Love of Siam: ความพยายามในการใส่เสน่ห์
นำเรื่อง: รักแห่งสยาม ว่าด้วยเรื่องแห่ง รัก และว่าด้วยเรื่องของ สยาม เพื่องแค่ชื่อเรื่องสองคำนี้ก็สามารถสื่อความหมายได้มากมายหลายระดับ เปรียบเสมือนหนังเรื่องนี้จะเต็มไปด้วยไออุ่นอันอบอวลของความรัก ความรักแห่งดินแดนสยาม ความรักที่มีมากมายหลายรูปแบบ และอีกอย่างตัวหนังก็ไดโปรโมทในจุดนี้อย่างเด่นชัด ไม่ว่าจะเป็น โปสเตอร์ โฆษณา หรือ มิวสิควีดีโอ และหากมองไล่ไปถึงรายชื่อนักแสดงของภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วละก็ เสียงกระซิบก็ลอยเข้าหูซ้ายและหูขวาของเวเฟอร์เป็นเนื่องๆ ว่า รักแห่งสยามเรื่องนี้ จะเป็นหนังรักดีๆ อีกเรื่องหนึ่งของประเทศไทยที่ได้ใจผมอย่างไม่ยากเลย
แต่หลังจากการซึมซับภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเวลาร่วมสามชั่วโมงครึ่ง สิ่งที่ผมได้รับตอบแทนมาก็คือ การจงใจจับวาง ในหลายๆ ส่วนของภาพยนตร์ จนน่ารำคาญ พร้อมทั้งช่องโหว่มากมาย ในความอ่อนปวกเปียกแทบตลอดทั้งเรื่อง
ข้อด้อยข้อเสีย ในส่วนแรกของภาพยนตร์นั้น เต็มไปด้วยการปูทางที่เข้าใจค่อนข้างง่าย การปูทางในรูปแบบนี้ทำให้คนดูตามเรื่องราวไปพร้อมๆ กัน โดยไม่มีใครหลุดวงโครจรของภาพยนตร์ แต่สำหรับคนดูมีกึ๋น พวกเขาสามารถเดาทิศทางของภาพยนตร์ได้ตลอดทั้งเรื่อง ว่าเหตุการณ์ที่เหลือจะดำเนินไปในทิศทางใด
และในความคิดเห็นส่วนตัวของผมสิบนาทีแรกของภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ว่าจะเป็น เหตุการณ์ มุมมอง ตัวละคร หรือ สิ่งแวดล้อม ได้แรงบัลดาลใจมาจากภาพยนตร์เรื่องใด ไม่ว่าจะเป็นหนุ่มน้อยในโรงเรียนคริสตจักรผู้มีน้ำเสียงอันไพเราะ กับอีกหนึ่งหนุ่มผู้ไร้ความสำคัญในสายตาคนอื่น (เพราะเขาได้แสดงเป็นแค่แกะ) แต่ทั้งสองผูกพันธ์กันอย่างสนิดสนมจงใจ จนถึงวันที้ต้องจากลา โดยฉากนั้นมีหนึ่งหนุ่มอยู่บนรถ อีกหนึ่งหนุ่มวิ่งตามมา แต่ทำได้แค่ส่งสายตามองพร้อมน้ำตาที่ไหลริน ไม่ทราบว่าเหตุการณ์เหล่านี้มาจากแรงบัลดาลใจหรือเป็นการลอกเลียนแบบจากหนังเกย์ชื่อดังจากประเทศฝรั่งเศษ เรื่อง Bad Education กันแน่ครับ? แล้วอย่าให้กล่าวถึงฉากสองหนุ่มนอนคุยกันบนเตียงเลยครับว่าได้แรงบันดาลใจจากภาพยนตร์เรื่องอะไรอีก...
จากการเริ่มต้นของเรื่อง หนังก็พยายามอย่างสุดใจที่จะนำเสนอความรักของหนุ่มโต้งและมิว อย่างมากเกินความจำเป็นซ้ำๆ ซากๆ ยกตัวอย่างเมื่อมิวไม่สามารถแต่งเพลงรักได้ มิวจึงโทรหาโต้ง จากนั้นเพลงรักสุดหวานจากใจสาวของหนุ่มมิวจึงบังเกิด เพียงแค่การสื่อถึงความรักของทั้งสองเพียงแค่นี้ก็อบอุ่นน่ารักดีอยู่แล้ว ของสองตัวละครนี้ แต่หนังยังไม่หยุด หนังยังใส่ฉากเพิ่มดีกรีความหวานของทั้งสองนี้ขึ้นมาเรื่อยๆ เป็นเวลาร่วมหนึ่งชั่วโมงเต็ม จนนำไปสู่ฉากเลิฟซีนที่ดุสะอิดสะเอียน และไม่สมจริงจนน่าอึดอัด เพราะนอกจากจะเป็นฉากที่จงใจใส่โดยไม่คำนึงถึงความสมจริงแล้ว นักแสดงยังเล่นฉากเลิฟซีนได้อย่างไร้แรงดึงดูดซึ่งกันและกัน ประหนึ่งเพียงแค่นำปากมาประกบกันให้เรียกว่าเป็นการจูบเท่านั้นเอง โดยลืมไปหรือเปล่าครับง่า จุดประสงค์ที่แท้จริงแล้วของการจูบคืออะไรกันแน่?
ฉากนี้ถือเป็นจุดอ่อนที่หนังโจมตีตัวเองโดยไม่รู้ตัว เพราะมันดูไม่สมเหตุสมผล และง่ายเกินไป ผมจะแจกแจงให้ดูครับว่าทำไม มิวและโต้งต้องจูบกันที่สวนหน้าบ้านเพื่อให้ตัวละครแม่มาเห็น จากนั้นตัวละครแม่จะได้เข้ามาขัดขวางความรักของทั้งคู่ ซึ่งจะได้เป็นปัญหาใหญ่อีกชิ้นหนึ่งของเนื้อเรื่อง เพราะถ้าหากสองคนนี้ไม่มาพลอดรักกันอย่างประเจิดประเจ้อเช่นนี้ ตัวละครแม่ก็คงจะไม่มาข้องแวะในจุดนี้ จริงไหมครับ? ซึ่งเมื่อคิดดูดีๆ แล้ว จะเห็นถึงความโง่ของตัวละครได้อย่างดีเลยครับ เขานอนกอดกันสองต่อสองอย่างปลอดภัยในห้องนอนทั้งคืนไม่ยักจะทำอะไรกัน แต่ในสวนหลังบ้านที่ซึ่งจะมีใครมาพบเห็นได้ง่ายๆ ทั้งสองกลับเลือกที่จะใช้เป็นที่แลกลิ้นกัน อย่าบอกนะครับว่าต้องจูบกันจริงๆ เพราะเพิ่งจะซึ้งในบทเพลงที่เพิ่งมอบให้ เพราะแค่นี้หนังก็เยิ้มจนแมลงตอมแล้วครับ หยุดเทน้ำตาลแล้วปรุงรสภาพยนตร์ของคุณด้วยเครื่องปรุงชนิดอื่นซักที เพราะรูปแบบภาพยนตร์แบบนี้สำหรับผม มันก็เป็นเพียงแค่การจงใจจับวาง จงใจใส่ฉาก โดยไม่คำนึงถึงความสมจริง และความคิด และมิติของตัวละครเอาซะเลย แต่ถึงกระนั้นนะครับ ระหว่างที่ผมชมฉากๆนี้ ผมยังคิดกับตัวเองเสมอว่า หนังอาจจะกำลังพาคนดูไปสู่อะไรๆ ที่มันตรึงใจและน่าประทับใจ ให้ตรงคอนเซ็ปของคำว่า รักแห่งสยาม ให้มันมากกว่านี้ แต่ความหวังของผมก็ถูกโยนคืนมาแบบไม่ใยดีด้วยตัวละครทื่อๆ เช่นนี้แหละครับ
โดนัท
โต้ง เธอยังรักเราอยู่หรือเปล่า"
ตัวละครโดนัทชี้ให้เห็นถึงนิสัยสาวสวยผู้มีแฟนหนุ่ม ในบ้านเราทุกวันนี้ นิสัยของผู้หญิงสวยทั่วไปที่อยากให้แฟนมาดูแล เอาใจ ซื้อของให้ พาไปเที่ยว โดยที่ไม่คำนึงด้วยซ้ำว่าแฟนนั้นรักตัวเธอบ้างหรือเปล่า หรือตัวเธอเองนั้นรักแฟนเธอบ้างหรือเปล่า? ความรักแบบนี้คิดว่ามันจะรอดไปได้กี่น้ำเชียวครับ ประโยคทิ้งท้ายของเธอแสดงธาตุแท้สาวสวยผู้ไม่รักจริงได้ดีเชียวครับ ผมค่อนค้างชอบตรงนี้ แต่ที่น่าตลกจริงๆ เกี่ยวกับตัวละครตัวนี้ก็คือ เธอช่างเป็นตัวละครที่โชคดีมาก เพราะว่าเธอถูกโปรโมทในฐานะ หนึ่งในตัวละครนำทั้งสี่
แต่ความจริงแล้วในเนื้อเรื่องนั้น จะเห็นได้เลยว่าตัวละครโดนัทเป็นตัวละครที่ ไม่มีก็ได้ ไม่จำเป็นต้องใส่ตัวละครนี้มาเพื่อสร้างฉาก เย็นชาใส่แฟน หรอกครับ เพราะเพียงแค่นี้ก็เห็นได้ชัดว่า ตัวละครโต้งฝักใฝ่เพศใด อีกอย่างการแสดงของเธอนั้น ผมว่ามันก็อยู่ต่ำกว่ามาตรฐานหนังเด็กทั่วไปด้วยซ้ำ หรืออาจจะเป็นเพราะบทไม่อำนวย ก็คิดดูเอากันเองเถอะครับ
โต้ง
เราเป็นอะไรอ่ะ เราเป็นอะไร..."
ก่อนพูดถึงตัวละครโต้ง ขอกล่าวถึงการแสดงของนายมาริโอ้ กันก่อนนะครับ สำหรับผมนายคนนี้เล่นได้ทื่อมากครับ ซากกะเบือที่บ้านผมยังมีส่วนเว้าส่วนโค้งมากกว่าการแสดงของเขาซะอีก ไม่ว่าจะเป็นฉากเดิน ฉากคุย ฉากซึ้ง ฉากสนุก นายมาริโอ้ก็มีโทนเดียว พอจะดูเป็นนักแสดงขึ้นมาหน่อยก็ตรงฉาก ซอกคอ ที่สามารถทำให้ตัวละครมีมิติขึ้นมาหน่อย แต่โดยภาพรวมแล้ว นายคนนี้ดูท่าจะไม่มีฝีมือทางการแสดงเท่ากับการถ่ายแบบเดินแบบเท่าไหร่นัก แต่ยังไงซะนี่ก็เป็นเพียงแค่การแสดงหนังใหญ่เรื่องแรกของเขา แต่หากโด่งดังได้เล่นต่ออีกสอง สามเรื่อง แล้วยังจะมาโทนเดียวแบบนี้อีก ก็คงไม่เสียเวลามาวิจารณ์นายคนนี้แล้วละครับ
มาว่ากันต่อที่ตัวละครโต้ง สืบเนื่องจากการแสดงทื่อๆ นั้นทำให้ตัวละครดูเรียบ ง่าย และยากที่จะรู้ว่าในหัวเค้าคิดอะไรอยู่ ซึ่งอันที่จริงผมคิดว่า ในหัวเขาอาจจะไม่มีอะไรให้คิดมากนักหรอกมั้ง ต่อให้พี่หายแกก็นิ่ง พ่อป่วยแกก็นิ่งมองดู แม่เครียดแกก็นิ่ง เลิกกับแฟนนี่ยิ่งนิ่ง ถ้าชีวิตจริงนิ่งได้มากมายขนาดนี้ผมคิดว่าต้องไปปรึกษาแพทย์แล้วละครับ
แต่โชคดีเป็นของเขาครับ เพราะเขาเป็นนักแสดงที่มีเสน่ห์สูงเลยทีเดียวครับ การทำสีหน้าเรียบๆ แล้วพูดบทซึ้งๆ น่าสงสารๆ ก็เรียกใจคนดูได้ครึ่ง ค่อนโรงภาพยนตร์ อย่างเช่น เดี๋ยวถ้าโต้งคิดไม่ถูกใจแม่ แม่ก็ดุโต้งอีกอ่ะ ถ้าเป็นนัแสดงคนอื่นพูดอาจไม่ซึ้งเท่าไหร่นัก แต่ดันเป็นหนุ่มมาริโอ้พร้อมใบหน้าใสซื่อ หล่อเหล่าสำนึกผิด บทนี้จึงดูดีขึ้นไปถนัดตา จริงไหมล่ะครับ
ปัญหาของตัวละครนี้คือการตัดสินใจว่าเขาจะเลือกเดินชีวิตในเส้นทางใด โดยที่จะไม่ทำให้แม่ของเขาปวดหัวไปมากกว่านี้ ในความคิดของผมคิดว่าประเด็นปัญหาของเขาเป็นประเด็นที่ดีมากต่อสังคมทุกวันนี้ เพราะมีวัยรุ่นไม่น้อยที่กำลังเผชิญปัญหาเดียวกับโต้งอยู่ แต่ทว่า การตัดสินใจและการกระทำของเขา กลับไม่ตอบปัญหาที่คาใจตัวเขาเองได้ดีเท่าไหร่นัก จากเด็กสับสนจนต้องจูบชาย จับนมหญิง เพียงเพื่อจะได้รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรกันแน่ สุดท้ายเขาก็มองโลกในแง่ดีขึ้นมาฉับพลันแล้วเลือกเส้นทางที่ทำให้แม่ยิ้มได้ แต่ผมอดที่จะถามไม่ได้ครับ ว่าจบแบบนี้จะทำให้ตัวละครมีความสุขไปได้เนินนานเท่าไหร่เชียว?
แตง
ใช่ซิ ฉันมันเป็นแค่คนนอก
ตัวละครแตงถือเป็นอีกหนึ่งตัวละครที่ค่อนข้างสำคัญ เธอทำหลายๆ อย่างที่ช่วยให้เนื้อเรื่องดำเนินไปข้างหน้าได้เรื่อยๆ จนจบลงในตอนท้าย แต่คำถามที่สำคัญที่สุดก็คือ อะไรเป็นแรงจูงใจในการกระทำทั้งหมดของเธอ ไม่ว่าจะเป็นการหนีออกจากบ้าน ทั้งๆ ที่เธอก็ไม่ได้ดูมีปัญหาอะไรใหญ่โตกับทางบ้านเลย อะไรเป็นแรงจูงใจให้เธอกลับเข้ามาโดยที่ไม่บอกความจริงในใจ อะไรเป็นแรงจูงใจที่ทำให้เธอต้องกลับไปที่เชียงใหม่อีกครั้งแล้วทิ้งครอบครัวอันน่ารัก น่าสงสาร ให้ประคองกันไปพร้อมน้ำตา อะไรทำให้เธอกลายเป็นคนใหม่ที่กล้ากลับมาทิ้งคำสอน ไว้สอนแม่ของเธอเอง อะไรคือสิ่งที่เธอต้องการจริงๆ ขนาดเธอเป็นตัวละครที่สำคัญกับหลายประเด็นในเรื่อง แต่ตัวละครนี้กลับไร้นำหนักและเหตุผลในการกระทำอย่างไม่น่าให้อภัยจริง แต่โชคดียังมีที่พลอยเล่นได้ดูดี น่ารักสดใส ทำให้ภาพบนจอมีอะไรน่ามองเวลาที่เธอปรากฏออกมา แต่หากวิเคราะห์ตัวละครนี้มากเท่าไหร่กลับมีปัญหาผุดขึ้นมามากขึ้นเทานั้น
ข้อดีข้อเด่น: ข้อดีของภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็มีอยู่พอตัวนะครับ ซึ่งข้อดีที่โด่ดเด่นที่สุดก็ต้องไปตัวละครสุนีย์ แหละครับ ที่รับบทโดยสินจัย ดาราชั้นนำของบ้านเรา นอกจากในประเด็นของการแสดงของเธอแล้วนั้น ที่ผมอยากจะชื่นชมในละครเรื่องนี้ก็คือมุมกล้องครับ มุมกล้องเรื่องนี้ทำได้สวยงามในหลายๆ ฉาก โดยเฉพาะฉากการเดินที่สยาม ถึงจะดูละม้ายกับมุมกล้องหนังชื่อดังบางเรื่อง ก็ไม่อยากเอามาว่ากัน เพราะถึงยังไง มุมกล้องที่คุณทำได้ ก็อยู่ในระดับเหนือกว่าหนังหลาย ๆ เรื่องที่ผมได้ชมมาในระยะนี้ แต่เวลาที่หนังเปลี่ยนฉากแล้วมีเสียงของฉากต่อไปดังขึ้นมาก่อนซักพัก แล้วค่อยเห็นภาพของฉากนั้นก็ดี แต่ว่าคุณใช้มันเยอะเกินไปมาก จนทำให้หนังดูช้า งุ่มง่าม ไปโดยปริยาย
และอีกอย่างที่อยากชมคือเพลงประกอบครับ ขอยอมรับเลยละกันว่าเป็นเพลงที่ไพเราะ ติดหูติดปากได้ง่ายจากการฟังไม่กี่รอบ เนื้อหาโดนใจคนเคยมีความรัก ถึงแม้จะเป็นความรักช่วงสั้นๆ อย่างที่เห็นในตัวหนังก็เถอะ
ว่าจากเรื่องเพลงและมุมกล้องแล้วขอกลับมาที่ตัวละครสุนีย์อย่างเป็นทางการนะครับ
สุนีย์
ฉันยังทำดีไม่พออีกหรอ
การแสดงของสินจัยของกล่าวสั้นๆ ให้เข้าใจตามกันว่าอยู่ในระดับที่เธอสมควรจะทำได้อยู่แล้ว และมันก็น่าชื่นชมมากเพราะมีนักแสดงบ้านเราไม่มากนักที่จะสร้างฝีมือได้ในระดับนี้ ซึ่งมันสงผลให้ตัวละครน่าเชื่อถือ น่าเห็นใจ และน่าเคารพ ยิ่งตัวละครเจอปัญหามากเท่าไหร่ คนดูก็จะยิ่งเห็นใจเธอมากเท่านั้น การแสดงของสินจัย ช่วยให้หนังเรื่องนี้มีมิติและมุมมองข้อคิดขิ้นมาอีกเยอะ หากปราศจากเธอแล้ว คงไม่ต้องนึกเลยว่าหนังเรื่องนี้จะมีรูปร่างหน้าตาเป็นเยี่ยงไร และสิ่งที่ผมคิดมาตลอดเกี่ยวกับตัวละครนี้ก็คือ เธอช่างเป็นตัวละครสุดยอดคุณแม่จริงๆ เธอทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเท่าที่แม่หนึ่งคนจะทำเพื่อลูกได้แล้ว ติดอยู่เพียงนิดเดียวเท่านั้นเอง ผมว่าเธออาจจะลืมคิดไปว่าเส้นทางที่เธอเลือกให้ลูกมันคือเส้นทางที่จะทำให้ลูกของเธอมีความสุขอย่างแท้จริงไปตลอดชีวิตหรือเปล่า? เส้นทางนี้คือเส้นทางที่ลูกเธอต้องการจริงๆ หรอ? เพราะเส้นทางที่ดีและสมบูรณ์แบบที่สุด มันไม่ได้แปลว่าถือเส้นทางที่ทุกคนต้องการ...
หญิง
ตราบใดที่มีรัก ย่อมมีหวัง
ตัวละครหญิง เป็นตัวละครที่ผมชอบที่สุดในเรื่องนี้ครับ เพราะบทบาทของเธอแสดงออกมาได้อย่างชัดเจนที่สุด ว่าเธอต้องการอะไร และการแสดงของเธอก็น่ารักเหมาะสมกับบทบาทอย่างดีมาก เห็นได้หลายๆครั้งว่า เธอเป็นตัวละครที่มีปัญหาทรมานใจไม่น้อยกว่าคนอื่นๆ แต่เธอเป็นตัวละครเดียวที่ยังออกมา ยิ้มได้ ยังออกมาสร้างความรู้สึกดีให้ตัวละครอื่นได้ ยกตัวอย่างฉาก อ้อนวอน นรกแตก ที่ร้านขายของเล่น นั้นเป็นเหตุผลที่ผมชอบตัวละครนี้ที่สุด ถึงแม้ตอนจบเธอจะถูกทิ้งแบบไร้ใยดีเท่าที่ควรก็ตาม ว่าตัวละครที่มีจุดประสงค์แรงและนำเรื่องผ่านอุปสรรคในหลายอย่าง แต่สิ่งที่เธอได้รับตอบแทนก็การยืนร้องไห้ โดยที่มีคนยืนรายล้อมแต่ไม่มีใครเข้าใจเธอจริงๆ ซักคน...
มิว
มันเหงาจนน่ากลัว
มิวเป็นตัวละครที่ได้ความน่าสงสารจากผมอย่างเต็มหน้าตัก ตัวละครที่โดนความเหงากัดกินหัวใจ จนไม่รู้ว่าหัวใจของตัวกระซิบบอกอะไรกับตัวเองอยู่ ผมสงสารมิวในสิ่งที่เขาต้องเผชิญ เพราะความเหงานั้นถือเป็นสิ่งที่โหดร้ายที่สุดสิ่งหนึ่งที่มีในโลกใบนี้ เมื่อมิวได้พบโต้ง คนที่ช่วยบรรเทาอาการเหล่านั้นได้ มิวจึงสร้างสรรค์ความสุขสำเร็จ เพียงแค่นอนกอดหมอนที่มีกลิ่นไอ ความเหงาของมิวก็จางหายไปไม่น้อยเลย แต่แล้วสวรรค์กลั่นแกล้ง เมื่อชีวิตมันไม่ง่ายอย่างที่คิด ความรักของเขาถูกขัดขวางความเหงาของเขาก็กลับมาอีกครั้ง ซึ่งนักแสดงก็ทำหน้าที่ได้น่าพอใจมากครับ สำหรับมือใหม่ หากมีการพัฒนาฝีมือขึ้นไปเรื่อยๆ ก็อาจจะได้ใจผมมากกว่านี้ ซึ่งผมจะติดตามดูต่อไป
แต่กระนั้นก็เถอะ สิ่งที่มิวได้รับในตอนท้ายก็ไม่แตกต่างจากตัวละครอื่นเท่าไหร่นัก เขามีความสุขเขายิ้ม เหมือนบางอย่างได้เติมเต็ม เมื่อของเล่นชิ้นสุดท้าย ถูกต่ออย่างสมบูรณ์ แต่ในเวลานั้นน้ำตาเขาก็ไหลไม่หยุด ในอนาคตต่อไป เมื่อความเศร้าเหือดหายไปจากใจมิว และเขาได้มองเห็นของเล่นชิ้นนี้อีกครั้ง ผมเชื่อว่ามันจะทำให้รอยยิ้มมิวกลับมาได้เสมอ เพียงแต่นี้คือบทเรียนชิ้นใหญ่ที่มิวต้องรับรู้ ว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญกว่ากันในชิวิต และอะไรคือสิ่งที่เขาควรใขว่คว้ามาให้ได้ หรืออะไรเป็นสิ่งที่เขาควรทำใจและปล่อยมันไป... โชคดีครับ มิว...
สรุปส่งท้าย: รักแห่งสยามเป็นหนังที่ชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในหลายหลังคาเรือนทุกวันนี้ แต่ตัวหนังยังไม่สามารถแก้ปัญหาที่ตัวเองผูกขึ้นมาเองได้อย่างสมเหตุสมผลดีนัก หากหนังเรื่องนี้จะหาที่มาที่ไปของตัวละครและน้ำหนักแรงจูงใจให้ ชัดเจนและมั่นคงกว่านี้ หนังอาจจะดูเข้มข้นขึ้นอีกหลายเท่าตัวเลยทีเดียว และที่สำคัญก็คือหนังไม่ได้สร้างความประทับในช่วงท้ายได้คุ้มกับที่สร้างปมลากยาวไว้ร่วมสามชั่วโมง หากใจความของหนังที่จะนำเสนอมีเพียงแค่นี้ ก็ควรที่จะทำให้หนังกระชับขึ้น บีบส่วนที่ผสมกันได้ให้มันไหลลื่นเข้ากัน และตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นทิ้งออกไป หนังเรื่องนี้จะงดงามขึ้นมาทันควัน
แต่ในเวลาเดียวกันหนังมีสร้างเสน่ห์ให้ตรงตรึงใจใครหลายๆ คน ซึ่งเห็นได้ชัดว่าความตราตรึงเหล่านั้นมันมาจากนักแสดง และบทที่เป็นประสบการณ์ของใครหลายคน ลองคิดดูดี ๆ ซิครับ ว่าหากคุณจะยกหนังเรื่องนี้ให้เป็น หนังดีที่สุดเรื่องหนึ่งของไทย อะไรที่ทำให้มันได้ใจคุณถึงเพียงนั้น เสน่ห์ของตัวภาพยนตร์ หรือเสน่ห์ของนักแสดง กันแน่? เพราะสำหรับผมแล้วนั้นหนังดีจะต้องมีอะไรให้คนดูมากกว่า ความซ้ำซาก และเสน่ห์ทางรูปกายภายนอก
ชื่นชอบ: 2 เต็ม 5
เกรด: C+
แก้ไขล่าสุดโดย Darth เวเฟอร์ เมื่อ Tue Nov 27, 2007 10:03 pm, ทั้งหมด 2 ครั้ง
_________________
คุยหนังภาษาหมา