˹���á Forward Magazine

ตอบ

ไปที่หน้า ก่อนหน้า  1, 2, 3, 4
Love of Siam: ความพยายามในการใส่เสน่ห์
ผู้ตั้ง ข้อความ
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
โอโห เข้ามาดูกระทู้ตัวเอง เรตติ้งพุ่งกระฉูดเลย ขอบคุณทุกคนนะครับที่สละเวลามาอ่านกระทู้ผม

งานเขียนผมทั้งหมดนั้นก็ออกมาจากความคิดเห็นและมุมจากบุคคลเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น

ซึ่งก็แน่นอนนะครับ ว่าความคิดของคนๆ เดียวจะถูกใจทุกผู้ทุกคนนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้

ซึ่งหากความคิดและมุมมองของผมสร้างความไม่พอใจให้กับผู้ใด หรือมีความผิดพลาดประการใด

ทางตัวผมเองต้องขออภัยมา ณ ที่นี้นะครับ

และขอคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์ที่นำเสนอมุมมองต่างๆ นะครับ

สำหรับผมมุมมองที่แตกต่างจากการชมภาพยนตร์คือหนึ่งความสนุกในการวิจารณ์หนังครับ

ขอบคุณครับ

ป.ล. ผมไม่ได้เป้นคนต่อต้านเกย์นะครับคุณ

คริๆ ^.^



_________________
คุยหนังภาษาหมา
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ส่ง Email MSN Messenger
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
อ่านรีวิวของพี่เวเฟอร์แล้วเดี๊ยนได้เห็นมุมมองที่ต่างออกไปจากงานรีวิวหลายๆงานที่ได้อ่านมานะคะ ส่วนตัวยังไม่ขอแสดงความเห็นเนื่องจากยังไม่ได้มีเวลาไปดูหนังเรื่องนี้เลยแต่อย่างไรก็ตามถือว่าน่าชื่นชมที่กล้านำเสนอมุมมองที่แตกต่างออกไปน่ะค่ะ


_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
Darth เวเฟอร์ พิมพ์ว่า:
โอโห เข้ามาดูกระทู้ตัวเอง เรตติ้งพุ่งกระฉูดเลย ขอบคุณทุกคนนะครับที่สละเวลามาอ่านกระทู้ผม

งานเขียนผมทั้งหมดนั้นก็ออกมาจากความคิดเห็นและมุมจากบุคคลเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น

ซึ่งก็แน่นอนนะครับ ว่าความคิดของคนๆ เดียวจะถูกใจทุกผู้ทุกคนนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้

ซึ่งหากความคิดและมุมมองของผมสร้างความไม่พอใจให้กับผู้ใด หรือมีความผิดพลาดประการใด

ทางตัวผมเองต้องขออภัยมา ณ ที่นี้นะครับ

และขอคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์ที่นำเสนอมุมมองต่างๆ นะครับ

สำหรับผมมุมมองที่แตกต่างจากการชมภาพยนตร์คือหนึ่งความสนุกในการวิจารณ์หนังครับ

ขอบคุณครับ

ป.ล. ผมไม่ได้เป้นคนต่อต้านเกย์นะครับคุณ

คริๆ ^.^


ว้าย แล้วจะต่อต้านได้ยังไงละค่ะในเมื่อตัวเองเป็นเอง


_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
เบื่ออีปิลันตาคร่ะ สมองกับใจ เดี๊ยนไม่รู้คร่ะ แต่นี่เป็นบทวิจารณ์ส่วนตัว มาจากคนๆเดียวนะคร๊ะ

ทั้งโลกต้องชอบหนังเรื่องนี้ด้วยเหรอคร๊ะ



_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
อืม มุมมองมันต่างกันนะครับ พี่เอกก็อาจจะมองในอีกรูปนึงซึ่งตรงกันข้ามกัน(มากๆ) และบางทีก็พี่เอกเองก็อาจจะไม่เข้าใจในบางจุด เลยทำให้ดูเหมือนกับตรงนี้มีเพื่ออะไร อย่างที่พี่เอกว่าแตงกะจูนเป็นคนเดียวกันเลยทำให้มุมมองมันแยกไปคนละทิศอ่ะคับ แต่อีกมุมมองนึงก็จะมีเหตุผลมารองรับแล้วมองว่าจูนเป็นคนมาเติมเต็มให้กับครอบครัวมากกว่า

ยอมรับว่าก่อนดูมีอคติมากๆกะหนังเรื่องนี้ และพร้อมที่จะจับผิดสุดๆ แต่มันก็ดีเกินคาดเมื่อเทียบกับจุดบกพร่องเล็กๆน้อยๆแล้ว ก็พอให้อภัยโดยไม่ตะหงิดใจเลย

ครับก็มาแลกเปลี่ยนมุมมองตรงๆ ยินดีที่แลกเปลี่ยนมุมมองกันครับ ^^


_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
ต๊ายยย เข้ามาอ่านอีกก็ยิ่งเอือมกับสันดารกะเทยจัญไรจากบอร์ดพันเทย อีดอก อีสมองกลวง ทำแบบว่ากูเทพมาจากไหน โลกแคบ ทัศนวิสัยต่ำ จิตต่ำ สมองต่ำ พ่อแม่มึงก็คงต่ำพอๆกัน อีควาย บอร์ดมึงเนี่ยะ เริ่ดจังแล้วนะค่ะ เปรตเอ้ยยย


_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ เหอๆๆๆๆ 
^
^
^
^
^

เหอ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ

ขอขำหน่อย

รีบน ..... กระเทยเกรียน !!!!!

ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ Re: เหอๆๆๆๆ 
cpforpalm พิมพ์ว่า:
^
^
^
^
^

เหอ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ

ขอขำหน่อย

รีบน ..... กระเทยเกรียน !!!!!


ว่างๆมึงลองไปแอบดูแม่มึงเยี่ยวแถวเสาไฟฟ้าบ้างนะค่ะ ว่าหมอยแม่มึงเกรียนรึป่าว ??


_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ วิจารณ์บทวิจารณ์ 
นำเรื่อง: “รักแห่งสยาม” ว่าด้วยเรื่องแห่ง “รัก” และว่าด้วยเรื่องของ “สยาม” เพื่องแค่ชื่อเรื่องสองคำนี้ก็สามารถสื่อความหมายได้มากมายหลายระดับ เปรียบเสมือนหนังเรื่องนี้จะเต็มไปด้วยไออุ่นอันอบอวลของความรัก ความรักแห่งดินแดนสยาม ความรักที่มีมากมายหลายรูปแบบ และอีกอย่างตัวหนังก็ไดโปรโมทในจุดนี้อย่างเด่นชัด ไม่ว่าจะเป็น โปสเตอร์ โฆษณา หรือ มิวสิควีดีโอ และหากมองไล่ไปถึงรายชื่อนักแสดงของภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วละก็ เสียงกระซิบก็ลอยเข้าหูซ้ายและหูขวาของเวเฟอร์เป็นเนื่องๆ ว่า รักแห่งสยามเรื่องนี้ จะเป็นหนังรักดีๆ อีกเรื่องหนึ่งของประเทศไทยที่ได้ใจผมอย่างไม่ยากเลย
แต่หลังจากการซึมซับภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเวลาร่วมสามชั่วโมงครึ่ง สิ่งที่ผมได้รับตอบแทนมาก็คือ การจงใจจับวาง ในหลายๆ ส่วนของภาพยนตร์ จนน่ารำคาญ พร้อมทั้งช่องโหว่มากมาย ในความอ่อนปวกเปียกแทบตลอดทั้งเรื่อง




ข้อด้อยข้อเสีย ในส่วนแรกของภาพยนตร์นั้น เต็มไปด้วยการปูทางที่เข้าใจค่อนข้างง่าย การปูทางในรูปแบบนี้ทำให้คนดูตามเรื่องราวไปพร้อมๆ กัน โดยไม่มีใครหลุดวงโครจรของภาพยนตร์ แต่สำหรับคนดูมีกึ๋น พวกเขาสามารถเดาทิศทางของภาพยนตร์ได้ตลอดทั้งเรื่อง ว่าเหตุการณ์ที่เหลือจะดำเนินไปในทิศทางใด ([color=]ผู้สร้างเขาต้องการแบบนั้นถูกแล้ว หนังไม่ได้ตั้งใจจะมาช็อคใคร + และหนังมีส่วนดีอื่นๆ ตอนกลางๆ ถึงท้าย ตอนนี้หนังปูเรื่อง ให้ข้อมูลคนดูเฉยๆ )[/color]และในความคิดเห็นส่วนตัวของผมสิบนาทีแรกของภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ว่าจะเป็น เหตุการณ์ มุมมอง ตัวละคร หรือ สิ่งแวดล้อม ได้แรงบัลดาลใจมาจากภาพยนตร์เรื่องใด ไม่ว่าจะเป็นหนุ่มน้อยในโรงเรียนคริสตจักรผู้มีน้ำเสียงอันไพเราะ กับอีกหนึ่งหนุ่มผู้ไร้ความสำคัญในสายตาคนอื่น (เพราะเขาได้แสดงเป็นแค่แกะ) แต่ทั้งสองผูกพันธ์กันอย่างสนิดสนมจงใจ จนถึงวันที้ต้องจากลา โดยฉากนั้นมีหนึ่งหนุ่มอยู่บนรถ อีกหนึ่งหนุ่มวิ่งตามมา แต่ทำได้แค่ส่งสายตามองพร้อมน้ำตาที่ไหลริน ไม่ทราบว่าเหตุการณ์เหล่านี้มาจากแรงบัลดาลใจหรือเป็นการลอกเลียนแบบจากหนังเกย์ชื่อดังจากประเทศฝรั่งเศษ เรื่อง Bad Education กันแน่ครับ? แล้วอย่าให้กล่าวถึงฉากสองหนุ่มนอนคุยกันบนเตียงเลยครับว่าได้แรงบันดาลใจจากภาพยนตร์เรื่องอะไรอีก... ( [color=]โยงนู้นนี่อีกแล้ว)[/color]
จากการเริ่มต้นของเรื่อง หนังก็พยายามอย่างสุดใจที่จะนำเสนอความรักของหนุ่มโต้งและมิว อย่างมากเกินความจำเป็น ซ้ำๆ ซากๆ ([color=]เรามองว่ามันเป็นการถ่ายทอดว่าสองคนนี้รู้สึกยังไงต่อกัน และมันย่อมเกิดขึ้นได้ กับทุกคน มัมนคือ ความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อกันและกัน ) [/color]

ยกตัวอย่างเมื่อมิวไม่สามารถแต่งเพลงรักได้ มิวจึงโทรหาโต้ง จากนั้นเพลงรักสุดหวานจากใจสาวของหนุ่มมิวจึงบังเกิด[color=](มันเป็นเรื่องของความรู้สึกดีๆในวัยเด็ก ที่หวนกลับมาอย่างโดยไม่ทันตั้งตัว สิ่งที่รักที่ได้หายไปกำลังกลับมาอีกครั้ง ก็ต้องมี “ภาวะ” แบบนี้เป็นธรรมดาของคน – ผู้เขียนอคติในความรักของเด็กผู้ชายสองคนหรือเปล่า? เพราะแม้เป็นความรักชายหญิง ใครเจอแบบตัวละคร อาการแบบนี้ก็ย่อมเกิดขึ้นได้ แต่งเพลงได้เพราะมีแรงบันดาลใจ) เพียง[/color]แค่การสื่อถึงความรักของทั้งสองเพียงแค่นี้ก็อบอุ่นน่ารักดีอยู่แล้ว ของสองตัวละครนี้
แต่หนังยังไม่หยุด หนังยังใส่ฉากเพิ่มดีกรีความหวานของทั้งสองนี้ขึ้นมาเรื่อยๆ เป็นเวลาร่วมหนึ่งชั่วโมงเต็ม จนนำไปสู่ฉากเลิฟซีนที่ดุสะอิดสะเอียน และไม่สมจริงจนน่าอึดอัด ([color=]หรอเราว่ามันสมจริงมาก จูบก็ไม่เป็น ดูใสๆ ดูเป็นจูบที่เกิดจากความรัก ไม่ใช่อย่างอื่น) [/color]เพราะนอกจากจะเป็นฉากที่จงใจใส่โดยไม่คำนึงถึงความสมจริงแล้ว (เห็นด้วยที่ว่า ไม่สมจริงตรงที่ ทำไมต้องจูบกัน “กลาง” สวน ตรงที่พ่อแม่พี่น้องมาเห็นได้)นักแสดงยังเล่นฉากเลิฟซีนได้อย่างไร้แรงดึงดูดซึ่งกันและกัน ([color=]คิดไปเองเปล่า -- แสดงว่าจขกท. ไม่เคยจูบแบบเกิดจากความรักจริงๆละสิ)[/color]ประหนึ่งเพียงแค่นำปากมาประกบกันให้เรียกว่าเป็นการจูบเท่านั้นเอง โดยลืมไปหรือเปล่าครับง่า จุดประสงค์ที่แท้จริงแล้วของการจูบคืออะไรกันแน่? [color=](จขกท.อคติจนไม่เข้าถึงฉากนี้มากกว่า)[/color]


ฉากนี้ถือเป็นจุดอ่อนที่หนังโจมตีตัวเองโดยไม่รู้ตัว เพราะมันดูไม่สมเหตุสมผล และง่ายเกินไป ผมจะแจกแจงให้ดูครับว่าทำไม มิวและโต้งต้องจูบกันที่สวนหน้าบ้านเพื่อให้ตัวละครแม่มาเห็น จากนั้นตัวละครแม่จะได้เข้ามาขัดขวางความรักของทั้งคู่ ซึ่งจะได้เป็นปัญหาใหญ่อีกชิ้นหนึ่งของเนื้อเรื่อง เพราะถ้าหากสองคนนี้ไม่มาพลอดรักกันอย่างประเจิดประเจ้อเช่นนี้ ตัวละครแม่ก็คงจะไม่มาข้องแวะในจุดนี้ จริงไหมครับ?

ซึ่งเมื่อคิดดูดีๆ แล้ว จะเห็นถึงความโง่ของตัวละครได้อย่างดีเลยครับ เขานอนกอดกันสองต่อสองอย่างปลอดภัยในห้องนอนทั้งคืนไม่ยักจะทำอะไรกัน [color=orange][color=](หนังไม่ได้บอกว่าทำหรือไม่ทำ -- คิดไปเองอีกแล้วอะ) [/color][/color]แต่ในสวนหลังบ้านที่ซึ่งจะมีใครมาพบเห็นได้ง่ายๆ ทั้งสองกลับเลือกที่จะใช้เป็นที่แลกลิ้นกัน อย่าบอกนะครับว่าต้องจูบกันจริงๆ เพราะเพิ่งจะซึ้งในบทเพลงที่เพิ่งมอบให้ เพราะแค่นี้หนังก็เยิ้มจนแมลงตอมแล้วครับ หยุดเทน้ำตาลแล้วปรุงรสภาพยนตร์ของคุณด้วยเครื่องปรุงชนิดอื่นซักที ([color=]แสดงว่าผู้เขียนไม่เคยมีความรัก แน่ๆ – ใครก็รู้เพลงมันทำให้เกิดความโรแมนติก และซาบซึ้งได้-- และเป็นความรู้สึกดีๆ ที่มีคนบางคน แต่ง “เพลงรัก” เพื่อเราคนเดียว คนมีหัวใจที่ไหนย่อมเข้าถึงประเด็นรักตรงนี้ เป็นความบกพร่องของจขกท.เอง) [/color]เพราะรูปแบบภาพยนตร์แบบนี้สำหรับผม มันก็เป็นเพียงแค่การจงใจจับวาง จงใจใส่ฉาก ([color=]มันไม่ใช่การจงใจใส่ฉาก แต่มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ในชีวิตจริง – แสดงว่าผู้เขียนไม่ชอบดูหนังดราม่า และไม่เคยมีซีนโรแมนติกในชีวิตแน่ๆ) [/color]โดยไม่คำนึงถึงความสมจริง ([color=]ยอมรับว่าจูบกลางสวนไม่สมจริง) [/color]และความคิด ([color=]ความคิดใคร เกี่ยวกับอะไร เขียนไม่แตกฉานนะ) [/color]และมิติของตัวละครเอาซะเลย ([color=]อย่างไร อย่ามาโยนขี้ อธิบายด้วยดิ อย่างนี้ดูเหมือนเอา “ความรู้สึก” ตัวเองมาตัดสินหรือเปล่า มีหลักหน่อย[/color]) แต่ถึงกระนั้นนะครับ ระหว่างที่ผมชมฉากๆนี้ ผมยังคิดกับตัวเองเสมอว่า หนังอาจจะกำลังพาคนดูไปสู่อะไรๆ ที่มันตรึงใจและน่าประทับใจ ให้ตรงคอนเซ็ปของคำว่า “รักแห่งสยาม” ให้มันมากกว่านี้ แต่ความหวังของผมก็ถูกโยนคืนมาแบบไม่ใยดีด้วยตัวละครทื่อๆ เช่นนี้แหละครับ [color=](ที่จริงหนังก็มีฉากดีๆ หลังจากนี้นะ เพราะส่วนที่ดีที่สุดของหนัง อยู่หลังจากนี้ทั้งหมด ในเมจเสจที่หนังจะสื่ออะ – สงสัยผู้เขียนจะไม่ฉลาดพอที่จะรับเมจเสจของผู้สร้างที่ต้องการสื่อได้ ทั้งที่คนอื่นๆ ที่ดูหนังเรื่องนี้เขารับได้กันทั้งนั้น) [/color]


โดนัท

“โต้ง เธอยังรักเราอยู่หรือเปล่า"

ตัวละครโดนัทชี้ให้เห็นถึงนิสัยสาวสวยผู้มีแฟนหนุ่ม ในบ้านเราทุกวันนี้ นิสัยของผู้หญิงสวยทั่วไปที่อยากให้แฟนมาดูแล เอาใจ ซื้อของให้ พาไปเที่ยว โดยที่ไม่คำนึงด้วยซ้ำว่าแฟนนั้นรักตัวเธอบ้างหรือเปล่า หรือตัวเธอเองนั้นรักแฟนเธอบ้างหรือเปล่า?
ความรักแบบนี้คิดว่ามันจะรอดไปได้กี่น้ำเชียวครับ (ก็[color=]หนังต้องการจะสื่อให้เห็นถึงชีวิตความรักของวัยรุ่น ในความเป็นจริงก็มีวัยรุ่นแบบนี้มากมาย ที่มองความรักแค่ฉาบฉวย แค่ภายนอก แค่เปลือก ไม่งั้นจะ รักๆ เลิกๆ กันง่ายๆ แบบที่เห็นๆ หรอ – จขกท . มองโลกแคบไป ไม่มองความจริงของวัยรุ่นยุคปัจจุบันเลย) [/color]ประโยคทิ้งท้ายของเธอแสดงธาตุแท้สาวสวยผู้ไม่รักจริง ได้ดีเชียว ครับ ผมค่อนค้างชอบตรงนี้ แต่ที่น่าตลกจริงๆ เกี่ยวกับตัวละครตัวนี้ก็คือ เธอช่างเป็นตัวละครที่โชคดีมาก เพราะว่าเธอถูกโปรโมทในฐานะ “หนึ่งในตัวละครนำทั้งสี่” (โปรโมทหลอกอะนะ)

แต่ความจริงแล้วในเนื้อเรื่องนั้น จะเห็นได้เลยว่าตัวละครโดนัทเป็นตัวละครที่ “ไม่มีก็ได้” ไม่จำเป็นต้องใส่ตัวละครนี้มาเพื่อสร้างฉาก “เย็นชาใส่แฟน” หรอกครับ ([color=]ไม่จริง ต้องมี มีความสำคัญมากตัวหนึ่ง – เป็นตัวที่เป็นส่วนหนึ่งให้เห็นถึง “ภาวะ” ที่โต้งต้องเลือกที่จะเป็น และสะท้อนความเป็นจริงว่าเกย์อาจจะคบผู้หญิง และเวลาคบมีสภาพอย่างไร --- แต่ผู้เขียนถูกการตลาดของหนังหลอก ให้เห้นว่า ผู้หญิงคนนี้หน้าตาดูดีมาก จนคาดหวังว่า น่าจะมีบทอะไรเยอะไปกว่านี้ ใช่มั๊ย อันนี้คุณคาดหวังไปเองนะ) [/color]เพราะเพียงแค่นี้ก็เห็นได้ชัดว่า ตัวละครโต้งฝักใฝ่เพศใด ([color=]ถ้าไม่ใส่มันจะไม่เพิ่งประเด็นความสับสนของโต้งไง ใส่มาอะถูกต้องแล้ว) [/color]อีกอย่างการแสดงของเธอนั้น ผมว่ามันก็อยู่ต่ำกว่ามาตรฐานหนังเด็กทั่วไปด้วยซ้ำ [color=](อันนี้เห็นด้วย)[/color] หรืออาจจะเป็นเพราะบทไม่อำนวย ก็คิดดูเอากันเองเถอะครับ



โต้ง

“เราเป็นอะไรอ่ะ เราเป็นอะไร..."

ก่อนพูดถึงตัวละครโต้ง ขอกล่าวถึงการแสดงของนายมาริโอ้ กันก่อนนะครับ
สำหรับผมนายคนนี้เล่นได้ทื่อมากครับ ([color=]แค่นี้ก็พอรู้สติปัญญา (โง่) ในการวินิจฉัยของ จขกท.แล้วครับ แทบไม่อยากจะวิจารณ์งานวิจารณ์ชิ้นนี้ของผู้เขียนต่อไป เพราะมันเสียเวลา เป็นการเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ ไม่สมน้ำสมเนื้อ --- อยากทราบว่า ผู้เขียนแยกออกไหมว่า การแสดงแบบไหนที่เรียกว่าดี แบบไหนเรียกไม่ดี งงเลยนะเนี่ย ) [/color]ซากกะเบือที่บ้านผมยังมีส่วนเว้าส่วนโค้งมากกว่าการแสดงของเขาซะอีก ไม่ว่าจะเป็นฉากเดิน ฉากคุย ฉากซึ้ง ฉากสนุก นายมาริโอ้ก็มีโทนเดียว [color=](บุคลิกคนแบบนี้ก็มี แบบเก็บกด แสดงอารมณ์น้อยๆ แต่คิดเยอะๆ – จขกท.ผ่านโลกมาน้อยรึเปล่า)[/color]พอจะดูเป็นนักแสดงขึ้นมาหน่อยก็ตรงฉาก “ซอกคอ” ที่สามารถทำให้ตัวละครมีมิติขึ้นมาหน่อย [color=](อ๋อรู้แล้ว หมายถึงแสดงภาวะกดดันและสับสนออกมาใช่มั๊ย – แสดงว่าผู้เขียนชอบการแสดงออกที่ “เยอะ” เหมือนละคร มองให้เป็นศิลปะหน่อย พูดน้อย แสดงน้อย ก็ได้รางวัลออสก้ามีถมไป) [/color]แต่โดยภาพรวมแล้ว นายคนนี้ดูท่าจะไม่มีฝีมือทางการแสดงเท่ากับการถ่ายแบบเดินแบบเท่าไหร่นัก ([color=]โง่ มองไม่ออกเองว่า อันไหนที่เรียกว่าเก่ง อันไหนเรียกว่าไม่เก่ง)[/color]แต่ยังไงซะนี่ก็เป็นเพียงแค่การแสดงหนังใหญ่เรื่องแรกของเขา แต่หากโด่งดังได้เล่นต่ออีกสอง สามเรื่อง แล้วยังจะมาโทนเดียวแบบนี้อีก ก็คงไม่เสียเวลามาวิจารณ์นายคนนี้แล้วละครับ ([color=]เสียเวลาอ่านวิจารณ์แกมากกว่า)[/color]
มาว่ากันต่อที่ตัวละครโต้ง สืบเนื่องจากการแสดงทื่อๆ นั้นทำให้ตัวละครดูเรียบ ง่าย ([color=]ตัวละครมันนิ่ง จึงต้องแสดงนิ่งต่างหาก ดูเข้าไปในแววตาดิ มีการสื่ออารมณ์ โอ้ยขี้เกียจสอนควายแล้วนะ แกเอาอะไรมาตัดสิน ความรู้สึกล้วนๆ เลย ไม่มีหลักเกณฑ์อะไรเลยอ่ะ) [/color] และยากที่จะรู้ว่าในหัวเค้าคิดอะไรอยู่ ([color=]มองในแววตา และแอคชั่นตัวละครจะรู้ หรือโง่มองไม่เห็นเอง) [/color]ซึ่งอันที่จริงผมคิดว่า ในหัวเขาอาจจะไม่มีอะไรให้คิดมากนักหรอกมั้ง ต่อให้พี่หายแกก็นิ่ง พ่อป่วยแกก็นิ่งมองดู แม่เครียดแกก็นิ่ง เลิกกับแฟนนี่ยิ่งนิ่ง ถ้าชีวิตจริงนิ่งได้มากมายขนาดนี้ผมคิดว่าต้องไปปรึกษาแพทย์แล้วละครับ ([color=]5555 คือแกมองไม่เห็น “คุณค่า” ของตัวละครนี้เอง คือ เขาเก็บกด แล้วคนเก็บกดแบบนี้ แสดงออกแบบนี้ มันเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ช่างไม่เข้าใจมนุษย์เสียจริงๆ)[/color]แต่

โชคดีเป็นของเขาครับ เพราะเขาเป็นนักแสดงที่มีเสน่ห์สูงเลยทีเดียวครับ การทำสีหน้าเรียบๆ แล้วพูดบทซึ้งๆ น่าสงสารๆ ก็เรียกใจคนดูได้ครึ่ง ค่อนโรงภาพยนตร์ ([color=#]มันคือการแสดง เขาพยายามทำมมันออกมา ไม่ใช่มันเกิดจากธรรมชาติ หรือ เขาเป็นแบบนั้นอยู่แล้วนะ ตกหลุมผู้กำกับแล้ว เพราะเรื่องนี้ผกก พยายามให้นักแสดงเล่นเป็นธรรมชาติมากที่สุด) [/color]อย่างเช่น “เดี๋ยวถ้าโต้งคิดไม่ถูกใจแม่ แม่ก็ดุโต้งอีกอ่ะ” ถ้าเป็นนัแสดงคนอื่นพูดอาจไม่ซึ้งเท่าไหร่นัก แต่ดันเป็นหนุ่มมาริโอ้พร้อมใบหน้าใสซื่อ หล่อเหล่าสำนึกผิด บทนี้จึงดูดีขึ้นไปถนัดตา จริงไหมล่ะครับ[color=#] (คือมันมีการแสดงอารมณ์ออกมา เฮ้ออ)[/color]ปัญหาของตัวละครนี้คือการตัดสินใจว่าเขาจะเลือกเดินชีวิตในเส้นทางใด โดยที่จะไม่ทำให้แม่ของเขาปวดหัว [color=](“ปวดหัว”เองหรอ !!!!คิดได้แค่เนี่ย ?) ไป[/color]มากกว่านี้ ในความคิดของผมคิดว่าประเด็นปัญหาของเขาเป็นประเด็นที่ดีมากต่อสังคมทุกวันนี้ เพราะมีวัยรุ่นไม่น้อยที่กำลังเผชิญปัญหาเดียวกับโต้งอยู่ แต่ทว่า การตัดสินใจและการกระทำของเขา กลับไม่ตอบปัญหาที่คาใจตัวเขาเองได้ดีเท่าไหร่นัก (หรอ คือแค่ไม่ตอบตามใจตัวเองต้องการ แต่เขาทำเพื่อคนอื่น อย่างนี้เรียกประเสิฐกว่าหลายๆคนอีก) จากเด็กสับสนจนต้องจูบชาย จับนมหญิง เพียงเพื่อจะได้รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรกันแน่ สุดท้ายเขาก็มองโลกในแง่ดี [color=](มันยากมากที่ต้องตัดสินใจแบบนี้ ไม่ใช่การมองโลกในแง่ดี แต่ทำให้คนที่รักมีความสุชต่างหาก) [/color]ขึ้นมาฉับพลันแล้วเลือกเส้นทางที่ทำให้แม่ยิ้มได้ แต่ผมอดที่จะถามไม่ได้ครับ ว่าจบแบบนี้จะทำให้ตัวละครมีความสุขไปได้เนินนานเท่าไหร่เชียว?[color=] (ในสังคมก็มีจริงๆ คนแบบนี้ -- ผ่านชีวิตมาน้อยนะเนี่ยเรา)[/color]



แตง

“ใช่ซิ ฉันมันเป็นแค่คนนอก”

ตัวละครแตงถือเป็นอีกหนึ่งตัวละครที่ค่อนข้างสำคัญ เธอทำหลายๆ อย่างที่ช่วยให้เนื้อเรื่องดำเนินไปข้างหน้าได้เรื่อยๆ จนจบลงในตอนท้าย แต่คำถามที่สำคัญที่สุดก็คือ อะไรเป็นแรงจูงใจในการกระทำทั้งหมดของเธอ ไม่ว่าจะเป็นการหนีออกจากบ้าน ทั้งๆ ที่เธอก็ไม่ได้ดูมีปัญหาอะไรใหญ่โตกับทางบ้านเลย อะไรเป็นแรงจูงใจให้เธอกลับเข้ามาโดยที่ไม่บอกความจริงในใจ ([color=]คือหนังเขาไม่ได้แปลว่าได้อย่างนั้นนะ ฉลาดน้อยอีกแล้ว มันคนละคนกัน...) อะไร[/color]เป็นแรงจูงใจที่ทำให้เธอต้องกลับไปที่เชียงใหม่อีกครั้งแล้วทิ้งครอบครัวอันน่ารัก น่าสงสาร ให้ประคองกันไปพร้อมน้ำตา อะไรทำให้เธอกลายเป็นคนใหม่ที่กล้ากลับมาทิ้งคำสอน ไว้สอนแม่ของเธอเอง อะไรคือสิ่งที่เธอต้องการจริงๆ ขนาดเธอเป็นตัวละครที่สำคัญกับหลายประเด็นในเรื่อง แต่ตัวละครนี้กลับไร้นำหนักและเหตุผลในการกระทำอย่างไม่น่าให้อภัยจริง ([color=]จับใจความและแปลความไม่ถูกต้องอย่างแรง สงสัยหยักสมองมีไม่พอ คิดได้แค่ตื้นๆ ทื่อๆ ตรงไปตรงมา) [/color]แต่โชคดียังมีที่พลอยเล่นได้ดูดี น่ารักสดใส ทำให้ภาพบนจอมีอะไรน่ามองเวลาที่เธอปรากฏออกมา แต่หากวิเคราะห์ตัวละครนี้มากเท่าไหร่กลับมีปัญหาผุดขึ้นมามากขึ้นเทานั้น [color=](ถูก ปัญหาคือว่าแกปัญญาไม่พอไง)[/color]


ข้อดีข้อเด่น: ข้อดีของภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็มีอยู่พอตัวนะครับ ซึ่งข้อดีที่โด่ดเด่นที่สุดก็ต้องไปตัวละครสุนีย์ แหละครับ ที่รับบทโดยสินจัย ดาราชั้นนำของบ้านเรา นอกจากในประเด็นของการแสดงของเธอแล้วนั้น ที่ผมอยากจะชื่นชมในละครเรื่องนี้ก็คือมุมกล้องครับ มุมกล้องเรื่องนี้ทำได้สวยงามในหลายๆ ฉาก โดยเฉพาะฉากการเดินที่สยาม ถึงจะดูละม้ายกับมุมกล้องหนังชื่อดังบางเรื่อง ก็ไม่อยากเอามาว่ากัน [color=](ถ้าจะโยงหนังทุกเรื่องล้วนมีอะไรที่เหมือนกัน เพราะมันคือพื้นฐานของศิลปะเดียวกัน และถ่ายทอดแรงบันดาลใจไปถึงกันได้) เพราะ[/color]ถึงยังไง มุมกล้องที่คุณทำได้ ก็อยู่ในระดับเหนือกว่าหนังหลาย ๆ เรื่องที่ผมได้ชมมาในระยะนี้ แต่เวลาที่หนังเปลี่ยนฉากแล้วมีเสียงของฉากต่อไปดังขึ้นมาก่อนซักพัก แล้วค่อยเห็นภาพของฉากนั้นก็ดี แต่ว่าคุณใช้มันเยอะเกินไปมาก จนทำให้หนังดูช้า งุ่มง่าม ไปโดยปริยาย [color=](รู้สึกอย่างนั้นหรอ)[/color]

และอีกอย่างที่อยากชมคือเพลงประกอบครับ ขอยอมรับเลยละกันว่าเป็นเพลงที่ไพเราะ ติดหูติดปากได้ง่ายจากการฟังไม่กี่รอบ เนื้อหาโดนใจคนเคยมีความรัก ถึงแม้จะเป็นความรักช่วงสั้นๆ อย่างที่เห็นในตัวหนังก็เถอะ
ว่าจากเรื่องเพลงและมุมกล้องแล้วขอกลับมาที่ตัวละครสุนีย์อย่างเป็นทางการนะครับ ([color=]เป็นจุดที่ง่ายที่สุดที่หนังใช้ impact คนดู และแกก็รับมันได้)[/color]



สุนีย์

“ฉันยังทำดีไม่พออีกหรอ”

การแสดงของสินจัยของกล่าวสั้นๆ ให้เข้าใจตามกันว่าอยู่ในระดับที่เธอสมควรจะทำได้อยู่แล้ว และมันก็น่าชื่นชมมากเพราะมีนักแสดงบ้านเราไม่มากนักที่จะสร้างฝีมือได้ในระดับนี้ ซึ่งมันสงผลให้ตัวละครน่าเชื่อถือ น่าเห็นใจ และน่าเคารพ ยิ่งตัวละครเจอปัญหามากเท่าไหร่ คนดูก็จะยิ่งเห็นใจเธอมากเท่านั้น การแสดงของสินจัย ช่วยให้หนังเรื่องนี้มีมิติและมุมมองข้อคิดขิ้นมาอีกเยอะ หากปราศจากเธอแล้ว คงไม่ต้องนึกเลยว่าหนังเรื่องนี้จะมีรูปร่างหน้าตาเป็นเยี่ยงไร ([color=]ตลกแล้ว.....สินจัยไม่ได้ทำให้หนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จ แต่หลายๆ อย่างประกอบกันมากกว่า)[/color]และสิ่งที่ผมคิดมาตลอดเกี่ยวกับตัวละครนี้ก็คือ เธอช่างเป็นตัวละครสุดยอดคุณแม่จริงๆ เธอทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเท่าที่แม่หนึ่งคนจะทำเพื่อลูกได้แล้ว ติดอยู่เพียงนิดเดียวเท่านั้นเอง ผมว่าเธออาจจะลืมคิดไปว่าเส้นทางที่เธอเลือกให้ลูกมันคือเส้นทางที่จะทำให้ลูกของเธอมีความสุขอย่างแท้จริงไปตลอดชีวิตหรือเปล่า? เส้นทางนี้คือเส้นทางที่ลูกเธอต้องการจริงๆ หรอ? เพราะเส้นทางที่ดีและสมบูรณ์แบบที่สุด มันไม่ได้แปลว่าถือเส้นทางที่ทุกคนต้องการ...



หญิง

“ตราบใดที่มีรัก ย่อมมีหวัง”

ตัวละครหญิง เป็นตัวละครที่ผมชอบที่สุดในเรื่องนี้ครับ เพราะบทบาทของเธอแสดงออกมาได้อย่างชัดเจนที่สุด ว่าเธอต้องการอะไร และการแสดงของเธอก็น่ารักเหมาะสมกับบทบาทอย่างดีมาก เห็นได้หลายๆครั้งว่า เธอเป็นตัวละครที่มีปัญหาทรมานใจไม่น้อยกว่าคนอื่นๆ ([color=]หรอ ทำไมคิดอย่างนั้น สิ่งที่ตัวละครตัวนี้เจอเป็นเรื่องหนักมากเรื่องหนึ่งที่วัยรุ่นเจอนะ จขกท.ไม่เคยเป็นวัยรุ่นแน่ๆ) [/color]แต่เธอเป็นตัวละครเดียวที่ยังออกมา ยิ้มได้ ยังออกมาสร้างความรู้สึกดีให้ตัวละครอื่นได้ ยกตัวอย่างฉาก อ้อนวอน นรกแตก ที่ร้านขายของเล่น นั้นเป็นเหตุผลที่ผมชอบตัวละครนี้ที่สุด ถึงแม้ตอนจบเธอจะถูกทิ้งแบบไร้ใยดีเท่าที่ควรก็ตาม ว่าตัวละครที่มีจุดประสงค์แรงและนำเรื่องผ่านอุปสรรคในหลายอย่าง แต่สิ่งที่เธอได้รับตอบแทนก็การยืนร้องไห้ โดยที่มีคนยืนรายล้อมแต่ไม่มีใครเข้าใจเธอจริงๆ ซักคน...



มิว

“มันเหงาจนน่ากลัว”

มิวเป็นตัวละครที่ได้ความน่าสงสารจากผมอย่างเต็มหน้าตัก ตัวละครที่โดนความเหงากัดกินหัวใจ จนไม่รู้ว่าหัวใจของตัวกระซิบบอกอะไรกับตัวเองอยู่ ผมสงสารมิวในสิ่งที่เขาต้องเผชิญ เพราะความเหงานั้นถือเป็นสิ่งที่โหดร้ายที่สุดสิ่งหนึ่งที่มีในโลกใบนี้ ([color=]ประเด็นนี้ผู้เขียนดูจะกระจ่างดีแหะ สงสัยเคยเจอบ่อยๆ) [/color]เมื่อมิวได้พบโต้ง คนที่ช่วยบรรเทาอาการเหล่านั้นได้ มิวจึงสร้างสรรค์ความสุข(และสร้างอย่างอื่นๆ ด้วย คือ ทำให้ชีวิตเดินต่อไป) สำเร็จ เพียงแค่นอนกอดหมอนที่มีกลิ่นไอ ความเหงาของมิวก็จางหายไปไม่น้อยเลย แต่แล้วสวรรค์กลั่นแกล้ง เมื่อชีวิตมันไม่ง่ายอย่างที่คิด ความรักของเขาถูกขัดขวางความเหงาของเขาก็กลับมาอีกครั้ง ซึ่งนักแสดงก็ทำหน้าที่ได้น่าพอใจมากครับ สำหรับมือใหม่ หากมีการพัฒนาฝีมือขึ้นไปเรื่อยๆ ก็อาจจะได้ใจผมมากกว่านี้ ซึ่งผมจะติดตามดูต่อไป (ถูกต้อง)
แต่กระนั้นก็เถอะ สิ่งที่มิวได้รับในตอนท้ายก็ไม่แตกต่างจากตัวละครอื่นเท่าไหร่นัก เขามีความสุขเขายิ้ม เหมือนบางอย่างได้เติมเต็ม เมื่อของเล่นชิ้นสุดท้าย ถูกต่ออย่างสมบูรณ์ แต่ในเวลานั้นน้ำตาเขาก็ไหลไม่หยุด ในอนาคตต่อไป เมื่อความเศร้าเหือดหายไปจากใจมิว และเขาได้มองเห็นของเล่นชิ้นนี้อีกครั้ง ผมเชื่อว่ามันจะทำให้รอยยิ้มมิวกลับมาได้เสมอ
[color=](และความรู้สึกหม่นด้วยนะ ถ้าเคยเจอจะรู้ว่า มองเห็นตุ๊กตาแล้วมันไม่ได้สุขอย่างเดียว มันทุกข์พร้อมๆ กันด้วย) [/color]เพียงแต่นี้คือบทเรียนชิ้นใหญ่ที่มิวต้องรับรู้ ว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญกว่ากันในชิวิต และอะไรคือสิ่งที่เขาควรใขว่คว้ามาให้ได้ หรืออะไรเป็นสิ่งที่เขาควรทำใจและปล่อยมันไป... โชคดีครับ มิว... (no comment)



สรุปส่งท้าย: รักแห่งสยามเป็นหนังที่ชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในหลายหลังคาเรือนทุกวันนี้ แต่ตัวหนังยังไม่สามารถแก้ปัญหาที่ตัวเองผูกขึ้นมาเองได้อย่างสมเหตุสมผลดีนัก

[color=](จริงดิ) [/color][/color]หากหนังเรื่องนี้จะหาที่มาที่ไปของตัวละครและน้ำหนักแรงจูงใจให้ ชัดเจนและมั่นคงกว่านี้ หนังอาจจะดูเข้มข้นขึ้นอีกหลายเท่าตัวเลยทีเดียว
[color=]( อันนี้เป็นความบกหร่องของคุณเองที่มองไม่เห็นเมสเสจที่หนังเขาสื่อ โปรดพิจารณาตัวเองด่วน) แ[/color]

ละที่สำคัญก็คือหนังไม่ได้สร้างความประทับในช่วงท้ายได้คุ้มกับที่สร้างปมลากยาวไว้ร่วมสามชั่วโมง หากใจความของหนังที่จะนำเสนอมีเพียงแค่นี้ ก็ควรที่จะทำให้หนังกระชับขึ้น บีบส่วนที่ผสมกันได้ให้มันไหลลื่นเข้ากัน และตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นทิ้งออกไป หนังเรื่องนี้จะงดงามขึ้นมาทันควัน [color=](อะนะ)[/color]


แต่ในเวลาเดียวกันหนังมีสร้างเสน่ห์ให้ตรงตรึงใจใครหลายๆ คน ซึ่งเห็นได้ชัดว่าความตราตรึงเหล่านั้นมันมาจากนักแสดง และบทที่เป็นประสบการณ์ของใครหลายคน ลองคิดดูดี ๆ ซิครับ ว่าหากคุณจะยกหนังเรื่องนี้ให้เป็น “หนังดีที่สุดเรื่องหนึ่งของไทย” อะไรที่ทำให้มันได้ใจคุณถึงเพียงนั้น เสน่ห์ของตัวภาพยนตร์ หรือเสน่ห์ของนักแสดง กันแน่? เพราะสำหรับผมแล้วนั้นหนังดีจะต้องมีอะไรให้คนดูมากกว่า ความซ้ำซาก และเสน่ห์ทางรูปกายภายนอก

(ไม่พูดต่อแล้ว คือ น่าจะเข้าใจแล้วว่าจะพูดอะไร แต่อยากให้ จขกท ช่วยไปศึกษามนุษย์ให้แจ่มแจ้งแตกฉาน และหัดไปมีความรักก่อน แล้วค่อยมาวิจารณ์หนังรัก อย่าสักแต่พูดๆๆๆ มันดูอ่อน ศึกษามากๆ นะ จะได้ฉลาดๆ เพราะอ่านแล้วมันขยะมากๆ เลย ....เสียเวลาจริงๆ ความคิดเหมือนเด็กประถม)
ชื่นชอบ: 2 เต็ม 5
เกรด: C+


ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
ตอบ หน้า 4 จาก 4
ไปที่หน้า ก่อนหน้า  1, 2, 3, 4
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
  


copyright : forwardmag.com - contact : forwardmag@yahoo.com, forwardmag@gmail.com