˹���á Forward Magazine

ตอบ

ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ถัดไป
Love of Siam: ความพยายามในการใส่เสน่ห์
ผู้ตั้ง ข้อความ
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ Love of Siam: ความพยายามในการใส่เสน่ห์ 
Love of Siam: ความพยายามในการใส่เสน่ห์



นำเรื่อง: “รักแห่งสยาม” ว่าด้วยเรื่องแห่ง “รัก” และว่าด้วยเรื่องของ “สยาม” เพื่องแค่ชื่อเรื่องสองคำนี้ก็สามารถสื่อความหมายได้มากมายหลายระดับ เปรียบเสมือนหนังเรื่องนี้จะเต็มไปด้วยไออุ่นอันอบอวลของความรัก ความรักแห่งดินแดนสยาม ความรักที่มีมากมายหลายรูปแบบ และอีกอย่างตัวหนังก็ไดโปรโมทในจุดนี้อย่างเด่นชัด ไม่ว่าจะเป็น โปสเตอร์ โฆษณา หรือ มิวสิควีดีโอ และหากมองไล่ไปถึงรายชื่อนักแสดงของภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วละก็ เสียงกระซิบก็ลอยเข้าหูซ้ายและหูขวาของเวเฟอร์เป็นเนื่องๆ ว่า รักแห่งสยามเรื่องนี้ จะเป็นหนังรักดีๆ อีกเรื่องหนึ่งของประเทศไทยที่ได้ใจผมอย่างไม่ยากเลย
แต่หลังจากการซึมซับภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเวลาร่วมสามชั่วโมงครึ่ง สิ่งที่ผมได้รับตอบแทนมาก็คือ การจงใจจับวาง ในหลายๆ ส่วนของภาพยนตร์ จนน่ารำคาญ พร้อมทั้งช่องโหว่มากมาย ในความอ่อนปวกเปียกแทบตลอดทั้งเรื่อง





ข้อด้อยข้อเสีย ในส่วนแรกของภาพยนตร์นั้น เต็มไปด้วยการปูทางที่เข้าใจค่อนข้างง่าย การปูทางในรูปแบบนี้ทำให้คนดูตามเรื่องราวไปพร้อมๆ กัน โดยไม่มีใครหลุดวงโครจรของภาพยนตร์ แต่สำหรับคนดูมีกึ๋น พวกเขาสามารถเดาทิศทางของภาพยนตร์ได้ตลอดทั้งเรื่อง ว่าเหตุการณ์ที่เหลือจะดำเนินไปในทิศทางใด
และในความคิดเห็นส่วนตัวของผมสิบนาทีแรกของภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ว่าจะเป็น เหตุการณ์ มุมมอง ตัวละคร หรือ สิ่งแวดล้อม ได้แรงบัลดาลใจมาจากภาพยนตร์เรื่องใด ไม่ว่าจะเป็นหนุ่มน้อยในโรงเรียนคริสตจักรผู้มีน้ำเสียงอันไพเราะ กับอีกหนึ่งหนุ่มผู้ไร้ความสำคัญในสายตาคนอื่น (เพราะเขาได้แสดงเป็นแค่แกะ) แต่ทั้งสองผูกพันธ์กันอย่างสนิดสนมจงใจ จนถึงวันที้ต้องจากลา โดยฉากนั้นมีหนึ่งหนุ่มอยู่บนรถ อีกหนึ่งหนุ่มวิ่งตามมา แต่ทำได้แค่ส่งสายตามองพร้อมน้ำตาที่ไหลริน ไม่ทราบว่าเหตุการณ์เหล่านี้มาจากแรงบัลดาลใจหรือเป็นการลอกเลียนแบบจากหนังเกย์ชื่อดังจากประเทศฝรั่งเศษ เรื่อง Bad Education กันแน่ครับ? แล้วอย่าให้กล่าวถึงฉากสองหนุ่มนอนคุยกันบนเตียงเลยครับว่าได้แรงบันดาลใจจากภาพยนตร์เรื่องอะไรอีก...

จากการเริ่มต้นของเรื่อง หนังก็พยายามอย่างสุดใจที่จะนำเสนอความรักของหนุ่มโต้งและมิว อย่างมากเกินความจำเป็นซ้ำๆ ซากๆ ยกตัวอย่างเมื่อมิวไม่สามารถแต่งเพลงรักได้ มิวจึงโทรหาโต้ง จากนั้นเพลงรักสุดหวานจากใจสาวของหนุ่มมิวจึงบังเกิด เพียงแค่การสื่อถึงความรักของทั้งสองเพียงแค่นี้ก็อบอุ่นน่ารักดีอยู่แล้ว ของสองตัวละครนี้ แต่หนังยังไม่หยุด หนังยังใส่ฉากเพิ่มดีกรีความหวานของทั้งสองนี้ขึ้นมาเรื่อยๆ เป็นเวลาร่วมหนึ่งชั่วโมงเต็ม จนนำไปสู่ฉากเลิฟซีนที่ดุสะอิดสะเอียน และไม่สมจริงจนน่าอึดอัด เพราะนอกจากจะเป็นฉากที่จงใจใส่โดยไม่คำนึงถึงความสมจริงแล้ว นักแสดงยังเล่นฉากเลิฟซีนได้อย่างไร้แรงดึงดูดซึ่งกันและกัน ประหนึ่งเพียงแค่นำปากมาประกบกันให้เรียกว่าเป็นการจูบเท่านั้นเอง โดยลืมไปหรือเปล่าครับง่า จุดประสงค์ที่แท้จริงแล้วของการจูบคืออะไรกันแน่?

ฉากนี้ถือเป็นจุดอ่อนที่หนังโจมตีตัวเองโดยไม่รู้ตัว เพราะมันดูไม่สมเหตุสมผล และง่ายเกินไป ผมจะแจกแจงให้ดูครับว่าทำไม มิวและโต้งต้องจูบกันที่สวนหน้าบ้านเพื่อให้ตัวละครแม่มาเห็น จากนั้นตัวละครแม่จะได้เข้ามาขัดขวางความรักของทั้งคู่ ซึ่งจะได้เป็นปัญหาใหญ่อีกชิ้นหนึ่งของเนื้อเรื่อง เพราะถ้าหากสองคนนี้ไม่มาพลอดรักกันอย่างประเจิดประเจ้อเช่นนี้ ตัวละครแม่ก็คงจะไม่มาข้องแวะในจุดนี้ จริงไหมครับ? ซึ่งเมื่อคิดดูดีๆ แล้ว จะเห็นถึงความโง่ของตัวละครได้อย่างดีเลยครับ เขานอนกอดกันสองต่อสองอย่างปลอดภัยในห้องนอนทั้งคืนไม่ยักจะทำอะไรกัน แต่ในสวนหลังบ้านที่ซึ่งจะมีใครมาพบเห็นได้ง่ายๆ ทั้งสองกลับเลือกที่จะใช้เป็นที่แลกลิ้นกัน อย่าบอกนะครับว่าต้องจูบกันจริงๆ เพราะเพิ่งจะซึ้งในบทเพลงที่เพิ่งมอบให้ เพราะแค่นี้หนังก็เยิ้มจนแมลงตอมแล้วครับ หยุดเทน้ำตาลแล้วปรุงรสภาพยนตร์ของคุณด้วยเครื่องปรุงชนิดอื่นซักที เพราะรูปแบบภาพยนตร์แบบนี้สำหรับผม มันก็เป็นเพียงแค่การจงใจจับวาง จงใจใส่ฉาก โดยไม่คำนึงถึงความสมจริง และความคิด และมิติของตัวละครเอาซะเลย แต่ถึงกระนั้นนะครับ ระหว่างที่ผมชมฉากๆนี้ ผมยังคิดกับตัวเองเสมอว่า หนังอาจจะกำลังพาคนดูไปสู่อะไรๆ ที่มันตรึงใจและน่าประทับใจ ให้ตรงคอนเซ็ปของคำว่า “รักแห่งสยาม” ให้มันมากกว่านี้ แต่ความหวังของผมก็ถูกโยนคืนมาแบบไม่ใยดีด้วยตัวละครทื่อๆ เช่นนี้แหละครับ



โดนัท

“โต้ง เธอยังรักเราอยู่หรือเปล่า"


ตัวละครโดนัทชี้ให้เห็นถึงนิสัยสาวสวยผู้มีแฟนหนุ่ม ในบ้านเราทุกวันนี้ นิสัยของผู้หญิงสวยทั่วไปที่อยากให้แฟนมาดูแล เอาใจ ซื้อของให้ พาไปเที่ยว โดยที่ไม่คำนึงด้วยซ้ำว่าแฟนนั้นรักตัวเธอบ้างหรือเปล่า หรือตัวเธอเองนั้นรักแฟนเธอบ้างหรือเปล่า? ความรักแบบนี้คิดว่ามันจะรอดไปได้กี่น้ำเชียวครับ ประโยคทิ้งท้ายของเธอแสดงธาตุแท้สาวสวยผู้ไม่รักจริงได้ดีเชียวครับ ผมค่อนค้างชอบตรงนี้ แต่ที่น่าตลกจริงๆ เกี่ยวกับตัวละครตัวนี้ก็คือ เธอช่างเป็นตัวละครที่โชคดีมาก เพราะว่าเธอถูกโปรโมทในฐานะ “หนึ่งในตัวละครนำทั้งสี่”

แต่ความจริงแล้วในเนื้อเรื่องนั้น จะเห็นได้เลยว่าตัวละครโดนัทเป็นตัวละครที่ “ไม่มีก็ได้” ไม่จำเป็นต้องใส่ตัวละครนี้มาเพื่อสร้างฉาก “เย็นชาใส่แฟน” หรอกครับ เพราะเพียงแค่นี้ก็เห็นได้ชัดว่า ตัวละครโต้งฝักใฝ่เพศใด อีกอย่างการแสดงของเธอนั้น ผมว่ามันก็อยู่ต่ำกว่ามาตรฐานหนังเด็กทั่วไปด้วยซ้ำ หรืออาจจะเป็นเพราะบทไม่อำนวย ก็คิดดูเอากันเองเถอะครับ



โต้ง

“เราเป็นอะไรอ่ะ เราเป็นอะไร..."


ก่อนพูดถึงตัวละครโต้ง ขอกล่าวถึงการแสดงของนายมาริโอ้ กันก่อนนะครับ สำหรับผมนายคนนี้เล่นได้ทื่อมากครับ ซากกะเบือที่บ้านผมยังมีส่วนเว้าส่วนโค้งมากกว่าการแสดงของเขาซะอีก ไม่ว่าจะเป็นฉากเดิน ฉากคุย ฉากซึ้ง ฉากสนุก นายมาริโอ้ก็มีโทนเดียว พอจะดูเป็นนักแสดงขึ้นมาหน่อยก็ตรงฉาก “ซอกคอ” ที่สามารถทำให้ตัวละครมีมิติขึ้นมาหน่อย แต่โดยภาพรวมแล้ว นายคนนี้ดูท่าจะไม่มีฝีมือทางการแสดงเท่ากับการถ่ายแบบเดินแบบเท่าไหร่นัก แต่ยังไงซะนี่ก็เป็นเพียงแค่การแสดงหนังใหญ่เรื่องแรกของเขา แต่หากโด่งดังได้เล่นต่ออีกสอง สามเรื่อง แล้วยังจะมาโทนเดียวแบบนี้อีก ก็คงไม่เสียเวลามาวิจารณ์นายคนนี้แล้วละครับ

มาว่ากันต่อที่ตัวละครโต้ง สืบเนื่องจากการแสดงทื่อๆ นั้นทำให้ตัวละครดูเรียบ ง่าย และยากที่จะรู้ว่าในหัวเค้าคิดอะไรอยู่ ซึ่งอันที่จริงผมคิดว่า ในหัวเขาอาจจะไม่มีอะไรให้คิดมากนักหรอกมั้ง ต่อให้พี่หายแกก็นิ่ง พ่อป่วยแกก็นิ่งมองดู แม่เครียดแกก็นิ่ง เลิกกับแฟนนี่ยิ่งนิ่ง ถ้าชีวิตจริงนิ่งได้มากมายขนาดนี้ผมคิดว่าต้องไปปรึกษาแพทย์แล้วละครับ
แต่โชคดีเป็นของเขาครับ เพราะเขาเป็นนักแสดงที่มีเสน่ห์สูงเลยทีเดียวครับ การทำสีหน้าเรียบๆ แล้วพูดบทซึ้งๆ น่าสงสารๆ ก็เรียกใจคนดูได้ครึ่ง ค่อนโรงภาพยนตร์ อย่างเช่น “เดี๋ยวถ้าโต้งคิดไม่ถูกใจแม่ แม่ก็ดุโต้งอีกอ่ะ” ถ้าเป็นนัแสดงคนอื่นพูดอาจไม่ซึ้งเท่าไหร่นัก แต่ดันเป็นหนุ่มมาริโอ้พร้อมใบหน้าใสซื่อ หล่อเหล่าสำนึกผิด บทนี้จึงดูดีขึ้นไปถนัดตา จริงไหมล่ะครับ
ปัญหาของตัวละครนี้คือการตัดสินใจว่าเขาจะเลือกเดินชีวิตในเส้นทางใด โดยที่จะไม่ทำให้แม่ของเขาปวดหัวไปมากกว่านี้ ในความคิดของผมคิดว่าประเด็นปัญหาของเขาเป็นประเด็นที่ดีมากต่อสังคมทุกวันนี้ เพราะมีวัยรุ่นไม่น้อยที่กำลังเผชิญปัญหาเดียวกับโต้งอยู่ แต่ทว่า การตัดสินใจและการกระทำของเขา กลับไม่ตอบปัญหาที่คาใจตัวเขาเองได้ดีเท่าไหร่นัก จากเด็กสับสนจนต้องจูบชาย จับนมหญิง เพียงเพื่อจะได้รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรกันแน่ สุดท้ายเขาก็มองโลกในแง่ดีขึ้นมาฉับพลันแล้วเลือกเส้นทางที่ทำให้แม่ยิ้มได้ แต่ผมอดที่จะถามไม่ได้ครับ ว่าจบแบบนี้จะทำให้ตัวละครมีความสุขไปได้เนินนานเท่าไหร่เชียว?



แตง

“ใช่ซิ ฉันมันเป็นแค่คนนอก”


ตัวละครแตงถือเป็นอีกหนึ่งตัวละครที่ค่อนข้างสำคัญ เธอทำหลายๆ อย่างที่ช่วยให้เนื้อเรื่องดำเนินไปข้างหน้าได้เรื่อยๆ จนจบลงในตอนท้าย แต่คำถามที่สำคัญที่สุดก็คือ อะไรเป็นแรงจูงใจในการกระทำทั้งหมดของเธอ ไม่ว่าจะเป็นการหนีออกจากบ้าน ทั้งๆ ที่เธอก็ไม่ได้ดูมีปัญหาอะไรใหญ่โตกับทางบ้านเลย อะไรเป็นแรงจูงใจให้เธอกลับเข้ามาโดยที่ไม่บอกความจริงในใจ อะไรเป็นแรงจูงใจที่ทำให้เธอต้องกลับไปที่เชียงใหม่อีกครั้งแล้วทิ้งครอบครัวอันน่ารัก น่าสงสาร ให้ประคองกันไปพร้อมน้ำตา อะไรทำให้เธอกลายเป็นคนใหม่ที่กล้ากลับมาทิ้งคำสอน ไว้สอนแม่ของเธอเอง อะไรคือสิ่งที่เธอต้องการจริงๆ ขนาดเธอเป็นตัวละครที่สำคัญกับหลายประเด็นในเรื่อง แต่ตัวละครนี้กลับไร้นำหนักและเหตุผลในการกระทำอย่างไม่น่าให้อภัยจริง แต่โชคดียังมีที่พลอยเล่นได้ดูดี น่ารักสดใส ทำให้ภาพบนจอมีอะไรน่ามองเวลาที่เธอปรากฏออกมา แต่หากวิเคราะห์ตัวละครนี้มากเท่าไหร่กลับมีปัญหาผุดขึ้นมามากขึ้นเทานั้น

ข้อดีข้อเด่น: ข้อดีของภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็มีอยู่พอตัวนะครับ ซึ่งข้อดีที่โด่ดเด่นที่สุดก็ต้องไปตัวละครสุนีย์ แหละครับ ที่รับบทโดยสินจัย ดาราชั้นนำของบ้านเรา นอกจากในประเด็นของการแสดงของเธอแล้วนั้น ที่ผมอยากจะชื่นชมในละครเรื่องนี้ก็คือมุมกล้องครับ มุมกล้องเรื่องนี้ทำได้สวยงามในหลายๆ ฉาก โดยเฉพาะฉากการเดินที่สยาม ถึงจะดูละม้ายกับมุมกล้องหนังชื่อดังบางเรื่อง ก็ไม่อยากเอามาว่ากัน เพราะถึงยังไง มุมกล้องที่คุณทำได้ ก็อยู่ในระดับเหนือกว่าหนังหลาย ๆ เรื่องที่ผมได้ชมมาในระยะนี้ แต่เวลาที่หนังเปลี่ยนฉากแล้วมีเสียงของฉากต่อไปดังขึ้นมาก่อนซักพัก แล้วค่อยเห็นภาพของฉากนั้นก็ดี แต่ว่าคุณใช้มันเยอะเกินไปมาก จนทำให้หนังดูช้า งุ่มง่าม ไปโดยปริยาย

และอีกอย่างที่อยากชมคือเพลงประกอบครับ ขอยอมรับเลยละกันว่าเป็นเพลงที่ไพเราะ ติดหูติดปากได้ง่ายจากการฟังไม่กี่รอบ เนื้อหาโดนใจคนเคยมีความรัก ถึงแม้จะเป็นความรักช่วงสั้นๆ อย่างที่เห็นในตัวหนังก็เถอะ
ว่าจากเรื่องเพลงและมุมกล้องแล้วขอกลับมาที่ตัวละครสุนีย์อย่างเป็นทางการนะครับ



สุนีย์

“ฉันยังทำดีไม่พออีกหรอ”


การแสดงของสินจัยของกล่าวสั้นๆ ให้เข้าใจตามกันว่าอยู่ในระดับที่เธอสมควรจะทำได้อยู่แล้ว และมันก็น่าชื่นชมมากเพราะมีนักแสดงบ้านเราไม่มากนักที่จะสร้างฝีมือได้ในระดับนี้ ซึ่งมันสงผลให้ตัวละครน่าเชื่อถือ น่าเห็นใจ และน่าเคารพ ยิ่งตัวละครเจอปัญหามากเท่าไหร่ คนดูก็จะยิ่งเห็นใจเธอมากเท่านั้น การแสดงของสินจัย ช่วยให้หนังเรื่องนี้มีมิติและมุมมองข้อคิดขิ้นมาอีกเยอะ หากปราศจากเธอแล้ว คงไม่ต้องนึกเลยว่าหนังเรื่องนี้จะมีรูปร่างหน้าตาเป็นเยี่ยงไร และสิ่งที่ผมคิดมาตลอดเกี่ยวกับตัวละครนี้ก็คือ เธอช่างเป็นตัวละครสุดยอดคุณแม่จริงๆ เธอทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเท่าที่แม่หนึ่งคนจะทำเพื่อลูกได้แล้ว ติดอยู่เพียงนิดเดียวเท่านั้นเอง ผมว่าเธออาจจะลืมคิดไปว่าเส้นทางที่เธอเลือกให้ลูกมันคือเส้นทางที่จะทำให้ลูกของเธอมีความสุขอย่างแท้จริงไปตลอดชีวิตหรือเปล่า? เส้นทางนี้คือเส้นทางที่ลูกเธอต้องการจริงๆ หรอ? เพราะเส้นทางที่ดีและสมบูรณ์แบบที่สุด มันไม่ได้แปลว่าถือเส้นทางที่ทุกคนต้องการ...



หญิง

“ตราบใดที่มีรัก ย่อมมีหวัง”


ตัวละครหญิง เป็นตัวละครที่ผมชอบที่สุดในเรื่องนี้ครับ เพราะบทบาทของเธอแสดงออกมาได้อย่างชัดเจนที่สุด ว่าเธอต้องการอะไร และการแสดงของเธอก็น่ารักเหมาะสมกับบทบาทอย่างดีมาก เห็นได้หลายๆครั้งว่า เธอเป็นตัวละครที่มีปัญหาทรมานใจไม่น้อยกว่าคนอื่นๆ แต่เธอเป็นตัวละครเดียวที่ยังออกมา ยิ้มได้ ยังออกมาสร้างความรู้สึกดีให้ตัวละครอื่นได้ ยกตัวอย่างฉาก อ้อนวอน นรกแตก ที่ร้านขายของเล่น นั้นเป็นเหตุผลที่ผมชอบตัวละครนี้ที่สุด ถึงแม้ตอนจบเธอจะถูกทิ้งแบบไร้ใยดีเท่าที่ควรก็ตาม ว่าตัวละครที่มีจุดประสงค์แรงและนำเรื่องผ่านอุปสรรคในหลายอย่าง แต่สิ่งที่เธอได้รับตอบแทนก็การยืนร้องไห้ โดยที่มีคนยืนรายล้อมแต่ไม่มีใครเข้าใจเธอจริงๆ ซักคน...



มิว

“มันเหงาจนน่ากลัว”


มิวเป็นตัวละครที่ได้ความน่าสงสารจากผมอย่างเต็มหน้าตัก ตัวละครที่โดนความเหงากัดกินหัวใจ จนไม่รู้ว่าหัวใจของตัวกระซิบบอกอะไรกับตัวเองอยู่ ผมสงสารมิวในสิ่งที่เขาต้องเผชิญ เพราะความเหงานั้นถือเป็นสิ่งที่โหดร้ายที่สุดสิ่งหนึ่งที่มีในโลกใบนี้ เมื่อมิวได้พบโต้ง คนที่ช่วยบรรเทาอาการเหล่านั้นได้ มิวจึงสร้างสรรค์ความสุขสำเร็จ เพียงแค่นอนกอดหมอนที่มีกลิ่นไอ ความเหงาของมิวก็จางหายไปไม่น้อยเลย แต่แล้วสวรรค์กลั่นแกล้ง เมื่อชีวิตมันไม่ง่ายอย่างที่คิด ความรักของเขาถูกขัดขวางความเหงาของเขาก็กลับมาอีกครั้ง ซึ่งนักแสดงก็ทำหน้าที่ได้น่าพอใจมากครับ สำหรับมือใหม่ หากมีการพัฒนาฝีมือขึ้นไปเรื่อยๆ ก็อาจจะได้ใจผมมากกว่านี้ ซึ่งผมจะติดตามดูต่อไป
แต่กระนั้นก็เถอะ สิ่งที่มิวได้รับในตอนท้ายก็ไม่แตกต่างจากตัวละครอื่นเท่าไหร่นัก เขามีความสุขเขายิ้ม เหมือนบางอย่างได้เติมเต็ม เมื่อของเล่นชิ้นสุดท้าย ถูกต่ออย่างสมบูรณ์ แต่ในเวลานั้นน้ำตาเขาก็ไหลไม่หยุด ในอนาคตต่อไป เมื่อความเศร้าเหือดหายไปจากใจมิว และเขาได้มองเห็นของเล่นชิ้นนี้อีกครั้ง ผมเชื่อว่ามันจะทำให้รอยยิ้มมิวกลับมาได้เสมอ เพียงแต่นี้คือบทเรียนชิ้นใหญ่ที่มิวต้องรับรู้ ว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญกว่ากันในชิวิต และอะไรคือสิ่งที่เขาควรใขว่คว้ามาให้ได้ หรืออะไรเป็นสิ่งที่เขาควรทำใจและปล่อยมันไป... โชคดีครับ มิว...



สรุปส่งท้าย: รักแห่งสยามเป็นหนังที่ชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในหลายหลังคาเรือนทุกวันนี้ แต่ตัวหนังยังไม่สามารถแก้ปัญหาที่ตัวเองผูกขึ้นมาเองได้อย่างสมเหตุสมผลดีนัก หากหนังเรื่องนี้จะหาที่มาที่ไปของตัวละครและน้ำหนักแรงจูงใจให้ ชัดเจนและมั่นคงกว่านี้ หนังอาจจะดูเข้มข้นขึ้นอีกหลายเท่าตัวเลยทีเดียว และที่สำคัญก็คือหนังไม่ได้สร้างความประทับในช่วงท้ายได้คุ้มกับที่สร้างปมลากยาวไว้ร่วมสามชั่วโมง หากใจความของหนังที่จะนำเสนอมีเพียงแค่นี้ ก็ควรที่จะทำให้หนังกระชับขึ้น บีบส่วนที่ผสมกันได้ให้มันไหลลื่นเข้ากัน และตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นทิ้งออกไป หนังเรื่องนี้จะงดงามขึ้นมาทันควัน



แต่ในเวลาเดียวกันหนังมีสร้างเสน่ห์ให้ตรงตรึงใจใครหลายๆ คน ซึ่งเห็นได้ชัดว่าความตราตรึงเหล่านั้นมันมาจากนักแสดง และบทที่เป็นประสบการณ์ของใครหลายคน ลองคิดดูดี ๆ ซิครับ ว่าหากคุณจะยกหนังเรื่องนี้ให้เป็น “หนังดีที่สุดเรื่องหนึ่งของไทย” อะไรที่ทำให้มันได้ใจคุณถึงเพียงนั้น เสน่ห์ของตัวภาพยนตร์ หรือเสน่ห์ของนักแสดง กันแน่? เพราะสำหรับผมแล้วนั้นหนังดีจะต้องมีอะไรให้คนดูมากกว่า ความซ้ำซาก และเสน่ห์ทางรูปกายภายนอก

ชื่นชอบ: 2 เต็ม 5
เกรด: C+






แก้ไขล่าสุดโดย Darth เวเฟอร์ เมื่อ Tue Nov 27, 2007 10:03 pm, ทั้งหมด 2 ครั้ง

_________________
คุยหนังภาษาหมา
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ส่ง Email MSN Messenger
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  


(ทำเพื่อบทวิจารณ์นี้โดยเฉพาะ)


อ่านจบแล้วครับ...

หลังจากที่ไม่ได้อ่านบทวิจารของพี่เอกมาตั้งนาน

จนต้องย้อนไปอ่านบทวิจารเก่าๆ

ทั้ง

บทวิจารหนังซัมเมอร์ทั้ง 2 ปี

และ 10 ของรัก แฝด พลอย ฯลฯ


----------------------------------------------------------

แล้วทีนี้ก็มาถึงหนังไทยอีกเรื่อง "รักแห่งสยาม"

ถึงแม้ว่าเก้า จะไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ที

แต่ก็คิดไว้ก่อนแล้วว่า หนังมันต้องดีแน่ๆ เพราะคนที่ไปดูพูดถึงกันเยอะมาก

ไม่ว่าจะเป็นในบอร์ด ในมอ ในหอ และอีกหลายๆที่

แต่มีคนเดียวแหละที่เก้าอยากฟังคำว่าจารณ์มากที่สุด

คนนั้นก็คือพี่เอก (เพราะว่า สำหรับเก้ามันดูน่าเชื่อถือนะ)

พี่เอกไม่เสแสร้ง ถึงดาราที่ตัวเองชอบจะเล่นแย่แค่ไหน

ถึงหนังเรื่องนั้นจะชอบมากแค่ไหน (โจรสลัด) ก็พูดตรงๆ

นั่นแหละที่เก้าชอบ

แล้วผลที่ได้คือ

ย่อหน้าที่ 2 วิจารณ์มันไม่ตรงกับใครสักคนที่เค้าพูดกัน

ความคิดของพี่เอกเปลี่ยนไปหรอ หรือว่าอะไร

แต่พอได้อ่านจนจบก็รู้ว่า มันคืออะไร

ทำไมมันถึงไม่ตรงกับที่เค้าพูด

(ซึ่งเก้าไม่ได้ดูหนังที ก็ไม่อยากจะพูดอะไรมาก เด๋วเค้าจะว่าเราเสร่อเอา)



แต่มีเรื่องเดียวที่เห็นด้วยกับพี่เอกในตอนนี้ก็คือ

- - - ลองคิดดูดี ๆ ซิครับ ว่าหากคุณจะยกหนังเรื่องนี้ให้เป็น “

หนังดีที่สุดเรื่องหนึ่งของไทย”

อะไรที่ทำให้มันได้ใจคุณถึงเพียงนั้น เสน่ห์ของตัวภาพยนตร์

หรือเสน่ห์ของนักแสดง กันแน่? - - -

ก็แค่นั้น คงไม่ต้องพูดอะไรมาก

รออ่านบทวิจารณ์ต่อไปนะครับ ..... เก้าคุง


-----------------------------------------

" คุณรู้อะไรมั้ย ฉันเล่นเป็นคนสองคนตอนอายุ 12 "



แก้ไขล่าสุดโดย kaokoong เมื่อ Tue Nov 27, 2007 10:33 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง

_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว MSN Messenger
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
Surprised Surprised Surprised Surprised Surprised Surprised Surprised Surprised Surprised Surprised Surprised Surprised Surprised Surprised Surprised

เป็นวิจารณ์แบบฉบับ FF อีกแล้วครับท่าน โดย พี่เฟอร์อีกแล้ว

......................

ปกติ พี่เฟอร์ไม่ค่อยติเยอะนี่ แต่บอกไว้ก่อนน่ะครับ

วิจารณ์นี้ สุดยอดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ลุงว่า จะหาคนด่าเรื่องนี้ได้ยากน่ะ ( สมมุติ จะเขียนด่า ) คงลงพันทิบคงมีแต่คนด่าอยู่ดี

แต่งานนี้ ลุงนับถือวิจารณ์ชิ้นนี้มากครับ พี่เฟอร์เปิด Perspective อีกด้านได้ล่ะ

ว่าแต่ กบ ล่ะพี่

ให้ลุงเดาที่เขียนมา ลุงว่า พี่จะติน่ะสิ ว่าอย่างไง คุยได้ครับ

อยากคุยในกระทู้นี้นานๆ อิอิ


ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
kaokoong พิมพ์ว่า:


(ทำเพื่อบทวิจารณ์นี้โดยเฉพาะ)


อ่านจบแล้วครับ...

หลังจากที่ไม่ได้อ่านบทวิจารของพี่เอกมาตั้งนาน

จนต้องย้อนไปอ่านบทวิจารเก่าๆ

ทั้ง

บทวิจารหนังซัมเมอร์ทั้ง 2 ปี

และ 10 ของรัก แฝด พลอย ฯลฯ


----------------------------------------------------------

แล้วทีนี้ก็มาถึงหนังไทยอีกเรื่อง "รักแห่งสยาม"

ถึงแม้ว่าเก้า จะไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ที

แต่ก็คิดไว้ก่อนแล้วว่า หนังมันต้องดีแน่ๆ เพราะคนที่ไปดูพูดถึงกันเยอะมาก

ไม่ว่าจะเป็นในบอร์ด ในมอ ในหอ และอีกหลายๆที่

แต่มีคนเดียวแหละที่เก้าอยากฟังคำว่าจารณ์มากที่สุด

คนนั้นก็คือพี่เอก (เพราะว่า สำหรับเก้ามันดูน่าเชื่อถือนะ)

พี่เอกไม่เสแสร้ง ถึงดาราที่ตัวเองชอบจะเล่นแย่แค่ไหน

ถึงหนังเรื่องนั้นจะชอบมากแค่ไหน (โจรสลัด) ก็พูดตรงๆ

นั่นแหละที่เก้าชอบ

แล้วผลที่ได้คือ

ย่อหน้าที่ 2 วิจารณ์มันไม่ตรงกับใครสักคนที่เค้าพูดกัน

ความคิดของพี่เอกเปลี่ยนไปหรอ หรือว่าอะไร

แต่พอได้อ่านจนจบก็รู้ว่า มันคืออะไร

ทำไมมันถึงไม่ตรงกับที่เค้าพูด

(ซึ่งเก้าไม่ได้ดูหนังที ก็ไม่อยากจะพูดอะไรมาก เด๋วเค้าจะว่าเราเสร่อเอา)



แต่มีเรื่องเดียวที่เห็นด้วยกับพี่เอกในตอนนี้ก็คือ

- - - ลองคิดดูดี ๆ ซิครับ ว่าหากคุณจะยกหนังเรื่องนี้ให้เป็น “

หนังดีที่สุดเรื่องหนึ่งของไทย”

อะไรที่ทำให้มันได้ใจคุณถึงเพียงนั้น เสน่ห์ของตัวภาพยนตร์

หรือเสน่ห์ของนักแสดง กันแน่? - - -

ก็แค่นั้น คงไม่ต้องพูดอะไรมาก

รออ่านบทวิจารณ์ต่อไปนะครับ ..... เก้าคุง


-----------------------------------------

" คุณรู้อะไรมั้ย ฉันเล่นเป็นคนสองคนตอนอายุ 12 "




ขอบคุณครับ อ่านคอมเม้นท์นี้แล้ว ยิ้มแก้มปริ

ชมกันออกนอกหน้าจนเค้าเขิลเลย

พี่ก็ขอชมน้องเก้ามั้งครับ คอมเม้นท์ของน้องเก้าก็จริงใจทุกอันครับ

พี่รู้สึกได้ ขนาดเก้ายังไม่ได้ดูหนัง

ยังคอมเม้นท์มีมุมมอง มีชั้นเชิง และมีสมอง

เป็นกำลังใจให้พี่อย่างนี้ตลอดไปนะครับ





พิม (ลุงนีล) พิมพ์ว่า:
Surprised Surprised Surprised Surprised Surprised Surprised Surprised Surprised Surprised Surprised Surprised Surprised Surprised Surprised Surprised

เป็นวิจารณ์แบบฉบับ FF อีกแล้วครับท่าน โดย พี่เฟอร์อีกแล้ว

......................

ปกติ พี่เฟอร์ไม่ค่อยติเยอะนี่ แต่บอกไว้ก่อนน่ะครับ

วิจารณ์นี้ สุดยอดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ลุงว่า จะหาคนด่าเรื่องนี้ได้ยากน่ะ ( สมมุติ จะเขียนด่า ) คงลงพันทิบคงมีแต่คนด่าอยู่ดี

แต่งานนี้ ลุงนับถือวิจารณ์ชิ้นนี้มากครับ พี่เฟอร์เปิด Perspective อีกด้านได้ล่ะ

ว่าแต่ กบ ล่ะพี่

ให้ลุงเดาที่เขียนมา ลุงว่า พี่จะติน่ะสิ ว่าอย่างไง คุยได้ครับ

อยากคุยในกระทู้นี้นานๆ อิอิ



ขอบคุณครับลุงนีล

เรื่องของ กบ ถ้าผมลงผมก็คงจะลงใน ข้อด้อยข้อเสียแหละครับ

ลุงทายถูกแล้ว เก่งมากครับ



_________________
คุยหนังภาษาหมา
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ส่ง Email MSN Messenger
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ Re: Love of Siam: ความพยายามในการใส่เสน่ห์ 
Darth เวเฟอร์ พิมพ์ว่า:

แต่ในเวลาเดียวกันหนังมีสร้างเสน่ห์ให้ตรงตรึงใจใครหลายๆ คน ซึ่งเห็นได้ชัดว่าความตราตรึงเหล่านั้นมันมาจากนักแสดง และบทที่เป็นประสบการณ์ของใครหลายคน ลองคิดดูดี ๆ ซิครับ ว่าหากคุณจะยกหนังเรื่องนี้ให้เป็น “หนังดีที่สุดเรื่องหนึ่งของไทย” อะไรที่ทำให้มันได้ใจคุณถึงเพียงนั้น เสน่ห์ของตัวภาพยนตร์ หรือเสน่ห์ของนักแสดง กันแน่? เพราะสำหรับผมแล้วนั้นหนังดีจะต้องมีอะไรให้คนดูมากกว่า ความซ้ำซาก และเสน่ห์ทางรูปกายภายนอก

ชื่นชอบ: 2 เต็ม 5
เกรด: C+



ลุงว่า วิจารณ์นี้ จะเน้นหนักไปในทางการดูบทบาทของนักแสดงและองค์ประกอบของบท ที่คนส่วนใหญ่คงร้องกรึ้ด หากบางคนที่บอกว่า " โอ้แสดงดีน่ะ เหมือนวัยรุ่นตามบทเลย" ที่นี้ มันก็จะมองได้ประมาณว่า อีนี้เล่นแข็ง หรือโดนบทบังคับแข็ง ตามที่ลุงเคยเห็นคนอื่นวิจารณ์มา แต่สรุปว่า เล่นแข็งนั้นแหละ ในขณะที่พิชกลับอ่อนโยนกับบทและค่อนข้างแตกแพล้งในระดับนึงแหละ ( ฉากจบ ลุงไม่คิดว่าจะซิ้งน่ะ รู้สึกเฉยๆ ) แต่ถ้าจะมองตามคนที่วิจารณ์หนังและดูมาตราฐานคนแสดง ก็อย่างที่เห็นนั้นแหละครับ เหมาะสมหล่ะ

บางที สิ่งที่หนังใส่ไปเยอะๆ คือ บทแนวแฝงข้อคิด ที่บางที ลุงก็รู้สึกรั่วๆบ้างน่ะ เหมือนเยอะไป แต่ก็ถือว่า ดีกว่าหนังทั่วๆไป ในขณะเดียวกัน ความเป็นมาสเตอร์พีช มันก็ไม่ได้เด่นชัดเพราะบทไร้ทิศทางอย่างที่พี่เฟอร์ว่าแหละ จนบัดนี้ ลุงยังงงว่า ทำไมยัยจอยต้องกลับเชียงใหม่ด้วย...???

แต่ลุงว่า พี่เฟอร์มาแปลกๆตาหน่อย ตรงที่เหมือนรุมฉาก"หน้าบ้าน"เต็มที่ อย่างไงไม่รู้ เพราะผลลัพนธ์ของฉากดังกล่าวมั้ง อันนี้ ลุงก็เก็บไว้พิจารณาต่อไป เพราะบทหนังที่เขียน มันค่อนข้างมองได้หลายมุมน่ะ จับได้หลายประเด็น มันก็เลยดูเสี่ยงๆต่อทั้งการด่าและการชมไปในเวลาเดียวกัน นั้นแหละ เพราะบางคนอาจจะแย้งว่า ฉากนี้ บอกอะไรๆๆๆๆๆ ว่าไป แต่ลุงรู้สึกว่า บทมันเป็นอย่างงั้นน่ะ พี่เฟอร์อาจจะบอกว่า ยัดเยียด แต่บางคนก็ชอบอ่ะ ประมาณนั้น

แต่เรื่องนี้ สิ่งที่ดีที่สุด ลุงว่า ถ้ามาช่าเกิดฟลุ๊คชนะสินจัย เรื่องตัดต่อน่ะ ได้แน่ๆ ชัวร์ๆ ประกันหัวได้เลย อิอิ ส่วนความเห็นอื่นๆ อยู่ในรีต่อๆไปน่ะครับ อิอิ


ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
ฝากถามหน่อย หนัง Y คืออะไรเหรอ


สำหรับเรา มันก็สนุกกว่าหนังไทยอีกหลายๆ เรื่องนะ



_________________
" อิเหียก แม่ทุกรี"


Very Happy Very Happy Very Happy Very Happy Very Happy Very Happy Very Happy Very Happy
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
ผมว่า สำหรับการเป็นนักแสดงหน้าใหม่แล้ว ก็ทำได้ดีทุกคน ส่วนรุ่นใหญ่มือเที่ยงอยู่แล้วทำให้บทที่หนักก็เข้มข้นขึ้นและส่งอารมณ์ให้ตัวอื่นด้วย

ผมไม่คิดว่านี่คือหนังไทยที่ดีที่สุด (เพราะผมให้เจ็ดคะแนน / ฮ่าๆ) แต่ผมคิดมันมันเป็นหนังไทยที่ดีเรื่องหนึ่ง สิ่งที่ผิดพลาดของหนังคือการพยายามทำให้มีอะไรมากกว่าการเป็นแค่หนังเด็กผู้ชายรักเด็กผู้ชาย ซึ่งโอเค มันทำให้หนังลึกดีและมีอะไรมากกว่านั้นจริงๆ แต่การที่หนังใส่เรื่องเยอะเกินไป มันทำให้ประเด็นหลักกระจัดกระจายออกไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความยาวเกินเหตุของหนัง ท้ายที่สุด คนดูจะนั่งจนเมื่อยเกินกว่าจะซึมซับอารมณ์ดีๆ ที่หนังตั้งใจให้มีไปหมด (เพระไม่รู้ว่าเรื่องบางเรื่องในหนังใส่มาทำไม)

มันไม่มีคำตอบว่าโต้งเลือกจะเป็นผู้ชายหรือเกย์ ไม่ได้สรุปว่ามิวอกหัก แต่มันคือความหวัง
การหาของขวัญโดยมีคำใบ้ไปเรื่อยๆ เป็นสิ่งที่นำพาเราไปยังจุดหมายปลาย และสมหวัง
แต่ชีวิต ไม่ได้มีคำบอกใบ้เหล่านั้น เราจึงต้องเดินทางไปโดยไม่รู้ว่าที่สุดแล้ว ที่ซึ่งเราต้องการไปให้ถึงนั้น จะมีอะไรรอเราอยู่

โดนัทยืนรอโต้งที่ตัดสินใจจะไปงานคริสต์มาส หญิงที่รู้ว่าตนเองหมดหวังในรักกับมิว แม่ที่รอวันให้ครอบครัวกลับมามีความสุขเหมือนเดิม โต้งที่รอว่าสักวันหนึ่งเขาจะได้เลือกในสิ่งที่เขาต้องการ มิวที่ไม่รู้ว่าฝันจะเป็นจริงหรือไม่ และ จูนตัดสินใจเดินทางไป ไปยังที่ซึ่งไม่มีใครรอเธอ


_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว MSN Messenger
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
นานาจิตตังน่ะ แต่ยังไงหนังเรื่องนี้ก็เป็นหนึ่งในหนังไทยที่คนไทยควรจะภูมิใจ
เพราะมันแทบจะใกล้เคียงกับคำว่าสมบูรณ์แบบทั้ง โพสต์โพรดัคชั่น บทหนัง นักแสดงทุกคน สกอร์กับซาวด์แทร็ค ผกก. บรีฟงานทุกรายละเอียด

คนที่จะหาเรื่องติได้ถ้าไม่อคติจากการที่หนังมันเกิดประสบความสำเร็จในวงกว้างจนทำให้มันดูเกร่อเสร่อ เหมือนวงอินดี้ย์ที่ขึ้นมาดังแล้วเพลงติดหูอีพวกติสท์จัดก้จะเขี่ยวงในดวงใจทิ้งหาวงนอกโลกที่ยังไม่ดังมาขุนฟังแทน

หรืออีกแบบเพราะปีหนึ่งดูหนังในโรงแค่ปีล่ะเรื่อง 2 เรื่อง

ปล.น้องเอกวิจารณ์ดีนะคะ แต่เจ๊คิดว่าเจ๊มีบทความที่ดีกว่า แน่นกว่าและตรงประเด็นกว่าค่ะ


บทความที่ว่าอยุ่เหนือกระทุ้นี้น่คะ


_________________

ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ชมเว็บส่วนตัว ตำแหน่ง AIM Yahoo Messenger MSN Messenger
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
ส่วนคนที่ไม่อินเลยซักนิดซักส่วน หรือคิดว่าไม่ได้อะไรจากหนังเรื่องนี้เลยนี้ ผมคิดว่า ลองนั่งพิจารณาตัวเองหน่อยอ่าว่าคุณเป็นคนยังไง ต่อมความรักส่วนไหนทำงานผิดปกติหรือเปล่า ชีวิตคุณเกิดมาไม่เคยเจอเห็นการซักส่วนหนึ่งที่คล้ายหนังเรื่องนี้เลยเหรอ อาม่าที่นั่งนึกถึงความหลัง คุณแม่คนเก่ง หญิงสาวที่แอบคลั่งไคล่หนุ่มที่หมายปอง ความฝันเพื่อนวงดนตรี คุณครูวิชาพละ เพื่อนสมัยเด็กๆที่ย้ายบ้านไป คนแบบโดนัท วงเหล้าเพื่อนๆกับสาวๆสองสามคน การทะเลาะวิวาทในครอบครัว เซนเตอร์พ้อย ร้านดีเจสยาม ร้านบุหรี่มุมนั้นของสยาม ศาสนา ความตาย ความรัก ทุกสิ่งทุกอย่างมันใกล้ตัวเรามากอ่ะจนบางทีมันไม่ยากเลย ที่จะมีอารมณ์ร่วมกับหนัง<-----

เอามาจากพันทิปค่ะ ดิฉันคิดว่าคุณอาจจะไม่ชอบจริงๆ หรือมีชีวิตได้แทบไม่ได้สัมผัสเรื่องเหล่านี้เลย

เรียกว่าขาดความรักตั้งแต่เด็ก คิดว่าคุณควรรีบๆหาคุณค่าของความรักซะนะคะ ไม่ได้มาว่านะคะ แต่คิดว่า พื้นฐานของมนุษย์น่าจะได้ค้าหาความรักกันสักครั้ง

แต่ถ้าคุณวิจารณ์โดยใช้ความรู้และประสบการณ์ของการเป็นนักวิจารณ์ ก็คิดว่าแหวกแนวดีค่ะ
แต่ดิฉันว่าคุณคิดเยอะไปนะคะ จับผิดเยอะไป

เหมือนที่คุณบอกว่า หนังจงใจจับวางตรงนู้นตรงนี้ เหมือนที่คุณไปดูหนังเพื่อจงใจจับผิดหรือจงใจดูเพื่อมาวิจารณ์

ใช้สมองดูกับใช้ใจดู มันต่างกันค่ะ


ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
ตอบ หน้า 1 จาก 4
ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ถัดไป
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
  


copyright : forwardmag.com - contact : forwardmag@yahoo.com, forwardmag@gmail.com