มารายห์ได้ฉีกตัวเองจากแนวพ็อพบัลลาดเมนต์สตรีมที่สร้างชื่อเสียงและความสำเร็จให้เธออย่างมหาศาลจากอัลบั้มแรก โดยที่อัลบั้มนี้เธอนำเสนอดนตรีในรูปแบบของแนวอาร์แอนด์บี โซล เสริมทัพด้วยดนตรีเต้นรำ กอสเพลและกลิ่นอายแบบบลูส์ โดยภาพรวมของงานยังคงยืนพื้นอยู่ที่ความเป็นพ็อพและดิว่าบัลลาดเช่นเดียวกับอัลบั้มแรกแต่บรรยากาศของเนื้องานต่างกันอยู่พอสมควร (จะเรียกว่าโดยสิ้นเชิงคงไม่ถึงขั้นนั้น) นอกจากนี้เธอยังได้ขึ้นแท่นเป็นโปรดิวซ์เซอร์ของอัลบั้มอีกด้วยหลังจากที่ต้นสังกัดไม่ยอมมอบโอกาสนี้ให้ตอนอัลบั้มแรก นอกจากนี้เจ๊มาลัยยังดื้อแพ่งใส่ต้นสังกัดสุดฤทธิ์ด้วยการไม่รับพิจารณาโปรดิวซ์เซอร์ชุดเก่าจากอัลบั้มแรกตามที่ต้นสังกัดแนะนำโดยครั้งนี้เจ๊ลงมือบินไปจิก Walter Afanasieft คนที่โปรดิวซ์เพลง Love Takes Time จากอัลบั้มชุดแรกให้กับเธอในขณะที่เขากำลังร่วมทัวร์อยู่กับ Michael Boltonเป็นผลสำเร็จจนได้ค่ะ (เลือดดิว่าแรงตั้งแต่เป็นลุคกี้เลยนะตัว) ก่อนที่จะถลาไปหนีบเอา David Cole และ Robert Civillies จากค่าย C&C Music เพื่อมาโปรดิวซ์เพลงอาร์แอนด์บีเต้นรำเก๋ๆที่ได้ยินกันในอัลบั้ม (เพลงเต้นรำในที่นี้ไม่ใช่แดนซ์จ๋านะคะ) ก่อนจะรวมพลังเฮือกสุดท้ายไปลาก Carole King ผู้ที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับอัลบั้มแรกของเธอ (แนวเพลงบัลลาดกลิ่นอายยุค50น่ะค่ะ) มาร่วมแต่งเพลงสุดทรงพลังอย่าง If Its Over ด้วยค่ะ (ป้านี่มีบุญนะคะได้ร่วมงานกับอีมาลัย เพราะแม่ผีเสื้อสมุทรยุคนี้ชีเป็นโรคกลัวการร่วมงานกับไม้ป่าเดียวกันน่ะค่ะ)
Emotion (5) ซิงเกิ้ลแรกและเป็นไทเทิ่ลแทร็ค จากการที่ต้นสังกัดไม่ไฟเขียวให้เจ๊ทำฮิพฮอพ เพลงเต้นรำจึงเป็นตัวเลือกที่สองของมารายห์ โดยเพลงนี้ถุกนำเสนอมาในรูปแบบลูกผสมของโซล อาร์แอนด์บี กับ พ็อพเต้นรำที่มีกลิ่นอายของอิทธิพลดนตรีแบบโซลดิสโก้ (ไม่แน่ใจว่าเป็นที่นิยมในยุคโมทาวน์หรือเปล่า)โดยตัวเพลงได้รับแรงบันดาลใจมากจากเพลง Best Of My Love ของวงดนตรีแนวโซลดิสโก้ The Emotions ที่ต้องชมคือมารายห์สามารถทำให้โลกเห็นถึงความสามารถในการร้องเพลงและเทคนิคการใช้เสียงอันแพรวพราวของเธอทั้งแผด ทั้งหอน ทั้งหวีด ครบสูตร เหนือชั้นจนสามารถคว้าอันดับหนึ่งเป็นเพลงที่ห้าในชาร์ตบิลด์บอร์ดให้เธอสำเร็จจนได้ จริงๆแล้วก่อนหน้านี้เพลงที่จะถูกตัดมาเป็นซิงเกิ้ลแรกคือ Youre So Cold (3.5/5) ซึ่งโปรดิวซ์โดย David Cole และ Robert Civillies รูปแบบดนตรีทำออกมาในรูปแบบเดียวกันแต่เพลงนี้มีทีเด็ดเฉพาะตัวคือช่วงอินโทรมารายห์ใช้ลูกเล่นเสียงแบบคนดำทั้งแผดทั้งหวีด (กังวานและดุสุดๆดูดิบมากๆ) ก่อนที่จะปรับอารมณ์เข้าเป็นเพลงอาร์แอนด์บี พ็อพโซลเหวี่ยงๆมารายห์ร้องได้สะใจมากๆ จริงๆแล้วอยากให้เธอทำเพลงโซลเพียวๆดิบๆไปเลยคงได้ฟังป้าหอนตับฉีกแน่ๆ
Cant Let Go (3/5) ซิงเกิ้ลที่สองซึ่งมารายห์ยังคงไม่ได้ทิ้งกลิ่นอายงานบัลลาดจากอัลบั้มแรกไปไหน โดยส่วนตัวคิดว่าแม้ความอลังการของตัวเพลงจะเทียบบัลลาดซิงเกิ้ลจากอัลบั้มแรกไม่ได้แต่พัฒนาการในการสื่อให้ผู้ฟังเข้าถึงอารมณืของตัวเพลงเธอทำได้ดีขึ้นมากๆ การันตีได้ดีว่ามารายห์เป็นเซียนในเพลงบัลลาดแบบดิว่าช้ำรักที่ใครๆก็กินเธอลงได้ยากยิ่ง ในซิงเกิ้ลมีเพลง To Be Around You (3/5) ในอัลบั้มแถมเป็นบีไซส์ตัวเพลงก็ไม่มีอะไรแตกต่างจากเพลงเร็วอื่นๆในอัลบั้มคือเป็นพ็อพผสมโซลอาร์แอนด์บีและดึงกอสเพลมาเป็นสีสัน พร้อมวางขายทันที
Make It Happen (5) ซิงเกิ้ลปิดอัลบั้ม อาร์แอนด์บี พ็อพเริ่ดๆเพลงนี้มารายห์ทำเก๋นำลูกเล่นของกอสเพลเข้ามาใช้ถือว่าแปลกใหม่เพียงพอสำหรับงานเพลงของเธอในยุคนั้น (จนปัจจุบันกลายเป็นเอกลักษณ์ในทุกๆเวทีของเธอ) โดยส่วนตัวเป็นหนึ่งในเพลงที่ชอบที่สุดตลอดกาลของเธอ น่าเสียดายที่ไม่ได้อันดับหนึ่งให้รู้แล้วรู้รอดไป
เพลงอื่นๆ :
If Its Over (4.5/5) เพลงที่เธอแต่งกับแคโรล คิง ซึ่งก่อนหน้านี้ตอนแรกป้าแคโรลเสนอให้มาลัยคัฟเวอร์เพลง (You Make Me Feel Like) A Natural Woman ของเธอแต่มาลัยต้องการที่จะมีเพลงเริ่ดๆเป็นของตัวเองมากกว่าโปรเจ็คนั้นเลยพับไป (ดีนะไม่โดนอีด่าเอา) เพลงนี้ทำออกมาในแนวโซลย้อนยุคมีกลิ่นอายบลูส์เข้มๆจากการโชว์พลังเสียงของมารายห์ (โดยส่วนตัวถ้าเทียบกับImpossibleของคริสทิน่าคิดว่ามาลัยออกโซลได้ถึงอารมณ์กว่ามาก) ตอนจบเพลงเล่นเอาขนลุกไปเลย เสียงมารายห์ทรงพลังมากๆใช้เสียงได้อย่างเหนือชั้นสมศักดิ์ศรี The Voice ค่ะ
บัลลาดที่เหลือก็มี And You Dont Remember (3.5/5) So Blessed (3/5) ที่ตัวเพลงคล้ายๆกับ Love Takes Time คือเป็นพ็อพบัลลาดหวานๆเย็นๆเจือกลิ่นอายบลูส์อ่อนๆ ฟังได้เพลินๆและเพราะด้วย Till The End Of Time (3.5/5) พ็อพบัลลาดเจือสรรพสำเนียงโซลฟูลอาร์แอนด์บี (แบบอ่อนมากๆค่อนไปพ็อพบัลลาดแบบดิว่าโชว์พลังเสียงเลยด้วยซ้ำ) น้ำเสียงเพราะและเซ็กซี่มากๆเป็นบัลลาดสูตรสำเร็จเพื่อสืบเจตนารมณ์อัลบั้มแรกอีกเพลงจากมารายห์
ปิดตัวเก๋ด้วย The Wind (4/5) ไลท์แจ๊ซซ์บัลลาดแบบที่ บลอสซั่ม เดียร์รีย์ (ดิว่าเพลงแจ๊ซซ์ยุค50) ชอบทำ เจ๊ได้แรงบันดาลใจเพลงนี้จากการสูญเสียเพื่อนที่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ซึ่งตอนแรกจะนำแรงบันดาลใจนี้ไปเป็นไทเทิ่ลแทร็คโดยใช้ชื่อว่า They Call The Wind Mariah ต๊ายย ยังกับชื่อหนังยอดมนุษย์น่ะค่ะเจ๊