คำเตือน: บทวิจารณ์ด่านล่างนี้เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล นะครับอย่าลืม
และบทวิจารณ์นี้ไม่มีการเปิดเผยเนื้อเรื่องของภาพยนตร์ ผู้ที่ยังไม่ได้ชมสามารถอ่านได้
อย่างสบายใจ แต่ถึงกระนั้น
เวเฟอร์แนะนำอย่างแรงกล้าว่าควรชมก่อนอ่าน

________________________________________

Harry Potter and the Half Blood Prince: พายุกำลังจะมา...
เพียงเข้าฉายแค่ไม่กี่วันกระแสเจ้าชายเลือดผสมก็ถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่ายเลย ถึงด้านบวกและด้านลบของตัวภาพยนตร์ กระแสทั้งสองถูกบอกเล่าปากต่อปากผสมกันไปเหมือนชื่อตอนจริงๆ มีหลายคนชอบมากและหลายคนไม่ชอบเลย ภาพยนตร์เรื่องนี้มันสร้างมายังไงกัน ถึงแบ่งอารมณ์คนดูอย่างเห็นได้ชัดขนาดนี้ พูดแล้วมันน่าขบคิดเสียจริง แต่ในขณะที่คุณเฝ้าพรรณนากันต่างๆ นาๆ ถึงคุณสมบัติภาพยนตร์เรื่องนี้ คุณลืมอะไรกันไปหรือเปล่า ว่าคำสิบปากเล่าไม่เท่าตาเห็นเอง และสิบปากวิจารณ์ไม่เท่าสัมผัสด้วยใจของคุณเองเช่นกัน.... ว่าแต่ แล้วใจของเวเฟอร์คิดว่ายังไงกันล่ะ...?
นำเรื่อง: หลังจากชมภาพยนตร์ชุดนี้มาถึงห้าตอน ความรู้สึกที่เพิ่มพูนขึ้นตลอดเวลาคือ อรรถรสจากหนังสือและภาพยนตร์มันช่างแตกต่างกันจริงๆ เวลาอ่านหนังสือไม่เพียงแต่เรารับรู้เรื่องราวในโลกเวทย์มนต์อันน่าติดตาม แต่เราอยู่ที่นั้นด้วย เราอยู่ที่ฮอกวอตส์และอยู่ในเหตุการณ์ทุกเหตุการณ์ที่แฮร์รี่ เผชิญ นั้นคืออรรถรสที่ผมได้รับจากการอ่านหนังสือชุดนี้ เพราะเจเคเล่าเรื่องราวด้วยบุคคลที่หนึ่งเสมอนั้นก็คือตัวแฮร์รี่ ไม่ว่าแฮร์รี่คิดอะไร รู้สึกอะไร เราก็จะเข้าใจและรู้สึกตามไปด้วยตลอดเวลา ไม่ว่าแฮร์รี่มันจะขึ้นเขาลงห้วย เราก็ต้องไปกับมันด้วยเสมอ แต่ในขณะที่ฉบับของภาพยนตร์นั้นผมได้รับอรรถรสที่แตกต่างกันออกไปโดยสิ้นเชิง หลายครั้งที่เวลาดูหนังแล้วอารมณ์ผมไม่ไหลลื่นคล้อยตามไปกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในจอ หลายครั้งที่ผมดูฉากผ่านไปฉาก และไม่ตื่นเต้นหวือหวากับเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินไปอย่างเมามัน นั้นคือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อผมดูหนังที่สร้างมาจากหนังสือ แต่ทว่าอรรถรสที่ฉบับภาพยนตร์นั้นหยิบยื่นให้กับผม ก็มีสิ่งที่ดีๆ อยู่เช่นกันและมันก็เป็นอรรถรสที่ผมไม่เคยได้รับจากการอ่านหนังสือเสียด้วย....

เริ่มตั้งแต่สิ่งที่เห็นได้ชัดๆ เลยก็คือ ผมได้เห็นตัวละครในเรื่องมายืนโพสท่ากันอย่างสวยหล่อ ถือไม้กายสิทธ์ กันในมือพร้อมสู้ แต่ใบหน้าเหมือนถ่ายแบบลงปกเดลี่พรอทเฟรดพาดหัวข่าว พอตเตอร์และผองเพื่อน กับแฟชั่นฤดูหนาว นั้นคือความสุขที่ผมไม่ได้จากตอนอ่านหนังสือเลย

และรวมไปถึงตัวละครจากฝ่ายร้ายก็เช่นกัน การจับพวกเขามายืนเรียงเบ่งตาทำหน้าโหดใส่กล้องนั้นก็ให้ความรู้สึกชั่วร้ายของพวกเขาไปอีกแบบ รวมไปถึงการแต่งกายของพวกเขาที่ผมไม่ต้องจินตนาการให้เหนื่อยว่าผ้าคลุมสีดำปลิวพลิ้วไล่ไปกับผมอันดำเมือบของสเนปมันเป็นยังไง เพราะทีมงามเค้าจัดการมาให้เราแล้ว เราแค่มองดูมันก็พอ... ที่กล่าวมาพอให้เห็นภาพนั้นคือข้อดีพื้นฐานเลย ที่ผมชื่นชอบในฉบับของภาพยนตร์ ส่วนข้อดีเด็ดๆ ที่ฉบับภาพยนตร์หยิบยื่นมานั้น ผมเชื่อว่าอยู่ที่แต่ละบุคคลว่าจะไขว้คว้าเข้าตัวกันได้มากเพียงใด...

ข้อดีข้อเด่น: การใช้โทนสีเพื่อสื่ออารมณ์ความรู้สึกของตัวละครคือข้อดีที่ฉบับภาพยนตร์สามารถสื่อออกมาให้เรารับรู้ด้วยประสาทตาและสัมผัสได้ด้วยประสาทหัวใจ บวกกับการแสดงสีหน้าของตัวละคร และการคิดตามของผู้ชม มันก็สามารถทำให้เรารู้ว่า ณ เวลานั้นตัวละครรู้สึกเช่นไรอยู่ ซึ่งสำหรับผมถือเป็นอรรถรสที่สนุกสนานและเรียกอารมณ์คล้อยตามได้ในระดับเกินความคาดหมายเลยทีเดียว เพราะในภาคเจ้าชายเลือดผสมนี้ ประเด็นหลักๆ ที่หนังสือสื่อออกมาเลยก็คือ ความเศร้า ความจนตรอก และสิ้นหวังของเหตุการณ์ ซึ่งหากจะเปรียบเป็นสีและโทนสีที่เหมาะที่สุดก็คงไม่แพ้ สีที่คุณได้เห็นบนใบหน้าของแฮร์รี่ อยู่ในขณะนี้ ซึ่งโทนสีและอารมณ์ดังกล่าวมันครอบคลุมได้ตลอดทั้งภาพยนตร์ ตั้งแต่นาทีแรก จวบจนนาทีสุดท้ายที่เครดิทจบและผมลุกเดินออกจากเก้าอี้
และการที่หนังเรื่องหนึ่งจะดำเนินมาได้ถึงตอนที่หก ก็สมควรต้องนำเสนอสิ่งที่ไม่ซ้ำกับตอนที่แล้วๆ มา ซึ่งคราวนี้ตอนเจ้าชายเลือดผสมนอกจากจะแสดงอารมณ์อันเศร้าโศกและหม่นหมองได้อย่างชัดเจนแล้ว อีกหนึ่งอารมณ์ที่ถ่ายทอดออกมาได้พึงพอใจผมก็คืออารมณ์ของตัวละครหลักทั้งสี่คน

เนื่องจากภาคนี้ไม่มีการแข่งกีฬาสีสมานสัมพันธ์ ภาคนี้ไม่มีงูยักษ์ออกมากัดเด็ก หรือนักโทษแหกคุกออกมาเพ่นพ่าน มันจึงเวลาที่เหมาะเหม็งที่ตัวละครหลักๆ ของเรื่องจะได้แสดงอารมณ์ออกมาเต็มที่ ว่าในฐานะ เด็กธรรมดาหนึ่งคน พวกเขารู้สึกอะไรกันอยู่บ้าง พวกเขาอยากทำอะไรกันบ้าง ซึ่งก็แต่ละคนก็แสดงออกมาได้น่าพึงพอใจสำหรับผมเช่นกัน และที่สำคัญคืออารมณ์พวกเขานั้นค่อนข้างตรงตามที่หนังสือสื่อเอาไว้เลยทีเดียว ทั้งด้านความรักที่เริ่มจะจริงจัง และไม่ใช่รักกิ๊กก๊อกของเด็กประถม ด้านชีวิตที่ต้องเลือกทั้งของตัวแฮร์รี่ และของมัลฟอย

ซึ่งสำหรับคนที่ไม่ได้อ่านหนังสือมาและชมภาพยนตร์อย่างเดียวก็ได้เริ่มจะเข้าใจแล้วว่า ตัวละครนี้ไม่ได้ใส่มาเพื่อมากวนบาทาแฮร์รี่อย่างเดียว เขานั้นก็มีความเศร้าโศก มีจุดที่ต้องตัดสินใจ และเขาก็มีน้ำตาเหมือนกัน ซึ่งอารมณ์ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นคือการดำเนินเนื้อเรื่องของตอนนี้ไปอย่างลุ่มลึก พร้อมกับเหตุการณ์ที่เริ่มจะเลวร้ายขึ้นทุกทีๆ เพราะในความรู้สึกผม ตอนที่หน้ากลัวที่สุดอาจไม่ใช่ตอนที่พายุกระหน่ำโหมสาดเสมอไป บางทีตอนที่พายุกำลังตั้งเค้า เมฆหมอกกำลังก่อตัว มันก็น่ากลัวไม่แพ้กัน

ซึ่งตอนเจ้าชายเลือดผสมนี่คือตอนก่อนสุดท้ายของซีรี่ย์ชุดนี้แล้ว มันคืออารมณ์ที่จุดจบกำลังใกล้เขามาถึง ในแง่ของการสร้างภาพยนตร์ สิ่งที่ควรทำที่สุดคือการปูทาง และเตรียมพร้อมให้ดีเยี่ยมที่สุด เพื่อที่เวลาจุดจบมาถึง ทุกคนจะได้เข้าใจตรงกันว่า นี่คือซีรี่ย์ ที่น่าจดจำที่สุดเรื่องหนึ่งของวงการณ์ภาพยนตร์จริงๆ เพราะหากจะให้ผมมองในแง่มุมของการปูทาง ตอนเจ้าชายเลือดผสมก็ทำหน้าที่ได้น่าพึงพออีกเช่นกัน

ในการดูหนังภาคต่อให้ได้อรรถรส ผมคิดว่าเราไม่ควรติดนิสัย ดูหนังจบไปตอนๆ เราควรจดจำและบันทึกเรื่องราวในตอนต่างๆ ที่ได้ชมไปแล้ว ในตอนแรก แล้วมาสืบสานเรื่องราวตอนต่อๆ มาหรือเรียกง่ายๆ ว่า ควร ตั้งใจดู นั้นเอง แล้วคุณจะเห็นได้ว่า ความสนุกสนานของภาพยนตร์มันไร้ขีดจำกัดได้ด้วยสมองเราเอง ในภาคสองแรก คุณได้สนุกสนานกับการเห็นเด็กๆ เดินซื้อของในตรอกไดแอกอน แต่คราวนี้เหตุการณ์มันจะไม่ซ้ำซากแล้ว ในภาคถัดมาคุณได้เห็นโรงเรียนใต้แสงแดดอบอุ่นแต่คราวนี้มันก็ไม่เหมือนเดิมแล้วเช่นกัน มันเป็นไปตามที่หนังสือบรรยายไว้ ว่าความมืดกำลังครอบงำมาเลื่อยๆ อำนาจของจอมมารกำลังแผ่ขยาย แม้แต่ที่ที่ว่าปลอดภัยที่สุดก็ถูกรุกรานได้อย่างง่ายดาย แม้แต่คนที่ว่าฉลาดและปราดเปรื่องที่สุดก็ยังจากแฮร์รี่ไป ทั้งหมดที่กล่าวมือ มันคือการปูทาง สู่จุดจบที่ใกล้เข้ามา ที่แลดูจะโหดร้ายและแย่ลงไปตามเวลา

ยกเว้นสิ่งหนึ่งที่เป็นกุญแจหลักของเรื่องราวและไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย นั้นคือมิตรภาพ รอยยิ้ม และความสามัคคีที่ซีรี้ย์ชุดนี้บอกเล่าให้เราซึมซับเสมอมา และอยากให้ทุกคนจดจำเอาไว้ ไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะมืดหม่นเพียงใด ไม่ว่าชัยชนะจะริบหรี่แค่ไหน ตราบที่คุณยังมีเพื่อนอยู่ อย่างน้อยก็ยังจะมีคนอยู่เคียงข้างคุณเสมอ โดยที่มันไม่สำคัญเลยว่าคุณจะแพ้หรือว่าชนะ

ตอนนี้ผมว่าแฮร์รี่ พอตเตอร์ ได้พิสูจน์ ว่านี่ไม่ใช่เพียงหนังแฟนตาซีพ่อมดแม่มดสำหรับเด็กๆ อีกต่อไป แน่นี่คือวรรณกรรมเรื่องราว สงคราม ที่สะท้อนสังคมและจิตใจเป็นอย่างดี ให้หลายคนที่เลือกจะรับฟัง ไม่ว่าจะเป็นการรับรู้ทางตัวหนังสือหรือการชมภาพยนตร์ อรรถรสที่ได้ย่อมแตกต่างกันออกไป แต่สิ่งที่เหมือนกันคืออะไร ณ จุดนี้คงไม่ต้องให้ผมบอกก็น่าจะเข้าใจใช่ไหมครับ...

และตบท้ายด้วยอีกสิ่งหนึ่งที่ถูกใจผมจนเหมือนโดนยาเสน่ห์ นั้นคือการนำตัวละครจากหน้ากระดาษให้มาโลดแล่นได้เกินความคาดหมาย ด้วยผลพลอยจากการแสดงของนักแสดงที่เคารพในหนังสือและเคารพในตัวละคร ผลที่ได้คือความสุขของแฟนๆ อย่างผมที่นอกจากจะได้อรรถรสยามจิตนาการเองยามอ่านหนังสือแล้ว ยามชมภาพยนตร์ ก็ยังได้อรรถรสอีกรูปแบบเมื่อเห็นเขาและเธอส่งยิ้มอันชั้วร้ายอย่างนี้ออกมาอีกด้วย เพราะสิ่งที่ตัวละครเหล่านี้ส่งออกมามันแฝงอารมณ์ให้คนดูอย่างที่ฉบับหนังสือคงทำไม่ได้จริงๆ ทั้งรอยยิ้มอันชั่วร้ายของเบลาทริกซ์ หรือไฟอันร้อนระอุจากปลายไม้กายสิทธิ์ดัมเบิลดอร์ เพราะว่าตอนผมอ่านก็ไม่คิดเหมือนกันว่ามันจะแลดูร้อนแรงขนาดนี้ถึงจะเป็นเวลาสั้นๆ ก็ตาม

ข้อด้อยข้อเสีย: สำหรับหลายคนที่ลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกัน และก็ส่ายหน้าตามๆ กันอีก ว่าตอนเจ้าชายเลือดผสมนี่ไม่สนุกเอาซะเลย และอาจรวมไปถึงน่าเบื่อซะอีกด้วย ด้วยการดูกิจวัตรประจำวันของนักเรียนปีหก ที่ไม่มีการต่อสู้แบบ ตูม ตูม ตูม ตามที่หลายคนคาดหวังไว้ จึงอาจไม่สนุกสนานเท่ากับที่ตั้งใจไว้แต่แรก จนถึงแม้ได้อ่านข้อดีข้อเด่นที่ผมพรรณนาข้างต้นไปเยอะแล้วก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนใจคุณได้อยู่ดี

นั้นอาจเป็นเพราะ หนึ่งคุณกำลังเลือกมองหาผลส้มในตะกร้ามังคุด ซึ่งไม่ว่ายังไงคุณก็หาไม่เจออยู่ดี หรือสอง คุณเป็นคนชอบกินอาหารเผ็ด แต่สั่งเพียงแค่แกงจืดทาน ไม่ว่าอย่างไงอรรถรสของคุณก็ไม่สามารถเติมเต็มได้ เพียงแต่อยากให้คุณเปิดใจให้กว้างและซึมซับสิ่งที่ภาพยนตร์นำเสนออกมาให้ครบถ้วนก่อนที่จะเรียกร้องต้องการในสิ่งที่มันไม่จำเป็น

ที่กล่าวตามนั้นหาเป็นเพียงการแนะนำให้หลายคนเปิดทัศนะคติในการรับชม ส่วนข้อเสียที่แท้จริง ที่ผมแทบรอไม่ไหวในการตอกย้ำกับผู้กำกับคนนี้นั้นก็คือ ฉากหักมุม!!! เพราะสิ่งหนึ่งที่อยู่คู่กับแฮร์รี่ พอตเตอร์มาตลอดตั้งแต่เขาอายุสิบเอ็ด คือการหักมุมในเรื่องราวที่เขาเองไม่เคยคาดคิดได้เลย ซึ่งในฉบับภาพยนตร์ การหักมุมไม่ได้ทรงพลังเอาซะเลย ทั้งที่ก็หักมุมตามแบบฉบับหนังสือทุกประการ แต่กลับไม่สร้างควรหรรษาสมอรรถรส ซึ่งสาเหตุที่เป็นเช่นนั้น ผมรู้สึกได้ว่าผู้กำกับไม่ใส่ใจกับประเด็ดการหักมุมเท่าที่ควร ตั้งแต่เหตุการณ์ในภาคภาคีนกฟีนิกซ์ ไม่ว่าจะเป็นการเฉลยว่าลูกแก้วคำทำนายนั้นมาจากบุคคลใด และคำทำนายถึงเด็กอีกคนนั้นที่อาจมีอำนาจเทียบเคียงจอมมารนั้นคือเด็กคนไหน ทั้งสองอย่างนี้ถูกดูดหายเงียบไปพร้อมๆ กับซีเรียส แบล็ค เลย แล้วยังสืบเนื่องมาถึงตอนเจ้าชายเลือดผสมนี้ การตื่นตระหนกของตัวแฮร์รี่เอง ไม่สมน้ำสมเนื้อกับเมื่อตอนที่เจ้าชายประกาศว่า ข้านี่แหละ เจ้าชายเลือดผสม ถึงแม้ว่าแฟนๆ ค่อนโลกจะรู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นใคร แต่อย่าลืมซิครับว่าอีกคนหนึ่งที่ไม่รู้เรื่องเลย ก็คือตัวแฮร์รี่ย์ พอตเตอร์เอง แต่มันกลับนิ่งเหมือนไม่มีอะไรหักมุมเสียนี่ ทั้งที่ความจริงแล้ว มันควรจะทำให้บางคนกรี๊ดออกมาได้เลยเมื่อรู้ความจริง ต่อให้รู้อยู่แล้วก็ตามเถอะ เพราะลองคิดดูเล่นๆ แล้วกันว่าหากคุณเก็บอารมณ์ได้ครบถ้วนในจุดนี้ด้วย ภาพรวมของภาพยนตร์อาจจะสวยงามและเพิ่มอรรถรสขึ้นไปอีกหนึ่งขั้นเลย

สรุป: ผมอยากให้หลายๆ คนสามารถรับอรรถรสอันสนุกสนานทั้งแบบฉบับของหนังสือและแบบฉบับภาพยนตร์ เพราะไม่ว่าคุณจะได้รับอรรถรสมากน้อยหรือแตกต่างกันมากเพียงใดก็ตาม สิ่งที่เจ้าชายเลือดผสมได้นำเสนอแกเรานั้น มันน่ากลัวไม่แพ้กัน มันเป็นการนำเสนอการเตรียมการของสงครามครั้งยิ่งใหญ่ทั้งฝ่ายจอมมารและฝ่ายดัมเบิลดอร์
เมื่อพันธะสัญญาได้ถูกผูกมัดไว้แล้ว หมากแต่ละตัวถูกวางไว้พร้อมจะเดิน โลกเวทย์มนต์แห่งนี้กำลังมืดหม่นเข้าไปทุกนาที เหมือนพายุที่แรงที่สุดกำลังตั้งเค้าที่จะสาดซัดใส่กำแพงฮอกวอตส์ โดยไม่มีทางหลีกเลี่ยง มันทั้งมืด หม่นหมอง เศร้าโศก และน่ากลัวยิ่งนัก น่ากลัวทั้งเหตุการณ์ในเรื่อง และน่ากลัวอย่างจับใจ ว่าวรรณกรรมแห่งโลกเวทมนต์เรื่องนี้กำลังเดินเข้าสู่จุดจบเข้าไปอีกก้าว...
เกรด: B+
__________________________________________________________
แถม: ตรงนี้ขอเฉพาะคนที่ชมภาพยนตร์และเท่านั้นนะครับ มาบ่งบอกเป็นการส่วนตัวว่าชื่นชอบอะไรที่ออกนอกหน้าเกินกว่าจะใส่ในบทวิจารณ์

หวานไปไหม?
สังเกตกันหรือเปล่าครับ ว่าฉากนี้ใส่สีชมพูหวานแหววใส่หน้าของจินนี่เต็มๆ เลย เหมือนเป็นการเปรียบเปรยบอกนัยๆ ว่าเธอโตเป็นสาวเต็มตัวแล้วนะ เธอพร้อมที่จะมีความรักแบบผู้ใหญ่ได้แล้ว แล้วก็ดูแววตาเธอซิ ไม่บอกก็รู้ว่าเธอกำลังมองใครอยู่

ห้องซ่อนจูบ
ฉากจูบนี้ถือว่าได้ใจผมมากกว่า ฉากจูบของโช แชง เยอะเลยครับ อาจเป็นเพราะหนึ่งผมเชียร์จินนี่แต่แรกแล้ว สองฉากนี้ทำให้ผมรู้สึกได้ว่าจูบเพราะตัวละครมีใจให้กัน ไม่ได้จูบเพราะ อยาก เฉยๆ

อัจฉริยะยังทำไม่ได้!!!
ในฉากชั้นเรียนวิชาปรุงยาขั้นสูง ที่เฮอร์ไมโอนี่ของเราจนมุมเป็นครั้งแรก และปรุงยาตายทั้งเป็นไม่สำเร็จ จนหัวฟูฟ่องอย่างนี้ ตามที่ได้อ่านหนังสือมาหากผมจำไม่ผิดนี่คงเป็นน้ำยาชนิดแรกที่เธอปรุงไม่สำเร็จในเวลาที่กำหนด และเป็นครั้งที่สองที่เธอแพ้แฮร์รี่ในชั้นเรียน (ครั้งแรกคือวิชาป้องกันจากศาสตร์มืด ตอนปีสาม เมื่อตอนที่สอบแล้วเฮอร์ไมโอนี่ต้องเผชิญกับปีศาจบ๊อกการ์ดในตู้เสือผ้าที่จะเปลี่ยนเป็นสิ่งที่เรากลัวที่สุด เธอวิ่งและกรี๊ดออกมา เมื่อปีศาจบ๊อกการ์ดของเธอกลายร่างเป็นอาจารย์มัลกอลนากัลแล้วบอกเธอว่า เธอสอบตกทุกวิชา ตอนนั้นที่อ่านผมฮามากๆ) แล้วคราวนี้ที่เธอหงุดหงิดกับการพ่ายแพ้เรื่องเรียนก็ทำเอาผมฮาท้องแข็งอีกครั้ง อยู่คนเดียวในโรงภาพยนตร์ (ฮาเบาๆ นะครับไม่ได้รบกวนใคร) ในขณะที่ในโรงภาพยนตร์ไม่มีใครขำเลย ขอถามเพื่อนๆ หน่อยครับ ว่าฉากนี้มีใครขำแบบผมบ้าง ขอเสียงนิด

แว่นอะไรของเธอ?
ผมชอบมากที่ปรับเปลี่ยนเนื้อเรื่องในตอนนี้ ที่ลูน่าใส่แว่นนี่แล้วมองเห็นแมลงอะไรซักอย่างบนหัวแฮร์รี่ จึงทำให้เธอมาช่วยเข้าไว้ได้ทันเวลาก่อนจะสายเกินแก้ เป็นการใช้นิสัยคาแรคเตอร์ให้เหมาะเจาะสอดคล้องกับเหตุการณ์ได้ดีครับ ขอปรบมือในจุดนี่ และอีกอย่าง ลูน่า ก็ใส่แว่นนี่ได้น่ารักซะจริงๆ เลย ว่าไหมครับ

แถมด้วยอีกหนึ่งฉากน่ารักๆ ของลูน่า ครับ เพราะตอนแรกคิดว่าจะไม่ได้เห็นราชสิงห์ คำรามเชียร์ กริฟฟินดอร์สู้ๆ ซะแล้ว ในฉากนี้จะเห็นได้เลยว่าเธอไม่แคร์สื่อจริงๆ เพราะทั้งอัฒจันทร์ ถึงจะเป็นกริฟฟินดอร์หมดแต่แลดูจะมีลูน่าเพียงคนเดียว ที่เข้าถึงเกมส์อย่างจริงจัง ฮา อย่างแรงครับ

สิ่งที่หมวกบอก
หมวกคัดสรรค์ คือสิ่งที่อยู่มาตั้งแต่รุ่นก่อตั้งฮอกวอตส์ มันมีประสบการณ์ชีวิตหลายพันปี มันเป็นคนเลือกว่าเด็กคนไหนเหมาะกับบ้านไหน และสิ่งที่หมวกพูดนั้น ถึงรอนจะไม่ใส่ใจเท่าไหร่นัก แต่แท้จริงแล้ว มันเปรียบเสมือนคำสอนที่ทุกคนควรเชื่อฟังและปฏิบัติตามไม่ต่างจากคำสอนของดัมเบิลดอร์ และคราวนี้หมวกคัดสรรค์แห่งฮอกวอตส์ก็บอกกับพวกเราว่ามันถึงเวลาแล้วที่ต้องสามัคคีกัน ซึ่งในฉากสุดท้าย การที่ทุกคนยกไม้ส่งแสงสีขาวขึ้นสู่ท้องฟ้า นั้นถือเป็นสิ่งที่ประทับใจผมมากมาย เพราะนอกจากมันจะแสดงถึงความสามัคคีแล้ว แสงจากไม้ของทุกคนมันขึ้นไปขับไล่ควันรูปหัวกะโหลกบนฮอกวอตส์ออกไป ไม่ให้ควันนั้นอยู่เหนือร่างของคนที่ทุกคนรักที่สุดในนาทีนี้....
แก้ไขล่าสุดโดย Darth เวเฟอร์ เมื่อ Mon Jul 20, 2009 12:23 pm, ทั้งหมด 2 ครั้ง
_________________
คุยหนังภาษาหมา
