสมบูรณ์เนื้อเรื่อง มอบความสมดุลให้กับตัวละครอื่นๆ เหมือนเข็มวินาทีที่นาฬิกาบางเรือนมันก็ไม่มีก็ได้ แต่ถ้าเรือนใดมีเข็มวินาที มันจะสมบูรณ์ขึ้นอีกระดับ เพิ่มเหตุผลของการเดินหน้าในแต่ละนาที
เพราะ
- จูน คือคนดึงมิว เข้ามาอยู่ร่วมในเหตุการณ์สำคัญๆของบ้านโต้ง หลังจากที่มิวห่างหายจากความสัมพันธ์กับบ้านนี้มานาน
- จูน คือผู้ที่มาบอกเล่าแบคกราวน์บางส่วนของแตง ที่รู้แน่ๆก็คือ แตงไม่เคยได้รับการจัดงานอะไรเลยจากพ่อแม่
- จูนคือ คนที่เดินทางอยู่ระหว่างสองเหตุการณ์และเข้ามาเป็น กาว ยึดระหว่าง วงออกัสกับมิว และ ครอบครัวของโต้ง
- จูน เป็นสิ่งคนเข้ามาแก้conflict ของสุนีย์และทำให้ครอบครัวนี้เข็มแข็ง
อย่าเพิ่งทำหน้างง สงสัยเหรอว่าเขาทำให้เข็มแข็งขึ้นยังไง ?
เขาเอาความคิดเห็นในบทวิจารณ์ของคุณแท๊กซี่นิรนามมากล่าวอ้างนะครับ อาจไม่ตรง แต่จับใจความมาได้อย่างนี้ครับ ...
ลองคิดๆดู การจากไปของแตงคือการจากไปที่ทุกคนไม่คาดฝัน ในวันที่ทุกคนรอแตงกลับบ้าน แตงกลับหายไป ในคือจุดเปลี่ยนของครอบครัว ครอบครัวนี้อ่อนแอถึงขีดสุด สภาพจิตใจของกรแตกสลาย สุนีย์และโต้งก็ไม่ต่างจากแก้วที่ร้าวเป็นรอย เพียงแค่กระทบเบาๆก็แตกสลายได้
เมื่อมีจูนเข้ามา ทุกสิ่งดีขึ้น แต่กระนั้น เธอไม่ใช่แตง เธอแค่เหมือนแต่เติมเต็มไม่ได้
วันที่จูนหายไป เธอหายไปโดยไม่ลาเช่นเดียวกับแตง และทุกคนก็รอเธอมางานคริสต์มาสเช่นเดียวกับที่เคยรอแต่งที่บ้าน มันเหมือนเหตุการณ์เดิมเกิดซ้ำขึ้นอีก ต่างไปคือเธอทิ้งข้อความส่งให้คนที่อยู่ข้างหลังเธอก่อนจาก
ครอบครัวนี้ เหมือนแตกสลายซ้ำอีก แต่มันเป็นเหมือนสิ่งสะท้อน ในสภาวะจิดใจของครอบครัวตกต่ำถึงขีดสุด มันกลับทำให้พวกเขากลับมาสนใจซึ่งกันและกันและช่วยกันประคับประคองให้ทุกคนผ่านพ้นเวลาที่เลวร้ายนี้ไปพร้อมกัน มันเหมือนการได้แก้ตัว เหมือนการได้เกิดใหม่ของครอบครัวนี้อีกครั้ง
ผมจึงรู้สึกว่า หนังเรื่องนี้ คลี่คลายในทิศทางที่มันควรจะเป็น เมื่อสุนีย์โผกอดลูกชายคนเดียวอย่างโต้งและมองขึ้นฟ้าเหมือนคิดอะไรในใจก่อนที่จะซบหน้าลงไหล่ของลูกและกอดอย่างแนบแน่นเหมือนกับจะคอยประคอง ในอีกมุมของโต้ง มองไปหาสีหน้าของพ่อที่ต่างออกไปขณะหลับ ดูสบายมากขึ้น แล้วก้มหน้าลงกอดแม่อย่างแนบแน่นเช่นกัน
ผมชอบคำนี้มากเลย " ทุกคนมีแผล แต่ชีวิตยังดำเนินต่อไป "
|
Fri Nov 30, 2007 4:45 am |
|
|
cpforpalm
FF>>Member ระดับเบบี๋
เข้าร่วม: 30 Nov 2007
ตอบ: 9
|
ข้อคิดเห็นที่แตกต่าง ของ รักแห่งสยาม
จุดชมเชย ... มันก็น่าชื่นชมจริงๆ
ชมคนที่ 1 สินจัย เปล่งพาณิชย์
ถ้าฮอลลีวูด มี เคต บลังเชตต์ , หนังจีนมี กงลี่ เมืองไทยเราก็มี สินจัยนี่แหละ สามนักแสดงหญิงเหล่านี้ต่างเหมือนกัน คือ " ทุกครั้งที่ขึ้นจอนั้น ให้การแสดงระดับล่ารางวัลได้ทุกครั้ง " ยืนปรบมือให้เลยครับ ......
ส่วนในบทของสุนีย์ ที่พูดถึงการมองว่า การที่หวังให้โต้งเดินในทางที่ตนเลือกนั้น มันทำให้โต้งมีความสุขมั้ย !!! บอกตามตรง ( และที่เจอกับตัว ) สำหรับแม่ทุกคนที่รู้ว่าลูกชายเป็เกย์ เกินกว่าครึ่งต่างก็ยากที่จะรับได้ สิ่งนี้ เป็นสิ่งต้องใช้เวลา แต่เวลาในหนังไม่ได้นานขนาดนั้น การให้สุนีย์กลับมายอมรับลูกชายว่าเป็นเกย์คงไม่ง่ายนัก เพราะจากช่วงเวลาที่สุนีย์จับได้ว่าลูกเป็นเกย์จนถึงคริสต์มาส มันก็ไม่ได้นานนะครับ เธอเป็นตัวละครที่เป็นปุถุชนคนหนึ่ง คงไม่ใช้เวลาอันสั้นในการปรับตัวในเรื่องนี้
แต่ถามว่า ทิศทางข้างหน้า น่าจะเป็นเช่นไร ... คำตอบมันอยูที่ฉากสุดท้ายที่สุดนีย์กอดโต้ง นั่นคือการที่ครอบครัวนี้จะประคับประคองกัน ส่วนอานคตเป็นเช่นไร จุดนั้นไม่ใช่ประเด็นที่ต้องถกกัน เพราะหนังได้สมบูรณ์ในตัวมันไปแล้ว พร้อมคำพูดของคุณมะเดี่ยวที่ว่า " ทุกคนมีแผล แต่ชีวิตยังดำเนินต่อไป "
ชมคนที่ 2 น้องที่เล่นเป็นหญิง
จะว่าไปแล้ว นี่เป็นสมทบที่ใครเล่นถึงก็ดังไปเลย น้องแกก็เล่นได้ถึงซะด้วย แทบจะทะลุจอตามสินใจออกมาเลยหล่ะ ประเด็นของเธอมันแรง เธอชอบเกย์ เธอท้าทายผู้ชายเรื่องความรู้สึกเกี่ยวกับเพศหญิง เธอทำทุกอย่างเพื่อรัก เธอพยายามทำในสิ่งที่จะให้คนรักของคนที่เธอได้สิ่งที่เธอต้องการ และสุดท้าย คือการร้องให้คนเดียวที่รายล้อมด้วยคนที่ไม่เข้าใจ
conflict แรงขนาดนี้ บทส่งขนาดนี้ ถ้าเล่นถึงแล้วไม่ดังก็บ้าแล้ว !!!!
งานนี้ น้องแกมีโชคช่วยจากบทที่แสนจะส่ง 50 % บวกกับฝีมืออีก 50 % สรุปว่า งานนี้เธอได้ครบร้อยและดังไปเรียบร้อย !!!!
ชมคนที่ 3 พิชในบทมิว
นี่คือบทที่มีรอยแผลขนาดใหญ่ในหัวใจ แต่เมื่อถึงท้ายที่สุด มิว จะเดินหน้าต่อไปได้อย่างมีหวัง แต่การมองประเด็นความรักของมิวนั้น หากมองผิวเผินจะดูเหมือนนิยาย Y ทั่วไปที่ จขกท พูดไว้นะครับ
เนื้อในนั้น สิ่งที่เป็นส่วนปมลึกในใจมิว คือ การกลัวการสูญเสีย เมื่อต้องรักใครซักคน
นี่เป็นบาดแผลชิ้นใหญ่ให้ตัวละครนี้เป็นเหมือนที่เอ็กซ์พูดไว้ ซึ่งบ่งบอกลักษณะตัวละครนี้ไว้ คือ " ทำใมมึงชอบคิดว่า ไม่มีใครสนใจมึงวะ "
นี่เป็นการปิดกั้นตัวเองของมิว การปิดกั้นหัวใจไม่ให้ใครเข้าถึง บาดแผลขนาดใหญ่จาการสูญเสียอาม่าผู้เป็นเพื่อนในวัยเด็กที่เป็นเด็กอ่อนแอของมิว ส่งผลกระทบที่เกิดการกลัวว่า หากวันใด เรารักใครสุดหัวใจ ( เท่าอาม่า ) เราจะทำใจได้มั้ย หากต้องพบการสูญเสีย ??!!
แต่เมื่อโต้งกลับเข้ามาในชีวิตอีกครั้ง มิวเหมือนถูกปลดล๊อค แต่พอเหตุการณ์มันเลยเถิด เมื่อสุนีย์เข้ามาพูดเรื่องโต้ง คำพูดของสุนีย์นั้น ขอร้องให้มิวปล่อยให้โต้งไปทางอื่น
นั่นแหละ !!! มันสะกิดหัวใจมิว ฉากมองกระจกของมิว สะท้อนสภาวะจิตใจที่ล่มสลายอีกครั้งที่จะต้องสูญเสียคนที่ตนรัก มันเหมือนการที่เราได้สิ่งที่เรารักกลับคืนแล้วกลับพบว่ามันจะหายไปต่อหน้าต่อตาอีกครั้ง
รักที่สูญเสียของมิว จึงวกกลับมาทำร้ายมิวซ้ำอีกครั้ง
รุนแรงถึงกับให้มิวไม่สามารถร้องเพลงรักได้อีกครั้ง
หนังขาดในส่วนที่เสนอว่า จุดใดที่ทำให้มิวกลับมาร้องเพลงอีกครั้ง ในเวอร์ชั่นเต็ม เผยว่า นั่นเพราะมิตรภาพของเพื่อนร่วมแก๊งที่ไม่สูญเสียที่ประคับประคองให้มิวลุกขึ้นมาร้องเพลงอีก ( น้องเล็กในวงที่จะร้องเพลงแทนมิว ร้องเพลงได้ตามคียืไม่ได้ เดือดร้อนมิวต้องเข้ามาแก้ไข และมิตรภาพกลับมาอีกครั้ง ) ... อยากดูให้รอฉบับเต็มในรูปแบบ DVD นะครับ ตอนนี้แค่จำนวนคนรอลุ้นซื้อก็ถล่มทะลายแบบ soundtrack ไปแล้ว
พิชให้การแสดงที่ครบรสครับ ร้องเพลงเอง เล่นดนตรีเอง ในบทดราม่าก็ทำได้ดี ที่สำคัญ น้องแกเล่นบทเกย์ซะเหมือนจนน่ากลัว ต้องถามเพื่อนสนิทเขาแล้วหล่ะว่าน้องแกหน่ะ ชีวิตจริง แบบไหนแน่ !!! คนนี้ปรบมือให้อีกคน
ฉากที่เอารางวัลได้ ... ฉากที่ปะทะอารมณ์กับสินจัย นี่เป็นฉากนิ่งๆ น้ำเสียงเรียบๆ แต่สีหน้า ท่าทางนี้ ไม่ได้ด้อยไปกว่ารุ่นใหญ่ซักเท่าไหร่ ขนาดประกบสินจัยในแบบปะทะอารมณ์ได้ตั้งแต่หนังเรื่องแรกแบบนี้ อนาคตทางวงการบันเทิงมีโอกาสรุ่งสูง แต่ต้องเลือกบทในการแสดงที่ต้องมาตรฐานตามฝีมือด้วยนะ !!!
ฉากร้องให้สุดท้ายของมิวนั่นแหละ ที่พี่มะเดี่ยวแกได้นิยามเอาไว้ ซึ่งเป็นคำที่ผมชอบมากคือ " ทุกคนมีแผล แต่ชีวิตยังดำเนินต่อไป " .... ( '> _ <' )
|
Fri Nov 30, 2007 4:46 am |
|
|
cpforpalm
FF>>Member ระดับเบบี๋
เข้าร่วม: 30 Nov 2007
ตอบ: 9
|
ข้อคิดเห็นที่แตกต่าง ของ รักแห่งสยาม
มุมกล้อง : ผมว่าหนังไทยหลายเรื่องก้ไปไกลมากแล้ว เรื่องนี้ไม่ได้เหนือกว่าที่คาดอะไร แต่ยกให้คนกำกับภาพว่าเก่งเพราะสามารถเฟ้นหามุมสวยๆของสยามและถ่ายภาพในสยาม สถานที่ๆคนเยอะเป็นมดได้แนบเนียน
ตัดต่อ : อันนี้ชมไม่ไหว ประเด็นทั้งสามที่กล่าวมา มันแทบจะออกสตาร์ทพร้อมกัน แต่พอต้นเรื่องกลับเน้นความรักของต้นและมิวมาก ช่วงท้ายกับเน้นประเด็นครอบครัวมาก ทำให้อารมณ์มันขาดช่วงไปเยอะ ดีหน่อย ที่ท่าจบสวยงามแบบ Alexi Nemov ตอนลงจากบาร์เดี่ยวในกีฬาโอลิมปิค
ซาวด์แทร๊ค : อย่างที่บอกหล่ะครับ เป็นเพลงป๊อบ ติดหูง่าย แต่สิ่งที่คุณน่าจะมองลึกกว่านี้หน่อย คือ เนื้อเพลงที่สื่อถึงหนังและเป็นภาพสะท้อนของตัวละครอย่างมิว
อย่างเพลง Ticket นั้น บ่งบอกถึงช่วงชีวิตของมิวที่เรื่อยเปื่อยไร้สิ่งยึดเหนี่ยว
เพลง รู้สึกบ้างใหม คือเพลงที่บอกความรู้สึกแรกของมิวเมื่อเจอโต้ง , เพลง กันและกัน คือเพลงที่มิวบอกรักโต้ง
เพลงคืนอันเป็นอันเป็นนิรันดร์ คือ เพลงที่บ่งบอกถึงความล่มสลายของแต่ละคนดุติดในความมืดและให้กำลังใจ
นอกจากนี้ เพลงแต่ละเพลงยังมีการเล่นคำที่บ่งบอกถึงความหมายของอีกเพลงได้ชัดเจนขึ้น
เช่นเพลงเพียงเธอ ( น่าจะเป็นเพลงเก่าของ สุกัญญา มิเกล ) ที่บอกว่า " ได้รู้จักความหมายของคืนวัน " ซึ่งความหมายของคืนวันนั้น ได้อธิบายไว้ในเพลง คืนอันเป็นนิรันดร์
ส่วนเพลง Ticket เป็นเพลงที่แฝงความหมายโดยในไว้ในเพลง ซึ่งความหมายของเพลงนี้ในหนัง หากมองย้อนเข้าไปในเนื้อเพลงของ " กันและกัน " จะพบว่า สองเพลงนี้มีการใช้คำซ้ำกัน คือ คำว่า " ปลายทาง " ทำให้เมื่อย้อนมองกลับไปในหนัง จะพบว่า สิ่งที่เพลงอยากสื่อว่า " ตั๋ว " ในเพลงที่มิวไม่มีนั้น หมายถึง อะไร? ( แปลเองนะครับ คิดไม่ออกไปอ่านต่อเองในเฉลิมกรุง )
:::::: สรุป ::::::
รักแห่งสยามหาใช่หนังรักใสกุ๊กกิ๊กแต่อย่างใดไม่ นี่คือหนังเรื่องแรกในไม่รู้กี่รอบปีของหนังไทยที่มีประเด็นอันซับซ้อนและคมคายยิ่ง นี่ไม่ใช่หนังที่คุณจะสามารถเข้าใจอะไรได้ลึกซึ้งจากการดูหนังเรื่องนี้ได้เพียง " ครั้งดียว " หนังเต็มไปด้วยสัญลักษณ์ การแสดงออก คำพูด และสิ่งของที่ต้องตีความถึงความหมาย บทภาพยนตร์ที่ลากไปเรื่อยๆ ตามสไตล์ที่กำหนด เรียกร้องให้คุณสนใจในความหมายของสิ่งที่แสดงออกมาให้เห็นบนจอ ประเด็นสังคมถูกหยิบยกขึ้นมาเพื่อให้ผู้ชมเข้าถึง แต่ศิลปของมันกลับอยู่ที่การวางบทที่คมคาย การแสดงออกของตัวละคร การตัดสินใจในสิ่งต่างๆของตัวละคร คำสนทนาต่างๆที่แฝงไปด้วย " สาร " ที่ " สื่อ " ให้ผู้ชม และที่สำคัญ " สาร " เหล่านั้น ไม่ได้โยนลงใส่ตักคุณทันทีที่ดู แต่ต้องผ่านกระบวนการคิดและพิจารณาถึง ความหมายของ " สาร " ที่ต้องการ " สื่อ " ..... ฟังแล้วงงมั้ยครับ
ที่สำคัญ หนังเรื่องนี้ คือบทชี้วัดชั้นดีของผู้ชม ถึงความสามารถในการ " ตีความ " จากทุกอย่างบนจอที่บ่งบอกบุคลิกของตัวละคร หนังไม่ได้ชี้ว่า การตีความใดถูกต้อง แต่เมื่อผู้ชมออกจากโรงหนังแล้ว ผู้ชมทุกคนได้ความหมายต่างๆในหนังไม่เท่ากัน จึงไม่แปลกที่จะมีการขอเข้าไปดูซ้ำได้อีกรอบ ( ผมหน่ะดู 5 รอบ ) เพื่อให้ลึกซึ้งถึงความหมายที่แฝงอยู่
ที่สำคัญ นี่น่าจะเป็นหนังไทยเรื่องแรกที่มีความคล้ายคลึง Brokeback Mountain อยู่บ้าง หากใช่เพราะเป็นหนังที่ว่าด้วยชายรักชาย แต่เป็นหนังที่ซ่อนสัญลักษณ์และความหมายที่เมื่อคุณกลับไปดูซ้ำอีกครั้ง เข้าใจในความหมายมากขึ้น คุณจะเศร้ามากขึ้น อาจไม่ได้ถึงระดับที่กินหัวใจและบ่งบอกในความเจ็บป่วยอย่างเกย์คาวบอย แต่ก็สามารถทำได้ดีในระดับที่น่าพอใจยิ่ง ถือว่าเป็นปรากฎการณ์ของบทภาพยนตร์ไทย ... จุดอ่อนที่ถูกโจมตีโดยนักวิจารณ์ ( ชั้นเซียน ) มานาน
หาก Bishonen คือมาตรฐาน A+ ของหนังที่เกี่ยวกับเกย์ในเอเชียด้วยกันแล้ว " รักแห่งสยาม " ในความคิดเห็นผม ให้เรต A- และเชิดชูให้เป็น "ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ปี พ.ศ. 2550 "
ปล. ด้วยความนับถือ ผมไม่อยู่สถานะที่จะวิจารณ์งานวิจารณ์ " รักแห่งสยาม " ของเจ้าของกระทู้ได้ แต่หวังว่า คำวิจารณ์ของผม คงพอเป็นข้อคิดเห็น " เล็ก ๆ " เพื่อเปิดประเด็นความคิด " ใหม่ ๆ " ให้เจ้าของกระทู้ได้
|
Fri Nov 30, 2007 4:47 am |
|
|
|