˹���á Forward Magazine

ตอบ

ไปที่หน้า 1, 2  ถัดไป
Blackout Review
ผู้ตั้ง ข้อความ
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ Blackout Review 
"อดีต" ไอดอลป๊อปของวัยรุ่นส่งแดนซ์ป๊อปสะกดจิตที่เริ่มจะแสดงให้เห็นถึงรอยร้าวในภายนอกของเธอ
จาก Spence D.
เขียนเมื่อ อาทิตย์ที่แล้ว - ไม่นานมานี้เองทุกสายตาก็จดจ้องไปยังบริทนีย์ สเปียร์ส ไม่ใช่เพราะงานเพลงของเธอ แต่เป็นเพราะปัญหาทางกฏหมายต่างๆ, งานโชว์ที่ VMA ที่สามารถนำไปถกกันได้ต่อ, และบรรดาข่าวคาวทั้งหลายของเธอที่ปรากฏขึ้นหน้าแทบลอยด์ทั้งหลาย (อ้างถึง AOL เมื่อวันก่อน "บริทนีย์ชอบกินไอติมนะ" ให้ตายสิ) เอาหล่ะ ในตอนนี้เองบรรดาหูของคนฟังทั้งหลายก็จะได้ไปโฟกัสกันที่บริทนีย์กันอีกครั้งแล้ว ต้องขอบคุณไปที่การเลื่อนวันวางจำหน่ายของอัลบั้มใหม่ที่เกิดจากแรงผลักดันครั้งล่าสุดของเธอ "Blackout" แน่นอนว่าคนในวงการต้องคิดถึงความแปลกของชื่ออัลบั้มเองเป็นแน่ เพราะตัวบริทนีย์เองก็ไม่ได้หายไปจากเวนูวปาร์ตี้ทั้งหลายแต่อย่างใด ในขณะที่คนอีกกลุ่มจะเพ่งเล็งไปที่การเลื่อนวันขายออกมาไม่กี่สัปดาห์เนื่องมาจากผลของการปล่อยแทร็คออกมาออนไลน์ อย่างไรก็ตามก็มีแค่บริทนีย์และสังกัดของเธอเองนั้นที่จะมั่นใจถึงขนาดที่จะยอมให้ฟังอัลบั้มกันทาง MTV 1 อาทิตย์เต็มๆก่อนที่อัลบั้มจะออก

แต่การทดลองก็คือการทดลองตลาดอยู่ดี ตัวอัลบั้มที่ห้าของบริทนีย์เองนั้นถูกบรรจุไปด้วยผลงานใหม่ๆต่างจากตัวที่หลุดออกมาทางอินเตอร์เนท สเปียร์สได้รับแรงช่วยเหลือจากซูเปอร์โปรดิวเซอร์มากมายอย่าง Nate "Danja" Hills ที่ได้รับเครดิทมากมายจากการร่วมงานกับ Nelly Furtado รวมทั้ง Freescha และ Kara DioGuardi ผู้สร้างแทร็คดีๆให้กับ Kelly Clarkson และ Bloodshy & Avant โปรดิวเซอร์ของเพลง "Toxic"

ตัวอัลบั้มเปิดออกมาด้วยซืงเกิ้ล "Gimme More" ที่ถูกเล่นไปทั่วทุกสถานีวิทยุ อินเตอร์เนท และคลับต่างๆ สเปียร์สปลดปล่อยพลังเสียงโซปราโน่แมวเหมียวครางออกมาที่เห็นได้ชัดว่าถูกขัดเกลาไปด้วย echo, overdubs และ filters ที่เปลี่ยนเสียงของหญิงสาวอายุเกินบรรลุนิติภาวะอย่างเธอนั้นให้กลายเป็นสาวแรกรุ่นที่กำลังอ่อยเหยื่อได้ พูดง่ายๆว่ากลายเป็นลอลิต้าในยุคปัจจุบันที่เปลี่ยนกอธมาเป็นอิเลคโทร ต้องยกเครดิตทั้งหมดให้กับ "Danja" ที่ทั้งบีทและเลเยอร์ผลงานของเขาเองนั้นทำให้เพลงนี้สะกดคนฟังได้อยู่หมัด

“Piece of Me” เริ่มด้วยเสียงแส้และโซ่แบบอิเลคโทรที่ซ้อนกันทำเป็นแบ็คบีทที่สลับไปมา เสียงแบบนี้เองทำให้คนฟังย่อมนึกไปถึงการบันทึกการเล่น S&M ของคนเล่นครั้งแรกไปบนเทป (เอิ่ม S&M .. หาคำแปลกันเอง 55+ มัน Parental Advisory อ่ะจะ ย่อมาจาก Sadism & Mu... อะไรซักอย่าง โหดมะๆ) ทางด้านดนตรีนั้นตัวเพลงเสียงเหมือนกับเพลงของมาดอนน่าในอัลบั้มใหม่ของเธอเป็นอย่างมาก แสดงให้เห็นถึงตัวบริทนีย์ในด้านความคิดสร้างสรรค์ผลงานของตัวเองและการขาดความสามารถที่จะผลักดันอิเลกโทรนิกแดนซ์ป็อปให้ก้าวหน้าไปอีก จังหวะนั้นถูกกดให้อยู่ในช่วงปานกลาง เสียงร้องของเธอนั้นก็ถูกดัดแปลงอย่างมากอีกครั้ง ส่วยทางด้านเนื้อเพลงนั้นกลับไปพึ่งสิ่งเดิมๆอย่าง "I'm famous and people won't leave me alone" ที่บรรดาป็อปสตาร์วัยรุ่นทั้งหลายคอยบอกย้ำให้เราฟังบ่อยๆ และพยายามที่จะให้พวกเรารู้ว่าชีวิตของพวกเธอนั้นลำบากแค่ไหนเพราะชื่อเสียงต่างๆและเงินทองทั้งหลายที่พวกเธอนั้นเองก็ต่างดิ้นรนที่จะได้มากันเอง แม้ทั้งสองด้านดนตรีและเนื้อร้องนั้นต่างตกสมัย แต่เพลงนั้นก็ยังคงสะกดผู้ฟังได้เพราะว่าเสียงร้องนั้นถูกมิกซ์กับเสียงดนตรีเป็นอย่างดีนั่นเอง

ส่วน Radar บริทนีย์นั้นทิ้งการดัดแปลงเสียงร้องไปเกือบหมดซึ่งก็น่าเศร้าที่ว่ามันกลับแสดงให้เห็นถึงลิมิทของเสียงเธอในฐานะนักร้องเอง เสียงร้องของเธอกลับกลายเป็นว่ายิ่งน่ารำคาญและเหมือนหุ่นยนต์เสียมากกว่าหลังจากที่ถูกดัดแปลงแล้วเสียอีก เพลงนี้เป็นหนึ่งในเพลงพวกนั้นที่ว่าจะติดหูมากๆเมื่อแม้ว่าจะไม่ตั้งใจฟังคอรัสของเพลงแต่มันจะติดอยู่ในหูของคนฟังและทำให้คนฟังต้องฮัมเพลงและร้องตามแม้ว่าเพลงนั้นจะหายไปจากความทรงจำระยะสั้นของคนฟังตั้งนานแล้ว บริทนีย์กระซิบกระซาบอีกครั้งในเพลง Break the Ice บอกย้ำคนฟังว่า “It’s been a while. I know I shouldn’t have kept you waiting. But I’m here now.” หลังจากนั้นเธอก็ปล่อยเสียงร้องสลับไปมาระหว่างเสียงแบบเด็กสาวของเธอและเสียงกระเส่าของเธอพร้อมกับการถอนหายใจที่ถูกซ้อนเข้ามาเพื่อเอฟเฟคที่งดงาม นี่เป็นแทรคที่เหมาะกะหูฟังเป็นอย่างยิ่งเนื่องจากเลเยอร์ทั้งหลายนั้นทำให้เพลงเหมือนมีชีวิตอยู่ในหูฟังเลยทีเดียว

จากจุดยืนของการโปรดิวซ์เพลงนั้น Blackout ค่อนข้างที่จะดีมากเลยทีเดียว ด้วยจำนวนของการเลเยอร์เสียงและ overdubs สร้างเสียงร้องของสเปียร์สฟังดูเต็มไปด้วยพลังและเมื่อฟังด้วยหูฟังนั้นสามารถที่จะสะกดคนฟังได้เลยทีเดียว อย่างไรก็ตามแล้วนี่ก็เป็นแค่ของหวานสำหรับหูคนฟังที่ถูกขัดเกลามาให้หวานหูแต่ก็จะละลายหายไปและถูกลืมได้ง่ายๆเช่นกัน เพลงที่ย้อนยุคอย่าง Heaven On Earth ที่นำบริทนีย์มาเย่ายวนเสน่ห์ของเธออีกครั้งนั้นก็เหมือนกับเวทย์มนต์แต่เมือนำมาเทียบกับภาพที่ค่อนข้างจะหลุดโลกของเธอแล้วนั้นมันก็ยากสำหรับคนฟังที่จะถูกปลุกอารมณ์ด้วยเสียงร้องในเพลงแนวนี้ของเธอได้ง่ายๆ แต่เอาน่า เมื่อเอาภาพต่างๆออกไปแล้วนั้น เพลงนี้นั้นเองก็คือหนึ่งในแทรคที่แข็งแรงที่สุดในอัลบั้ม เสียงร้องของสเปียร์สค่อนข้างจะมั่นคงและออกจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆไปสู่ช่วงท้ายของเพลง คอรัสนั้นเป็นสิ่งที่วิเศษมากๆในเพลงนี้ ทำให้ขนลุกและยิ้มตามไปได้ง่ายพร้อมกับเมโลดี้ของเพลงเองได้เลยทีเดียว

ต่อจากแทร็คละลายหัวใจอย่าง "Heaven on Earth" แล้วนั้นทุกอย่างก็เข้าสู่ "Get Naked (I Got A Plan)" ชื่อเพลงบอกทุกอย่างในเพลงง่ายๆไปแล้ว บริทนีย์ยั่วยวน ถอนลมหายใจ ส่งเสียงกระเส่าและทำทุกอย่างที่ Prince จะทำเพื่อจะแหย่คู่ขาของคนฟังว่างั้นเถอะ การโปรดิวซ์แทรคนี้ค่อนข้างจะแปลกแยกแต่ว่าก็โดดเด่นที่การนำเสียงร้องชายมายืดหยุ่นแล้วหมุนไปมาตลอดช่วงเพลง และเมื่อบริทนีย์กล่าวออกมาว่า "If I Get On Top, You Gonna Lose Your Mind" คุณก็แทบจะเชื่อว่าเธอกำลังพลิกตัวขึ้นมาบนตัวคุณเลยทีเดียว นี่คือฝันเปียกที่ถ่ายทอดออกมาทางเสียงเพลงและคงจะกลายเป็นแทรคในคลับเปลื้องผ้าหลายๆแห่งเป็นอย่างแน่นอน

ไหนๆก็เข้าสู่ช่วงที่ค่อนข้างจะส่อนไปทางเพศเป็นอย่างยิ่งแล้ว แทร็คต่อมา “Freakshow” ก็เชื่อมต่อช่วงแห่งความบันเทิงด้วยบริทนีย์ร้องเกี่ยวกับการส่ายสะโพกของเธอ! เสียงจังหวะนั้นออกจะเหมาะหูแต่ว่าก็เช่นเดียวแทร็คอื่นๆในอัลบั้มอย่าง “Gimme More” ทั้งหมดก็คือการฟิลเตอร์เสียงร้องของเธอที่ถูกนำมาสร้างให้เข้ากับจังหวะและเสียงเพลงที่เหมือนกับขนมอมยิ้ม หวานหู ติดหู แต่แล้วก็ทำให้คุณเบื่อ ใน “Toy Soldier” นั้นบริทนีย์แกล้งเลียนเสียงแบบ The Gap Band โดยไร้การดัดแปลงแต่แน่นอนว่าก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเสียงเธอนั้นเหมาะกับการกระซิบกระซาบและนำมาดัดแปลงเสียมากกว่า

เสียงกีตาร์อะคูสสิกและเสียงปรบมือนำเข้าสู่เพลง “Ooh Ooh Baby” อีกเพลงที่ฟังคล้ายแนวของอิตาเลี่ยนอย่างน้อยในด้านเสียงร้อง จากทุกแทรคในอัลบั้มนั้น แทรคนี้เองดูเหมือนว่าจะเป็นแทรคที่ค่อนข้างจะมีความเป็นเมนสตรีมและสามารถพุ่งเข้าแท่นอันดับเพลงป็อปได้ง่ายๆทีเดียว ที่จริงแล้วมันฟังดูเหมือนว่าจะอยู่ผิดอัลบั้มเมื่อนำมาเปรียบกับเพลงอื่นๆที่ออกจะเป็นแนวอิเลกโทรแดนซ์เป็นส่วนใหญ่

“Are we Ready?” คือคำถามที่นำเข้าสู่เพลง “Perfect Lover” ที่บริทนีย์ก็หยอกล้อพวกเราอีกครั้งด้วยคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบว่าคุณต้องการจะเห็นเนื้อหนังของเธอหรือไม่ สิ่งที่โดดเด่นออกมาจากอัลบั้มของแทรคนี้นั้นคือเสียงร้องของเธอที่นำมาซ้อนกันสองชั้นและที่จริงแล้วบริทนีย์ทำได้ดีทีเดียว เพราะว่าเธอเองนั้นลดโทนเสียงลงมาสู่ระดับกระซิบที่แหย่พวกเราด้วยแรงเสน่หาจากตัวเธอ (โอว .. คนวิจารณ์หื่นมั๊ก) นี่แหละคือเวลาที่บริทนีย์นั้นร้อนรุ่มและแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่ทำให้เธอขึ้นสู่การเป็นไอดอลในทีแรก น่าเสียดายที่ว่ามันช่างเป็นอดีตไปแล้วสำหรับเธอ

อัลบั้มจบลงที่เพลงป็อปเข้าสมัยอย่าง “Why Should I Be Sad” สเปียร์กลับมาพึ่ง The Neptunes อีกครั้งพร้อมกับยินยอมให้ดัดแปลงเสียงของเธอให้เหมาะกับการฟังในบ้านมากกว่าที่จะออกไปเหงื่อแตกกันในคลับ ตัวเพลงเองเป็นแดนซ์ช้าๆบนอัลบั้มก็ว่าได้ ชื่อเพลงนั้นบ่งบอกถึงเวลาที่เธอสูญไปกับการใช้ชีวิตร่วมกันกับ KFED แต่ว่าเธอก็บอกลากับทุกสิ่งทุกอย่างนั้นแล้ว ตัวธีมของเพลงเองนั้นเหมาะกับการปิดอัลบั้มเป็นอย่างมาก แต่ว่าทางด้านดนตรีนั้นเพลงนี้กลับกลายเป็นแทรคที่ค่อนข้างจะไม่ค่อยมีพลังนักในตัวอัลบั้ม

สิ่งที่น่าผิดหวังเป็นอย่างยิ่งสำหรับตัวอัลบั้มนั้นคือว่าตัวอัลบั้มนั้นไม่ได้นำอะไรใหม่ๆเกี่ยวกับความสามารถของเธอทั้งด้านเนื้อร้องและดนตรีออกมาแสดง ไม่ใช่ว่าตัวอัลบั้มสมควรที่จะเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของวงการป็อปแต่อย่างใด แต่อย่างน้อยมันก็น่าจะกระโดดออกมาจากกระโปรงของมาดอนน่าและพยายามที่จะแหวกแนวออกมาซักนิด เพราะนั่นคือสิ่งที่ทำให้ศิลปินอย่างมาดอนน่าและเดวิด โบวี่สามารถคงอยู่ในวงการได้อย่างยาวนาน พวกเขานำสิ่งนอกกระแสมาอัดเข้ากระแส บริทนีย์เองสมควรที่จะมาพร้อมกับโปรดิวเซอร์มือใหม่ๆแต่ฝีมือดีๆที่จะนำโฉมหน้าใหม่ แนวเพลงใหม่เข้าสู่วงการ ส่วนด้านเนื้อร้องนั้นเธอต้องการความช่วยเหลือเล็กๆน้อยๆเพื่อจะนำให้เธอพ้นไปจากเพลงที่เรียงความได้ว่า “จะเอาชั้นมั้ย” เพราะว่ามันค่อนข้างน่ากลัวสำหรับผู้ฟังในเมื่อเธอนั้นทั้งหย่าและก็มีลูกถึงสองคนแล้ว ที่จริงก็ไม่ผิดที่อยากจะเซ๊กซี่หรอกนะ แต่ว่าการไปกระโดดโลดเต้นบนชายแดนของหนังโป๊นั้นค่อนข้างจะไร้รสนิยมไปหน่อย ถึงแม้เธอจะเคยเป็นโลลิต้าชุดนักเรียนก่อนหน้านี้ แต่นั่นก็นานมาแล้ว ไม่ใช่ว่าต้องกลายมาเป็นศิลปินเพลงแจ๊ซอะไรหรอกนะ แต่เธอสมควรอย่างมากที่จะออกมาจากวงเวียนของเธอเองและออกมาสำรวจแนวเพลงและเนื้อเพลงแนวอื่นๆที่อยู่นอกกระแสซะมั่ง ไม่งั้นเธอก็จะจบอยู่ที่การเป็นดาราหน้าแทบลอยด์ไปวันๆและคนฟังก็จะสงสัยว่าที่จริงแล้วชีวิตคุณคงจะเหลวแหลกมากกว่าที่ปรากฏให้โลกเห็นมากมายนักหรือเปล่า

Thx Britneythailand
.............

เหนด้วยดีนะค่ะ ที่ อูว์ๆ เบบี้ ค่อนข้างโดดจากเพลงอื่นๆ

ถ้ามี สเตจ ออฟ เกรท นะอั้ลบั้มนี้คงเนี่ยมกว่านี้เยอะ เสียดายชอบเพลงนี้จัง



_________________


JLo Thailand https://www.facebook.com/Jlothailand
.
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว MSN Messenger
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
ก่อนอื่นอัลบั้มนี้ของบริทนีย์นี่ฟังครั้งแรกเจ๊คิดว่าเป็นอัลบั้มที่ดีที่สุดในชีวิตของบริทนีย์แต่มากรอบไปรู้สึกจะไม่แน่ใจเสียแล้วคือในเรื่องศักยภาพตัวเพลงสูงฆ่าศิลปินอื่นตายไปเลยน่ะค่ะ เอกภาพก็สูงขึ้นกว่าชุดที่แล้วมากแต่ในเรื่องของบบางแทร็คเจ๊คิดว่ามันยังไม่สบอารมณ์เจ๊จริงๆเห็นด้วยมากๆที่บริทควรจะเอาบางแทร็คออกไปแล้วใส่State Of Graceไม่ก็Baby Boyเข้ามาแทนจะดีกว่ามากๆ

มุมมองโดยผิวเผินนะคะเจีว่าเหมาะสมแล้วที่ตัดGimme Moreมาเป็นซิงเกิ้ลแรกโดยส่วนตัวเห็นว่าศักยภาพในตัวเพลงสูงพอและแน่พอที่จะกู้เอกราชให้เธอได้เลยทีเดียว เพลงอื่นๆที่ชอบก็Pieces Of Meค่ะถือว่าเป็นแทร็คที่โดเด่นและน่าจับตามองมากๆทั้งในแง่เนื้อหาแล้วก็ดนตรี เรียกได้ว่ามาถูกทางและลงตัวกับบริทนีย์มากๆส่วนตัวชอบที่มันเหมือนมาดอนน่าแต่บริทนีย์ฉีกองค์ประกอบหลายๆสิ่งให้มันดูแรงและชัดเจนในความเป็นบริทนีย์มากกว่าที่จะตกอยู่ในเงาเจ๊แม่ตามเดิม เริ่ด แทร็คที่ชอบมากๆอีก2แทร็คคือBreak The IceและHeaven On Earth ไว้มีเวลามากกว่านี้เจ๊จะมาสาธยายความเริ่ดและเหนือชั้นของสองเพลงนี้ให้ลูกๆบริทในบอร์ดได้อ่านกันเริ่ดๆนะคะ

โดยรวมอัลบั้มนี้เจ๊อยากซื้อของจริงเต็มทีแล้วคะ



_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
อัลบัมนี้คงจะไปได้ดีเลยล่ะ เพลงเพราะเยอะเลย แต่ก้อมีบางเพลงที่แปลกๆอยู่ เพลงวที่ชอบมากๆ ก็ break the ice ,heaven , piece , get naked


_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
Gimme more - สมควรมากที่ตัดเป็นซิงเกิ้ลแรก It's britney bitch ทำให้โลกแตกตื่นได้ ก้อนับว่าเจ๋ง ...

Piece of Me - จังหวะใหม่ ที่คิดว่า ทดลองทำแต่ดันทำออกมาดี โดยที่เนื้อหา คล้ายเพลง Outageous ในบั้มเก่ามาก .... แต่สมควรจะตัดเปนซิงเกิ้ลนะ

Radar - สิ่งที่ไม่ดีของเพลง ก้อคือ เสียงที่ดูจืดของบริทเอง นอกนั้น เยี่ยม

Break the Ice - It's been a while มาก ๆ ยอมรับว่าเพลงนี้เป็นแทร็คเด่นมากของอัลบั้มนี้ จังหวะอาจจะอ่อนไปนิด แต่เพลงถ้านำไปมิกซ์ นะ เยี่ยมมาก ภาษาโดน ++

Heaven on Earth - ล้ำได้อีก ... ฟังกี่ที่ ก้อโดน

Get Naked - ทำไมไม่เอา Getback วะ .... เบื่อซาวน์ตาทิมแล้ว

Freakshow - ตัวเพลงดูแปลก ๆ ++ วะนิ

Toy Soldier - ดนตรีโดดมาก น่าตัดเปนซิงเกิ้ล แต่เสียงบริทเหมือนเมา ๆ 55 ++

Hot as Ice - ร้ายมาก เปรี้ยวได้ใจดี

Ooh Ooh Baby - แหวกจากแนวเทคโนว่ะ แต่เพลงก้อเก๋ดี ....

Perfect Love - ชอบเพลงนี้ว่ะ

Why Should I Be Sad - เนื้อหาแบบกัดตัวเองสุด ๆ ปิดอัลบั้มได้ดีมาก ++

ปล.สตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 5 ดูแล้ว ยังไม่ค่อยลงตัวมากนัก เพราะบริทยังใช้สำนวนและดนตรีแบบเก่าอยู่มาก คือแบบกันไว้ก่อน แค่มีส่วนที่กล้านำเสนอเข้ามาแล้วโดดเด่นอยู่พอสมควร แต่อัลบั้มนี้ ขอยกเป็นงานชิ้นที่ดีสุดของ Pop Princess ที่ชื่อ Britney Spears ถ้ายังได้เปนอยู่นะ ....



_________________
I can make the bad guy good for a weekend.
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว MSN Messenger
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
Toy Soldier ฟังทีไรอยากเต้นทุกที ขยับไหล่ซ้ายขวา 555+


_________________

People can take everything away from you
But they can never take away your truth
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ส่ง Email ชมเว็บส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
Get Naked (I Got A Plan) ขอพูดถึงเพลงนี้หน่อย

เห็นชื่อครั้งแรก เรทกระจาย ถ้าทำเป็นเอ็มวี คงไม่พ้นการโดนแบน เดโมเวอร์ชั่นคิดว่าดีกว่าอัลบั้มอีก เสียงผู้ชายโหวกเหวกมากค่ะ

Toy Soldier สะเด่ามาก แต่ติดใจจริงๆ เสียงบริทเพลงนี้เอ่อม ไม่ขอออกความเห็น

Break The Ice ตัดซิงเกิ้ลเร้ย เพลงเรื่อยๆแบบนี้ แต่ก็ถือว่าเป็นอีกเพลงที่เจ๋งๆในอัลบั้ม

Ooh Baby ชอบซาวดน์เพลงนี้เหลือเกิน หลงรักตั้งแต่ยังเป็นเดโม

Gimme More ต่อให้คนฟังจะเบื่อเพียงไหน แต่คงไม่น่าเบื่อเท่า The Sweet Escape เพราะซาวดน์ที่ดูแอบลึกลับอย่างนี้ มันทำให้ต้องฟังอีกไง

Piece Of Me เสียงบริทเข้ากับเพลงมาก ตัดซิงเกิ้ลก็เริ่ดค่ะ

Radar เสียงเหมือนพวกหุ่นยนต์อย่างที่ว่า เข้ากับคอนเซปต์เรดาร์

Heaven On Earth โอ้ยยยย จะเริ่ดไปถึงไหน ดนตรีน่าสนใจมาก มองเผินๆนึกถึงน้าไข่กับมาดอนน่าเลย

Hot As Ice สมชื่อๆ หลังจากไปปรับปรุงมาแล้ว ดีขึ้นหลายขุมเลย Cool

Perfect Lover เนือยๆเรื่อยๆ แต่ไม่รู้เพราะอะไร ทำไมถึงฟังเพลงนี้บ่อย สงสัยติดใจช่วง You got me high...hhhhhhhhhhhhhhhhhh

Why Should I Be Sad ความเรียบง่ายที่มีอยู่ในตัว ดนตรีธรรมดาๆ ไม่เข้าพวกในอัลบั้มนี้เลย

แต่ด้วยชื่อเพลง ก็เอามาลงเสียหน่อย จะเศร้าไปใย 555

อัลบั้มนี้โดยรวม ถือว่าดนตรีเจ๋งกว่า In the zone ด้วยการทดลองอะไรใหม่ๆ จากอัลบั้มที่ผ่านๆมา ถึงเพลงจะเด่นแค่ไหน แต่บีท ทำนองยังคงเหมือนเดิม มาเจออัลบั้มนี้แล้ว ข้าน้อยต้องเก็บตังค์รอแล้วล่ะ Cool



_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ชมเว็บส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
สรุป ย่อๆ ก็ ซาวด์ โตขึ้น แต่เก๋ กลวงๆ

คือ บางแทร็ค มันก็ ฟังแล้วเก๋นะ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่างานเพลงทั่วไป

ของ ทิมบาแลนด์ ฯลฯ

แต่ภาพรวมดูชัดเจนขึ้นเยอะ คิดว่าบริท หลุดออกจากเงา ของมาดอนน่า ได้ แล้วล่ะ

ขาดก็แต่ ภาพลักษณ์ ช่วยเป็นผู้เป็นคน ใส่ใจการงานกว่านี้ได้มั้ยคร่ะ

ปล. ว้ายยย มีแต่คนชอบ Heaven on Earth ทิวก็ชอบคร่ะ



_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
ลองอ่านคอมเม็นท์ของคนฟังเพลงนะ

ผู้อะไรเรียกตัวเองว่า Bitch นอกจากทาทา ยังแล้วก็มี Britney นี่แหล่ะ



_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว MSN Messenger
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
State Of Grace.....

ชอบอ่ะ



_________________


#WorkBitch

ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ชมเว็บส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
ตอบ หน้า 1 จาก 2
ไปที่หน้า 1, 2  ถัดไป
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
  


copyright : forwardmag.com - contact : forwardmag@yahoo.com, forwardmag@gmail.com